บทที่ 93 มุ่งหน้าสู่มิติเวท
“หนึ่งพันปีมาแล้ว บรรดานักปราชญ์ใช้หลายต่อหลายวิธีเพื่อพิสูจน์ว่าจักรวาลนี้ไม่ได้มีแค่เรา หากแต่มีดาวเคราะห์ดวงอื่นที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ด้วย พวกเขาพยายามอย่างมากที่จะยืนยันว่ามีอารยธรรมอื่น และสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากมนุษย์
“สมมติฐานนี้ค่อยๆ ชัดขึ้นที่ละนิดตลอดหนึ่งพันปีที่ผ่านมา กระบี่สำริดโบราณที่พุ่งเข้าปักดวงอาทิตย์เมื่อสามสิบปีก่อน เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญว่านี่เป็นเรื่องจริง!
“สิ่งมีชีวิตนอกโลกมีอยู่จริง!
“กระบี่สำริดสีเขียวโบราณที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ก็มาจากหนึ่งในอารยธรรมนอกโลกนั้น ชีวิตนอกโลกมีหน้าตาร่างกายเหมือนพวกเราไม่มีผิดเพี้ยน แต่สิ่งสำคัญที่ต่างออกไปคือ พวกเขา…มีพลังของผู้ฝึกตน!”
สีหน้าของเจ้าสำนักเต็มไปด้วยความยกย่องชื่นชม ส่วนจิตใจของหวังเป่าเล่อนั้นก็ปั่นป่วนสับสนไปหมดเมื่อได้ยิน เขานึกย้อนไปถึงภาพเหตุการณ์ที่ตนเองได้ประสบที่เทือกเขาห้ายอดในป่าฝนบ่อเมฆ ภาพที่เขาเห็นนั้นเป็นเครื่องพิสูจน์เป็นอย่างดีว่าสิ่งที่ท่านเจ้าสำนักเล่า…เป็นเรื่องจริง!
“ในดาวเคราะห์นั้น อาจมีวัตถุเวทอยู่ทุกหนทุกแห่ง หรืออาจมีพลังปราณเข้มข้นอยู่ทั่วจนยากอธิบาย ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใดก็ตาม…ขุมพลังนั้นทำให้ร่างกายมนุษย์พัฒนาจนมีรากฐานวิญญาณอยู่ในร่าง และสามารถควบคุมพลังปราณได้
“เมื่อเวลาผ่านไป วัตถุเวทบนโลกนั้นอาจเริ่มร่อยหรอ หรือพลังปราณอาจลดความเข้มข้นลง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม สงครามก็ได้อุบัติขึ้นที่โลกแห่งนั้น สงครามระหว่างเหล่าผู้ฝึกตนนั้นคงสร้างความเสียหายที่ไม่อาจแก้ไขได้ เหล่าผู้รอดชีวิตจึงส่งกระบี่เหาะเหินเล่มยักษ์เล่มนี้ให้ออกเดินทางไปในอวกาศ ด้วยความหวังสุดท้ายที่มี
“บางทีเหล่าผู้ฝึกตนจากต่างดาวนั้นอาจต้องการหาโลกแห่งใหม่อยู่อาศัย เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ของตน และสร้างอารยธรรมให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง กระบี่เล่มนั้นจึงเต็มไปด้วยสมบัติเวทมากมาย บรรดาผู้ฝึกตนคงพากันถ่ายเทรากฐานวิญญาณเข้าไปที่ดาบเล่มนั้นด้วย เพื่อส่งต่อพลังอำนาจนี้ให้กับทายาทรุ่นต่อไป” มาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเจ้าสำนักก็เต็มไปด้วยความทุกข์ เขาถอนหายใจก่อนสั่นศีรษะ
“แต่น่าเศร้ายิ่งนัก…ระหว่างที่กำลังเดินทางอยู่ในอวกาศนั้น กระบี่ยักษ์นั้นคงประสบเหตุการณ์ไม่คาดคิดบางอย่าง จนทำให้แตกละเอียดด้วยแรงปะทะ ซากของกระบี่นั้นจึงตกลงมาที่ระบบสุริยะของเรา กระบี่นั่นปักเข้าที่กลางดวงอาทิตย์ ด้ามกับตัวดาบแตกละเอียด คลังเก็บรากฐานวิญญาณก็เปิดออกเช่นกัน รากฐานวิญญาณทั้งหมดหลอมรวมเข้ากับชิ้นส่วนของกระบี่ และกระจายไปทั่วท้องฟ้า”
หวังเป่าเล่อรู้สึกตื้นตันเอ่อล้นเมื่อได้เรื่องราวที่เจ้าสำนักเล่า เขานึกถึงภาพนิมิตที่ตนเห็นที่เทือกเขาห้ายอดในป่าฝนบ่อเมฆ แม่นางผู้นั้นที่งดงามที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาในชีวิต และเหตุการณ์ที่โลกแตกสลายลง คำบอกเล่าของท่านเจ้าสำนักประทับลงกลางใจของเขาอย่างยากจะลืมเลือน หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าเรื่องนี้จะต้องมีคำตอบซ่อนอยู่อย่างแน่นอน
“แต่หากเรื่องราวเป็นเช่นนี้จริง นั่นก็แปลว่า…จำนวนของผู้ที่จะบรรลุเป็นผู้ฝึกตนได้ก็มีจำกัดน่ะสิขอรับ!” หวังเป่าเล่อตระหนักถึงปัญหาในทันที เขามองหน้าเจ้าสำนัก
ชายชราดูประทับใจในไหวพริบของหวังเป่าเล่อ เขาพยักหน้าก่อนพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ถูกต้องแล้ว การปรากฏตัวของกระบี่สำริดสีเขียวโบราณนั้น เปรียบเสมือนของขวัญที่สร้างโลกของเราให้เป็นเช่นทุกวันนี้ ภารกิจของเหล่าผู้ฝึกตนจากนอกโลกจะสำเร็จหรือไม่นั้น…ขึ้นอยู่กับพวกเรา!
“ตัวข้าเองคิดว่าคนจากรุ่นข้าไม่คู่ควรพอที่จะอยู่ในโลกยุคใหม่แห่งนี้หรอก!”
คำถามของหวังเป่าเล่อดูเหมือนจะไปสะกิดอารมณ์ของท่านเจ้าสำนักพอดี ท่านหัวเราะและลุกขึ้นยืน ก่อนชี้นิ้วไปที่ส่วนที่เต็มไปด้วยหมอกของเกาะ มหาปราชญ์ชั้นสูง
“หวังเป่าเล่อ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงเป็นสถานที่แบบใด มีแต่ผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้เท่านั้นที่จะเข้าไปได้ เกาะชั้นสูงนี้แหละคือหัวใจของ สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง!
“หากเราจะแบ่งชั้นตามข้อมูลที่สะสมมาจากกระบี่ยักษ์เล่มนั้น เกาะมหาปราชญ์ชั้นรองที่เราอยู่กันตอนนี้ ถือว่าเป็นสำนักชั้นนอกเท่านั้น พวกเจ้าทุกคนตอนนี้เป็นสานุศิษย์ของสำนักชั้นนอก แต่หากเจ้าได้เข้าไปร่ำเรียนต่อที่เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงเมื่อใด เจ้าก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสำนักชั้นในทันที!”
“สำนักชั้นนอกกับสำนักชั้นในหรือขอครับ ท่านอาจารย์” สิ่งที่เจ้าสำนักบอกเล่าผ่าเข้ามาตรงกลางใจของหวังเป่าเล่อราวกับสายฟ้า เขาเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างขึ้นมาในทันที
“มีแต่ศิษย์จากเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงเท่านั้น ที่จะรับตำแหน่งเจ้าพนักงานระดับสูงของสหพันธรัฐได้ รัฐบาลในยุคกำเนิดวิญญาณนี้ให้ความสำคัญกับขั้นปราณของเจ้าพนักงานเป็นอย่างมาก ผู้ที่อ่อนแอ…ไม่มีสิทธิ์ที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำของเราใน ยุคสมัยแห่งอนาคตนี้!”
เจ้าสำนักหัวเราะ สายตาของเขาเต็มไปด้วยกำลังใจและความคาดหวัง
“เจ้าต้องนำลมหายใจเที่ยงแท้มาครอบครองให้ได้ และเข้าไปศึกษาต่อใน เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงนะ เป่าเล่อ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าสำนัก หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึกและพยักหน้ารับคำ เขารู้สึกว่าตนเข้าใจหมู่บ้านลมปราณวิญญาณและเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงอย่างถ่องแท้มากขึ้น จากนั้นท่านเจ้าสำนักก็เล่าให้หวังเป่าเล่อฟังถึงบรรยากาศภายในหมู่บ้านลมปราณวิญญาณ ท่านมอบแผ่นหยกให้กับหวังเป่าเล่อ เพื่อให้เขาได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับหมู่บ้านนั้นเพิ่มเติม จากนั้นหวังเป่าเล่อก็ได้ขอตัวออกมา
ชายหนุ่มมุ่งหน้ากลับไปที่ยอดเขาสาขาอาวุธเวททันที คำสั่งของท่านเจ้าสำนักให้ทุกคนเก็บเรื่องการต่อสู้ระหว่างเขากับเกาเฉวียนเป็นความลับ ทำให้เรื่องนี้ไม่ แพร่งพรายไปถึงหูใคร เมื่อรู้สึกตัวว่าวันที่จะออกเดินทางไปเข้ารับบททดสอบมิติเวทใกล้มาถึง หวังเป่าเล่อก็มุ่งตรงไปที่ถ้ำเตาหลอมวิญญาณทันที เพื่อจัดการซ่อมแซมวัตถุเวทที่สึกหรอ นอกจากนี้ เขายังมุ่งมั่นกับการศึกษาขั้นตอนการบรรลุ ลมหายใจเที่ยงแท้อีกด้วย
กว่าจะดูดกลืนรากฐานวิญญาณได้นี่มีขั้นตอนที่ต้องจำเยอะแยะไปหมดเลยแฮะ! หวังเป่าเล่อตาเป็นประกาย แผ่นหยกบอกเขาว่าหมู่บ้านลมปราณวิญญาณนี้มี รากฐานวิญญาณมากมาย รากฐานวิญญาณเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งไร้ชีวิต แต่ละรากฐานก็มีลักษณะแตกต่างกันไปตามธรรมชาติของมัน และกระจัดกระจายอยู่ทั่วมิติเวท
รากฐานวิญญาณมีความยาวตั้งแต่หนึ่งนิ้วไปจนถึงแปดนิ้ว โดยหนึ่งนิ้วนั้นพบได้ง่ายที่สุด และจะหายากขึ้นเรื่อยๆ ตามความยาวที่เพิ่มขึ้น ที่ประหลาดคือ มีรากฐานวิญญาณเก้านิ้วอยู่ด้วย แต่น่าเสียดายที่ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถดูดกลืนมันได้
ปัญหาที่ต้องพบเจอเมื่อพยายามดูดกลืนรากฐานวิญญาณมีอยู่สองแบบ แบบแรกคือ…รากฐานวิญญาณแต่ละตนนั้นจะตามหาเจ้าของที่คู่ควรกับมัน ดังนั้น หากจะกล่าวว่ามนุษย์เป็นผู้เลือกวิญญาณนั้นคงไม่ใช่เรื่องที่ถูก เนื่องจากความจริงแล้วเป็น ตัววิญญาณเองต่างหากที่เลือกเจ้าของของมัน!
มีเพียงผู้ที่ถูกเลือกโดยรากฐานวิญญาณเท่านั้น ที่จะดูดกลืนมันเข้าไปได้ หากคนที่ไม่ได้ถูกเลือกพยายามดูดมันเข้าไป วิญญาณและกายเนื้อจะไม่อาจรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ กระแสตีกลับ หากผู้นั้นยังไม่ยอมจำนน แต่กลับพยายามดูดกลืนมันต่อไป อาจเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
วิธีการเลือกเจ้าของของรากฐานวิญญาณนั้นง่ายนัก เมื่อมันพบคนที่มันต้องการ เจ้ารากฐานวิญญาณนี้จะกลายร่างเป็นผู้ที่ถูกเลือกทันที นี่เป็นวิธีการแสดงออกของรากฐานวิญญาณว่ามันได้เลือกคนนี้เป็นคู่ของมัน
ด้วยความที่หมู่บ้านลมปราณวิญญาณเต็มไปด้วยรากฐานวิญญาณมากมาย ทุกคนจึงต้องตามหาคู่ของตนเอง
ส่วนปัญหาข้อที่สองนั้น คือวิธีการดูดกลืนรากฐานวิญญาณเข้าไปในร่าง สหพันธรัฐได้ศึกษาเรื่องนี้อย่างละเอียด และพบว่ามีอยู่วิธีเดียวเท่านั้นที่ทำให้ดูดกลืนสำเร็จ โดยไม่ทำให้เกิดความสูญเสีย ซึ่งก็คือ…วิธีการต่อยอดวิญญาณ!
ทุกคนต้องเริ่มจากการดูดกลืนรากฐานวิญญาณหนึ่งนิ้วก่อน และกดต้านพลังนั้นไว้เพื่อไม่ให้บรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้ ต่อจากนั้น ทุกคนจะต้องตามหารากฐานวิญญาณสองนิ้วและดูดกลืนมัน ให้ทดแทนรากฐานหนึ่งนิ้วที่มีอยู่ก่อนหน้า การข้ามไปที่สองนิ้วเลยนั้นเป็นไปไม่ได้ หากไม่มีรากฐานวิญญาณหนึ่งนิ้วเป็นฐานอยู่ในร่างก่อน!
วิธีนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ โดยแต่ละครั้งจะเพิ่มจำนวนนิ้วที่ดูดกลืนมากขึ้นตามลำดับขั้นบันได จนกระทั่งถึงเจ็ดนิ้ว ส่วนจะตามหารากฐานวิญญาณแปดนิ้วเจอหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดวงล้วนๆ
สหพันธรัฐกล่าวว่ารากฐานวิญญาณแปดนิ้วนั้นไม่มีกระบวนการจับคู่กับร่างที่ตนเลือก ผู้ใดก็ตามที่ต่อยอดรากฐานวิญญาณจนครบเจ็ดนิ้ว จะสามารถดูดกลืน รากฐานวิญญาณแปดนิ้วตนใดก็ได้ในทันที!
แต่รากฐานวิญญาณแปดนิ้วนี้หายากเสียยิ่งกว่ายาก ทุกครั้งที่มิติวิญญาณเปิดออก จะมีเพียงไม่ถึงสิบตนเท่านั้นที่ปรากฏออกมา
หวังเป่าเล่อศึกษาคำแนะนำบนแผ่นหยกจนทะลุปรุโปร่ง เขาคิดเงียบๆ อยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจสร้างวัตถุเวทเพื่อเหตุการณ์นี้โดยเฉพาะ
สามวันผ่านไป ในเย็นวันที่สาม คณะสานุศิษย์และอาจารย์จากสำนักศึกษา เต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มออกเดินทาง หวังเป่าเล่อและศิษย์อีกหนึ่งพันคนที่ผ่านการคัดเลือกก้าวเท้าเข้าไปในเรือบินสีเขียว เพื่อมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านลมปราณวิญญาณ
จั่วอี้ฟาน เจ้าเยี่ยเหมิง ตู้หมิน และคนอื่นๆ ก็อยู่บนเรือบินลำนี้เช่นกัน
ท่านเจ้าสำนักเป็นผู้นำคณะ พร้อมด้วยคณาจารย์ท่านอื่นๆ มีหลายท่านบน เรือบินลำนั้นที่หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนจากเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง
หวังเป่าเล่อไม่รู้จำนวนที่แน่ชัด แต่คะเนได้ว่ามีอยู่อย่างน้อยสิบคน มีหลายคนที่แผ่รังสีน่าเกรงขามออกมาระดับเดียวกับท่านเจ้าสำนัก
หวังเป่าเล่อคาดเดาเอาว่าผู้ฝึกตนเหล่านี้มาเพื่อคุ้มกัน ไม่ให้ใครเข้ามาในมิติเวทได้…โดยอนุมานเอาจากข้อมูลที่ท่านเจ้าสำนักบอกเขา
เรือบินลำนี้ถูกสร้างมาให้เร็วเป็นพิเศษ แม้จะพบพายุสนามแม่เหล็กเข้าระหว่างทาง หรือพบอสูรที่โบยบินอยู่บนฟากฟ้า เรือบินลำนี้ก็พุ่งผ่านอุปสรรคนั้นไปด้วยโดยไม่เกิดอันตรายใดๆ
พวกเขาจะต้องไปถึงหมู่บ้านลมปราณวิญญาณภายในหนึ่งวัน แม้จะเป็นระยะไกลพอตัวจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์
เรือบินสีเขียวเดินทางออกจากอาณาเขตของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ และมุ่งหน้าแหวกเมฆไปบนฟ้า ศิษย์ทั้งหมดได้รับประกาศจากเจ้าสำนักให้มารวมตัวกันที่ชั้นบนของเรือ ท่านเจ้าสำนักเดินทางมาถึงสถานที่นัดหมาย และเล่าเรื่องราวของมิติเวทให้ทุกคนฟัง รวมถึงสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้ได้มาซึ่งลมหายใจเที่ยงแท้ด้วย
สิ่งที่ท่านเล่าคล้ายคลึงกับสิ่งที่ได้เล่าให้หวังเป่าเล่อฟังเมื่อก่อนหน้า แม้จะไม่ละเอียดเท่า แต่ก็มากพอที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจที่มาที่ไปโดยสมบูรณ์ ขณะที่ทุกคนรอบกายสูดหายใจลึกด้วยความตื่นตะลึงนั้น หวังเป่าเล่อก็สังเกตว่าจั่วอี้ฟาน เจ้าเยี่ยเหมิง และศิษย์ชั้นปีสูงคนอื่นๆ ไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจแต่อย่างใด
พวกนั้นน่าจะรู้มาก่อนแล้วเช่นเดียวกับข้า หวังเป่าเล่อคิด ท่านเจ้าสำนัก กวาดตามองไปทั่วฝูงชน ก่อนพูดอย่างเรียบๆ
“ต่อไปพวกเจ้าจะได้รับแผ่นหยกคนละแผ่น แผ่นหยกนี้มีความสำคัญ สองประการด้วยกัน ประการแรก แหวนสื่อสารจะใช้การไม่ได้ในมิติเวท แม้แผ่นหยกนี้จะส่งเสียงสื่อสารไม่ได้ แต่มันจะส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือได้ในภายใน อาณาบริเวณหนึ่ง พวกเจ้าทุกคนเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ข้าหวังว่า พวกเจ้าจะช่วยเหลือกันยามมีภัย
“ประการที่สอง แผ่นหยกนี้มีข้อมูลของศิษย์ยอดฝีมือของสำนักศึกษาเต๋าอีก สามสำนักอยู่ พวกเจ้าจงลองศึกษาดูเพื่อเตรียมตัวก่อนที่บดทดสอบจะเริ่มขึ้น ถึงแม้ว่า…สี่สำนักศึกษาเต๋าจะเป็นพันธมิตรกัน แต่พวกเราก็ยังต้องแข่งขันกันเองภายใน พวกเจ้าทุกคนต้องนำความภูมิใจมาสู่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ของเรา!”
เมื่อให้ข้อมูลเสร็จเรียบร้อย ท่านเจ้าสำนักก็กำชับเตือนพวกเขาอีกครั้งก่อนเดินออกไป บรรดาคณาอาจารย์ก็เริ่มแจกแผ่นหยกให้ศิษย์ ไม่นานนักทุกคนก็มีมาไว้ในครอบครองและเริ่มศึกษาดูอย่างถี่ถ้วน
หวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน เขาส่งเสี้ยวพลังวิญญาณของตนเข้าไปในแผ่นหยก และสมองของเขาก็พลันเห็นภาพและข้อมูลต่างๆ ที่บรรจุอยู่ในแผ่นหยกทันที ข้อมูลนั้นมีคำแนะนำสั้นๆ ของอีกสามสำนักศึกษาเต๋า และรายละเอียดเกี่ยวกับ ศิษย์ตัวเก็งของแต่ละสำนัก
ไม่นานนักเสียงอุทานก็ดังมาจากฝูงชน
“สำนักศึกษาเต๋ากวางขาวแข็งแกร่งเป็นบ้า! ดูสิ แม่นางที่ชื่อหลี่อี้คนนี้มี กายาวิญญาณเหมือนเจ้าเยี่ยเหมิงเลย แผ่นหยกนี่บอกว่าเป็นกายาวิญญาณเพลิง ด้วยนะ! ข้อมูลเกี่ยวกับการต่อสู้ก่อนหน้าบอกว่า เธอเผาทั้งสนามราบเป็นหน้ากลอง! ข้าว่าแม่นางคนนี้คงเก่งหาตัวจับยากจริงๆ!”
“มีคนนี้ด้วยที่ชื่อจั่วอี้เซียน จากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาว ชื่อคล้ายจั่วอี้ฟานเป็นบ้า แถมยัง…ยอดเยี่ยมเหมือนกันไม่มีผิด หมอนี่เป็นหัวหน้าศิษย์สาขาการยุทธ์ แถมยัง ล้มคู่ต่อสู้ห้านัดรวด โดยใช้เพียงนิ้วเดียว!”
“สำนักศึกษาเต๋าธารสวรรค์ก็ไม่ใช่เล่นๆ มีหลายคนที่ดูแข็งแกร่งใช้ได้เช่นกัน มีนายคนนี้ที่ชื่อ อู๋เฟิน หมอนี่เรียนสาขาหลอมโอสถ แถมยังใกล้จะได้ระดับผู้เชี่ยวชาญด้านโอสถศึกษาเลยด้วย เป็นไปได้อย่างไรกัน!”
“ดูซุนเยี่ยนจากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวสาขาย่อยนี่สิ หมอนี่เรียนสาขาอักษรปราณ ดูเหมือนจะแข็งแกร่งเหมือนกัน ข้อมูลนี่แจกแจงความสำเร็จไว้ยาวเป็นบ้า!”
เสียงอุทานดังมาเป็นระยะอย่างไม่ขาดสาย สำนักศึกษาเต๋าอีกสามแห่งมีนักเรียนยอดฝีมืออยู่มากมาย สำนักศึกษาเต๋าธารสวรรค์กับสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวสาขาย่อยก็ไม่เลว แต่สำนักศึกษาเต๋ากวางขาวมียอดฝีมือมากมายเสียจนหวังเป่าเล่อรู้สึกว่า ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
“ก็อย่างนั้นแหละ เพราะเหตุนี้อย่างไรเขาถึงบอกกันว่าสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวยอดเยี่ยมที่สุดในสหพันธรัฐ” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง เขาสังเกตเห็นสีหน้า บูดเบี้ยวของจั่วอี้ฟาน จึงอดนึกถึงจั่วอี้เซียนจากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวไม่ได้ ชายหนุ่มจึงรีบเดินเข้าไปถามอย่างไม่รอรี
“จั่วอี้ฟาน ไอ้หมอนั่นที่ชื่อจั่วอี้เซียนน่ะ เป็นพี่ชายเจ้าหรือ อี้ฟานกับอี้เซียน ถ้าใช่ก็แปลว่าพ่อเจ้าเลือกชื่อเก่งดีนะ”
เมื่อได้ยินคำถามของหวังเป่าเล่อ สีหน้าของจั่วอี้ฟานก็อึมครึมขึ้นกว่าเดิม เขาส่งเสียงเยาะและทำเป็นไม่สนใจ ชายหนุ่มกำแผ่นหยกไว้แน่นก่อนเดินจากไป
เมื่อท้องฟ้ายามรัตติกาลมาเยือน ทุกคนก็เริ่มแยกย้ายกลับเข้าห้องพักของตนเอง และคืนหนึ่งก็ผ่านพ้นไป
ในยามเย็นของวันที่สอง ดวงอาทิตย์ปักกระบี่ทอแสงสีส้มอมชมพู ย้อมเมฆให้ดูเหมือนตกอยู่ในเปลวเพลิง เมื่อเรือบินค่อยๆ ชะลอความเร็วลง ทะเลทรายกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาของมิติเวทก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา!