Skip to content

A World Worth Protecting 81

บทที่ 81 สหายร่วมสำนัก บอกข้าเถิด

การประลองยุทธ์นัดแรกจบลงแล้ว!

สำหรับหวังเป่าเล่อการประลองครั้งนี้ช่างง่ายดายสิ้นดี เพียงแค่เขาวางเท้าสัมผัสลานประลองยุทธ์ เขาก็ชนะเสียแล้ว!

ในรอบนี้มีคนสองพันคนกำลังประลองยุทธ์กันอยู่ การประลองยุทธ์หนึ่งพันนัด  จัดขึ้นพร้อมๆ กัน พูดอีกอย่างก็คือ หลังจากนัดนี้ ผู้เข้าสอบครึ่งหนึ่งจะมีหนึ่งคะแนนและผู้เข้าสอบที่เหลือจะไม่มีคะแนน!

ความแตกต่างระหว่างผู้ชนะและผู้แพ้เห็นได้อย่างชัดเจน!

รอบสองของการสอบนี้เป็นระบบเก็บคะแนน หากชนะได้จะได้รับหนึ่งคะแนน หากแพ้ก็ไม่มีโทษอะไร เช่นนี้แล้วหากมีใครสามารถเก็บได้ห้าคะแนนหรือเท่ากับชนะการประลองยุทธ์ได้ทั้งห้าครั้ง ก็จะขึ้นไปอยู่อันดับสูงๆ ได้อย่างแน่นอน

หลังจากที่คิดทบทวนเรื่องกฏกติกาของการสอบในหัว หวังเป่าเล่อก็เดินอาดๆ   ลงจากลานประลองไป ภายใต้สายตาที่จับจ้องและเสียงซุบซิบนินทาของผู้ชมรอบด้าน หวังเป่าเล่อหันไปยิ้มทักทายทุกคนอย่างสุภาพ เมื่อเขากลับถึงถ้ำที่พักก็เปิดถุงขนมฉลองอย่างรื่นรมย์ใจ ขณะที่กินไปก็ค้นข้อมูลในเครือข่ายวิญญาณดูผลการสอบคู่อื่นไปพลางๆ

เครือข่ายวิญญาณในยามนี้คึกคักยิ่งนัก บรรดาศิษย์ที่ได้ชมการสอบคู่ต่างๆ      พากันมาพูดคุยกันอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับคนดังที่เข้าร่วมการสอบ พวกเขาเป็นที่สนใจอย่างมาก

“ข่าวล่ามาเร็ว! หวังเป่าเล่อเป็นฝ่ายกำชัย! อู๋ไห่เซินจากสาขาอาวุธเวทยอมรับความพ่ายแพ้!”

“จั่วอี้ฟานก็ชนะเช่นกัน! คู่แข่งของเขาคือ ซุนเยี่ยน ศิษย์ปีห้าจากสาขาหลุมพราง เขาชนะแบบตรงๆ โดยยังหายใจไม่ถึงสามสิบครั้งด้วยซ้ำ!”

เมื่อเห็นข่าวของเขาได้รับความสนใจอย่างล้นหลามหวังเป่าเล่อรู้สึกชื่นใจ อย่างไรก็ดี เมื่อได้รู้ว่าจั่วอี้ฟานชนะ หวังเป่าเล่อก็เลิกคิ้วสูง

เจ้าจั่วอี้ฟานมันเก่งขึ้นนะ ไม่เพียงแค่ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในหัวหน้าศิษย์ของสาขาการยุทธ์เท่านั้น ยังชนะรอบแรกได้อีกด้วย แต่อย่างไรเสียเขาก็ยังคงห่างชั้นกับข้า หวังเป่าเล่อคิดขณะบิดขวดน้ำเย็นหล่อวิญญาณเปิดดื่มอย่างกระหาย แต่เมื่อได้อ่านข้อความที่เพิ่งโพสต์ลงมาใหม่ มือที่ยกน้ำเย็นหล่อวิญญาณขึ้นดื่มอยู่นั้นถึงกับชะงักไป

“ม้ามืด! เฉินจื่อเหิงโดนกำราบโดยศิษย์สาขาหลอมโอสถ หลี่หนัน!”

“สวรรค์! เฉินจื่อเหิงเป็นคู่แข่งของจั่วอี้ฟานที่ขับเคี่ยวกันเพื่อตำแหน่งหัวหน้าศิษย์! แต่ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูปเขาก็พ่ายแพ้ให้แก่หลี่หนันเสียแล้ว!”

“ข้าได้ดูการประลองยุทธ์นัดนั้น! หลี่หนันกลืนโอสถปริศนาเข้าไปแล้วเกิดคุ้มคลั่ง พุ่งเข้าใส่เฉินจื่อเหิงตรงๆ เลย!”

มีการถกเถียงเกิดขึ้นมากมายเกี่ยวกับความพ่ายแพ้ของเฉินจื่อเหิงในนัดแรก     แต่เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จึงต้องทำงานหนัก     เพื่อป้องกันไม่ให้วิดีทัศน์ของการสอบนั้นแพร่กระจายออกไป หากมีการตรวจพบวิดีทัศน์ ผู้โพสต์จะถูกลงโทษทันที เพราะฉะนั้น จึงไม่มีวิดีทัศน์ของการแข่งนัดนั้นบนเครือข่ายวิญญาณ หากไม่ได้ดูนัดนั้นด้วยตาตนเองแล้ว แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง

หวังเป่าเล่อหรี่ตาอ่านข้อความเหล่านั้น เขารู้ดีว่าการฝึกตนของเฉินจื่อเหิงนั้นผ่านขั้นผนึกกายามาแล้วและกำลังเข้าสู่ขั้นบำรุงชีพจร เขาไม่ใช่คนที่ต่อกรด้วยง่ายๆ ยังเสียท่าให้กับสาขาหลอมโอสถเสียได้

มีคนเก่งๆ มากมายในการสอบนี้! ข้าจะนิ่งเฉยไม่ได้! หวังเป่าเล่อคิดราวกับว่าเขาเพิ่งนึกถึงสิ่งสำคัญขึ้นมาได้ หลังจากที่อ่านต่อไปอีกสองสามโพสต์ เขาก็มาเพ่งพินิจอยู่กับโพสต์หนึ่ง

“เจ้าเยี่ยเหมิงประมือกับเจิ้งเหลียงหัวหน้าศิษย์โถงพฤกษศาสตร์ของสาขาหลอมโอสถ นางสร้างวงแหวนปราณภายในสามลมหายใจแล้วเหาะขึ้นฟ้าไปเลย! เจิ้งเหลียงถึงกับต้องยอมแพ้!”

มีคนมาคอมเมนต์ตอบโพสต์นี้มากมาย ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจการกระทำของเจ้าเยี่ยเหมิง แต่กระนั้น ก็ยังมีศิษย์จากสาขาวงแหวนปราณมาอธิบายว่าผู้ที่สามารถสร้าง           วงแหวนปราณได้ภายในสามลมหายใจนั้นไม่เคยปรากฎมาก่อนในประวัติของสาขา   วงแหวนปราณ!

ข่าวนี้เรียกความตื่นเต้นของคนในสาขาวงแหวนปราณได้เป็นอย่างดี ก่อนจะแพร่กระจายไปทั่วเครือข่ายวิญญาณ หลังจากหวังเป่าเล่อได้อ่านคำอธิบาย เขามี      สีหน้ากังวลขึ้นมา

เจ้าเยี่ยเหมิง…หวังเป่าเล่อวางขวดน้ำเย็นหล่อวิญญาณลง เขาเริ่มเครียดเพราะข้อความที่อ่านมาจากเครือข่ายวิญญาณ ในความเป็นจริงแล้ว นอกจากผู้เข้าสอบที่ถูกกล่าวถึงมากๆ ก็ยังมีศิษย์ปีห้าเก่งๆ ที่ปรากฎตัวขึ้นมาอีกเพียบ ทุกๆ คนต่างเป็น     ตัวเต็งด้วยกันทั้งสิ้น

การประลองยุทธ์นัดต่อไปจะมีขึ้นวันพรุ่งนี้ เหลือเวลาไม่มากแล้ว

ผลการแข่งขันส่งผลโดยตรงต่อสิทธิการเข้าร่วมมิติเวท ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะมั่นใจเพียงใด เขาก็ไม่อาจนิ่งนอนใจได้ เขาปิดเครือข่ายวิญญาณและเริ่มทำสมาธิเพื่อสงบจิตใจเพื่อจะได้อยู่ในสภาพพร้อมต่อสู้อีกครั้ง

วันหนึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าการประลองยุทธ์ทุกนัดจะจบลงไปแล้ว แต่การพูดคุยกันในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์และบนเครือข่ายวิญญาณกลับยิ่งเข้มข้นขึ้น

วันที่สองมาถึงไวราวกับโกหก หนึ่งชั่วโมงก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้นหวังเป่าเล่อได้รับแจ้งเตือนว่าการจับสลากกำลังจะเริ่มขึ้น เขาเปิดตาขึ้นและหยิบสลากของตนเองขึ้นมา

ลานประลองยุทธ์ที่เก้า ณ สาขาวงแหวนปราณ คู่แข่งผู้โชคดีของข้าจะเป็นใครกันนะ หวังเป่าเล่อหัวเราะ เมื่อการจับสลากจบลง หวังเป่าเล่อกะเวลา เขาตั้งใจว่าจะไปที่สนามเร็วขึ้นสักหน่อยจึงเดินออกจากถ้ำที่พักในทันที

ชายหนุ่มเดินทางไปถึงยอดเขาสาขาวงแหวนปราณอย่างรวดเร็ว เป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อได้มาเหยียบที่นี่ ช่างเป็นสถานที่ที่แตกต่างจากสาขาหลอมโอสถและสาขาอาวุธเวทอย่างมาก ทุกสิ่งทุกอย่างในสาขาวิชานี้ดูเป็นระเบียบ ตั้งแต่สถาปัตยกรรมไปจนถึงสิ่งแวดล้อมโดยรอบ แม้กระทั่งพืชพรรณที่รายล้อมอยู่ก็ยังเติบโตเป็นที่ทางและดูเหมือนจะทอประกายบางอย่าง ที่หวังเป่าเล่อก็บอกไม่ถูกว่าคือสิ่งใด

ทุกสิ่งสอดคล้องสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียว! หลังจากที่เดินไปสองสามก้าว หวังเป่าเล่อก็สูดลมหายใจเข้าลึกเมื่อเจอประโยคที่อธิบายความรู้สึกของเขาได้อย่างชัดเจนที่สุด

ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นจากมวลพลังที่แผ่ขยายไปทั่วทั้งสาขาวิชาวงแหวนปราณ    หากใครสักคนที่ไม่ใช่ศิษย์ของที่นี่เดินเข้ามา ย่อมจะต้องรู้สึกว่าตนเองไม่เป็นที่ต้อนรับเอาเสียเลย เป็นความรู้สึกกดดันอันอธิบายไม่ถูก

ความรู้สึกนั้นเด่นชัดเป็นพิเศษเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าศิลาที่รายล้อมอยู่นั้นมีร่องรอยของวิญญาณปราณหลงเหลืออยู่ ราวกับว่าแผ่นเปลือกโลกหลายชิ้นได้มาบรรจบกัน ณ ที่แห่งนี้และถูกพลังบางอย่างจับยึดเอาไว้เพื่อไม่ให้เคลื่อนออกจาก    กันได้

ศิษย์ของสาขาวงแหวนปราณคงจะไม่เสกวงแหวนปราณกันพร่ำเพรื่อกระมัง ทำไมข้าถึงรู้สึกว่ามีอันตรายซ่อนอยู่ทุกหนทุกแห่งไปหมด หากข้าจะต้องพบกับใครจากสาขาวิชาวงแหวนปราณในอนาคต ข้าคงจะต้องระวังเสียแล้ว คนพวกนี้วางแผนและวางกับดักอยู่ตลอดเวลา…หวังเป่าเล่อระแวงไปหมดแม้กระทั่งเวลาเดิน          ด้วยเหตุนั้น เมื่อเขาไปถึงลานประลองที่เก้า เขาก็เหลือเวลาก่อนแข่งไม่นานนัก

เมื่อเขาปรากฎตัวขึ้น บรรดาศิษย์ที่เฝ้าดูอยู่ตรงบริเวณขอบสนามสังเกตเห็นเขาในทันที ทุกคนมองมาทางเขา แต่ขณะที่พวกเขาหันหลังมาเพราะความตกตะลึงนั่นเอง หวังเป่าเล่อก็กระโดดขึ้นไปบนลานประลองด้วยความคล่องแคล่ว เขายกมือไขว้หลังเสียก่อน

เขาเพิ่งลงถึงพื้นเมื่อมีเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นโดยรอบ

“หวังเป่าเล่อจะประลองนัดนี้สินะ!”

“คู่ต่อสู้คนแรกของเขายอมแพ้ ข้าสงสัยนักว่านัดนี้ใครจะมาต่อกรกับเขา!”

ขณะที่ฝูงชนพูดคุยกันโขมง หวังเป่าเล่อรู้สึกพอใจที่ได้รับความสนใจ เขารู้สึกถึงอารมณ์ต่างๆ ประดังประเดกัน แม้ว่าเขาจะพยายามไม่ทำตัวเด่น เขาก็อดรู้สึกไม่ได้ว่ารูปลักษณ์อันหล่อเหลาของเขานั้นก่อปัญหาในทุกที่ที่เขาไปเยือน

เพราะฉะนั้นแล้ว เขาจึงยกมือขึ้นโบกทักทายผู้ชม ขณะนั้นเองมีเสียงร้องลั่นดังมาแต่ไกล ร่างหนึ่งปรากฎตัวขึ้นทั้งๆ ที่เสียงนั้นยังก้องกังวานอยู่ ตอนแรกดูราวกับว่าจะอยู่ไกล แต่ในไม่กี่อึดใจก็ขึ้นมาอยู่บนลานประลองยุทธ์เสียแล้ว

“หวังเป่าเล่อ คู่ต่อสู้ของเจ้าคือ ข้าคนนี้! สวรรค์เฝ้าดูอยู่อย่างแน่นอนจึงได้ลิขิตให้ข้ามาเจอกับเจ้า!” ร่างนั้นเป็นชายหนุ่มผมยาวในชุดคลุมเต๋า เขาดูหลุกหลิกและตื่นเต้นเอามากๆ เขาถึงกับตะโกนออกมาเสียงดังก่อนจะก้าวเข้ามาสู่ลานประลองยุทธ์

เมื่อได้เห็นเจ้าหนุ่มอารมณ์ดีมีพลังคนนี้ หวังเป่าเล่อถึงกับงงไปชั่วครู่ แต่แล้วก็เกิดสงสัยขึ้นมา เขาอยากลองเชิงเจ้าหนุ่มดูเสียหน่อยจึงเอ่ยปากถามว่า

“สหายร่วมสำนัก…เจ้าชื่ออะไร”

“ข้ามาจากสาขาปรัชญาเต๋า! หวังเป่าเล่อ ยืนอยู่ตรงนั้นนะอย่าขยับ ขอข้าใช้เจ้า   บรรลุธรรมสักสองสามชั่วโมงเถิด ไม่ต้องเป็นห่วงไป ชัยชนะเป็นของเจ้าแล้วใน     รอบนี้!”   เจ้าหนุ่มแทบกลั้นความตื่นเต้นในน้ำเสียงเอาไว้ไม่อยู่ เขาก้าวเดินเข้ามาหา           หวังเป่าเล่ออย่างกระตือรือร้น

ได้ยินดังนั้นผู้ชมต่างก็ตกตะลึงเบิกตาโพลง ในใจทุกคนบังเกิดเสียงดังสนั่นขึ้น ต่างพากันผงะถอยหลังไปคนละก้าวราวกับถูกสะกด!

“สาขาปรัชญาเต๋า!”

“สวรรค์! มีคนของสาขาปรัชญาเต๋าติดหนึ่งในสองพันด้วยหรือเนี่ย”

ทุกคนตกตะลึง แม้แต่หวังเป่าเล่อเองก็รู้สึกทึ่ง

“เจ้าพวกนี้ไล่ไม่ไปจริงๆ!”

“หวังเป่าเล่อ โปรดตามใจข้าด้วยเถอะ!”

ด้วยความกระตือรือร้น เจ้าหนุ่มเดินก้าวใหญ่เข้าไปหาหวังเป่าเล่อ

เจ้าบ้านี่ผ่านรอบคัดเลือกมาได้อย่างไรกัน การประลองยุทธ์ยังไม่เริ่มด้วยซ้ำแต่เจ้าคนคลั่งนี่ก็พุ่งตรงเข้าหาหวังเป่าเล่อเสียแล้ว

เหล่าอาจารย์ที่กำลังมองอยู่ด้านนอกลุกขึ้นทันที แต่เมื่อพวกเขาจะเข้ามาหยุดสถานการณ์ เจ้าหนุ่มหันหลังกลับไปอย่างฉับพลันแล้วตะโกนด้วยน้ำเสียง         เหยียดหยามว่า “ท่านอาจารย์ เต๋าเบิกตาให้ข้าเห็นธรรม!”

เมื่อนั้น เหล่าอาจารย์พลันไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป ทุกคนหยุดชะงักไปในทันทีและล้มเลิกความตั้งใจที่จะหยุดเด็กหนุ่มไปเสียสิ้น

เจ้าหนุ่มส่งเสียงคำรามเมื่อเข้ามาใกล้ ความบ้าดีเดือดของเขาทำให้ผู้ชมต่างมองตา กันเองเลิ่กลั่ก

เจ้านี่มันบ้าไปแล้ว! หวังเป่าเล่อจ้องเขาเขม็ง เมื่อเจ้าหนุ่มเข้ามาในระยะ หวังเป่าเล่อ  ก็เตะเข้าไปจังๆ หนึ่งที

ผัวะ!

ลูกเตะทรงพลังส่งเจ้าหนุ่มคลั่งจากสาขาปรัชญาเต๋าร่วงลงไปกระแทกพื้นอย่างแรง

วินาทีที่เขาล้มลงกระแทกพื้น สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปใน เขาก้มหัวลงจ้องมองท้อง นั่งซึมอยู่อย่างอย่างนั้นราวกับว่ากำลังจะบรรลุธรรมแห่งเต๋า

หวังเป่าเล่อเห็นดังนั้นก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจอยู่วูบหนึ่ง ทั้งอาจารย์และผู้ชมต่างก็จ้องไปที่ลานประลองตาค้าง

คงไม่ใช่ว่าเจ้านี่จะบรรลุธรรมไปจริงๆ หรอกนะ ข้าแค่เตะไปทีเดียวเอง

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังใคร่ครวญว่าจะเข้าไปแทรกแซงการพยายามบรรลุธรรมของเจ้าหนุ่มดีหรือไม่ เจ้าหนุ่มจากสาขาปรัชญาเต๋าก็เงยหน้าขึ้นมา หัวเราะขณะที่จ้องมองขึ้นไปบนฟ้า เขาไม่ใส่ใจฝูงชนรอบข้างอีกต่อไป เขาหันหลังกระโดดลงจากลานประลองยุทธ์แล้ววิ่งหนีไปพลางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะนั่นและเห็นแผ่นหลังที่กำลังเคลื่อนหนี หวังเป่าเล่อพุ่งตัวเข้าไปหาเจ้าหนุ่มแล้วยกมือขึ้นก่อนกล่าวเสียงดัง

“สหายร่วมสำนัก เจ้าได้บรรลุธรรมแห่งเต๋าหรือไม่”

เจ้าหนุ่มสาขาปรัชญาเต๋าไม่เห็นสิ่งรอบข้างอีกแล้ว เขายังคงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งต่อไปและยังคงวิ่งต่อไปโดยไม่หันกลับมามอง

บ้าจริง ตอบเสียหน่อยจะตายหรืออย่างไร เจ้าได้บรรลุธรรมแห่งเต๋าหรือเปล่า หวังเป่าเล่อเริ่มอารมณ์คุกรุ่น เขาไม่เข้าใจเลยว่าสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จะต้องการสาขาปรัชญาเต๋าไปทำไมกัน…เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นสาขาของพวกคนไม่เต็มเต็ง

เมื่อหวังเป่าเล่อลองมาคิดถึงโอกาสที่เจ้าหนุ่มนั่นจะบรรลุธรรมแห่งเต๋าได้เพราะลูกเตะคุณธรรมของเขา เขาก็รู้สึกปั่นป่วนทันทีพลางยกมือขึ้นตบหน้าผากอย่างผิดหวังแล้วหันไปมองกรรมการทั้งสาม

“อาจารย์ขอรับ เจ้าบ้านั่นหนีไปแล้ว โปรดตัดสินการประลองยุทธ์ครั้งนี้ด้วยเถิด”

อาจารย์ทั้งสามจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ก่อนจะหันหน้ามองกันอยู่ไปมาแล้วจึงประกาศผล

“หวังเป่าเล่อได้รับชัยชนะ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version