บทที่ 92 หมู่บ้านลมปราณวิญญาณ
เจ้าสำนักมักเพิ่มความคาดหวังของทุกคนให้สูงขึ้น และค่อยๆ ลดความคาดหวังนั้น ลงทีละน้อย เพื่อทำให้ทุกคนเชื่อใจ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ท่านเจ้าสำนักตั้งความคาดหวังของทุกคนให้สูงลิบว่าจะลงโทษหวังเป่าเล่อ ก่อนค่อยๆ ลดความคาดหวังนั้นลง จนสุดท้ายแล้ว บรรดาอาจารย์และศิษย์ที่รายล้อมก็เชื่อสนิทใจว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้อง
เนื่องจากหวังเป่าเล่อสร้างปาฏิหาริย์ครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่เขาเข้ามาเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาเต่าศักดิ์สิทธิ์ในปีที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็นในบททดสอบแรกเข้า การก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าศิษย์สามโถง จนถึงการจัดระเบียบฝ่ายวินัยสำนักของสาขาอาวุธเวทเสียใหม่ ทั้งหมดนี้ทำให้ทุกคนรู้ซึ้งถึงความยิ่งใหญ่ของหวังเป่าเล่อ
นี่ไม่ต้องพูดถึงการขับไล่หลินเทียนหาวและพรรคพวกออกจากสำนัก การนำกองทัพหุ่นเชิดไปบุกศิษย์สาขาปรัชญาเต๋า และการประลองกับเจ้าเยี่ยเหมิงในการสอบปลายภาคที่เปิดโลกใครต่อหลายคน
ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นคือ ความสำเร็จของหวังเป่าเล่อในฐานะศิษย์ของสำนัก แต่การต่อสู้เมื่อครู่ที่หวังเป่าเล่อจัดการรองเจ้าสำนัก ที่เป็นผู้ฝึกตนระดับ ลมหายใจเที่ยงแท้เสียอยู่หมัด แม้ว่าตนจะเป็นผู้มีปราณขั้นการฝึกตนโบราณนั้น ทำให้ทุกคนตกตะลึงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ความเคารพในตัวของหวังเป่าเล่อของทุกคนในที่แห่งนั้นก็พุ่งสูงขึ้นไปอีกไกลลิบ
แม้หวังเป่าเล่อจะใช้สิทธิพิเศษที่ตนมีในสาขาอาวุธเวท ใช้เล่ห์เหลี่ยมสร้างความได้เปรียบให้ตนเพื่อเอาชนะ…แต่ถึงอย่างไรตัวเขาก็เป็นถึงหัวหน้าศิษย์สามโถงของสาขาอาวุธเวท เล่ห์กลนี้ถือเป็นหนึ่งในทักษะการต่อสู้ของเขา หากไม่ใช้มันให้เกิดประโยชน์ ก็คงไม่ต่างจากการปล่อยเวลาที่ผ่านมาหนึ่งปีให้สูญเปล่า
แม้การประลองเมื่อครู่จะหยุดไปก่อนที่จะรู้ผลแพ้ชนะ ความกล้าหาญของ หวังเป่าเล่อก็ตราตรึงในจิตใจของทุกคน
“ข้าไม่อนุญาตให้ใครนำสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไปพูดต่อเด็ดขาด! ผู้ที่ละเมิดกฎนี้ จะถูกขับจากสำนัก!” คำสั่งของเจ้าสำนักทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนั้นเงียบทันที ก่อนหน้าที่การต่อสู้ของหวังเป่าเล่อและรองเจ้าสำนักจะเริ่มขึ้น เจ้าสำนักได้ ตัดสัญญาณเครือข่ายวิญญาณในทั่วบริเวณนั้นรอแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ใครรู้
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อรู้กันแค่ในหมู่ผู้ที่อยู่บนยอดเขา เจ้าสำนัก ณ เวลานั้นเท่านั้น ข่าวนี้ยังไม่ได้กระจายออกไปไหน และคำสั่งให้เงียบปากก็เฉียบขาดพอที่จะทำให้ทุกคนพยักหน้ารับทราบอย่างเงียบๆ ต่อให้มีใครระแคะระคายว่ามีเหตุการณ์ไม่สงบเกิดขึ้น ก็คงไม่มีวันได้รู้เรื่องเต็มๆ ที่เกิดขึ้น
ความเฉียบขาดของเจ้าสำนัก ทำให้แม้แต่เกาเฉวียนยังไม่กล้าขัด ถึงคำสั่งนี้จะทำไปเพื่อปกป้องหวังเป่าเล่อ แต่เขาไม่ได้คัดค้าน เนื่องจากตนเอง…ก็ไม่อยากให้เรื่องนี้ รู้ไปถึงไหนต่อไหนเช่นกัน
คำสั่งนี้ทำให้เจ้าสำนักทำการระงับเหตุชุลมุนวุ่นวาย ที่อาจปะทุขึ้นในสำนักศึกษาเต๋าทั้งสี่ได้สำเร็จ หากข่าวแพร่งพรายออกไป
หลังจากนั้น ท่านก็สั่งให้ทุกคนกลับไปเสียก่อนหันมาจ้องหวังเป่าเล่อ
“ตามข้ามา!”
ท่านเจ้าสำนักหันหลังกลับพร้อมด้วยมือที่ประสานไว้ด้านหลัง เพื่อมุ่งหน้ากลับโถงของตนเอง หวังเป่าเล่อขยี้จมูก และพูดว่า “ขอรับ” เบาๆ พร้อมก้มหัวคำนับ ก่อนจะเดินตามท่านเจ้าสำนักไปด้วยท่าทีอยู่ในโอวาท ดูนอบน้อมราวกับว่า หากท่านเจ้าสำนักถือกระเป๋าอยู่ เขาคงรีบกระวีกระวาดเข้าไปเสนอตัวช่วยถือในทันที
ทุกคนที่ยังไม่ทันได้กลับออกไปนั้นก็เปลี่ยนสีหน้าทันทีที่เห็นเหตุการณ์นี้ เกาเฉวียนกัดฟันกรอด ก่อนสบถด่าหวังเป่าเล่อว่าเป็นสุนัขรับใช้อยู่ในใจ แม้ตัวเขาจะรู้สึกอดสู แต่ความกังวลกลับมีมากกว่า คงไม่มีใครคาดคิดว่าทักษะของหวังเป่าเล่อจะสูงถึงเพียงนี้
แบบนี้ยิ่งต้องรีบกำจัดมันให้พ้นทาง ไอ้หวังเป่าเล่อนี่…หากข้ารู้ว่ามันอารมณ์ร้ายเหมือนหมาบ้าแบบนี้ ถึงขนาดกล้าบุกมาท้าข้าตีต่อย ข้าคงไม่ไปแหย่มันแต่แรก!
เกาเฉวียนตกอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว ส่วนบรรดาศิษย์และอาจารย์ที่มุงดูเหตุการณ์อยู่ก่อนหน้า ก็ค่อยๆ เดินทางออกจากยอดเขาเจ้าสำนักไป จนยอดเขาเงียบลงอีกครั้ง ไม่นานนักเจ้าสำนักและหวังเป่าเล่อก็เดินทางมาถึงโถงส่วนตัวของเจ้าสำนัก ท่านหยุดและหันกลับมามองหวังเป่าเล่อที่เดินตามมาตลอดทาง
ขณะที่รับรู้ถึงสายตาของเจ้าสำนักที่มองจ้องมานั้น หวังเป่าเล่อก็เริ่มทนเงียบไม่ได้อีกต่อไป หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น ส่วนท่าทีก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเชื่องมากกว่าเดิม เขาก้มหน้าลง
“ท่านเจ้าสำนัก ข้ารู้ดีว่าข้าทำผิดไป…”
“หวังเป่าเล่อ ข้ารู้ว่าเจ้ามีความลับและมีโชคชะตาของเจ้าเอง มิเช่นนั้นผู้ที่อยู่ในขั้นการฝึกตนโบราณ คงไม่มีวันเอาชนะผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ได้!”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น หวังเป่าเล่อที่กำลังแสดงสีหน้าปกติก็ใต้ตากระตุก ก่อนที่เขาจะพูดชี้แจง ท่านเจ้าสำนักก็ยกมือขึ้นห้าม
“เจ้าไม่จำเป็นต้องหาคำโกหกมาบอกข้าหรอก โชคชะตาของเจ้าเป็นของเจ้า ข้าและสำนักศึกษาเต๋าไม่สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย นี่เป็นหนึ่งในหลักการของเรา และเป็นเหตุผลที่ทำให้เราแตกต่างจากสำนักอื่นในสหพันธรัฐ!
“แต่ข้ามีเรื่องอยากขอร้องเจ้า…” ดวงตาของท่านเจ้าสำนักเปล่งประกายขึ้น ขณะทอดมองมายังหวังเป่าเล่อ
“ระหว่างบททดสอบมิติเวท เจ้าต้องรวบรวมรากฐานวิญญาณให้ครบเจ็ดนิ้ว แล้วเอาชนะรากฐานวิญญาณแปดนิ้วมาให้จงได้ แล้วเจ้าจงใช้รากฐานวิญญาณแปดนิ้วนั้น พัฒนาตนเองให้กลายเป็นผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ และไปศึกษาต่อที่เกาะ มหาปราชญ์ชั้นสูงต่อไป!”
ท่านเจ้าสำนักมีสีหน้าเรียบอ่านยาก แต่ในแววตาก็เต็มไปด้วยความคาดหวังด้วยเช่นกัน
หัวใจของหวังเป่าเล่อกระตุก แม้เขาจะยังอยู่ในวัยหนุ่ม แต่ก็คุ้นเคยกับอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงเป็นอย่างดี เขารู้ดีว่าความรู้สึกผิดนั้นอยู่ที่ การปฏิบัติตัว เพราะเหตุนี้ถึงตั้งใจไม่ใช้เมล็ดดูดกลืนตั้งแต่แรกจะได้ไม่ต้องมีพิรุธมาก แถมยังคิดข้อแก้ตัวในการหาเรื่องรองเจ้าสำนักเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
แต่ตัวเขาเองก็ไม่คาดคิดว่า เจ้าสำนักจะไม่สนใจไต่สวนแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าท่านเจ้าสำนักไม่ได้แสร้งทำ และนี่ก็ตรงกับจุดยืนที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ถือปฏิบัติมาตลอด เขาทั้งรู้สึกตื้นตันใจและเข้าใจดีถึงหน้าที่ที่ตนมีในฐานะศิษย์ ของสำนัก ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“ท่านอาจารย์ ข้าจะทำให้เต็มที่ขอรับ!”
เจ้าสำนักรู้สึกพอใจเมื่อได้ยินคำขานรับของหวังเป่าเล่อ เขานั่งลงและมองหน้าหวังเป่าเล่ออีกครั้ง
“เป่าเล่อ เจ้าได้ศึกษาข้อมูลที่ข้าให้ในแผ่นหยกหรือยัง อธิบายให้ข้าฟังหน่อยว่าอะไรคือ รากฐานวิญญาณ!”
หวังเป่าเล่อไม่แม้แต่จะแสร้งทำเป็นหยุดคิด แต่ตอบออกมาในทันที
“ท่านอาจารย์ รากฐานวิญญาณคือสิ่งเดียวกับลมหายใจเที่ยงแท้ขอรับ เมื่อลมหายใจเที่ยงแท้ถูกดูดกลืนเข้าร่าง จะแปรสภาพเป็นรากฐานวิญญาณ แบบเดียวกันกับเส้นปราณ และจะหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับร่างกาย แต่ความแข็งแกร่งของลมหายใจเที่ยงแท้นั้นขึ้นอยู่กับความยาวของรากฐานวิญญาณที่ผู้นั้นมี ผู้ที่มีรากฐานวิญญาณยาว ย่อมมีพลังและคาถาเวทที่แก่กล้ามากขึ้นไปด้วย!
“เท่าที่ทราบกันในปัจจุบันนี้ ขีดจำกัดที่ร่างกายมนุษย์สามารถดูดกลืนรากฐานวิญญาณได้คือ แปดนิ้วขอรับ!”
หวังเป่าเล่ออธิบายออกมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนด้วยความรวดเร็ว ท่านเจ้าสำนักจึงพยักหน้าเข้าใจว่าชายหนุ่มได้ศึกษาเรื่องนี้มาเรียบร้อยแล้ว ชายชราคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปากออกมา
“เป่าเล่อ หากเจ้ารู้ว่าแท้จริงแล้วลมหายใจเที่ยงแท้มีจุดกำเนิดมาจากอะไร คงจะเป็นประโยชน์แก่ตัวเจ้า ลมหายใจเที่ยงแท้นี้ แท้จริงแล้วมาจากชิ้นส่วนของ กระบี่สำริดโบราณที่ตกกระจายลงบนผืนโลก สาเหตุที่ทำให้สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ได้รับการสถาปนาเป็นหนึ่งในภราดรภาพของสี่สำนักศึกษาเต๋า เป็นเพราะเมื่อ สามสิบแปดปีที่แล้ว สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เสียสละครั้งยิ่งใหญ่ เพื่อให้ได้ชิ้นส่วนกระบี่สำริดนี้มาครอบครอง!
“ชิ้นส่วนเหล่านี้อัดแน่นไปด้วยศาสตร์การฝึกปราณ ข้อมูล และข้อความต่างๆ นับไม่ถ้วน นี่เป็นความรู้ที่สร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ส่วนลมหายใจเที่ยงแท้ที่อยู่ในเศษกระบี่นั้น ก็เป็นส่วนประกอบสำคัญของมิติเวทที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เป็นเจ้าของ!
“แต่มิติเวทของสำนักเรานี้มีไว้สำหรับนักเรียนธรรมดาที่ไม่ผ่านการทดสอบเท่านั้น เพราะว่าชิ้นส่วนที่เราครอบครองอยู่นั้นเล็กเกินไป ทำให้รากฐานวิญญาณที่มีอยู่ในนั้น ยาวไม่เกินหกนิ้ว”
พูดมาถึงท่านเจ้าสำนักก็จ้องหน้าหวังเป่าเล่อ “เป่าเล่อ เจ้ารู้หรือไม่ว่าชิ้นส่วนกระบี่สำริดชิ้นใหญ่ๆ นั้นอยู่ที่ใด”
หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ทันทีว่าท่านเจ้าสำนักกำลังจะบอกความลับแก่เขา เขาจึงรีบเปลี่ยนสีหน้าให้แสดงว่ากำลังตั้งใจฟังอย่างมาก
“ชิ้นส่วนใหญ่เหล่านี้ อยู่ในสถานที่ที่เรียกกันว่าหมู่บ้านลมปราณวิญญาณ!
“สถานที่นี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสหพันธรัฐ ในทะเลทรายแห้งแล้ง ไร้ซึ่งชีวิต ขนาดของมิติเวทนี้ใหญ่เท่านครศักดิ์สิทธิ์ทั้งเมืองเลยทีเดียว!”
เสียงของท่านเจ้าสำนักดังก้อง ประกายทึ่งในความมหัศจรรย์ส่องอยู่ในแววตาของเขา
“กว้างใหญ่ยิ่งนักขอรับ!” ดวงตาของหวังเป่าเล่อเบิกกว้าง ขณะสูดหายใจลึก
“ก่อนหน้านี้มีการต่อสู้แย่งชิงเอาเป็นเอาตายเกิดขึ้นหลายครั้ง ระหว่างขุมอำนาจต่างๆ เพื่อนำชิ้นส่วนใหญ่นี้มาครอบครอง ตั้งแต่กลุ่มไตรจันทราที่เพียบพร้อมด้วยทรัพยากร สองสำนักที่มุ่งหาความจริงในประวัติศาสตร์ อย่างสำนักรุ่งสางจักรพิภพและสำนักสหชุมนุมสกุณา ไปจนถึงตระกูลนภาห้าสมัยที่มีมายาวนานเป็นพันปี แม้แต่เสนาบดีหลายคนของสหพันธรัฐก็เข้าแย่งชิงเศษซากของดาบนี้ กับสำนักศึกษาเต๋า ทั้งสี่ด้วย!
“ท้ายที่สุดแล้ว สำนักศึกษาเต๋าทั้งสี่ก็เป็นฝ่ายได้ชิ้นส่วนนี้ไปครอบครอง แต่ด้วยความที่วัตถุนี้ใหญ่โตมโหฬารมาก และยังมีสนามแม่เหล็กขนาดมหึมาปกคลุมอยู่ ทำให้เราย้ายเศษดาบนี้ไปไหนไม่ได้ แต่กรรมสิทธิ์เหนือชิ้นส่วนจากอวกาศนี้ ก็ยังเป็นของสำนักศึกษาเต๋าทั้งสี่มาจนถึงทุกวันนี้ และจะไม่มีใครพรากมันไปได้!
“จุดหมายปลายทางของการทดสอบนี้สำหรับพวกเจ้าคือ…หมู่บ้านลมปราณวิญญาณแห่งนี้แหละ!” น้ำเสียงของเจ้าสำนักเจือไปด้วยความภาคภูมิใจใน สำนักศึกษาเต๋าทั้งสี่
หวังเป่าเล่อเองก็รู้สึกซาบซึ้งใจเช่นกัน ข้อมูลที่ท่านเจ้าสำนักมอบให้เขาเมื่อก่อนหน้า ไม่ได้มีเรื่องนี้เขียนอยู่เลยแม้แต่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้เกร็ดประวัติศาสตร์ อันแสนยิ่งใหญ่นี้ ถึงเขาจะเข้าใจดีอยู่แล้วว่าสำนักศึกษาเต๋านั้นแข็งแกร่งยากหา ผู้ใดเทียม แต่เขาก็เพิ่งเข้าใจถึงความแข็งแกร่งนั้นอย่างถ่องแท้ก็วันนี้เอง
“หมู่บ้านลมปราณวิญญาณนี้มีรากฐานวิญญาณของลมหายใจเที่ยงแท้อยู่มากมาย แต่สนามแม่เหล็กที่คุ้มกันอยู่นั้น ก็ทำให้รากฐานวิญญาณเหล่านี้ขยายอาณาบริเวณออกมานอกสนามไม่ได้ และยังทำให้…บุคคลจากภายนอกเข้าไปข้างในได้ อย่างยากลำบากด้วย จะมีเพียงหนึ่งช่วงเวลาในหลายขวบปีเท่านั้น ที่สนามแม่เหล็กนี้จะอ่อนกำลังลง!”
เจ้าสำนักหยุดเพื่อให้หวังเป่าเล่อย่อยข้อมูลให้ครบถ้วนก่อน “การจะเข้าไปในหมู่บ้านลมปราณวิญญาณได้นั้น ต้องอาศัยช่องโหว่นี้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นภายในมิตินี้ยังมีแรงกดดัน ที่กันผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ให้ไม่สามารถย่างกราย เข้าไปได้ด้วย นี่แปลว่าผู้ฝึกตนก็เข้าไปข้างในไม่ได้เช่นกัน ทันทีที่เจ้าบรรลุ ลมหายใจเที่ยงแท้ภายในมิติเวท สนามแม่เหล็กก็จะดูดเจ้าออกมายังโลกภายนอกทันที แต่ผู้ฝึกตนใหม่จะยังมีเวลาราวห้านาทีก่อนจะโดนขับไล่ ขึ้นอยู่กับว่า รากฐานวิญญาณที่เจ้าเก็บเกี่ยวมาได้ มีความยาวมากแค่ไหน
“แรงขับไล่ของแม่เหล็กนี้แหละ ที่เป็นเหตุผลให้บรรดาขุมอำนาจต่างๆ จำต้องต่อสู้กันอยู่ภายนอกมิติเวทเท่านั้น จึงทำให้ด้านในยังมีสภาพครบสมบูรณ์ทุกประการ
“ด้วยข้อจำกัดนี้…ทุกครั้งที่มิติเวทเปิดออกในรอบหลายปี คือโอกาสทองของสำนักศึกษาเต๋าทั้งสี่ในการสำรวจมิติเวท หน้าที่ของพวกเจ้าในฐานะศิษย์ นอกจากจะต้องเก็บรากฐานวิญญาณเพื่อบรรลุลมหายใจเที่ยงแท้แล้ว
ยังต้องช่วยสำนักศึกษาเต๋าเก็บสะสมศาสตร์การฝึกปราณ สมบัติเวท ทรัพยากร และข้อมูลต่างๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” เจ้าสำนักมองหน้าหวังเป่าเล่ออีกครั้ง ท่านสำรวจลึกเข้าไปในดวงตาของเขาด้วยความคาดหวังอันเต็มเปี่ยม
“เป่าเล่อ หลังจากที่เจ้าได้รากฐานวิญญาณแปดนิ้วมาในครอบครองแล้ว เจ้าจะอยู่ในมิติเวทต่อได้อีกห้านาที เจ้าต้องช่วยสำนักศึกษาเต๋าเก็บทรัพยากรอันมีค่าเหล่านั้นมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้!”
เมื่อได้ยินดังนั้น หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก แต่ก็ไม่ได้ประหลาดใจแต่อย่างใด เขาเข้าใจดีว่าหน้าที่ของตนในฐานะศิษย์ของสำนักศึกษาเต๋าคืออะไร เมื่อสำนัก เปิดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ให้เข้าสำรวจ ชายหนุ่มพนักหน้ารับคำ
แต่ตัวหวังเป่าเล่อเองยังมีหนึ่งข้อสงสัยที่คิดอย่างไรก็หาคำตอบไม่ได้เสียที เขามองท่านเจ้าสำนัก ก่อนถามออกไปหมายให้รู้แจ้ง “ท่านอาจารย์ขอรับ ลมหายใจเที่ยงแท้ก่อให้เกิดรากฐานวิญญาณ และลมหายใจเที่ยงแท้เหล่านี้ ก็พบได้ในชิ้นส่วนของกระบี่สำริดโบราณที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่…ที่ข้าไม่เข้าใจคือ ลมหายใจเที่ยงแท้ถือกำเนิดขึ้นมาจากอะไร และเหตุใดพลังอำนาจเหล่านี้จึงยอมให้มนุษย์ธรรมดา อย่างเราๆ ดูดกลืนเข้าร่าง เพื่อกลายเป็นผู้ฝึกตนได้เล่าขอรับ”
เมื่อได้ยินคำถามของหวังเป่าเล่อ เจ้าสำนักก็ตกอยู่ในห้วงแห่งความเงียบงัน หวังเป่าเล่อไม่ได้ซักต่อ แต่เฝ้ารออย่างอดทน เมื่อผ่านไปสักพัก ท่านเจ้าสำนักก็เงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ปักกระบี่บนท้องฟ้า ราวกับสายตาของเขาสามารถมอง ทะลุเพดานขึ้นไปเห็นลูกไฟยักษ์บนฟ้านั้นได้ เสียงของเขาแหบพร่า
“เจ้าไม่ใช่คนเดียวที่ถามคำถามนี้หรอกเป่าเล่อ เมื่อข้ายังเยาว์วัยข้าก็สงสัยเช่นกัน ผู้ฝึกตนทุกตนก็คงต้องมีความสงสัยนี้อยู่ในใจ เมื่อหลายปีก่อนหน้า… ผู้นำสหพันธรัฐคนก่อน ซึ่งบัดนี้ดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักศึกษา เต๋าศักดิ์สิทธิ์ ได้ลองอนุมานดูขณะเฝ้าสังเกตดวงอาทิตย์ปักกระบี่ เพื่อศึกษาให้แววตาเห็นธรรม
“การคาดการณ์นั้นถูกต้องหรือไม่ ไม่อาจมีใครล่วงรู้ได้ แต่ข้าจะลองอธิบายให้เจ้าฟังดู…”
เจ้าสำนักเปิดปากเล่าอย่างช้าๆ ให้หวังเป่าเล่อที่ตั้งใจจดจ่อถึงขีดสุดได้พิจารณา