Skip to content

อาจารย์เย็นชากับศิษย์ชั่วช้า 9

  • by
Cover Aj For Web

Chapter 9

เอี๊ยมของสตรี!?

ผู้ดูแลตลาดเห็นรายชื่อสมุนไพรยาวเหยียดนับร้อยชนิดเลยทีเดียว เขาตกตะลึงในใจ แค่โอสถสองชนิดยังใช้สมุนไพรมากถึงเพียงนี้เชียวรึ!?

แน่นอนว่า 2 ชนิดที่ว่าก็คือโอสถพิษศิลากับโอสถแก้พิษศิลา เขาเห็นคุณชายโอหยางยังไม่หยุดเขียนจึงรู้สึกตกตะลึงขึ้นเรื่อยๆ ยังจะเขียนต่ออีกหรือ?

เฉินมู่อิ๋งเขียนรายชื่อสมุนไพรที่เขาต้องการไปเรื่อยๆ จนกระทั่งครบ 500 ชนิด เขาจึงหยุดเขียน แล้วยื่นให้ผู้ดูแลตลาด “เอ้า ท่าน…”

“ข้าแซ่หนิงชื่อเฉิง หนิงเฉิง (宁成)” หนิงเฉิงบอกพลางรับกระดาษปึกนั้นมา เฉินมู่อิ๋งบอก “ท่านหนิง ค่าสมุนไพรก็หักจากค่าโอสถของข้าไปเลย”

“อ่อ แน่นอนๆ เช่นนั้นคุณชายรอสักครู่เถอะ ข้าจะให้คนรีบไปเอาสมุนไพรมาให้ท่าน” หนิงเฉิงบอก เฉินมู่อิ๋งพยักหน้า “ขอบคุณท่านหนิง อ่อ ใส่ถุงฟ้าดินมาให้ข้าด้วยเลยล่ะกัน ค่าถุงก็หักไปได้เลย พอดีถุงของข้าเล็กเกินไปคงใส่สมุนไพรไม่หมดแน่”

“อ่อๆ ได้ๆ” หนิงเฉิงรับคำแล้วส่งกระดาษปึกนั้นให้ลูกน้องรับไปจัดการ แล้วหันไปคุยกับคุณชายโอหยางต่อ “ไม่ทราบว่าอาจารย์ของท่านคือผู้ใดรึ?”

“อาจารย์ของข้ามิอาจเปิดเผย เพราะท่านอาจารย์ชอบความสันโดษ” เฉินมู่อิ๋งตอบเลี่ยงไป จะให้เขาตอบว่าอาจารย์ของเขาคืออาจารย์หยางก็ไม่ได้ มิเช่นนั้นฐานะศิษย์สำนักหมื่นดาราที่เขาอุตส่าห์ปกปิดก็เปิดเผยออกไปน่ะซิ อีกอย่างจะให้เปิดเผยว่าอาจารย์เฟยเทียนคืออาจารย์ของเขา ข้อนี้ยิ่งเปิดเผยไม่ได้ยิ่งกว่าอาจารย์หยางเสียอีก หนิงเฉิงฟังแล้วก็ไม่ถามต่อ คุณชายโอหยางคิดปกปิดฐานะเขาก็ไม่จำเป็นต้องต้อนให้จนมุม ค่อยๆ สืบเอาเองก็ได้ เขาผายมือ “เชิญคุณชายจิบชารอก่อน ข้าจะออกไปดูสมุนไพรของท่านให้”

“ขอบคุณมากๆ” เฉินมู่อิ๋งบอก หนิงเฉิงจึงลุกออกไป แน่นอนว่าเขาย่อมสั่งคนให้ลอบติดตามคุณชายโอหยางผู้นี้ไปอย่างลับๆ แล้วก็ไปดูสมุนไพรตามรายชื่อที่คุณชายโอหยางต้องการ

เวลาผ่านไป หนิงเฉิงก็ถือถุงฟ้าดินใบหนึ่งเดินเข้าไปในกระโจม เขายื่นถุงฟ้าดินให้คุณชายโอหยาง “สมุนไพรของท่าน แล้วก็หยกปราณฟ้าดิน ข้าหักค่าสมุนไพร ค่าประมูลแล้วก็ค่าถุงฟ้าดินใบนี้เรียบร้อยแล้ว เชิญท่านตรวจดูได้”

“ขอบคุณมาก” เฉินมู่อิ๋งรับถุงฟ้าดินใบนั้นมาแล้วตรวจดูของภายในถุง เมื่อตรวจเสร็จแล้วก็เก็บถุงฟ้าดิน ลุกขึ้นกุมมือ “ข้าลาล่ะ”

หนิงเฉิงผายมือส่ง เฉินมู่อิ๋งเดินออกจากกระโจมไป เขาเดินไปเรื่อยๆ ยังไม่ออกจากตลาด เพราะเขาอยากดูการประมูลอาวุธเซียนที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ เขารู้ว่ามีคนลอบตามเขามา เขาก็ไม่สนใจคนๆ นั้น ตราบใดที่เขายังไม่เผยโฉมหน้าออกไป ย่อมยังไม่เกิดคลื่นลมอะไรแน่ คนของตลาดลอบติดตามไปอย่างลับๆ เห็นคุณชายคนนั้นเดินเล่นอยู่ในตลาดไม่มีท่าทีว่าจะออกจากตลาดไป เขาก็แอบตามไปอย่างเงียบเชียบ

เฉินมู่อิ๋งเดินเล่นจนเหนื่อยแล้วจึงไปยังกระโจมที่พักซึ่งมีให้เช่า ตั้งเรียงรายเป็นทิวแถว ราคากระโจมที่พักขนาดเล็กอยู่ที่ 10 หยกต่อ 1 วัน ตอนนี้เขามีหยกแล้วจึงหยิบมาใช้จ่ายอย่างไม่ต้องกังวลใจ เมื่อจ่ายค่ากระโจมแล้วเขาก็เข้ากระโจมไปพักผ่อน คนของตลาดก็เฝ้าจับตาดูอยู่

ภายในกระโจม เฉินมู่อิ๋งเอาสมุนไพรกับหยกย้ายไปใส่ไว้ในแหวนคุนเฉียน แล้วก็เอาอาภรณ์บางส่วนมาใส่ไว้ในถุงฟ้าดินแทน มีถุงฟ้าดินแล้วเขาก็ปิดบังเรื่องแหวนคุนเฉียนได้อย่างแนบเนียนล่ะ

วันรุ่งขึ้น เฉินมู่อิ๋งก็ยังไม่ออกจากกระโจมไปไหน เขายังคงพักผ่อนอยู่ในกระโจมไปเรื่อยๆ บางคราวก็สั่งอาหารให้มาส่งที่กระโจม กินอิ่มแล้วเขาก็ยังคงพักผ่อนอยู่ในกระโจม รอจนกว่าจะถึงเวลาเปิดประมูลอาวุธ คนของตลาดก็ยังคงเฝ้าจับตาดูอย่างลับๆ จนกระทั่งมีการตีฆ้องร้องป่าว “งานประมูลอาวุธกำลังจะเริ่มแล้วๆ”

เฉินมู่อิ๋งได้ยินเสียงประกาศจึงลุกขึ้นนั่งใส่รองเท้าแล้วเดินออกจากกระโจมไป เขาเดินไปที่เวทีเมื่อวานนี้ซึ่งวันนี้เปลี่ยนมาเป็นเวทีประมูลอาวุธ มีผู้คนมาล้อมอยู่รอบๆ เวทีเหมือนเช่นเมื่อวานนี้ บุรุษชุดดำคนเดิมเดินขึ้นเวทีไปประกาศว่า “เริ่มการประมูลอาวุธ ณ บัดนี้”

เขามองกวาดไปทั่วๆ แล้วกล่าวต่อ “อาวุธชิ้นแรกคือทวนน้ำ”

บุรุษคนหนึ่งถือทวนยาวเล่มหนึ่งเดินขึ้นไปบนเวที ทวนนี้มองแล้วคล้ายทำมาจากสายน้ำอย่างไรอย่างนั้น ภายในตัวทวนมีสายน้ำไหลวนอยู่ข้างใน บุรุษชุดดำผายมือไปทางทวนเล่มนั้นแล้วบรรยายอานุภาพว่า “ทวนเล่มนี้ควบคุมพลังธาตุน้ำ…”

ขณะที่เขาบรรยายอยู่นั้น บุรุษผู้ถือทวนก็แทงทวนไปข้างหน้า ตรงปลายทวนมีสายน้ำพุ่งออกมาราวกับลูกธนูพุ่งเฉียงขึ้นฟ้าไปแล้วแตกดังบึ้ม! เกิดแรงสะเทือนจนผู้คนเบื้องล่างรู้สึกได้ พลันมีสายฝนโปรยลงมาใส่ผู้คนเบื้องล่าง เซียนบางคนกางพลังกันสายฝนนั้นทำให้อาภรณ์ไม่เปียก แต่ก็มีบางคนกางพลังไม่ทันจึงเปียกนิดหน่อย

“นี่เป็นเพียงอานุภาพเล็กๆ ของทวนเล่มนี้ ยังมีอีก…” บุรุษชุดดำบรรยายอานุภาพไปเรื่อยๆ ผู้คนฟังแล้วเกิดความรู้สึกอยากได้ขึ้นมา ทันทีที่บุรุษชุดดำประกาศว่า “เริ่มประมูลได้”

ก็มีคนรีบเสนอราคาทันที “1,000 หยก”

“2,000”

“2,500”

มีคนเสนอราคาแข่งกันไปแข่งกันมา ทำให้เฉินมู่อิ๋งได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ หากเขาสามารถหลอมอาวุธเซียนได้ เช่นนั้นเขาจะมีช่องทางหาหยกเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง เห็นทีข้าต้องกลับไปศึกษาตำราหลอมอาวุธเสียหน่อยแล้ว

จนในที่สุดราคาทวนน้ำเล่มนั้นก็พุ่งทะยานไปถึง 5 หมื่นหยก คนที่ประมูลได้ไปเป็นคนของสำนักเทียนเต๋า เขาฉีกยิ้มร่าแล้วเดินเข้าไปในกระโจมเพื่อจ่ายค่าอาวุธ จากนั้นก็มีบุรุษอีกคนถือดาบเล่มหนึ่งเดินขึ้นไปบนเวที บุรุษชุดดำก็พูดว่า “นี่คือดาบเพลิง”

บุรุษผู้ถือดาบก็ชักดาบออกจากฝัก เสียงดังชิ้ง! เสียงนี้สั่นสะเทือนโสตประสาทของทุกคนจนเกิดเสียงวิ๊งๆ ในรูหู บุรุษชุดดำก็บรรยายอานุภาพของดาบเพลิงเล่มนั้นไปเรื่อยๆ “ดาบเล่มนี้…….”

เฉินมู่อิ๋งมองดูการประมูลอาวุธเฉยๆ เขาไม่คิดจะเข้าร่วมประมูลด้วยเลย เขาแค่มาเปิดหูเปิดตาเท่านั้น เขาเห็นผู้คนแข่งกันประมูลราคาอย่างดุเดือด จนบางครั้งเกิดการข่มขู่กันซึ่งหน้า แต่ผู้คนก็ไม่กล้าลงมือลงไม้กันจริงๆ มิเช่นนั้นจะถูกลงโทษสถานหนักตามกฎของตลาดทันที แต่หากออกจากตลาดไปแล้วจะไปฆ่ากันตายอย่างไรก็เป็นเรื่องของคนเหล่านั้นแล้ว ทางตลาดจะไม่ยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอีก ดังนั้นหลังจบการประมูลแล้วคนที่ประมูลของได้ไปมักจะรีบจากไปทันที

จนกระทั่งการประมูลอาวุธจบลง ผู้คนก็แยกย้ายกันไป ตลาดก็เริ่มเก็บข้าวของกันแล้ว มีคนบางกลุ่มชอบไปซื้อหาของตอนที่ตลาดกำลังจะปิดเพราะมักจะได้ราคาถูกลงเล็กน้อยทำให้การค้าในตลาดกลับมาคึกคักชั่วครู่หนึ่ง เฉินมู่อิ๋งก็อาศัยจังหวะนี้เดินปะปนไปกับผู้คนออกจากตลาดไป คนของตลาดก็แอบติดตามไปอย่างลับๆ เฉินมู่อิ๋งอาศัยจังหวะหนึ่งย่อตัวลงต่ำแล้วถอดหน้ากากออกจากนั้นก็เก็บผ้าคลุมสีดำไปในพริบตา เขายืดตัวขึ้นมาแล้วเดินไปเรื่อยๆ คนของตลาดที่ตามหลังมามองไม่เห็นคนชุดคลุมดำแล้วก็รีบเดินไปทันที เขาหันซ้ายหันขวาเหลียวมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นคนชุดคลุมดำคนนั้นเลย ทำเขากัดฟันกรอดๆ ที่พลาดท่าเสียแล้ว!

เฉินมู่อิ๋งเดินไปเรื่อยๆ ผ่านคนของตลาดที่ติดตามเขามาตั้งแต่เมื่อวาน มุมปากกดลึกนิดหนึ่ง เดินผ่านไปอย่างไร้พิรุธ หึ! คิดจะตามเขาไปงั้นรึ! กลับไปฝึกฝีมือมาใหม่ก่อนเถอะ!

คนของตลาดยังคงกวาดตามองไปในหมู่ผู้คน เขามองหาคนที่อาจจะมีพิรุธเล็กน้อย แต่มองอย่างไรก็ไม่เห็นใครที่คาดว่าจะเป็นคุณชายโอหยางคนนั้นเลย เขามองๆ จนกระทั่งผู้คนค่อยๆ สลายตัวไปเรื่อยๆ

จนในที่สุดก็ไม่เหลือใครอีกเขาจึงกลับไปรายงานผู้ดูแลตลาดอย่างเจื่อนจ๋อย ผู้ดูแลตลาดฟังแล้วรู้สึกโมโหลูกน้องยิ่งนัก ชี้นิ้วด่า “เจ้ามันไร้ความสามารถเกินไปแล้ว ไปๆ ไสหัวไปซะ”

คนของตลาดรีบถอยออกไป ครั้งนี้เขาทำงานพลาดทำให้รู้สึกแย่จริงๆ ปกติแล้วเขาไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง

เฉินมู่อิ๋งกลับถึงเขาไผ่ เขาก็ไปหาอาจารย์หยางที่เรือนไผ่ ส่งหยกปราณฟ้าดินให้อาจารย์หยาง “นี่เป็นค่าสมุนไพรของท่าน”

“หึ! ขนแพะงอกจากตัวแพะเอง*” หยางซีหยุนแค่นเสียงเย็นชา เฉินมู่อิ๋งไม่สนใจคำด่าของเขา เดินออกจากเรือนไผ่ไป เขายังต้องเอาหยกไปคืนศิษย์พี่เลี่ยงอีก

(羊毛出在羊身上 yángmáo chū zài yáng shēnshang. (ขนแพะงอกจากตัวแพะเอง) หมายถึง ได้ทรัพย์สินจากผู้ใดผู้หนึ่งแล้วตอบแทนหรือคืนประโยชน์แก่ผู้นั้นด้วยอีกวิธีหนึ่ง โดยที่ตนเองไม่เสียอะไร ตรงกับสำนวนไทยว่า อัฐยายซื้อขนมยาย

เช่น 拿我的钱请我吃饭,真是羊毛出在羊身上。

Ná wǒ de qián qǐng wǒ chīfàn, zhēnshi yángmáo chū zài yáng shēnshang.

เอาเงินของฉันเลี้ยงข้าวฉัน นี่มันอัฐยายซื้อขนมยาย*จริงๆ

อัฐยายซื่อขนมยาย สํานวนสุภาษิตนี้ หมายถึง การได้รับสิ่งของหรือทรัพย์สินจากผู้ใดผู้หนึ่ง แล้วนำทรัพย์นั้นๆมาใช้กับผู้นั้น โดยที่ตนเองไม่ต้องลงทุนอะไร

ที่มาของสํานวน คำว่า “อัฐ” หมายถึง เงิน เป็นคำเรียกเงินในสมัยโบราณ เปรียบเปรยถึง การขอเงินยายมาเพื่อที่จะนำไปซื้อขนมของยายเอง ผู้ซื้อไม่ต้องเสียเงินซักบาท และยังได้ขนมกลับมาทานอีกด้วย)

เมื่อไปถึงโรงครัว เฉินมู่อิ๋งก็คืนหยกให้ศิษย์พี่เลี่ยงทั้งยังทบดอกเบี้ยให้ด้วย เลี่ยงจินเห็นเช่นนั้นก็ตกตะลึงไป “ศิษย์น้องเฉิน นี่มันมากกว่าที่เจ้ายืมข้าไปนะ!”

“ส่วนที่เพิ่มมาถือเป็นดอกเบี้ยอย่างไรล่ะ ท่านก็รับไว้เถอะศิษย์พี่เลี่ยง ข้าไม่ชอบติดค้างใคร” เฉินมู่อิ๋งบอกแล้วรีบจากไป เลี่ยงจินอยากจะปฏิเสธแต่ศิษย์น้องเฉินก็วิ่งหายลับไปแล้วเขาจึงเก็บหยกไปแล้วรีบไปทำกับข้าวต่อเพราะเขายังตุ๋นน้ำแกงคาเตาอยู่เลย

เฉินมู่อิ๋งมุ่งหน้าไปยังหอตำรา เขาเข้าไปอ่านตำราหลอมอาวุธ เขาอ่านตำราม้วนแล้วม้วนเล่าอยู่ในหอตำราจนแทบจะกลายเป็นหนอนหนังสือแล้ว ศิษย์คนอื่นๆ เห็นศิษย์ของอาจารย์หยางขลุกอยู่ในหอตำราพวกเขาก็ไม่เข้าไปยุ่งด้วย เพราะศิษย์คนนั้นดูไม่โดดเด่นอะไร ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา หรือความสามารถ เรียกว่าไม่มีอะไรโดดเด่นจริงๆ

เวลาผ่านไปครึ่งเดือน เฉินมู่อิ๋งจึงอ่านตำราหลอมอาวุธในหอตำราจนหมดทุกม้วน เขาออกจากหอตำรากลับไปที่กระท่อมของตัวเอง แล้วเก็บตัวเงียบอยู่ในกระท่อม เอาตำราของอาจารย์เฟยเทียนออกมาอ่านศึกษาไปเรื่อยๆ ตำราหลอมอาวุธของอาจารย์เฟยเทียนนี้แตกต่างจากตำราหลอมอาวุธพื้นฐานในหอตำรา ในหอตำราต้องใช้เตาหลอมอาวุธและใช้เพลิงปฐพีเป็นตัวหลอมโลหะ แต่ในตำราของอาจารย์เฟยเทียนใช้พลังเซียนเป็นเตาหลอม ใช้พลังเซียนแทนเพลิงปฐพีหลอมโลหะ เขารู้สึกว่าวิธีการตามตำราของอาจารย์เฟยเทียนช่างท้าทายยิ่งนัก

เวลาผ่านไป 10 วัน ในที่สุดเขาก็อ่านตำราม้วนนั้นจบ เขารอให้ศิษย์พี่เลี่ยงมาส่งปิ่นโตแล้วถาม “ศิษย์พี่เลี่ยง หากข้าต้องการโลหะหลอมอาวุธจะซื้อได้จากที่ไหนรึ?”

“โลหะหลอมอาวุธซื้อจากอาจารย์หานก็ได้ แต่นี่ก็ใกล้เวลาที่ตลาดจะมาตั้งแล้ว ข้าว่าเจ้ารออีกหน่อยแล้วค่อยไปดูในตลาดดีกว่า บางทีอาจจะมีโลหะที่แม้แต่พ่อค้าก็ยังไม่รู้ที่มาๆ ขายก็ได้ หากโชคดีเจอโลหะดีๆ ก็ถือเป็นโชคดีของเจ้าทีเดียว” เลี่ยงจินแนะนำ เฉินมู่อิ๋งนึกขึ้นได้ว่าเขายังต้องหลอมโอสถพิษศิลาเอาไปขายที่ตลาดอีก เขาจึงยิ้มให้ศิษย์พี่เลี่ยง “ขอบคุณมาก ข้าลืมไปเลยว่านี่ก็ใกล้เวลาที่ตลาดจะมาเปิดอีกครั้ง”

“อันที่จริงท่านอาจารย์หยางก็มีโลหะเก็บไว้ไม่น้อยเลยนะ เจ้าไม่ลองขอท่านอาจารย์หยางดูล่ะ?” เลี่ยงจินแนะนำ เฉินมู่อิ๋งส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ข้าไปซื้อเอาจากข้างนอกดีกว่า”

เลี่ยงจินรู้ว่าศิษย์น้องเฉินไม่ค่อยถูกกับท่านอาจารย์หยางสักเท่าไหร่จึงไม่พูดอะไรอีก เขาเห็นอาจารย์กับศิษย์คู่นี้ต่างคนต่างอยู่เหมือนไม่ใช่ศิษย์อาจารย์กันอย่างนั้นแหละ เขามาส่งข้าวให้อาจารย์หยางกับศิษย์น้องเฉินจนรู้เรื่องนี้โดยบังเอิญ เขาก็ได้แต่มองดูไม่อาจพูดอะไรได้

“เอาล่ะ ข้ากลับล่ะ ยังต้องไปทำบะหมี่ให้อาจารย์อีก” เลี่ยงจินบอก เฉินมู่อิ๋งยิ้มส่ง เลี่ยงจินเดินกลับไป เฉินมู่อิ๋งก็ยกปิ่นโตเข้ากระท่อมไป เขาต้องหลอมโอสถพิษศิลากับโอสถแก้พิษศิลาเพื่อเอาไปขายที่ตลาดอีก คาดว่าเที่ยวนี้คงไม่ได้มากเหมือนอย่างคราวที่แล้วแน่นอน ของอะไรก็ตามหากว่าเป็นของหายากและมีหนึ่งเดียวย่อมราคาแพง หากว่ามีชิ้นที่ 2 ราคาย่อมถูกลง อีกทั้งเขาก็ไม่คิดจะขายโอสถพิษศิลาในปริมาณมากๆ หรอก ของยิ่งน้อยยิ่งได้ราคาอย่างไรล่ะ ฮี่ๆๆๆๆ…

หยางซีหยุนแอบมองอยู่ไกลๆ เห็นเจ้าศิษย์ชั่วเก็บตัวอยู่แต่ในหอตำรากับกระท่อมไม่ออกไปไหน เขาจับตาดูมันอยู่ห่างๆ จนป่านนี้เขาก็ยังไม่อาจแยกแยะได้เลยว่าโอสถพิษศิลานั่นใช้สมุนไพรอะไรบ้าง? ด้วยความที่มันไร้กลิ่นจึงทำให้ยากจะแยกแยะจากกลิ่นได้ อีกทั้งดูจากเนื้อโอสถก็ไม่อาจแยกแยะได้อีก เขาไม่เคยเจอโอสถที่แยกแยะสมุนไพรไม่ได้เช่นนี้มาก่อน เขาลองสูดดมมันเข้าไปเพื่อที่จะแยกแยะสมุนไพร แต่ก็ยังไม่อาจแยกออกมาได้ ทั้งเขายังถูกพิษของมันซ้ำอีก ดีที่มีโอสถแก้พิษอยู่ ไม่เช่นนั้นเขาคงตายอย่างอนาถแน่นอน ลองโอสถจนถูกพิษตกตาย หากรู้ไปถึงไหนย่อมอับอายขายขี้หน้ามากแน่นอน

วันเวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงวันที่ตลาดกลับมาเปิดอีกครั้ง เฉินมู่อิ๋งกับเลี่ยงจินก็ขี่กระบี่ออกจากสำนักไปด้วยกัน หยางซีหยุนมองตามคนทั้งสองไป แล้วเข้าไปในกระท่อมของเจ้าศิษย์ชั่ว เขามองไปรอบๆ เห็นข้าวของเครื่องใช้มีไม่กี่อย่าง โต๊ะไม้ไผ่ เก้าอี้ไม้ไผ่ เตียงหลังหนึ่ง ปูเครื่องนอนผ้าไหมชั้นดี แม้แต่ม่านมุ้งก็เป็นผ้าไหมโปร่งบาง นี่ทำให้เขาอึ้งงันไป เครื่องนอนของเขายังใช้แค่ผ้าฝ้ายเองนะ แต่เจ้าศิษย์ชั่วนี่กลับใช้เครื่องนอนผ้าไหม!

เขาเดินไปจับเนื้อผ้าของเครื่องนอนและม่านมุ้งให้แน่ใจว่าใช่ผ้าไหมจริงๆ สัมผัสเรียบลื่นนุ่มมือยิ่งนัก แน่ชัดว่าเป็นผ้าไหมราคาแพงระยับจากโลกมนุษย์ เขาจับๆ เครื่องนอนพบว่ามันนุ่มมาก เขาลองนั่งลงไป พบว่ามันนุ่มยิ่งนัก เขาได้กลิ่นจางๆ โชยมา เขาดมกลิ่นหาที่มาจึงพบว่ากลิ่นมาจากเครื่องนอนอ่อนนุ่มนี่เอง เป็นกลิ่นหอมของซุนอีเฉ่า(ลาเวนเดอร์) ดมไปดมมาทำให้เขารู้สึกอยากจะนอนหลับอยู่บนเครื่องนอนอ่อนนุ่มที่หอมกรุ่นนี้ยิ่งนัก เขาสะบัดๆ หน้าตั้งสติแล้วลุกไปเดินดูรอบๆ กระท่อมหลังเล็กๆ นั้น เขาเห็นประตูบานหนึ่งตรงด้านข้างจึงเปิดดู พบว่าเป็นห้องอีกห้องหนึ่ง ภายในห้องนั้นมีบ่อน้ำร้อน ผนังไม้ไผ่กั้นธารน้ำร้อนเล็กๆ สายนั้นเอาไว้จนกลายเป็นห้องอาบน้ำ

ห้องแบบนี้เขาเคยเห็นตามแหล่งธารน้ำร้อนในโลกมนุษย์ที่ผู้มีอำนาจราชศักดิ์ทั้งหลายมักจะทำเรือนแช่น้ำร้อนไว้ให้สตรีสูงศักดิ์ สร้างเรือนคร่อมบ่อน้ำร้อนเอาไว้ ปิดบังสายตาคนภายนอกทำให้ไม่อาจมองเห็นคนข้างในได้ เขาส่ายๆ หน้ากับห้องนี้คล้ายกับว่าเป็นเรื่องไร้สาระจริงๆ แค่แช่น้ำร้อนจะต้องทำห้องหับปิดมิดชิดไปทำไมกัน ด้านหลังเรือนไผ่ของเขาก็มีบ่อน้ำร้อน แต่เขาก็ไม่ได้สร้างเรือนคร่อมบ่อเหมือนเช่นนี้เลย บ่อน้ำร้อนของเขาเปิดโล่งจนมองเห็นทิวทัศน์อย่างชัดเจน

เขาเห็นอาภรณ์ตากอยู่บนราว เขามองผ่านทีหนึ่งแล้วต้องหันกลับไปมองซ้ำอีกครั้ง เขาเดินไปดู ยื่นมือไปหยิบอาภรณ์ชิ้นน้อยขึ้นมา อาภรณ์ชิ้นนั้นก็คือเอี๊ยมของสตรี เขาขมวดคิ้วนิดหนึ่ง “เหตุใดจึงมีเอี๊ยมของสตรีตากอยู่ที่นี่?”

เขาจ้องเอี๊ยมตัวนั้น ครู่ต่อมาก็เบิกตากว้าง “หรือว่าเจ้าเด็กนั่นจะพาสตรีมาบำเพ็ญเพียรคู่ที่นี่!”

เขาละมือจากเอี๊ยมตัวน้อยแล้วรีบเดินออกจากห้องนั้นอย่างไวยิ่ง เจ้าเด็กนั่นอายุเท่าไหร่กันเชียว ริบำเพ็ญเพียรคู่เสียแล้วรึ!

ตัวเขาอายุป่านนี้แล้วยังไม่เคยบำเพ็ญเพียรคู่กับสตรีเลยสักครั้ง เจ้าศิษย์ชั่วนั่นล้ำหน้าเขาไปแล้วรึ!

เขาเดินออกจากกระท่อมไป เพราะในกระท่อมไม่มีตำราอะไรเลย คาดว่าเจ้าเด็กนั่นคงเอาตำราติดตัวไปด้วยกระมัง เขาอยากดูตำราโอสถพิษศิลา เมื่อไม่มีตำราก็ไม่มีอะไรให้น่าดูน่ามองอีก เขาเดินกลับเรือนไผ่ไปนั่งจิบชา คิดๆ ว่าสตรีคนไหนกันที่แอบมามีสัมพันธ์กับเจ้าศิษย์ชั่วโดยที่เขาไม่ระแคะระคายเรื่องราวเลย?

ในสำนักก็มีศิษย์สตรีมากมาย ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นศิษย์ของอาจารย์หง เรื่องศิษย์หนุ่มสาวคบหากันทางสำนักไม่ได้ห้ามปรามอะไรเหมือนอย่างสำนักเทียนเต๋าที่ฝึกบำเพ็ญเต๋าไร้รัก ศิษย์ที่เข้าสำนักเทียนเต๋าจะต้องผ่านการแช่สระน้ำ 3 สระ คือสระไร้โกรธ สระไร้โลภ และสระไร้รัก หากใครไม่ผ่านการทดสอบ 3 สระนี้ก็ไม่อาจเป็นศิษย์ของสำนักเทียนเต๋าได้

เลี่ยงจินกับเฉินมู่อิ๋งไปถึงตลาด ทั้งสองก็เดินดูสินค้าในตลาดไปเรื่อยๆ เฉินมู่อิ๋งเดินดูเฉยๆ ยังไม่มีเป้าหมายในการซื้อ ส่วนเลี่ยงจินเขามีหน้าที่ซื้อเครื่องเทศกลับไปให้อาจารย์ของเขา ดังนั้นทุกครั้งที่ตลาดมาเปิดเขาจะต้องออกจากสำนักมาซื้อเครื่องเทศกลับไป หลังจากเลี่ยงจินซื้อเครื่องเทศเสร็จแล้วเขาก็ขี่กระบี่บินกลับสำนักไป ส่วนเฉินมู่อิ๋งก็เดินเล่นอยู่ในตลาดไปเรื่อยๆ เขาเดินเข้าไปดูในกระโจมที่ขายโลหะ ส่วนใหญ่เป็นแร่ดิบที่ขุดขึ้นมาได้ยังไม่ผ่านการหลอม คนที่รู้จักแร่ดิบเป็นอย่างดีก็จะได้ประโยชน์มากหน่อย เพราะมองเพียงแวบเดียวก็รู้ทันทีว่าแร่ก้อนนั้นเป็นแร่โลหะชนิดใด ส่วนคนที่ไม่รู้จักก็จะต้องถามพ่อค้าหรือไม่ก็ให้พ่อค้าเป็นคนเลือกออกมา

เฉินมู่อิ๋งไม่ค่อยมีความรู้เรื่องแร่ดิบมากนักแต่เขาก็รู้จักชนิดของแร่ดิบอยู่หลายอย่างทีเดียว เช่น แร่ทอง แร่เงิน แร่เหล็ก เขามองๆ ไปทั่วๆ จนกระทั่งสะดุดตากับหินก้อนหนึ่งซึ่งเป็นหินทราย หินก้อนนี้ถูกวางทิ้งไว้ไม่มีใครให้ความสนใจมันเลย พ่อค้าเดินโฉบเข้ามาทันใด รีบบอกว่า “เจ้าหนู หินทรายก้อนนี้ไม่มีค่าอะไรหรอก เจ้าดูอย่างอื่นเถอะ ดูท่าเจ้าคงเป็นศิษย์สำนักหมื่นดารากระมัง ส่วนใหญ่ศิษย์ของอาจารย์หานก็จะมาซื้อแร่กับข้าเป็นประจำ เจ้าหน้าตาไม่คุ้นเลยคงเป็นศิษย์เข้าใหม่กระมัง?”

“อืม” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้า แล้วชี้ไปที่หินทรายก้อนนั้น “หินทรายก้อนนี้ท่านขายเท่าไหร่รึ?”

“เจ้าจะเอาไปทำอะไรรึ? หากว่าจะเอาไปหลอมอาวุธหินทรายก้อนนี้ไม่มีประโยชน์หรอก” พ่อค้าถาม เฉินมู่อิ๋งตอบ “ข้าอยากได้เอาไปทำหินขัดตัวน่ะ”

“หือ?” พ่อค้าเลิกคิ้วขึ้น เฉินมู่อิ๋งก็ไม่พูดอะไรอีก เขาเห็นพ่อค้ายังคงมองจ้องจึงพูดว่า “ในสำนักมีศิษย์หญิงไม่น้อย หากข้าเอาหินทรายก้อนนี้ไปตัดทำหินขัดตัวขายให้พวกนางคงพอได้กำไรบ้างน่ะ”

“อ่อ มีหัวคิดดีนี่นาเจ้าหนู” พ่อค้ายิ้มๆ แล้วบอกว่า “ข้าขายไม่แพงหรอก 5 หยกก็แล้วกัน”

“แพงเกินไป ข้าให้แค่ 1 หยก ถ้าไม่ขายเดี๋ยวข้าไปเดินหาหินทรายแถวๆ ภูเขาก็ได้” เฉินมู่อิ๋งต่อรองแล้วทำท่าจะเดินจากไป พ่อค้ารีบยื่นมือขวาง “เอ้า ขายๆ”

เฉินมู่อิ๋งจึงหยิบหยกปราณฟ้าดินส่งให้พ่อค้า 1 ก้อน แล้วเก็บหินทรายก้อนนั้นใส่ถุงฟ้าดิน จากนั้นเขาก็เดินไปดูแร่ดิบก้อนอื่นๆ เขาดูๆ แล้วซื้อก้อนแร่เงินมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็เดินออกจากกระโจมไป เขาเดินไปเช่ากระโจมพักผ่อนตลอด 5 วัน แล้วก็เข้ากระโจมไป เมื่ออยู่ในกระโจมเขาก็เอาหินทรายก้อนนั้นย้ายไปเก็บไว้ในแหวนคุนเฉียน พ่อค้าคนนั้นไม่รู้หรอกว่าหินทรายก้อนนี้ข้างในมีเหล็ก 5 ธาตุ เขาเคยเห็นเหล็ก 5 ธาตุจากตอนที่เฝ้ามองชีวิตของฮองเฮาหลิวแห่งแคว้นเสิ่นหยาง นางได้เหล็ก 5 ธาตุมาจากถ้ำแห่งหนึ่ง แล้วนางก็เอามาหลอมเป็นกระบี่กับมีดสั้นอย่างละ 6 หรือ 7 เล่มนี่แหละ เขาก็จำไม่ค่อยได้แล้ว นี่เรียกว่าเขาโชคดีจริงๆ ที่มาเจอเหล็ก 5 ธาตุโดยบังเอิญ ซ้ำยังซื้อมาแค่ราคา 1 หยกเอง ถูกเหมือนได้เปล่าจริงๆ ฮี่ๆๆๆ

ส่วนแร่เงินพวกนั้นเขาซื้อมาก็เพราะคิดจะเอามาหลอมเป็นมีดสั้นที่ใช้สำหรับรักษาคน เขามีมีดสั้นเงินชุดหนึ่งอยู่ในแหวนคุนเฉียน มีดสั้นชุดนี้ใช้ได้กับร่างกายมนุษย์แต่ใช้กับร่างเซียนไม่ได้ เขาเคยลองใช้มีดสั้นชุดนั้นมาตัดแต่งเล็บตัวเอง ปรากฏว่ามีดคดงอทันที ยู่ราวกับกระดาษอย่างไรอย่างนั้นทำให้เขารู้ว่ามีดจากโลกมนุษย์ใช้กับร่างเซียนไม่ได้เลย ร่างเซียนแข็งแกร่งเกินไป หากเขาต้องใช้มีดรักษาคนขึ้นมา ทั้งมีดทั้งเข็มพวกนั้นใช้กับร่างเซียนไม่ได้ เขาต้องหลอมใหม่ให้เป็นเครื่องมือหมอระดับเซียน

เขานอนเล่นอยู่ในกระโจม เอาตำราหลอมอาวุธของอาจารย์เฟยเทียนออกมาอ่านซ้ำอีกรอบ เขาอ่านไปเรื่อยๆ บางคราวก็สั่งอาหารมากิน รอจนกว่าจะถึงวันที่ 4 จึงจะปลอมตัวไปพบผู้ดูแลตลาด แน่นอนว่าทางตลาดจะต้องจับตามองคนที่มีลักษณะใกล้เคียงกับ ‘โอหยาง’ เป็นพิเศษ เขาไม่รีบใช้รูปลักษณ์นั้นออกไปเดินเตร็ดเตร่แน่

วันเวลาผ่านไปจนถึงวันที่ 4 เฉินมู่อิ๋งจึงสวมหน้ากากแล้วสวมผ้าคลุมสีดำ จากนั้นก็ออกจากกระโจมไปพบผู้ดูแลตลาด ทันทีที่องครักษ์หน้ากระโจมเห็น ‘โอหยาง’ ก็รีบผายมือเชิญ “เชิญคุณชายโอหยาง”

“อืม” เฉินมู่อิ๋งเดินเข้าไป ผู้ดูแลตลาดรีบลุกมาต้อนรับทันที “โอ! คุณชายมาเสียที”


ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version