Skip to content

A World Worth Protecting 80

บทที่ 80 เชื่อก็บ้าแล้ว

ในบรรดาศิษย์สองพันคนที่เข้ารอบ ประมาณเก้าในสิบส่วนเป็นศิษย์ปีห้า ไม่ว่าจะในด้านการฝึกตนหรือความสามารถ พวกเขาได้สำเร็จวิชาหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่า      วันเวลาของพวกเขาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เป็นข้อได้เปรียบที่พวกเขาเหนือกว่าศิษย์ใหม่อย่างเทียบไม่ติด

มีหลายคนที่หวังเป่าเล่อให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ได้แก่ศิษย์สาขาการยุทธ์บางคนที่ได้สำเร็จพลังเวทต่างๆ ที่มีอยู่เฉพาะในสาขาการยุทธ์เท่านั้น บางคนสามารถสร้างภาพเงาตามหลังตัวเองได้…เป็นผลมาจากการโคจรปราณโลหิตที่มีปริมาณ     มากพอ

ทั้งยังมีพลังเวทสายความว่องไว ที่เมื่อใช้แล้วทำให้ผู้ใช้มีความเร็วเพิ่มขึ้นอย่าง  น่าตื่นตะลึง ถึงขนาดหวังเป่าเล่อเองยังต้องเพ่งมอง

อันที่จริงแล้ว ผู้เชี่ยวชาญจากสาขาการยุทธ์ยังเป็นรอง กลุ่มที่หวังเป่าเล่อกลัวที่สุดคือสาขาหลอมโอสถและสาขาวงแหวนปราณ ความสามารถที่ศิษย์สองสาขานี้ใช้นั้นแปลกประหลาดนัก

หวังเป่าเล่อเห็นศิษย์ปีสูงจากสาขาหลอมโอสถผู้ไม่สามารถสู้กับศิษย์สาขาการยุทธ์ตรงๆ ได้ แต่ทว่าความสามารถการใช้โอสถพิษของเขาร้ายกาจนัก คู่ต่อสู้ถึงกับต้องยอมแพ้

สาขาหลอมโอสถยังมีโอสถที่ใช้เพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกาย เมื่อพวกเขา     กลืนโอสถนี้เข้าไปความแข็งแกร่งก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้ชมเป็นอย่างยิ่ง

ความหลากหลายของชนิดโอสถทำให้วิธีการต่อสู้ของสาขาหลอมโอสถนั้นมี  หลากรูปแบบ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรับมือได้ทั้งหมด!

หวังเป่าเล่อเริ่มเป็นกังวล สาขาวงแหวนปราณเองก็ทำให้เขาปวดหัวใช่ย่อย     เมื่อศิษย์สาขาวงแหวนปราณตกอยู่ในอันตราย พวกเขาจะสร้างวงแหวนปราณด้วยความเร็วสูง ดึงเอาพลังงานของสิ่งรอบกายมาเพื่อกดทับและกักขังคู่ต่อสู้ ในการประลองยุทธ์ครั้งหนึ่ง หวังเป่าเล่อเห็นกับตาว่าศิษย์สาขาวงแหวนปราณคนหนึ่ง    สร้างภาพมายาขึ้นมาทั้งฉากด้วยตัวคนเดียว!

คู่แข่งไม่ได้แม้แต่พยายามจะขัดขืนต่อสู้ เขายอมแพ้ในทันที

นอกจากสองสาขาวิชานี้แล้ว สาขาหลุมพรางและสาขาอื่นๆ ก็ไม่ใช่คู่แข่งที่ง่ายดายเช่นกัน สำหรับหวังเป่าเล่อนั้น ช่วงเวลาที่เขาเป็นผู้ชมนี้ให้ความรู้ความเข้าใจกับเขาอย่างมากเกี่ยวกับสาขาต่างๆ ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์

ในที่สุดรายชื่อสองพันคนสุดท้ายก็ได้รับการประกาศ บรรดาหัวหน้าศิษย์ต่างก็เข้าร่วมเพื่อเป็นการเริ่มต้นรอบที่สองอย่างเป็นทางการ ในแง่หนึ่ง รอบนี้จะเรียกว่าเป็นรอบสุดท้ายก็ได้เช่นกัน!

สำหรับศิษย์ที่รับชมอยู่ ความน่าติดตามของรอบนี้มากกว่ารอบแรกไปโข แม้กระทั่งเหล่าอาจารย์ที่คอยชมอยู่ก็สนใจยิ่ง กรรมการสำหรับการประลองยุทธ์ก็เพิ่มขึ้นจากหนึ่งเป็นสามคน!

ในจำนวนศิษย์สองพันคนกับอีกหยิบมือนี้ ทุกคนล้วนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ของ     สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ อาจกล่าวได้ว่าศิษย์จำนวนมากจากกลุ่มนี้จะได้เข้าสู่ระดับลมหายใจเที่ยงแท้อย่างแน่นอน!

แม้กระทั่งศิษย์พันคนสุดท้ายที่ตกรอบไปก่อนหน้านี้ก็ยังมีโอกาสที่สำเร็จระดับ   ลมหายใจเที่ยงแท้ได้ในมิติเวทของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์

ฉะนั้นแล้วสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จึงระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้มีการเสียชีวิตเกิดขึ้นระหว่างการสอบ!

แม้กระทั่งผู้คนบนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงยังปรากฎตัวเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน การสอบของศิษย์สองพันคนสุดท้ายนี้กลายเป็นมหกรรมที่สำคัญที่สุดของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ไปโดยปริยาย ความสนใจของมวลชนที่มีต่อการสอบนี้พุ่งถึงขีดสุด

ขณะที่ศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเฝ้าชมอยู่ หวังเป่าเล่อก็ได้รับแจ้งเตือนว่าการจับสลากเลือกคู่ประลองยุทธ์รอบแรกกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!

เขาไม่จำเป็นต้องไปปรากฎตัวที่สถานที่จับสลาก เพราะว่าสามารถจับสลากผ่านเครือข่ายวิญญาณได้ ขณะนี้ หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำที่พัก หลังจากดื่มน้ำเย็นหล่อวิญญาณไปอึกใหญ่เขาก็ยกมือขึ้นเช็ดปากและเปิดเครือข่ายวิญญาณขึ้น

การประลองยุทธ์รอบแรก ข้าจะเจอกับสาขาใดกันนะ หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึกและหยิบสลากขึ้นมา ไม่นานผลก็ออกมา…ไม่มีชื่อคู่ต่อสู้ มีเพียงสถานที่และเวลาของการประลองยุทธ์เท่านั้น

เวลาคืออีกสองชั่วโมงจากนี้และสถานที่คือลานประลองยุทธ์ที่สามของสาขาอาวุธเวท!

หวังเป่าเล่อตกตะลึงไปชั่วครู่ การจับสลากครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกของเขา         ชายหนุ่มคิดว่าเขาจะได้เห็นคู่ต่อสู้ของเขาในทันที เขายกมือเกาหัวและลองตรวจดู  บนเครือข่ายวิญญาณ จึงพบว่าคนจำนวนมากก็สงสัยเช่นเดียวกัน สุดท้ายแล้ว       เขาครุ่นคิดจนได้คำตอบ

“คงเป็นมาตรการป้องกันการโกงเมื่อรู้ตัวตนของอีกฝ่าย พวกเขาแจ้งแค่เวลาและสถานที่ เราจะได้รู้ตัวคู่แข่งของเราก็ตอนไปถึงที่ลานประลองยุทธ์แล้วเท่านั้น          สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์นี่ร้ายไม่เบา” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง เมื่อเห็นว่า    เหลือเวลาไม่มาก เขาจึงรีบทำสมาธิเพื่อปรับลมปราณ

เมื่อสถานะของเขาพร้อมจนถึงขีดสุดหวังเป่าเล่อจึงพ่นลมหายใจออกมา         เมื่อกะเวลาแล้ว หวังเป่าเล่อจึงเดินออกจากถ้ำที่พักเมื่อใกล้ถึงเวลาการสอบแล้ว      วิ่งตรงไปยังลานประลองยุทธ์ที่สาม

สาขาอาวุธเวทมีลานประลองยุทธ์อยู่ด้วยกันสิบแห่ง ลานประลองยุทธ์หมายเลขสามตั้งอยู่ใกล้กับโถงศิลาวิญญาณ ในช่วงเวลานั้น มีอาจารย์สามท่านประจำการอยู่แล้ว    ที่นอกลานประลองยุทธ์ เพื่อรอคอยการมาถึงของผู้เข้าสอบทั้งสอง มีผู้คนจำนวนมากนั่งอยู่รอบลานประลองยุทธ์เพื่อเฝ้าดู

แม้ว่าผู้ชมจะไม่รู้ว่าใครจะมาประลอง พวกเขารู้ดีว่าคนที่ผ่านเข้ารอบนี้มาได้ต้องแข็งแกร่งอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นหากไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียงหรือการประลองยุทธ์ที่พวกเขาเลือกที่จะไปดูเอง ไม่ว่าใครมาแข่งก็ไม่แตกต่างกันนัก

“ข้าไม่รู้เลยว่าใครจะมาประลองยุทธ์กันที่นี่ เป็นคนของสาขาอาวุธเวทหรือเปล่านะ”

“ทุกคนจับตาดูเครือข่ายวิญญาณไว้ ข้าว่าจะต้องมีประกาศในอีกไม่นานนี้แน่นอน ข้าอยากดูหวังเป่าเล่อ!”

ขณะที่ผู้คนโดยรอบกำลังพูดคุยเรื่องนี้ ฝูงชนก็ส่งเสียงร้องฮือฮาออกมาพลางแหวกแยกกันออกเป็นทาง ชายหนุ่มร่างผอมสีหน้าเย็นชาในชุดคลุมเต๋าเดินออกมาจากฝูงชนและกระโดดขึ้นไปบนลานประลองยุทธ์

ขณะที่ยืนอยู่นั้น เขาเขย่าแขนเสื้อและจ้องมองอย่างเย็นชาขึ้นไปบนท้องฟ้า

“นั่นมัน อู๋ไห่เซิน! เขาเป็นศิษย์ปีห้า ข้าได้ยินมาว่าสมบัติเวทที่เขาหลอมได้น่ะทรงพลังมากเชียวล่ะ!”

“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเราจะดูคนเก่งๆ จากสาขาอาวุธเวทตั้งแต่รอบแรก         ข้าสงสัยจริงว่าคู่ต่อสู้ของเขาจะมาจากสาขาใดกัน!”

ขณะที่ผู้ชมพากันพูดคุยอย่างตื่นเต้น อู๋ไห่เซินยืนอยู่บนลานประลองยุทธ์พลางจ้องมองเวลา เขาดูร้อนรนใจ ในที่สุด ฝูงชนเปล่งเสียงฮือฮาที่ดังยิ่งกว่าเดิมออกมา

ท่ามกลางเสียงอื้ออึงนั้น ร่างของหวังเป่าเล่อก็พุ่งตรงมาแต่ไกล เขาเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เขากระโดดขึ้นมาบนลานประลอง เมื่อร่างอ้วนท้วนนั้นสัมผัสพื้น ฝูงชนก็ระเบิด    เสียงโห่ร้อง

“หวังเป่าเล่อ!”

“เขาขึ้นไปบนลานประลองยุทธ์ อย่าบอกนะว่า…”

“สวรรค์ คู่ต่อสู้ของอู๋ไห่เซิน…คือหวังเป่าเล่อ!” คนดูพากันสูดลมหายใจ พวกเขาพูดคุยกันไปพลางมองไปทางอู๋ไห่เซินอย่างเห็นอกเห็นใจ

จริงที่ว่าหวังเป่าเล่อเป็นหัวหน้าศิษย์สามโถง ความสามารถของเขานั้นเป็นที่ประจักษ์ว่าเหมาะสมกับตำแหน่งอันดับหนึ่งของสาขาอาวุธเวท แต่ทว่า…             ด้วยตำแหน่งดังกล่าว ศิษย์จากสาขาวิชาอื่นอาจจะกล้าสู้กับเขา แต่ศิษย์จากสาขาของเขาเอง…ใครเล่าจะกล้าลงมือ!

หวังเป่าเล่อกระแอมออกมาแห้งๆ เขารู้สึกว่าออกจะประหลาดเสียหน่อย        ชายหนุ่มไม่ได้คาดคิดว่าคู่ต่อสู้คนแรกของเขาจะมาจากสาขาเดียวกัน ขณะนี้         เขารู้สึกดี เขาหัวเราะออกมาดังลั่นก่อนจะยกมือขึ้นคารวะคนดู แล้วจึงหันหน้าหา     อู๋ไห่เซิน สีหน้าของเขาดูจริงจัง

“สหายร่วมสำนัก โปรดลืมเสียว่าข้าเป็นหัวหน้าศิษย์ เข้ามาเลย โปรดซัดอาวุธเวทที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเจ้ามาที่ข้าได้เลย แม้ว่าข้าจะเป็นหัวหน้าศิษย์สามโถง ข้าก็จะไม่เอาความ!”

จากการปรากฎตัวของหวังเป่าเล่อ อู๋ไห่เซินที่นิ่งเฉยก่อนหน้านี้ตอนนี้กลับมีนัยน์ตาเบิกโพลง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เขาหายใจเข้าลึกแล้วก้าวถอยหลัง เมื่อเขาได้ยินหวังเป่าเล่อพูดดังนั้น เขาได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในใจ

บ้าชะมัด ข้านี่ซวยจริงๆ ทำไมต้องเป็นมันด้วยนะ! อู๋ไห่เซินรู้สึกโศกเศร้า        อย่างรุนแรง ในสายตาคนอื่น เขาเป็นผู้เข้าแข่งขันที่มาแรงทีเดียวในรอบสองพันคนสุดท้าย อย่างไรเสีย เขารู้ดีว่าเขาโชคดีเพียงใดที่ผ่านมาถึงจุดนี้ได้ หากว่าเขาได้เจอศิษย์จากสาขาอื่นในรอบนี้ เขาอาจจะยังมีความหวังอยู่บ้าง

แต่เมื่อเขาคิดถึงหวังเป่าเล่อ…อู๋ไห่เซินแค่นหัวเราะอย่างขมขื่น เขาเคยเห็น     หวังเป่าเล่อในการต่อสู้มาก่อนและรู้ดีว่าพลังของเขาน่ากลัวเพียงใด วิชาบิดหมุนและกระบวนท่าเตะผ่าหมากทำให้อู๋ไห่เซินตัวสั่นงันงก

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหวังเป่าเล่อบอกให้ไม่ต้องสนใจสถานะหัวหน้าศิษย์ สำหรับอู๋ไห่เซินแล้วฟังดูคล้ายคำขู่มากกว่า เขาจะไม่สนใจไปได้อย่างไรกัน…

คนที่ขวางทางเจ้าต่างก็ต้องมีอันเป็นไป ข้าก็อยากจะเชื่อเจ้านะตอนเจ้าบอกว่าจะไม่ถือสาหาความ แต่ข้าคงไม่โง่ขนาดนั้นหรอก

วินาทีที่อู๋ไห่เซินคิดตก อาจารย์ทั้งสามตรวจดูกฎกติกาก่อนจะประกาศเริ่มการประลองยุทธ์!

เมื่อเสียงระฆังเริ่มการประลองยุทธ์ดังขึ้น หวังเป่าเล่อโห่ร้องด้วยเสียงอันดังก่อนจะย่างสามขุมเข้าหา…อู๋ไห่เซินล่าถอยไปอย่างรวดเร็วพลางตะโกนว่า “ข้ายอมแล้ว ข้ายอมแพ้แล้ว!”

ไม่ทันขาดคำ ชายหนุ่มร่างผอมยกมือคารวะหวังเป่าเล่อ ก่อนจะหันเดินจากไปในทันที แม้ว่าเขาจะรู้สึกเสียใจ แต่เขาก็รู้ว่าทำถูกต้องแล้ว อย่างไรเสียก็ยังมีการประลองยุทธ์หลังจากนี้อยู่ และหากเขาสู้ ใครจะกล้ารับประกันว่าหลังจากเขาลงจากลานประลองยุทธ์ จะไม่มีศิษย์ฝ่ายวินัยกลุ่มใหญ่มาลากตัวเขาไป

อู๋ไห่เซินคิดว่าควรรักษากำลังกายเอาไว้สู้ในรอบต่อไปดีกว่า ยิงปืนนัดเดียวได้    นกสองตัวโดยแท้

คนดูส่งเสียงโห่ให้กับการตัดสินใจของอู๋ไห่เซิน อย่างไรก็ตาม พวกเขาเข้าใจและเห็นด้วยกับการตัดสินใจนั้น หากเป็นพวกเขาเองก็คงยอมแพ้เช่นเดียวกัน

“เจ้านั่นเป็นหัวหน้าศิษย์ทรงอิทธิพล อู๋ไห่เซินฉลาดแล้วล่ะที่ยอมแพ้เสีย!”

“แค่สู้ไม่ได้น่ะยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดสู้ชนะขึ้นมา ยังต้องกลัวว่าจะไปลบหลู่    เจ้าหวังเป่าเล่อเอาเสียอีก!”

เมื่อชนะได้โดยไม่ต้องเหนื่อยแรง หวังเป่าเล่อก็ยิ่งอิ่มเอมใจ เขารู้สึกว่าเขาได้มาถึงจุดที่อัตชีวประวัติของเจ้าพนักระดับสูงเรียกว่า ‘ขั้นปรมาจารย์’

ผู้คนกล่าวว่าคนที่หน้าตาดีที่สุดได้รับการปฏิบัติอย่างดีที่สุดจากโลกทั้งโลก ตอนนี้ ข้าได้มาถึงจุดที่ทำให้คนยอมแพ้ได้ด้วยการมองตาเท่านั้นแล้ว หากเรามองไปที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด ใครอีกเล่าที่ทำเช่นนี้ได้ ไม่มีเสียหรอก!

มัวเมาอยู่ในพลังอำนาจของตนเอง หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นจับหน้าตัวเองพลางจ้องมองร่างกายอันผอมเพรียวเสียเหลือเกินของตน เขาเปล่งประกายด้วยความสุขและสบายใจเป็นอย่างยิ่ง

หวังเป่าเล่อเอ๋ย หวังเป่าเล่อ เจ้าไม่ธรรมดาอีกต่อไปแล้ว!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version