Skip to content

อาจารย์เย็นชากับศิษย์ชั่วช้า 10

  • by
Cover Aj For Web

Chapter 10

ข้าจะเฆี่ยนให้หลังขาดเชียว!

หนิงเฉิงผายมือไปทางเก้าอี้ “เชิญคุณชายนั่งก่อน”

“ขอบคุณ” เฉินมู่อิ๋งเดินไปนั่งที่เก้าอี้ ลูกน้องของหนิงเฉิงก็ยกน้ำชากับขนมมาต้อนรับทันที “น้ำชาขอรับ”

“อ่า โอสถพิษศิลา” หนิงเฉิงนั่งลงพลางเอ่ยตาแวววาวเป็นประกาย เฉินมู่อิ๋งหยิบขวดโอสถพิษศิลากับโอสถแก้พิษศิลาออกมายื่นให้อย่างละขวด หนิงเฉิงรีบยื่นมือไปรับมาเปิดจุกดูแล้วพยักหน้าหงึกๆ “เยี่ยมๆๆ”

เขาส่งขวดโอสถให้ซีห้าว ซีห้าวรับไปแล้วถอยออกไป หนิงเฉิงยกชาขึ้นจิบแล้วพูดว่า “มีคนมาถามหาโอสถพิษศิลาไม่น้อยเลย ไม่ทราบว่าคุณชายยังมีอีกหรือไม่?”

“ท่านคิดว่าหลอมโอสถง่ายเหมือนปลูกหัวผักกาดรึ?” เฉินมู่อิ๋งย้อนถาม หนิงเฉิงรีบส่ายหน้า “ไม่ๆ แน่นอนว่าไม่ง่าย เพียงแต่ถ้าคุณชายมีอีกก็น่าจะนำออกมาขายจะได้หยกมากขึ้นอย่างไรล่ะ”

“ของดีมีน้อยจึงจะยิ่งมีราคาสูงไม่ใช่หรือ?” เฉินมู่อิ๋งย้อนถามอีก หนิงเฉิงพยักหน้าหงึกๆ “ใช่ๆ คุณชายกล่าวถูกแล้ว”

“ในเมื่อไม่มีอะไรแล้วเช่นนั้นข้าไปล่ะ” เฉินมู่อิ๋งบอกแล้วลุกขึ้น หนิงเฉิงรีบเรียก “เดี๋ยวก่อนคุณชาย”

เฉินมู่อิ๋งหันไปมอง หนิงเฉิงรีบหยิบป้ายทองส่งให้ “นี่เป็นป้ายของตลาด หากคุณชายซื้อของจากทางตลาดจะได้ส่วนลดที่ถูกกว่าราคาทั่วไป 15 ส่วนร้อย อีกทั้งหากคุณชายถือป้ายนี้ไปไม่ว่าจะใช้ให้คนของตลาดทำอะไรให้ก็จะได้ส่วนลด 15 ส่วนร้อยเช่นกัน”

“อ่อ” เฉินมู่อิ๋งรับมาเก็บใส่ถุงฟ้าดินแล้วเดินจากไป หนิงเฉิงมองตามแล้วหลิ่วตาสั่งลูกน้อง ลูกน้องก็ลอบตามคุณชายโอหยางไป ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมให้พลาดอีก! จะต้องสืบให้ได้ว่าคุณชายโอหยางผู้นี้เป็นใคร หน้าตาเช่นไร เฉินมู่อิ๋งกลับไปที่กระโจมพักผ่อนของตัวเอง นอนเล่นอยู่ในกระโจมจนกว่าจะถึงเวลาเริ่มงานประมูล คนของตลาดก็จับตาดูอยู่อย่างลับๆ

จนกระทั่งได้ยินเสียงตีฆ้องร้องป่าว “งานประมูลโอสถกำลังจะเริ่มแล้วๆ”

เฉินมู่อิ๋งลุกขึ้นแล้วออกจากกระโจมไป เดินไปยังเวทีทรงกลมยกพื้นสูง 2 เมตร เขาปะปนอยู่ในหมู่ผู้คนไม่โดดเด่นสะดุดตา เขามองไปรอบๆ เห็นคนของหลายสำนักมากันมากยิ่งกว่าครั้งที่แล้วเสียอีก ซึ่งเขาไม่รู้หรอกว่าคนเหล่านี้มาก็เพราะโอสถพิษศิลาของเขาที่ทำให้คนทั้งหลายสนอกสนใจเพราะโอสถระดับ 1 ที่แม้แต่โอสถแก้พิษระดับ 9 ยังไม่อาจแก้พิษได้จะไม่ให้พวกเขาแตกตื่นได้อย่างไร แน่นอนว่าพวกเขาย่อมอยากได้กลับไปศึกษากันยิ่งนัก อีกทั้งยังเป็นโอสถพิษที่ไร้กลิ่นจึงยิ่งทำให้ผู้คนสนใจมากยิ่งขึ้น เพราะหากต้องการใช้โอสถนี้ฆ่าคนก็ลงมือได้โดยที่ศัตรูไม่ทันรู้ตัว ความร้ายกาจเช่นนี้ทำให้พวกเขาอยากได้ยิ่งนัก

เฉินมู่อิ๋งมองไปทางคนของสำนักหมื่นดาราที่ยืนออกันอยู่ข้างเวทีด้านหนึ่ง เขาเห็นอาจารย์จงอยู่ในหมู่คนพวกนั้นด้วย ทำให้เขาเลิกคิ้วขึ้น “หือ?”

จงฮ่วนยืนอยู่ในกลุ่มลูกศิษย์ของเขา รอคอยอย่างเงียบๆ ครั้งที่แล้วลูกศิษย์กลับไปบอกเรื่องโอสถพิษศิลาทำให้เขาเกิดความสนใจยิ่งนัก แต่เขาก็ไม่กล้าไปขอดูโอสถกับอาจารย์หยางหรอกนะ อาจารย์หยางเป็นคนอารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าสตรีเสียอีก เกิดเขาพูดไม่เข้าหูอาจารย์หยางขึ้นมา ถูกอาจารย์หยางสั่งสอนเขาจะร้องหาความยุติธรรมจากใครได้อีก สู้มารอประมูลโอสถพิษศิลาในงานประมูลยังดีเสียกว่า

บุรุษชุดดำคนเดิมเดินขึ้นไปบนเวทีแล้วกล่าวว่า “งานประมูลโอสถเริ่มต้น ณ บัดนี้”

สตรีคนหนึ่งก็ถือถาดเดินขึ้นไป บุรุษชุดดำก็กล่าวว่า “นี่เป็นโอสถ……..”

เฉินมู่อิ๋งไม่ค่อยสนใจการประมูลในช่วงนี้เท่าไหร่ แน่นอนว่าโอสถที่นำออกมาในช่วงแรกๆ ย่อมเป็นโอสถที่หาไม่ยากและระดับไม่สูงมากนัก ช่วงท้ายๆ ซิถึงจะเป็นโอสถหายากและระดับสูง เขาจึงรอดูการประมูลช่วงท้ายมากกว่า ตอนนี้เขาสนใจดูผู้คนมากกว่า

เพราะเห็นคนจากหลายสำนักมารวมกันมากกว่าครั้งที่แล้วทำให้เขาเกิดความสงสัยว่าอาจจะมีโอสถหายากถูกนำมาประมูลในครั้งนี้กระมัง เขาก็อยากดูโอสถหายากเช่นกัน การประมูลดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงโอสถพิษศิลา เมื่อโอสถนี้ถูกนำออกมาผู้คนก็ฮือฮาทันที เฉินมู่อิ๋งรู้สึกประหลาดใจมากที่โอสถพิษศิลาของตัวเองได้รับความสนใจจากผู้คนมากถึงขนาดนี้

“เริ่มประมูลได้” บุรุษชุดดำกล่าว คนของสำนักเทียนเต๋าก็เสนอราคาทันที “1 แสน”

ผู้คนได้ยินราคาแล้วฮือฮาขึ้นมา แค่ราคาเปิดประมูลก็ถึง 1 แสนแล้ว!

“2 แสน” คนของสำนักหนึ่งเสนอราคาแข่ง ทำให้มีคนเสนอราคาแข่ง “3 แสน”

“1 ล้าน” คนของสำนักเทียนเต๋าเสนอราคาพลางมองคนอื่นๆ อย่างเยาะหยัน เมื่อราคาขึ้นมาถึง 1 ล้าน ก็เกิดความเงียบงันขึ้นมาทันที บุรุษชุดดำมองไปรอบๆ กำลังจะเอ่ยปาก พลัน! คนของสำนักซ่อนจันทร์ก็เสนอราคาขึ้นมา “2 ล้าน”

คนของสำนักเทียนเต๋ามองคนของสำนักซ่อนจันทร์อย่างโกรธเคือง “หึ! กล้ามาเสนอราคาแข่งกับข้า เช่นนั้นข้าก็จะให้เจ้าได้รู้ว่าสำนักข้าร่ำรวยเพียงใด”

“5 ล้าน” เขาเสนอราคาออกไป คนของสำนักซ่อนจันทร์มองอย่างเยาะหยัน “หึ! 10 ล้าน”

“โอ!” ผู้คนอุทานอื้ออึง ไม่ทันไรก็ถึง 10 ล้านแล้ว! คนของสำนักเทียนเต๋ากัดฟันกรอดๆ แล้วเสนอราคา “20 ล้าน”

“50 ล้าน” คนของสำนักซ่อนจันทร์เสนอราคาพลางยิ้มเยาะ คนของสำนักเทียนเต๋าถลึงตาแล้วเสนอราคา “100 ล้าน”

“โอ!” ผู้คนอุทานอีกครั้ง คนของสำนักขนาดเล็กและขนาดกลางต่างๆ ได้แต่มองดู 2 สำนักใหญ่ประมูลราคาแข่งกันอย่างไม่อาจสู้ได้ พวกเขาไม่ได้มีหยกมากถึงขนาดนั้น!

จงฮ่วนกัดฟันกรอดๆ เขาคิดว่าเขาจะประมูลโอสถพิษศิลาไปราวๆ ไม่เกิน 10 ล้าน แต่ตอนนี้ราคาโอสถสูงลิ่วเกินไปเขาจึงไม่คิดจะร่วมประมูลด้วยเลย ราคาโอสถพิษศิลาและโอสถแก้พิษศิลาจริงๆ แล้วอาจจะมูลค่าไม่สูงถึงขนาดนั้นก็ได้ แต่ที่ราคาพุ่งขึ้นไปถึงขนาดนี้เป็นเพราะ 2 สำนักนั้นแข่งกันประมูลอย่างไรล่ะ นี่ไม่ใช่เรื่องราคาอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีแล้ว หากสำนักใดยอมแพ้ก่อนก็จะเสียศักดิ์ศรีน่ะซิ

“หึ! หากเจ้าอยากได้มากถึงขนาดนั้นก็เชิญเจ้าเอาไปเถอะ” คนของสำนักซ่อนจันทร์เอ่ยขึ้นมา นางไม่เสนอราคาแข่งอีก เพราะ 100 ล้านเป็นจำนวนที่สูงเกินไปสำหรับโอสถระดับ 1 ที่นางมาประมูลก็เพราะท่านเจ้าสำนักสนใจโอสถนี้อยากจะได้กลับไปศึกษาดูเสียหน่อย ท่านเจ้าสำนักให้หยกพวกนางมา 50 ล้าน ในเมื่อราคาพุ่งไปถึง 100 ล้านเช่นนี้พวกนางก็ไม่คิดจะเสนอราคาแข่งแล้ว รอไว้ครั้งหน้ามีโอสถพิษศิลาออกมาอีกพวกนางค่อยประมูลกลับไปก็ได้

“หึ!” คนของสำนักเทียนเต๋าแค่นเสียงเยาะทีหนึ่ง บุรุษชุดดำมองๆ แล้วถามว่า “ยังจะมีใครให้ราคาสูงกว่า 100 ล้านหรือไม่?”

เกิดความเงียบงันขึ้นมาทันที บุรุษชุดดำมองกวาดไปรอบๆ แล้วประกาศว่า “โอสถพิษศิลาและโอสถแก้พิษศิลาเป็นของท่านแล้ว”

เขาผายมือไปทางผู้ประมูล คนของสำนักเทียนเต๋าเหยียดยิ้มแล้วเดินแหวกผู้คนไปจ่ายค่าโอสถที่กระโจม สตรีบนเวทีก็ถือถาดเดินลงไป นางรู้สึกมือสั่นๆ นิดหนึ่ง เพราะโอสถที่นางถืออยู่ราคาถึง 100 ล้านเชียวนะ!

เฉินมู่อิ๋งก็คาดไม่ถึงว่าราคาจะพุ่งไปถึงขนาดนั้น นี่ทำให้เขาตกใจมากจริงๆ แล้วมองคนของสำนักเทียนเต๋าที่ใช้หยกราวกับเป็นก้อนหินข้างทางอย่างไรอย่างนั้น สำนักเทียนเต๋าช่างร่ำรวยเสียจริง เหอๆๆๆ…

เขามองคนของสำนักซ่อนจันทร์แล้วพอจะเดาความคิดพวกนางได้ พวกนางย่อมคิดว่าโอกาสหน้ายังมีอยู่น่ะซิ ดังนั้น เขาจึงคิดว่าจะไม่นำโอสถพิษศิลาเข้าร่วมประมูลสักระยะ เอาไว้สักปีหน้าค่อยส่งโอสถพิษศิลาเข้าร่วมประมูลละกัน หึๆๆๆ…

หลังจบการประมูล ผู้คนก็แยกย้ายกันไป เฉินมู่อิ๋งก็รอจนคนอื่นๆ เข้าไปรับค่าโอสถกันหมดแล้ว เขาจึงเข้าไปเป็นคนสุดท้าย ทันทีที่ผู้ดูแลตลาดเห็นก็รีบผายมือต้อนรับขับสู้ราวกับว่าคุณชายโอหยางเป็นบ่อเงินบ่อทองอย่างไรอย่างนั้น “คุณชาย เชิญนั่งๆ”

“อืม” เฉินมู่อิ๋งนั่งลง ยกชาที่ลูกน้องของหนิงเฉิงยกมาให้ขึ้นจิบอย่างใจเย็น หนิงเฉิงนำถุงฟ้าดินใบหนึ่งยื่นให้ “นี่เป็นค่าโอสถของคุณชาย เชิญท่านนับดูก่อน”

“อืม” เฉินมู่อิ๋งรับถุงฟ้าดินใบนั้นมาแล้วมองสำรวจในถุง เขาเห็นหยกปราณฟ้าดินกองเป็นภูเขาย่อมๆ ลูกหนึ่งอยู่ในถุง เขาจึงคิดจะย้ายหยกเหล่านั้นมาเก็บไว้ในถุงฟ้าดินของตัวเองแล้วคืนถุงใบนี้ให้หนิงเฉิงไป แต่หนิงเฉิงรีบพูดขึ้นว่า “ถุงฟ้าดินใบนี้มอบให้คุณชายไปเลย ท่านไม่ต้องคืนให้ข้าหรอก”

“อ่อ ขอบคุณมาก” เฉินมู่อิ๋งจึงเก็บถุงฟ้าดินใบนั้นใส่อกเสื้อแล้วเก็บเข้าไปในแหวนคุนเฉียนอย่างเงียบกริบ เขาดึงมือออกมาแล้วยกชาขึ้นจิบ จากนั้นก็บอกว่า “โอสถพิษศิลาข้าจะนำมาประมูลอีกครั้งปีหน้า”

“หา!” หนิงเฉิงตกใจมาก เฉินมู่อิ๋งพูดขึ้นว่า “ของดีมีน้อยราคาย่อมสูงไม่ใช่รึ หากหาได้ง่ายเหมือนหัวผักกาดยังจะมีราคาอีกรึ”

“อา…” หนิงเฉิงปากอ้าค้าง คำพูดของคุณชายโอหยางถูกต้องแล้ว ที่ราคาโอสถพุ่งไปถึง 100 ล้านก็เป็นเพราะ 2 สำนักใหญ่แย่งกันอย่างไรล่ะ หากว่าต่อๆ ไป ยังมีโอสถพิษศิลาออกมาเรื่อยๆ ราคาย่อมตกลงแน่นอน นี่เป็นหลักการค้าขายที่เขาเองก็รู้ดี เขาสูดลมหายใจเข้าแล้วพยักหน้าหงึกๆ “ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะประกาศออกไปว่าจะไม่มีโอสถพิษศิลาอีก จะมีมาอีกครั้งเมื่อไหร่ก็ไม่รู้จริงๆ บางทีอาจจะไม่มีอีกแล้วก็ได้ จริงไหมคุณชาย หึๆๆๆ…”

“ใช่” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้า “ครั้งหน้าข้าจะเอาโอสถชนิดอื่นมาเข้าร่วมประมูลล่ะกัน”

“ได้ๆ ข้าจะรอ” หนิงเฉิงยิ้มแย้มตอบ เฉินมู่อิ๋งวางถ้วยชาลงแล้วถามว่า “คนของท่าน จะตามข้าอีกนานไหม?”

“…” หนิงเฉิงสะดุ้งในใจทีหนึ่ง เห็นคุณชายโอหยางมองจ้องมา ดวงตาใต้หน้ากากนั่นดูดุดันจนเขาเผลอกลืนน้ำลายทีหนึ่ง เขาสูดลมหายใจเข้าแล้วรีบบอกว่า “ไม่ตามแล้วๆ”

“ดี” เฉินมู่อิ๋งเอ่ยคำเดียวแล้วลุกขึ้นเดินออกไป หนิงเฉิงมองตามแล้วถอนหายใจ เขาสั่งลูกน้องไม่ให้ตามคุณชายโอหยางแล้ว หากทำให้คุณชายขุ่นเคืองใจขึ้นมาย่อมไม่ใช่เรื่องดี แน่นอนว่าเขาย่อมไม่กล้าทำให้คุณชายท่านนี้ขุ่นเคืองใจเด็ดขาด บ่อเงินบ่อทองเช่นนี้เขาย่อมคิดรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี ไม่แน่ว่าครั้งหน้าอาจจะมีโอสถอะไรที่ทำให้สะเทือนฟ้าดินเช่นนี้ออกมาอีกก็ได้ เขาเชื่อว่าตัวเองมองออกว่าคุณชายโอหยางคนนี้เป็นยอดอาจารย์หลอมโอสถที่น่าจะเก่งกาจเทียบเท่ากับอาจารย์หลอมโอสถระดับ 9

อาจารย์หลอมโอสถระดับ 9 หาง่ายนักหรือ แน่นอนว่าไม่ง่ายเลย ทั่วทั้งแดนเซียนนับด้วยมือข้างเดียวก็ครบแล้ว คนหนึ่งก็คืออาจารย์หยาง อีกคนก็คืออาจารย์จง อีกคนก็คือรองเจ้าสำนักเทียนเต๋า หากว่าคุณชายโอหยางคนนี้เทียบเท่ากับท่านอาจารย์เหล่านั้น แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่บุคคลที่เขาควรจะล่วงเกินด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพียงเพราะอยากรู้ฐานะแท้จริงของอีกฝ่าย ในเมื่อคุณชายไม่อยากให้รู้เช่นนั้นก็ยังไม่ต้องรู้ก็ได้ หากว่าวันหน้าติดต่อค้าขายกันไปเรื่อยๆ เช่นนี้เขาแน่ใจว่าวันหน้าคุณชายจะต้องหลุดปากออกมาด้วยตัวเองเป็นแน่

เฉินมู่อิ๋งออกจากกระโจมแล้วเดินเล่นอยู่ในตลาดพักใหญ่ เขาเดินวนไปวนมาจนแน่ใจว่าไม่มีใครติดตามมาอีกก็โล่งใจ จากนั้นเขาก็หาที่ๆ มีกลุ่มคนพลุกพล่านแล้วเดินปะปนไปกับผู้คน เมื่อสบโอกาสก็เก็บหน้ากากกับผ้าคลุมไปในชั่วพริบตาแล้วเดินปะปนไปกับผู้คน เขาเดินเข้าเดินออกกระโจมนั้นกระโจมนี้อยู่พักใหญ่แล้วก็ออกจากตลาดกลับสำนักไป ส่วนงานประมูลอาวุธในวันพรุ่งนี้เขาไม่สนใจแล้ว เพราะเขาไม่คิดจะเข้าร่วมประมูลอาวุธน่ะซิ เขาอยากหลอมอาวุธของตัวเองมากกว่า เขาจะต้องหลอมอาวุธของตัวเองให้ได้!

เมื่อกลับถึงสำนัก เฉินมู่อิ๋งก็ไปหาศิษย์พี่เลี่ยงก่อน ขอบะหมี่กินชามหนึ่งแล้วก็กลับเขาไผ่ไป เมื่อกลับถึงกระท่อม เขาก็ศึกษาตำราหลอมอาวุธของอาจารย์เฟยเทียนต่อ เขาเก็บตัวอยู่ในกระท่อมไม่ออกไปไหน จนกระทั่งศิษย์พี่เลี่ยงเอาปิ่นโตมาส่งก็ออกไปรับปิ่นโตแล้วกลับเข้ากระท่อม ปิดประตูนั่งกินข้าว เขารีบกินให้อิ่มแล้วก็กลับไปอ่านตำราของอาจารย์เฟยเทียนต่อ

หยางซีหยุนแอบมองอยู่ไกลๆ เห็นเจ้าศิษย์ชั่วเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในกระท่อม เขาจึงเฝ้ามองอีกพักหนึ่งถึงได้กลับเรือนไผ่ไป

ครั้นค่ำคืนมาเยือน เฉินมู่อิ๋งซึ่งอาบน้ำแล้วสวมเพียงอาภรณ์ตัวในนั่งอยู่บนเตียงกำลังจะนอน พลัน! เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าย่องผ่านกระท่อมไป เขาขมวดคิ้ว เพราะเสียงฝีเท้านั้นไม่ใช่อาจารย์หยาง อีกทั้งไม่ใช่แค่คนเดียว แต่น่าจะสามสี่คนกระมัง เสียงฝีเท้าเหล่านั้นค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ ดูเหมือนว่ากำลังตรงไปยังเรือนไผ่ของอาจารย์หยาง เฉินมู่อิ๋งจึงลงจากเตียงอย่างเงียบกริบ ย่องไปแง้มหน้าต่างมองดู เขาเห็นเงาดำๆ สามสี่เงากำลังมุ่งหน้าไปทางเรือนไผ่ของอาจารย์หยางจริงๆ “หรือว่าเป็นมือสังหาร?”

เขามองดูเงาพวกนั้นที่ค่อยๆ ห่างออกไป ด้วยความสงสัยเขาจึงหยิบอาภรณ์สีดำออกมาสวมแล้วลอบตามคนกลุ่มนั้นไป

แกร๊บ! เสียงเหยียบกิ่งไผ่แห้งดังขึ้นในความมืด คนกลุ่มนั้นหยุดชะงักทันที แล้วซุบซิบกัน “ชู่ว! เจ้าเบาหน่อยซิ”

เสียงที่พึมพำดุออกมานั้นเป็นเสียงสตรี เงาข้างๆ พยักหน้าหงึกๆ เฉินมู่อิ๋งซึ่งตามหลังคนกลุ่มนั้นไปจึงรู้ว่าคนที่พูดเป็นสตรี ส่วนคนอื่นๆ ยังคลุมเครือไม่แน่ชัด แต่ดูจากความสูงแล้วคนกลุ่มนั้นสูงต่ำไม่ต่างกันมากนัก รูปร่างผอมๆ กันทั้งหมด แล้วคนกลุ่มนั้นก็เดินย่องไปอีก เฉินมู่อิ๋งลอบตามไปอย่างเงียบกริบ ตัวเขากลืนไปกับสภาพแวดล้อมราวกับกลายเป็นส่วนหนึ่งของป่าไผ่อย่างไรอย่างนั้น เขารักษาระยะห่างจากคนกลุ่มนั้นพอประมาณ

จนกระทั่งคนกลุ่มนั้นไปถึงเรือนไผ่ พวกนั้นอ้อมไปทางด้านหลังเรือนไผ่ แล้วแอบซุ่มอยู่ข้างก้อนหินที่ตกแต่งเหมือนภูเขาจำลอง เฉินมู่อิ๋งก็ไม่เคยเข้าไปด้านหลังเรือนไผ่จึงไม่รู้ว่าด้านหลังเรือนไผ่เป็นสวนที่ตกแต่งอย่างดี มีบ่อน้ำร้อนควันลอยกรุ่น ทำให้มองดูแล้วเหมือนเป็นสรวงสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น

คนกลุ่มนั้นซุ่มอยู่เงียบๆ เหมือนกำลังรอคอย เฉินมู่อิ๋งมองคนกลุ่มนั้นเขม็ง มีเสียงฝีเท้าเดินมา เฉินมู่อิ๋งมองไปเห็นอาจารย์หยางเดินออกจากจากเรือนไผ่ เขาจึงตื่นตัวพร้อมที่จะเข้าช่วยเหลืออาจารย์หยางทันทีที่คนกลุ่มนั้นคิดลงมือ

หยางซีหยุนถอดอาภรณ์ออกทีละชั้น…ทีละชั้น จนเหลือแต่กางเกงขายาวตัวในตัวเดียว แผงอกล่ำสันปรากฎท่ามกลางแสงสลัวของหยกแสงที่ส่องสว่างอยู่โดยรอบ หยกแสงนี้จะเปล่งแสงออกมาจางๆ หากมีก้อนเดียวก็จะคล้ายแสงจันทร์ในคืนเดือนเพ็ญ แต่เมื่อรวมหลายๆ ก้อนก็จะส่องสว่างมากขึ้น บริเวณโดยรอบมีหยกแสงวางไว้ตามจุดต่างๆ รอบๆ บ่อน้ำร้อน รวมแล้วราวๆ เจ็ดแปดก้อนกระมัง ทำให้บริเวณบ่อน้ำร้อนสว่างสลัวๆ ผิวที่ขาวผ่องของเขาสะท้อนกับแสงจากหยก ทำให้คนกลุ่มนั้นมองจ้องเขม็ง

หยางซีหยุนก้าวลงไปในบ่อน้ำร้อน เขาแช่น้ำร้อนอย่างสุขสบาย เอนหลังพิงขอบบ่อ เงยหน้ามองดูดาวบนฟ้า คนกลุ่มนั้นจ้องมองเขม็ง แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะพุ่งเข้าไปลงมือเสียทีทำให้เฉินมู่อิ๋งที่มองอยู่ด้านหลังคนกลุ่มนั้นได้แต่รอคอย เขาไม่เห็นสีหน้าของคนกลุ่มนั้นที่กำลังมองอาจารย์หยางอย่างหลงใหล ใช่! พวกนางเป็นศิษย์ของสำนักหมื่นดารา พวกนางไม่ได้มีใจคิดฆ่าอาจารย์หยาง พวกนางเพียงแค่ต้องการแอบดูอาจารย์หยางเท่านั้น พวกนางแอบไปตีสนิทกับเลี่ยงจินถามเกี่ยวกับเขาไผ่ทำให้พอจะรู้เกี่ยวกับตำแหน่งอาคมบนเขาไผ่คร่าวๆ

หากลอบเข้าไปจากทางกระท่อมของศิษย์คนเดียวของอาจารย์หยางแล้วเดินไปตามเส้นทางจนถึงเรือนไผ่ก็จะไม่ถูกอาคมบนเขาไผ่ พวกนางฟังแล้วก็ชวนกันมาแอบดูอาจารย์หยาง แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้เจออาจารย์หยางออกมาแช่น้ำร้อนเช่นนี้ นี่กำไรจริงๆ พวกนางมองดูอย่างหลงใหลจนหน้าแดงก่ำ จนกระทั่งรู้สึกว่ามีอะไรอุ่นๆ ไหลลงมาจากมุมปาก หนึ่งคนในนั้นจึงรู้สึกตัวยกมือขึ้นแตะข้างมุมปากของตัวเอง พบว่าเป็นน้ำลายของนางนั่นเอง การเคลื่อนไหวนี้ทำให้หยางซีหยุนจับสัมผัสได้ เขาลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที สีหน้าเย็นเยียบขึ้นมาทันใด “ใคร!?”

ศิษย์หญิงเหล่านั้นเห็นอาจารย์หยางลุกขึ้นก็ก็ตกใจจนหลุดเสียงอุทาน “อุ๊ย!”

หยางซีหยุนได้ยินเสียงก็ยิ่งมีสีหน้าเย็นเยียบยิ่งขึ้น “ไสหัวออกมา! หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ทำไม!”

กระบี่เซียนของเขาพุ่งออกมาจากถุงฟ้าดิน ลอยอยู่เบื้องหลังเขา ศิษย์หญิงเหล่านั้นจับมือกันแน่นแล้วรีบวิ่งหนีไปข้างหลังทันที เสียงน้ำร้อนไหลลงบ่อน้ำร้อนทำให้หยางซีหยุนฟังเสียงฝีเท้าได้ไม่ถนัดนัก เขารู้แต่ว่ามีคนกำลังวิ่งหนีไปในความมืดจึงลุกขึ้นสะบัดกระบี่เซียนให้ไล่ตามไปทันที กระบี่เซียนบินออกไป ฟิ้ว!

เฉินมู่อิ๋งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากคนกลุ่มนั้นมากนัก ทันทีที่คนกลุ่มนั้นวิ่งมาทางเขา เขาก็ลุกขึ้นยืนขวางเอาไว้ “จะหนีไปไหน?”

“อ้า!” ศิษย์หญิงกลุ่มนั้นตกใจที่จู่ๆ ก็ถูกคนๆ หนึ่งขวางทาง หนึ่งคนในกลุ่มพวกนางตั้งสติได้ในพริบตา ยื่นมือคว้าไหล่คนที่ขวางหน้าเอาไว้แล้วเหวี่ยงไปข้างหลังพวกนางทันที จากนั้นก็คว้ามือศิษย์พี่ศิษย์น้องแล้วรีบวิ่งหนีไปตามทางเดิมที่ลอบเข้ามาทันที

“โอ๊ะ!” เฉินมู่อิ๋งร้องคำหนึ่ง เห็นว่าพวกนางเป็นศิษย์ร่วมสำนักจึงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่เพียงตกตะลึงครู่เดียวนั้นก็เพียงพอให้พวกนางลงมือแล้ววิ่งหนีไปได้ เฉินมู่อิ๋งเซไป ยังไม่ทันตั้งตัวจู่ๆ กระบี่เซียนก็พุ่งมาถึงตัวเขาแล้ว เขายกแขนขึ้นกันตามสัญชาตญาณ หยางซีหยุนก็พุ่งมาถึงพอดี เขาหยุดกระบี่เซียนเอาไว้ห่างจากคนๆ นั้นแค่นิ้วเดียว เพราะเขาอยากจะดูหน้าคนที่กล้าแอบเข้ามาให้ชัดๆ

เฉินมู่อิ๋งไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอะไรจึงลดแขนลง เห็นกระบี่เซียนหยุดอยู่กลางอากาศ เห็นอาจารย์หยางยืนอยู่ตรงหน้า สีหน้าถมึงทึงยิ่งนัก เขากลืนน้ำลายเอือก แล้วขยับปากจะพูด “เอ่อ…”

“หึ! ศิษย์ข้าช่างชั่วช้าเสียจริง กล้ามาแอบดูอาจารย์ตัวเองอาบน้ำเช่นนี้ เลว! เลวจนข้าคิดไม่ถึงจริงๆ” หยางซีหยุนด่าน้ำเสียงเย็นเยียบ ดวงตาลุกโชนราวกับมีเปลวไฟลุกเรืองอยู่ในดวงตาคู่นั้น แต่เปลวไฟนั้นกลับทำให้เฉินมู่อิ๋งรู้สึกเหมือนตกลงไปในโพรงน้ำแข็งเย็นเฉียบอย่างไรอย่างนั้น เฉินมู่อิ๋งยังไม่ทันจะอธิบายอะไรก็เห็นอาคมผนึกพุ่งเข้าใส่ตัวเขาแล้ว ทำให้เขาตัวแข็งค้างขยับตัวไม่ได้

“หึ! ศิษย์ชั่วๆ เช่นเจ้า ข้าจะเฆี่ยนให้หลังขาดเชียว!” หยางซีหยุนมองอย่างโกรธจัด ยื่นมือไปหิ้วคอเสื้อเจ้าศิษย์ชั่วแล้วลากกลับไปที่เรือนไผ่ เฉินมู่อิ๋งถูกลากครูดไปกับพื้นทำให้เขารู้สึกเจ็บแสบยิ่งนัก แต่เขาก็ร้องไม่ได้เพราะถูกผนึกเอาไว้

กระบี่เซียนบินกลับไปเข้าไปในถุงฟ้าดิน หยางซีหยุนลากเจ้าศิษย์ชั่วไปถึงด้านหลังเรือนไผ่ก็จับเจ้าศิษย์ชั่วมัดโยงกับขื่อแล้วหยิบแส้ออกมาจากถุงฟ้าดิน จากนั้นก็ฟาดขวับ!

เฉินมู่อิ๋งเจ็บยิ่งนักแต่ก็ร้องไม่ออก เสียงของเขาจุกอยู่ในปาก เขาจดจำความแค้นครั้งนี้เอาไว้ ศิษย์หญิงพวกนั้นเขาจำหน้าพวกนางได้หมดทุกคน โดยเฉพาะคนที่ผลักเขาไปรับกระบี่นั่น คอยดูซิ เขาจะตอบแทนพวกนางอย่างสาสมเลยทีเดียว ส่วนอาจารย์หยางที่ลงโทษเขาโดยที่ไม่ให้โอกาสเขาได้อธิบายแม้แต่น้อย เขาก็จดจำความแค้นนี้ไว้ในใจแล้ว

ขวับ! แส้ที่ 2 ฟาดใส่หลังเขา ทำให้เขาเจ็บมากขึ้น หยางซีหยุนฟาดแส้ไปพลางมองอย่างโมโหจัด ศิษย์คนอื่นหรือแสนดีแสนน่ารัก แต่ศิษย์ของเขากลับทำแต่เรื่องชั่วๆ เช่นนี้ ทำให้เขาโกรธจนแทบอยากจะฆ่าให้ตายเลยทีเดียว มือจึงฟาดแส้ใส่แผ่นหลังเล็กนั่นอย่างไม่ออมแรงเลยทีเดียว เขาฟาดขวับ! ขวับ! ขวับ!…

เฉินมู่อิ๋งเจ็บจนน้ำตาคลอในดวงตา เขาพยายามฝืนไม่ให้มันไหลออกมา เขาไม่เคยต้องถูกลงโทษเช่นนี้เลยสักครั้ง มีแต่สั่งคนอื่นเฆี่ยนตีผู้อื่น ความเจ็บปวดเช่นนี้ทำให้เขายิ่งแค้นใจนัก ทำดีกลับได้ความชั่วตอบแทนเสียนี่!

หากเขาไม่ห่วงอาจารย์หยางว่าจะถูกคนฆ่าตายเขาคงไม่ออกจากกระท่อมตามคนพวกนั้นมาหรอก เมื่อมาถึงแล้วกลับกลายเป็นว่าอาจารย์หยางเข้าใจเขาผิดคิดว่าเขามาแอบดูอาจารย์อาบน้ำ อีกทั้งไม่ให้โอกาสเขาได้อธิบายอะไรเลย อาจารย์ที่อคติเช่นนี้ไม่สมควรเป็นอาจารย์เขาหรอก! เขาจึงยิ่งรู้สึกเกลียดอาจารย์หยางมากขึ้น ในเมื่อยัดเยียดความผิดให้เขาเช่นนี้ เขาก็ไม่คิดจะอธิบายอะไรแล้ว เขาได้แต่ทนความเจ็บปวดไปเรื่อยๆ

หยางซีหยุนฟาดแส้ใส่ไม่รู้กี่ทีต่อกี่ที เขาฟาดจนอาภรณ์สีดำฉีกขาดเห็นแผ่นหลังขาวเต็มไปด้วยรอยแส้ เลือดไหลซึมออกมาตามรอยแผลพวกนั้น เขามองอย่างไม่คิดสงสารแม้แต่น้อย ในความคิดเขา ศิษย์ชั่วช้าเช่นนี้สมควรเฆี่ยนให้หลังขาด!

เฉินมู่อิ๋งถูกเฆี่ยนจนสลบไปเมื่อไหร่ไม่รู้ หยางซีหยุนมองอีกทีเห็นเจ้าศิษย์ชั่วสลบไปแล้วจึงได้หยุดมือเพราะหากเฆี่ยนมากกว่านี้อีกมันคงตายคาแส้เสียก่อน เขาตวัดมือไป กระบี่เซียนก็บินออกมาจากถุงฟ้าดินแล้วตัดเชือกจนขาด ร่างของเฉินมู่อิ๋งก็ร่วงตุบกองกับพื้นอยู่ตรงนั้น หยางซีหยุนมองอย่างยังโมโหไม่หาย เขาเก็บกระบี่เก็บแส้แล้วหยิบอาภรณ์ของเขาเดินอ้อมร่างเจ้าศิษย์ชั่วเข้าเรือนไป เขาปล่อยมันไว้ตรงนั้นไม่คิดจะช่วยแก้มัดสักนิด ปล่อยให้มันนอนอยู่ตรงนั้นไปเถอะ เขามองมันแล้วสะบัดหน้าไป “หึ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version