Skip to content

A World Worth Protecting 84

บทที่ 84 รวบรวมปราณสร้างวงแหวน

หลังจากที่การประลองยุทธ์เสร็จสิ้นลง บนเครือข่ายวิญญาณมีการโพสต์คะแนนรวมของผู้เข้าแข่งขันหลายคน มากกว่าหนึ่งร้อยคนชนะรวดมาได้ทั้งสี่นัด

ร้อยคนนั้นได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่เคยประมือกันมาก่อน จึงเป็นการยากที่จะบอกว่าใครเก่งกว่ากัน สิ่งนี้เป็นความตั้งใจของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เป้าหมายก็คือการไม่ให้ผู้ชนะเพียงหนึ่งคน จะมีก็แต่เพียง           ผู้เข้ารอบทั้งหนึ่งพันคนเท่านั้น

แม้ว่านั่นจะเป็นความตั้งใจดั้งเดิม บรรดาศิษย์ของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มการวิเคราะห์ผลการแข่งขันแบ่งตามสาขาวิชา ในที่สุดก็มีการจัดอันดับและคาดคะเนความสามารถการต่อสู้ของผู้แข่งขันแต่จะคนออกมา

และชื่อที่อยู่ตำแหน่งสูงสุดของรายชื่อนั้นมิใช่ศิษย์ปีห้า หรือแม้กระทั่งหวังเป่าเล่อ   แต่คือ เจ้าเยี่ยเหมิง!

การเคลื่อนไหวของนางช่างสุดจะคาดเดา ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ เพียงนางโบกมือหนึ่งครั้งก็สามารถสร้างวงแหวนปราณขึ้นมาได้ภายในระยะเวลาไม่กี่วินาที ไม่ว่า        คู่ต่อสู้จะเป็นใคร ก็ไม่สามารถจะดิ้นหลุดจากพันธนาการของนางไปได้ นางไม่ได้โจมตีซ้ำใส่คู่ต่อสู้ที่ติดอยู่ในวงแหวนปราณด้วยซ้ำ ในท้ายที่สุด คู่ต่อสู้ต้องยอมแพ้ไปเองเมื่อไม่อาจต้านทานพลังกดดันได้อีกต่อไป

คู่แข่งของนางไม่มีใครที่อ่อนแอเลย แต่คู่ต่อสู้ของนาง แม้จะเป็นหัวหน้าศิษย์จากสาขาเดียวกันก็ตาม ต่างก็พ่ายแพ้ภายในเวลาแค่สามลมหายใจเท่านั้น!

ด้วยเหตุนี้ เจ้าเยี่ยเหมิงดังระเบิดขึ้นมาราวกับพลุแตก บางคนถึงกับกล่าวว่า   นางเก่งที่สุดในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ในช่วงปีหลังๆ นี้เสียด้วยซ้ำ!

นอกจากเจ้าเยี่ยเหมิงแล้วก็มี จั่วอี้ฟานและศิษย์ปีห้าคนอื่นๆ ที่ชนะสี่นัดรวด    แต่ความโด่งดังของพวกเขาไม่ได้ครึ่งเจ้าเยี่ยเหมิงเลย

แม้ว่า หวังเป่าเล่อจะชนะสี่นัดรวดเช่นกัน แต่เขาไม่ได้ต่อสู้อย่างจริงจังในสามนัดแรก เพราะฉะนั้น อันดับของเขาไม่สูงนัก ยังคงตามหลังจั่วอี้ฟานและคนอื่นหลายๆ คน อย่างไรก็ดี เมื่อเขาชนะนัดที่สี่มาได้ ก็มีศิษย์หลายคนที่คิดว่าตำแหน่งของเขาควรเลื่อนขึ้นไปอีก

“ชนะห้านัดรวดน่าจะไม่ยากเกินไปสำหรับคนพวกนี้!”

“ในนัดสุดท้าย เราจะมาดูกันว่า ในร้อยคนนี้ ใครจะต้องสู้กับใครบ้าง!”

“แน่นอนที่สุด! จะเป็นการต่อสู้ที่แท้จริงได้ก็เมื่อพวกเขามาปะทะกันเท่านั้น! แม้ว่าจะมีผู้แพ้ แต่ผู้แพ้ก็จะยังติดอันดับอยู่ดี แต่จะไม่มีใครยอมแพ้แน่นอน!”

ทุกๆ คนต่างก็ตั้งตารอการต่อสู้ที่จะมาถึง ในที่สุด การประลองยุทธ์นัดสุดท้ายที่ส่งผลกับอันดับและสิทธิการเข้าร่วมมิติเวทก็มาถึง!

ลานประลองยุทธ์แห่งสุดท้ายของหวังเป่าเล่อคือลานประลองยุทธ์หมายเลขหนึ่งที่สาขาการยุทธ์!

สภาพของหวังเป่าเล่อตอนนี้นั้นพร้อมที่สุด เมื่อเขาเดินมาถึงลานประลองยุทธ์ ทุกสายตาก็จับจ้องมาที่เขา

พวกเขาเฝ้ามองหวังเป่าเล่อก้าวเข้ามาบนลานประลองยุทธ์ที่ละก้าว เมื่อเขาขึ้นมาถึงลานประลองยุทธ์ในที่สุด กลับไม่มีแม้แต่เสียงซุบซิบพูดคุยจากฝูงชน แต่ในทันใดนั้นเอง ผู้ชมต่างก็ส่งเสียงตกใจมาแต่ไกล

“คู่ต่อสู้ของหวังเป่าเล่อ…”

“นั่นมัน…”

“เจ้าเยี่ยเหมิง!”

เกิดความโกลาหลขึ้นในฝูงชน เจ้าเยี่ยเหมิงคนงามสวมใส่ชุดคลุมเต๋าหัวหน้าศิษย์ของนางย่างก้าวเข้ามาจากทิศทางตรงกับข้าม มีศิษย์จำนวนหนึ่งเดินตามนางมาด้วย เมื่อนางมองเห็นหวังเป่าเล่อบนลานประลองยุทธ์นั้น นางก็จ้องมองมาอย่างสงสัย

เมื่อมองเห็นเจ้าเยี่ยเหมิง หวังเป่าเล่อถึงกับอ้าปากอย่างตกตะลึง

นางนั่นเอง!

หวังเป่าเล่อพยายามจะทายว่าเขาจะได้ต่อสู้กับใครในระหว่างเดินทางมา แต่เขาไม่ได้เคยเลยว่าจะต้องมาสู้กับเจ้าเยี่ยเหมิง! ในความเป็นจริงแล้ว คนที่หวังเป่าเล่อกลัวที่สุดก็หนีไม่พ้นเจ้าเยี่ยเหมิงคนนี้นี่เอง

หวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นพลังวงแหวนปราณของเจ้าเยี่ยเหมิงกับตาตนเองมาก่อน แต่จากคำบอกเล่าของผู้คนบนเครือข่ายวิญญาณ เขาพอจะเดาได้ว่ามันจะน่าพิศวงและน่าสะพรึงกลัวเพียงใด

“เป็นข้าหรือนางกันแน่นะที่โชคไม่ดี” หวังเป่าเล่อพึมพำอยู่ในลำคอ ทั้งคู่ต่างจ้องมองกันเขม็งขณะที่เจ้าเยี่ยเหมิงย่างกรายเข้ามาบนลานประลองยุทธ์

ก่อนที่พวกเขาจะได้เอ่ยปากเจรจากัน ความตื่นเต้นของผู้ชมก็เพิ่มสูงจนควบคุมไม่อยู่ แพร่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ ในทันใดนั้น บนเครือข่ายวิญญาณมีข่าวลือกระจายไปราวกับไฟป่า

เจ้าเยี่ยเหมิงนั้นโด่งดังขึ้นมาได้เพราะการประลองยุทธ์ที่ผ่านมาทั้งสี่นัดของนางมีคนสนใจเป็นจำนวนมาก หวังเป่าเล่อเองก็โด่งดังใช่ย่อยเช่นกัน เพราะฉะนั้น         การโคจรมาพบกันของทั้งคู่ทำให้ผู้ชมตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง

“การประลองยุทธ์ระหว่างหวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงเป็นนัดที่น่าดูที่สุดแล้วในการสอบครั้งนี้!”

“หวังเป่าเล่อชำนาญการใช้วัตถุเวท ด้านความแข็งแกร่ง ร่างกายของเขาก็สามารถทนทานการโจมตีของหัวหน้าศิษย์สาขาการยุทธ์ได้ เจ้าเยี่ยเหมิงนั้นทั้งลึกลับและคาดเดาได้ยากยิ่ง และนางไม่เคยต้องโจมตีซ้ำเพื่อชนะการประลองยุทธ์ทั้งสี่นัดก่อนหน้านี้ของนางเลย!”

“มีใครอยากจะวางเดิมพันผู้ชนะไหม ข้าแทงหวังเป่าเล่อ!”

“เหอะ ข้าวางเงินที่เจ้าเยี่ยเหมิง เทพธิดาของข้า!”

ความวุ่นวายแพร่ไปทั่วสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ศิษย์ที่ชนะสี่นัดรวดเช่นจั่วอี้ฟานก็เริ่มได้ยินข่าวการประลองนี้ บางคนได้พบกับคู่ต่อสู้ของตนแล้ว คนที่ยังไม่ได้พบต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เช่นเดียวกับหวังเป่าเล่อ ผู้เข้าสอบคนอื่นต่างก็ไม่มีใครอยากเจอเจ้าเยี่ยเหมิงทั้งสิ้น อย่างไรก็ดี หวังเป่าเล่อก็เป็นอีกคนที่พวกเขาไม่อยากจะต้องประมือด้วยบนลานประลองยุทธ์

“ดีแล้วที่เจ้าอสูรสองตนนั่นต้องมาพบกันเอง!”

“ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าข้าจะชนะรวดห้านัดได้นะ!”

“ข้าอยากให้การประลองยุทธ์นัดนี้จบเร็วๆ ข้าจะไปมีโอกาสไปดูพวกเขาสู้เป็นขวัญตา!”

แม้กระทั่งบรรดาอาจารย์และหัวหน้าสาขารวมถึงเจ้าสำนัก ต่างก็พากันมาที่ลานประลองยุทธ์หนึ่งของสาขาการยุทธ์ พวกเขาดูอยากจะดูการต่อสู้ด้วยตาตนเองเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย

เมื่อจำนวนผู้ชมเพิ่มสูงขึ้น อาจารย์ที่เป็นกรรมการการประลองยุทธ์ครั้งนี้เริ่มรู้สึกตึงเครียด เมื่อมองดูผู้เข้าแข่งขันทั้งสองที่จ้องมองกันอย่างเงียบสงบ เหล่ากรรมการก็ประกาศเริ่มการประลองยุทธ์ด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ!

สิ้นเสียงประกาศ ผู้ชมก็เงียบลงในทันที ทุกคนต่างก็เพ่งสมาธิไปที่ทั้งสอง

เมื่อสังเกตเห็นเจ้าเยี่ยเหมิงจ้องมองเขาเขม็งตาไม่กะพริบ ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในลานประลองยุทธ์ หวังเป่าเล่อจึงกระแอม แล้วเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนว่า “เจ้าเยี่ยเหมิง    พวกเราเป็นศิษย์จากเขตเดียวกัน และพวกเราเองก็ติดอันดับแน่นอนแล้ว นอกจากนั้น ข้าเองก็หล่อเหลาใช่ย่อย เจ้าว่าอย่างไร มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันดีกว่า ไว้ข้าจะพาเจ้าไปเลี้ยงข้าวนะ”

คำพูดไร้ยางอายเหล่านั้นส่งผลให้ผู้ชมข้างสนามบางคนถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา บ้างก็จ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างเย้ยหยัน คำพูดอันเกิดจะคาดของหวังเป่าเล่อทำเอาบรรดาอาจารย์ถึงกับอึ้งไปครู่ใหญ่

“หวังเป่าเล่อ ข้ารู้สึกได้ว่าเจ้าแข็งแกร่ง…แข็งแกร่งมาก!” เจ้าเยี่ยเหมิงไม่สนใจคำพูดของเขาแม้แต่น้อย สีหน้านางดูจริงจังขณะที่จ้องมองหวังเป่าเล่อและกล่าวออกมาเนิบๆ

“เจ้าจะต่อสู้กับข้าอย่างเต็มกำลังได้หรือไม่” เสียงของเจ้าเยี่ยเหมิงที่ทั้งนุ่มนวลและน่าฟังก้องกังวานไปทั่วลานประลองยุทธ์

หวังเป่าเล่อพินิจมองเจ้าเยี่ยเหมิงและเห็นถึงความตั้งใจจริงของนาง เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะหันมาตั้งใจเช่นกัน โดยปกติแล้ว หวังเป่าเล่อเป็นคนไม่มีกาละเทศะ แต่ถึงกระนั้นเขาก็รู้ว่า เมื่อใครสักคนตั้งใจจริง เขาควรจะต้องเคารพคนผู้นั้น          คนประเภทนั้นรวมไปถึงเจ้าคนบ้าการต่อสู้จากสาขาการยุทธ์จากนัดก่อนและ       เจ้าเยี่ยเหมิงผู้ตรงไปตรงมาที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้

อันที่จริงแล้ว หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าสมรรถภาพทางกายของนางไม่อาจเทียบเขาได้เลย แต่ทว่าสัญชาตญาณบอกเขาว่าเจ้าเยี่ยเหมิงนี้เป็นบุคคลที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง

เป็นความรู้สึกแบบเดียวกันที่เขามีตอนที่พบกับชายชราผู้นำกลุ่มชายชุดดำ

กายาวิญญาณแต่กำเนิด…หวังเป่าเล่อนึกย้อนไปถึงตอนที่นางเพิ่งเข้ามาใน     สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ใหม่ๆ นางเป็นที่จับตามองและมีการพูดคุยถึงนางกันมาก  บนเครือข่ายวิญญาณ ความรู้สึกอยากต่อสู้เพิ่มสูงขึ้นในใจของหวังเป่าเล่อขณะที่เขาพยักหน้าตอบรับ

“โปรดชี้แนะด้วย!” เจ้าเยี่ยเหมิงฉายยิ้มออกมาวาบหนึ่งก่อนที่นางจะโบกมือขวา นิ้วชี้ของนางชี้ตรงไปที่หวังเป่าเล่อ ฉับพลันปราณวิญญาณที่รายล้อมอยู่ควบรวมกันกลายเป็นพายุหมุนที่มองไม่เห็น

สีหน้าของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไปทันที ชายหนุ่มไม่รีรอและรีบวิ่งถลาไปข้างหน้า เขาไม่วิ่งเป็นเส้นตรง แต่กลับวิ่งตีโค้งไปหาเจ้าเยี่ยเหมิง อย่างไรก็ดี ก็สายเกินไปแล้ว เจ้าเยี่ยเหมิงส่งสายตาฉงนมาหนึ่งครั้ง ก่อนจะยกนิ้วเรียวงามบนมือขวาของนางรวบเข้าเป็นกำปั้นอันแน่นหนาในบัดดล

เพียงนางกำหมัดก็บังเกิดเสียงกัมปนาทดังปะทุมาจากอากาศธาตุ พายุหมุนไร้รูปที่สร้างจากปราณวิญญาณนั้นแปรสภาพเป็นวงแหวนปราณในบัดดล จากความ       ว่างเปล่านั้น วงแหวนปราณปรากฎออกมาขังหวังเป่าเล่อเอาไว้จากภายใน!

ในวินาทีนั้นเอง ปราณวิญญาณที่ห้อมล้อมหวังเป่าเล่ออยู่ก็ระเบิดออกเป็นพายุหมุนไร้รูป กระจายออกไปทุกสารทิศ บังคับให้หวังเป่าเล่อต้องหยุดเคลื่อนไหว      ก้าวเท้าไม่ออก หายใจก็ไม่ได้ เมื่อเขาพยายามมองหาสิ่งรอบข้าง สิ่งเดียวที่เขาเห็นคือหมอกหนาทึบ เขามองไม่เห็นโลกรอบตัวเขาอีกต่อไป

ไม่น่าแปลกใจเลยที่คู่ต่อสู้จากทั้งสี่นัดก่อนหน้าของนางยอมแพ้ นางสามารถสร้างวงแหวนปราณจากการรวบรวมปราณวิญญาณได้ ช่างน่าทึ่งอะไรอย่างนี้!

ขณะนี้ ด้วยนัยน์ตาแวววาว หวังเป่าเล่อก็สามารถหาตำแหน่งที่ปราณวิญญาณเบาบางได้อย่างรวดเร็วด้วยความมั่นใจที่เขามีในความอ่อนไหวต่อปราณวิญญาณในตัวเขาเอง

ห้าจุด! เมื่อเขาหารูโหว่ในปราณวิญญาณพบแล้วนั้น เขาก็ออกแรงชกเข้าไปทันที ในขณะเดียวกัน วัตถุเวทจำนวนมากถูกเหวี่ยงออกมาจากสร้อยข้อมือเก็บของ กระจายเกลื่อนอยู่รอบตัวเขา

เมื่อเสียงกัมปนาทก้องกังวานไปนั้น บรรดาศิษย์ที่เฝ้าดูอยู่ต่างก็อ้าปากค้าง ขณะที่พวกเขาจ้องมองวงแหวนปราณที่สร้างจากปราณวิญญาณนั้นจากภายนอก

“นางใช้ท่านั้นอีกแล้ว!”

“สี่นัดที่แล้วนางก็ขังคู่ต่อสู้โดยการโบกมือสร้างวงแหวนปราณเช่นนี้เลย!”

“เจ้าเยี่ยเหมิงแข็งแกร่งจริงๆ ขนาดหวังเป่าเล่อยังโดนขังอยู่ในวงแหวนปราณได้!”

ขณะที่บรรดาศิษย์พูดคุยซุบซิบกัน เจ้าสำนักและอาจารย์ท่านอื่นๆ โดยเฉพาะหัวหน้าสาขาวงแหวนปราณต่างก็หันไปมองเจ้าเยี่ยเหมิงด้วยความตื่นตะลึง

“เจ้าเยี่ยเหมิงเกิดมาพร้อมกายาวิญญาณ ส่งผลให้นางมีความสามารถอันน่าทึ่งที่ส่งให้นางก้าวข้ามผู้อื่นไปหมดในความรู้เกี่ยวกับวงแหวนปราณ หากนางได้รับ       การฝึกฝนมากกว่านี้ นางจะได้เป็นใหญ่ในสหพันธรัฐในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน! ส่วนหวังเป่าเล่อเองก็เป็นบุคคลที่น่าจับตามองเช่นกัน แต่ตอนนี้เขายังสู้เจ้าเยี่ยเหมิงไม่ได้!”

เมื่อหัวหน้าสาขาวงแหวนปราณพูดจบ อาจารย์เคราแพะที่ยืนอยู่ใก้ลๆ กันก็พูดด้วยเสียงต่ำอยู่ในลำคอ “นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น เมื่อสาขาอาวุธเวทเตรียมตัวพร้อมเมื่อใด เจ้าก็เตรียมตัวเก็บวงแหวนปราณกลับบ้านไปได้เลย!”

ทั้งคู่ไม่มีใครยอมใคร เมื่อศิษย์ที่เก่งกาจที่สุดของทั้งสองคนมาปะทะกันนั้น     การถกเถียงกันก็เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เจ้าสำนักผู้ซึ่งยืนชมอยู่บริเวณข้างลานประลองยุทธ์ มองเห็นการเคลื่อนไหวของหวังเป่าเล่อและจ้องมองอยู่ด้วยความลุ้นระทึก

การสามารถหาจุดอ่อนของปราณวิญญาณได้ภายในระยะสั้นแค่นั้นแสดงให้เห็นว่าความอ่อนไหวต่อปราณวิญญาณของหวังเป่าเล่ออยู่ในระดับสูงทีเดียว!

กลับมาบนลานประลองยุทธ์ เจ้าเยี่ยเหมิงถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อสังเกตเห็นได้เร็วเพียงใด จุดอ่อนของปราณวิญญาณถูกหวังเล่อโจมตีก่อนที่จะ    รวมตัวกันได้สนิท ส่งผลให้ตอนนี้กลายเป็นช่องโหว่ถาวรขึ้นมา

นัยน์ตาของเจ้าเยี่ยเหมิงแวววาวขึ้นขณะที่นางยกมือขวาขึ้น ชี้ตรงไปที่หวังเป่าเล่อ   อีกครั้ง นับเป็นครั้งแรกในการสอบทั้งหมดที่นางต้องจู่โจมเป็นครั้งที่สอง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version