บทที่ 83 ศึกประชันวิทยายุทธ์โบราณ
ระดับความโกรธของหลี่หนันพุ่งทะลุเพดาน แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เขาไม่สามารถใช้โอสถเพิ่มพละกำลังติดต่อกันได้เพราะผลข้างเคียงที่จะตามมา
หากมีศิษย์สาขาอื่นใช้โอสถแบบเดียวกันนี้ พวกเขาต้องถูกล้อเลียนเป็นแน่ มีเพียงศิษย์สาขาหลอมโอสถที่สามารถหลอมโอสถใช้เองได้เท่านั้นที่ได้รับการยอมรับ
ความตั้งใจเดิมของเขาคือเขาจะใช้โอสถในทุกๆ การประลองยุทธ์จนกระทั่งสามารถฝ่าด่านเข้าสู่รอบพันคนสุดท้ายได้ ในสองนัดก่อน หลี่หนันสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างดุดันและเหี้ยมโหดเพราะความตั้งใจผลักดันตนเองที่เขามี เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้หมด รวมถึงแผนที่จะเอาชนะหวังเป่าเล่อและกลายเป็นผู้โด่งดังครั้งนี้ด้วย
เขาได้เตรียมใจสำหรับความพ่ายแพ้ไว้แล้วส่วนหนึ่ง แม้ว่าความพ่ายแพ้ที่เขา วาดหวังไว้คือ การถูกหวังเป่าเล่อเอาชนะได้ด้วยกำลัง หากเช่นนั้น เขายังสามารถอ้างได้ว่าหวังเป่าเล่อชนะเพราะมีร่างกายที่แข็งแรงกว่า
หลี่หนันมาจากสาขาหลอมโอสถ เพราะฉะนั้นแล้ว การใช้โอสถเพิ่มสมรรถภาพถือว่าเล่นตามกติกา ในทางกลับกัน หัวหน้าศิษย์จากสาขาอาวุธเวทกลับใช้กำปั้นแทนที่จะใช้วัตถุเวท…ดูจะเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและแก้ยากทีเดียวเพราะว่าไม่ได้มีการกำหนดขอบเขตการต่อสู้ไว้สำหรับการสอบในครั้งนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีกฏกติกาห้ามไว้หากใครสักคนต้องการต่อสู้แบบถึงตาย เพราะฉะนั้นการแสดงแบบยิ่งใหญ่ของเขาในระยะเวลาอันสั้นนั้นเป็นไปได้และส่งผลดีกับชื่อเสียงของเขาอีกด้วย
แผนของเขาไร้ที่ติ แต่หวังเป่าเล่อช่างเป็นบุรุษผู้สุดจะคาดเดา เขาใช้ความสร้างสรรค์พลิกแพลงการใช้วัตถุเวทป้องกันเพื่อสร้างการประลองยุทธ์ที่ซับซ้อนและปราณีตแถมยังแสดงออกถึงความเป็นสาขาอาวุธเวท!
หลี่หนันทำได้เพียงยอมรับความพ่ายแพ้อย่างขมขื่น เมื่อการประลองยุทธ์จบลง เครือข่ายวิญญาณของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็ร้อนระอุขึ้นอีกครั้ง ผู้คนมากมายพากันโพสต์เกี่ยวกับการประลองยุทธ์นัดนี้
“หวังเป่าเล่อช่างชั่วช้า! พวกเราสาขาหลอมโอสถขอประณาม!”
“ข้าเห็นด้วย! ข้าคงเข้าใจหากเขาทุ่มพลังทั้งหมดต่อสู้ แต่นี่เขากลับขังคู่ต่อสู้ตัวแทนสาขาหลอมโอสถของเรา! มันอะไรกัน เขาคิดว่ามาจากสาขาวงแหวนปราณหรืออย่างไร”
ศิษย์จากสาขาหลอมโอสถจำนวนมากพากันปรามาสว่าหวังเป่าเล่อเล่นตุกติก วิธีการเอาชนะของหวังเป่าเล่อทำให้ศิษย์สาขาหลอมโอสถทุกคนถึงกันขนลุก พวกเขาพากันตัวแข็งด้วยความกลัวเพราะหวังเป่าเล่อได้แสดงวิธีการรับมือศิษย์สาขาหลอมโอสถให้ทุกคนได้เห็น
อีกด้านหนึ่ง บรรดาศิษย์สาขาอาวุธเวทต่างก็ลิงโลดใจ พวกเขาตอบโต้ความคิดเห็นจากพวกศิษย์สาขาหลอมโอสถอย่างดุเดือด พวกเขากล่าวว่าการพลิกแพลงวัตถุเวทชนิดป้องกันนี้ช่างง่ายดายนัก แถมยังเคยมีคนคิดได้มาก่อนแล้วด้วย อย่างไร ก็ดี คนส่วนมากใช้วัตถุเวทเพื่อป้องกันตัวเท่านั้นเป็นเพราะความเคยชิน เพราะฉะนั้นแล้วการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดระหว่างการต่อสู้และการใช้วัตถุเวทได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเป็นอะไรที่ดูเหมือนจะง่าย แต่จริงๆ แล้วยากยิ่ง
“หัวหน้าศิษย์ของพวกเราไม่ได้ทำผิดกติกา เขาใช้วัตถุเวทเอาชนะศิษย์ สาขาหลอมโอสถได้!”
“ใครบอกพวกเจ้ากันว่าวัตถุเวทชนิดป้องกันน่ะใช้ใส่ตนเองได้เท่านั้น จงดีใจเสียเถอะว่านี่เป็นเพียงการประลองยุทธ์ที่จัดขึ้นในสำนักศึกษา ถือเป็นการแสดงตัวอย่างให้พวกเจ้าได้เห็นว่าวัตถุเวทนั้นมีประโยชน์และทรงพลังเพียงใด หากพวกเจ้าเจอแบบนี้ในการต่อสู้แบบชี้เป็นชี้ตาย เจ้าไม่มีเวลาได้มาบ่นหรอก!”
“น่าขันสิ้นดี! ข้าไม่ได้เคยได้ยินคนโดนกล่าวโทษเพราะว่าใช้วัตถุเวทอย่างสร้างสรรค์มาก่อนเลย โอสถที่เจ้าใช้กันไม่เห็นช่วยให้พวกเจ้าชนะได้เลย แล้วนี่ พวกเจ้าจะมาหาเรื่องพวกเรา มันใช่เรื่องอย่างนั้นหรือ”
เมื่อเห็นสหายร่วมสำนักร่วมสาขาวิชาพากันปกป้องเขา หวังเป่าเล่อก็สุดแสนจะลิงโลดใจพลางนอนตีพุงอยู่ในถ้ำที่พัก เขาใจชื้นเมื่อเขาเห็นว่าสังคมยังคงชมชอบตัวเขาอยู่
แรงสนับสนุนที่ทุกคนมอบให้นั้นสำคัญที่สุดสำหรับข้าในฐานะหัวหน้าศิษย์!
ท่ามกลางความร้อนแรงของการโต้เถียงระหว่างสองฝ่ายนั้น การประลองยุทธ์ นัดที่สี่ที่จะชี้ชะตาผู้ผ่านเข้ารอบก็เริ่มขึ้น!
ในรอบนี้ หวังเป่าเล่อต้องไปเยือนลานประลองของสาขาปรัชญาเต๋า!
เมื่อเขาปรากฎตัวขึ้นที่สาขาปรัชญาเต๋าก็เกิดความโกลาหลขึ้นในบัดดล ลานประลองอื่นๆ ในสาขาปรัชญาเต๋าแทบจะว่างร้างผู้คน…เพราะศิษย์สาขา ปรัชญาเต๋าแทบทั้งหมดพากันไปรวมตัวที่ลานประลองยุทธ์ที่หวังเป่าเล่ออยู่ ทุกคนนั่งขัดสมาธิพลางจ้องมองหวังเป่าเล่อเพื่อพยายามจะบรรลุธรรม
หวังเป่าเล่อแสร้งทำเป็นเมินสายตาที่จ้องมองมา ทันใดนั้นเอง คู่ต่อสู้ของเขาในรอบนี้ก็ปรากฎตัวขึ้น
ชายผู้นั้นมีร่างกายใหญ่ยักษ์ ตัวของเขาใหญ่โตราวกับภูเขา เขาแผ่มวลคุกคามที่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนกลายเป็นแรงกดดันที่แพร่กระจายออกไปรอบข้าง ราวกับว่าเขาลากเอาสรรพสิ่งรอบข้างไปด้วยเมื่อเขาก้าวเดิน สร้างความครั่นคร้ามมหาศาลไปตลอดทาง
“ข้าคือ ซ่งปินหลง หัวหน้าศิษย์ของโถงพลังกายแห่งสาขาการยุทธ์ โปรดชี้แนะด้วย!” เจ้าหนุ่มร่างยักษ์กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำและยกมือขึ้นคารวะก่อนก้าวขึ้นบนลานประลอง
เมื่อเขาพูดจบ รัศมีกดดันเมื่อครู่ราวกับจะเหือดหายไปเอง อย่างไรก็ดี เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้ซ่งปินหลงกลายเป็นบุคคลที่คาดเดายากขึ้นไปอีก ราวกับเป็นความ เงียบสงบก่อนพายุจะมาถึงอย่างไรอย่างนั้น แม้ว่าเขาจะจ้องเขม็งมาที่หวังเป่าเล่อ แต่แววตาเขาสงบนิ่งราวกับทะเลสาบในวันไร้ลม
หวังเป่าเล่อตั้งสมาธิ เขาพยายามสะกดกลั้นความรำคาญใจในบรรดาศิษย์สาขาปรัชญาเต๋า เขารู้สึกได้ว่าซ่งปินหลงนี้ไม่ใช่คนธรรมดา ความสามารถของเขาอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นบำรุงชีพจร นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่เข้มแข็งที่สุดที่หวังเป่าเล่อได้เจอมาตลอดการแข่งขันนี้
แม้ว่าในแง่หนึ่ง ซ่งปินหลงไม่อาจเทียบได้กับชายชราผู้นำกลุ่มบุรุษชุดดำที่ หวังเป่าเล่อพบในป่าฝนบ่อเมฆ แต่ชายหนุ่มร่างยักษ์นี้แข็งแกร่งกว่าชายชุดดำที่ฝึกถึงระดับสูงสุดของขั้นบำรุงชีพจรแล้วอย่างแน่นอน
พูดให้ง่ายคือ เหล่าชายชุดดำในป่าฝนบ่อเมฆนั้นมาจากพื้นเพที่หลากหลาย แต่ซ่งปินหลงนั้น เขาสามารถไต่เต้าขึ้นมาเป็นหัวหน้าศิษย์ของสาขาการยุทธ์ได้ แปลว่าระดับการฝึกตนและความสามารถของเขานั้นย่อมเป็นอันดับต้นๆ ของ สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
“หัวหน้าศิษย์สาขาอาวุธเวท หวังเป่าเล่อ อยู่ที่นี่แล้ว! ได้โปรดชี้แนะด้วย!” หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก พร้อมทักทายตอบด้วยการยกมือคารวะ
“ข้าได้ยินมานานว่าหัวหน้าศิษย์หวังเป่าเล่อมีวัตถุเวทที่แข็งแกร่งรวมทั้ง วิทยายุทธ์อันแก่กล้า วันนี้ข้าอยากจะขอทดสอบพลังยุทธ์ของสหายหวัง ข้าอยากรู้ว่าท่านจะโปรดเมตตา ไม่ใช้วัตถุเวทได้หรือใหม่ เรามาสู้กันด้วยร่างกายและเลือดเนื้อเถิด!” สิ้นเสียง ร่างกายของซ่งปินหลงราวกับจะแปรสภาพกลายเป็นกระบี่ที่หลุด จากฝัก สายตาของเขาแหลมคมขึ้นมาในบัดดล ขณะที่ก้าวขาขวาออกมาข้างหน้า
ซ่งปินหลงก้าวออกมาทั้งหมดเจ็ดก้าว แต่ละก้าวยาวขึ้นกว่าก้าวก่อน ผืนแผ่นดินใต้เท้าเขาสั่นสะเทือนในทุกๆ ย่างก้าว ศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าที่เฝ้าดูอยู่พากัน กลั้นหายใจเพราะความใจสั่นจากแรงสะเทือนนั้น
ความกดดันที่ซ่งปินหลงปล่อยออกมาเพิ่มพูนขึ้นพร้อมกับทุกๆ ก้าวที่เขา เหยียบย่างไป ในก้าวสุดท้าว ปราณโลหิตของเขาพุ่งทะยานขึ้น ร่างกายเขาเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกที่เขาแผ่ออกมานั้นราวกับว่าเขาได้กลายร่างเป็นยักษ์มารก็ไม่ปาน เขาปล่อยหมัดที่รุนแรงราวกับคลื่นยักษ์พุ่งไปยังหวังเป่าเล่อทันที
“กำปั้นคลื่นพิฆาต!”
ภาพมายาของมหาสมุทรปรากฎขึ้นหลังกายเขาในทันใด ราวกับว่ากำปั้นของเขานั้นดึงพลังมาจากมหาสมุทรที่สั่นสะเทือนไปทั้งสวรรค์และพื้นพิภพ บรรดาอาจารย์ที่ยืนอยู่โดยรอบถึงกับต้องก้าวถอยหลัง
วินาทีนั้นเอง สายตาของหวังเป่าเล่อเฉียบคมขึ้นมา ความรู้สึกกระหายการต่อสู้ที่สะสมอยู่ในตัวเขาระเบิดขึ้น สำหรับเขาแล้วการประลองสามนัดก่อนนั้นนับเป็นการอุ่นเครื่องไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะชายหนุ่มไม่สะทกสะเทือนแม้แต่น้อย ครั้งนี้เขาไม่ได้เอื้อมมือไม่หยิบวัตถุเวท เพียงแต่เคลื่อนตัวไปข้างหน้าก้าวใหญ่
“ได้เลย!” ขาดคำ กำปั้นขวาของเขาก็พุ่งออกไปแบบเดียวกับซ่งปินหลง ในขณะที่เจ้ายักษ์เข้ามาถึงระยะ!
ซ่งปินหลงตั้งใจถึงขีดสุด กำลังกายของเขาเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งในสาม เขาใส่พลังทั้งหมดเข้าไปในหมัดนั้น กำปั้นทั้งสองกระทบกัน ก่อให้เกิดเสียงกัมปนาทที่ส่งแรงปะทะไปแยกผืนดินบริเวณนั้นให้ร้าวเป็นทาง หินและเศษดินปลิวกระจายไปทั่ว ซ่งปินหลงมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปในทันทีเมื่อเขารู้สึกถึงพลังอันมหาศาลที่ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาหาและปกคลุมตัวเขาไว้ ภายใต้การสั่นสะเทือนครั้งยิ่งใหญ่นี้ เขาต้องถอยหลังไปสองสามก้าว เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองหวังเป่าเล่อ สายตาเขาฉายแววตกใจ
‘เจ้านี่แข็งแกร่งนัก!’ เป็นความคิดเดียวในหัวของเขาตอนนี้
หวังเป่าเล่อเองก็เซถลาไปข้างหลังอย่างคุมไม่อยู่ แต่เขาหยุดตัวเองไว้ได้ เมื่อสายตาเขาสบกับซ่งปินหลง รอยยิ้มก็ฉายขึ้นบนใบหน้า ความรู้สึกกระหายการต่อสู้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณขณะที่เขาถลาไปข้างหน้าเพื่อตอบโต้
ซ่งปินหลงหัวเราะลั่นจนศีรษะผงก เขาไม่เพียงแต่ยืนรอเท่านั้น จิตใจนักสู้ของเขาก็ลุกโชนจนเปี่ยมล้นเช่นกัน ในขณะนั้น ทั้งคู่ต่อสู้กันอีกครั้ง ขณะที่เสียงกระแทกกระทั้นนั้นดังก้องไปทั่ว ทั้งสองแลกหมัดกันกว่าร้อยครั้งภายในชั่วเวลาไปถึงสิบลมหายใจ!
แม้ว่าจะต้องถอยหลังไปบ้าง ทั้งคู่ก็พุ่งเข้าไปข้างหน้าอีกครั้งอย่างไม่ลดละ ราวกับว่าเป็นการประลองยุทธ์ระหว่างศิษย์สาขาการยุทธ์สองคนก็ไม่ปาน!
ผู้ชมต่างก็ตัวแข็งเกร็งด้วยความตื่นเต้น มีศิษย์จากทุกสาขามาร่วมชม การประลองยุทธ์ครั้งนี้ด้วย ทุกคนต่างก็จับจ้องอย่างนิ่งงันตาไม่กะพริบ แม้ว่าทุกคนจะเคยได้ยินว่าหวังเป่าเล่อมีวิทยายุทธ์อันกล้าแข็ง บรรดาศิษย์ที่ไม่ได้มาจากสาขาอาวุธเวทต่างก็ไม่เห็นภาพ วันนี้ขณะที่พวกเขาจ้องมองดูการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อ ทุกคนก็ตัวสั่นงันงก
“เจ้าหวังเป่าเล่อนี่…แข็งแกร่งจริงๆ!”
“แค่ใช้พลังวิทยายุทธ์อย่างเดียว เขาสามารถไล่ต้อนศิษย์สาขาการยุทธ์ได้ โดยไม่ได้ต้องพึ่งพาสมบัติเวทเลยแม้แต่น้อย!”
“นี่มัน…ตกลงเขามาจากสาขาการยุทธ์หรือสาขาอาวุธเวทกันแน่เนี่ย”
ในวินาทีนั้น ซ่งปินหลง หัวหน้าศิษย์โถงพลังกายสาขาการยุทธ์กำลังเพลี่ยงพล้ำจากการโจมตีต่อเนื่องของหวังเป่าเล่อ โลหิตสีแดงสดกระเด็นออกมาจากมุมปาก ของเขา ในขณะที่หวังเป่าเล่อยังไร้ซึ่งบาดแผล
ขณะที่ผู้ชมเฝ้ามองดูอยู่อย่างนิ่งเงียบ ซ่งปินหลงพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่ออีกครั้ง คราวนี้เขาเพิ่มความเร็วขึ้นอีก ราวกับว่าเขาจะรู้ตัวว่าพละกำลังของเขายังไม่มากพอ จึงใช้พลังเวทเพิ่มความรวดเร็วเพื่อให้การโจมตีรุนแรงขึ้นไปอีก เขาถึงขนาดยกมือขึ้นทุบร่างกายเพื่อให้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้น ด้วยร่างกายสีแดงก่ำ เขาพุ่งเข้าหา หวังเป่าเล่อพร้อมด้วยเสียงคำรามดังลั่น
หากดูจากไกลๆ แล้ว ร่างของเขาดูคล้ายกับอินทรีย์สีแดงฉานที่พุ่งทะยานลงมาโฉบเหยื่อ
“ความเร็วอย่างนั้นหรือ” ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายขึ้นมาแว่บหนึ่ง พลังการฝึกตนของเขาเพิ่มขึ้นเพราะการดูดกลืนไขมันปราณด้วยวิชากลืนปราณ มหาสูญ เขารู้ดีว่าการใช้วิธีฝึกตนนี้ทำให้กำลังกายของเขาก้าวข้ามผองเพื่อนในระดับเดียวกันไปสิ้น
ขณะนี้ หวังเป่าเล่อไม่ได้เรียกใช้เมล็ดดูดกลืนหรือพยายามจะคว่ำคู่ต่อสู้ลง เพราะคู่ต่อสู้ของเขาเรียกร้องขอวัดกำลังกาย หวังเป่าเล่อผู้ซึ่งอยากจะทดลองความแข็งแกร่งของวิชาบำรุงชีพจรอยู่แล้วจึงได้รับคำท้า!
หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าเพื่อเพิ่มความเร็ว แล้วพุ่งทะยานออกไปข้างหน้าอย่างเต็มกำลัง ครั้งนี้เขาไม่ได้ใช้กำปั้น แต่ด้วยความเร็วขั้นสุดยอด เขาเตะซ่งปินหลงเข้าอย่างจัง!
เสียงตูมดังสนั่นกว่าครั้งไหนๆ ระเบิดขึ้น โลหิตกระจายออกมาจากปากของซ่งปินหลงขณะที่ร่างกายเขาลอยละลิ่วไปด้านหลัง ครั้งนี้ เขาร่วงหล่นลงไปนอกลานประลอง ถลาออกไปนับสิบฟุต หน้าเขาซีดเซียวเพราะเขาสำรอกเอาโลหิตออกมา อีกกองใหญ่ แม้กระนั้น ดวงตาของเขายังคงเปล่งประกาย เขามองเห็นหวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งยืนตระหง่านอยู่บนลานประลองยุทธ์ เจ้าหนุ่มร่างยักษ์ยกมือคารวะ
“สมศักดิ์ศรียิ่งนัก! ข้ายอมรับเจ้าแล้วหวังเป่าเล่อ เมื่อข้าสำเร็จระดับลมหายใจเที่ยงแท้เมื่อใด จะกลับมาท้าเจ้าสู้อีกครั้ง!” เมื่อพูดจบประโยค ซ่งปินหลงก็หันหลังและเดินจากไป
บนลานประลอง หวังเป่าเล่อจ้องมองแผ่นหลังของซ่งปินหลง ความรู้สึกนับถือซ่งปินหลงเอ่อล้นขึ้นมาเมื่อเขาเห็นความทุ่มเทที่ชายหนุ่มร่างยักษ์มีให้กับวิทยายุทธ์
คู่ต่อสู้ของข้าเก่งขึ้นเรื่อยๆ อยากจะรู้จริงว่าในรอบสุดท้ายข้าจะต้องเจอกับใคร! หวังเป่าเล่อค่อยผ่อนคลายลงขณะที่หันหลังเดินออกจากสาขาปรัชญาเต๋าไป