Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1150

ตอนที่ 1150 หนึ่งวัฏจักร

‘เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้….’ ซูหมิงมองเด็กหญิง นัยน์ตาฉายแววเหลือเชื่อทีละน้อย หน้าตาของเด็กคนนี้….เหมือนกับไป๋เฟิ่งทุกประการ!

ราวกับเป็นไป๋เฟิ่งในวัยเยาว์ นั่นคือนางที่ทำให้ซูหมิงนึกถึงภูเขาทมิฬ

“ผู้อาวุโส ท่านทำอะไร ขอร้องล่ะ เอาปลาตัวนี้ให้ข้าเถอะ มันน่าสงสาร ข้าอยากปล่อยมัน บิดามารดามันจะต้องเป็นห่วงมากแน่ๆ …..” เด็กหญิงน้อยมองซูหมิง ท่าทางอ้อนวอน ดวงตาเด็กน้อยทำให้คนกลั้นใจปฏิเสธไม่ลง

ซูหมิงเงียบ เขาเอียงหน้ามองปลาตัวนั้นกลางตาข่ายแวบหนึ่ง มันเป็นปลาที่ธรรมดามาก ตอนนี้กำลังดิ้นรนอยู่ในตาข่าย บ้างครั้งก็พ่นฟองอากาศปุดๆ ดูจากลักษณะเหมือนเหนื่อยจนจะถอดใจแล้ว

‘หรือเป็นเพราะตอนใช้วิธีแห่งการหลอมทุกสรรพสิ่งมีไป๋เฟิ่งอยู่ข้างๆ ดังนั้น วิธีนี้จึงดึงวิญญาณนางเข้ามาด้วย เพียงแต่นางไม่เหมือนได้รับการประสานมุทรา เก้าร้อยเก้าสิบเก้าครั้งของข้าก่อนหน้านี้ เป้าหมายของการประสานมุทราเหล่านั้นคือเพื่อรักษาสติปัญญาเอาไว้ แต่นางไม่มี ดังนั้น….วิญญาณที่ถูกดึงเข้ามาจึงเสียสติปัญญาไป เหลือเพียงวิญญาณเดิมที่จะเปลี่ยนไปตามวัฏจักร’ ซูหมิงมองเด็กหญิงร่างแปลงวิญญาณไป๋เฟิ่งอย่างซับซ้อน

ด้วยสติปัญญาของเขาตอนนี้จึงคาดการณ์ได้แล้ว ปลาตัวนั้นจะต้องเกิดจาก ดวงจิตของแหวนสีขาวแน่ หากคิดจะผูกชะตากับมันมีอยู่สองวิธี หนึ่งปล่อยมันไป แต่ดวงชะตาในวิธีนี้จะเลือนรางและมั่นใจไม่ได้ แต่ยังมีอีกวิธีคือทำมันให้สุกแล้วกินไป ดังนั้นแล้วนั่นจะเป็นการผูกชะตาอย่างแท้จริง อีกทั้งหากใช้วิธีนี้ หากหลอมสำเร็จ สมบติชิ้นนี้จะเท่ากับถูกเขากำราบอย่างสมบูรณ์แบบ

เขามองเด็กหญิงแวบหนึ่งแล้วส่ายศีรษะ

เด็กหญิงเห็นซูหมิงส่ายหน้า ในดวงตาพลันมีน้ำตา นางเอียงหน้ามองปลากลางตาข่ายตัวนั้น สีหน้าเต็มไปด้วยความทำใจไม่ได้ นางเดินไปหลายก้าวแล้วก้มหน้ามองตาข่ายซึ่งถูกแขวนบนเสาไม้แต่ปลายตาข่ายถูกจุ่มอยู่ในทะเลสาบ

“ผู้อาวุโส เช่นนั้นข้าขอดึงเชือกขึ้นมาเพื่อดูมันหน่อยได้หรือไม่ ขอร้องล่ะ”

ซูหมิงมองเด็กหญิงน้อยพลางลอบถอนหายใจ แต่ก็ตอบตกลงโดยนัย เด็กหญิงน้อยเห็นซูหมิงไม่ตอบและก็ไม่ปฏิเสธ นางจึงยื่นมือเล็กๆ ไปคว้าเชือกนั้นก่อนออกแรง ดึงขึ้นมา จนกระทั่งตาข่ายในทะเลสาบค่อยๆ เผยตัวปลา ปลาตัวนั้นออกมาจากทะเลสาบก็ดิ้นอย่างเร็วไว กระทั่งสายตาที่มองซูหมิงยังมีความดุร้ายวูบผ่าน

เห็นได้ชัดว่าปลาตัวนี้ก็มีสติปัญญาธรรมดาเช่นกัน บางทีในมุมมองมัน แม้จะถูก ซูหมิงตกได้ แต่เพราะถูกใส่ไว้ในตาข่ายซึ่งแช่อยู่กลางทะเลสาบ นอกจากจะถูกจำกัดอิสระแล้วก็ไม่มีอะไรต่างกับเวลาปกติ แต่เด็กหญิงน้อยคนนั้นดึงขึ้นมาทีละนิดทำให้มันพ้นจากน้ำ นี่เท่ากับว่ากำลังช่วงชิงชีวิตมัน ดังนั้นแล้วขณะเดียวกับที่มันมีสีหน้า ดุร้ายก็ยังดิ้นรนอย่างรุนแรง

เด็กหญิงน้อยออกแรงดึงตาข่ายขึ้นมาทีละน้อย ตอนที่จะยกขึ้นมาบนฐานตกปลาแล้วปลาตัวนั้นดิ้นอย่างรุนแรงนั้น นัยน์ตาเด็กหญิงน้อยฉายแววเจ้าเล่ห์ นางคว้าส่วนก้นตาข่ายแล้ว

ดันขึ้นข้างบน ปลาตัวนั้นจึงพุ่งออกมาได้อย่างราบรื่น ก่อนจมหายไปในทะเลสาบ

“ขอบคุณผู้อาวุโส” เด็กหญิงน้อยดูเบิกบานใจมาก นางหมุนตัวกลับยืนอยู่ตรงริมฐานตกปลา หันหลังให้ทะเลสาบ ซ้ำยังแลบลิ้นใส่ซูหมิงด้วยท่าทางน่ำรักมาก

“นี่คือการเลือกของเจ้ารึ…..” ซูหมิงมีสีหน้าเรียบนิ่ง แต่กลับถอนหายใจอยู่ภายใน แล้วพูดขึ้นช้าๆ

“ใช่…..” เด็กหญิงน้อยค่อนข้างเบิกบานใจ นางคิดว่าตนทำเรื่องดีเรื่องหนึ่งโดยการปล่อยปลาตัวนั้น ปลาตัวนี้จะต้องขอบคุณนางแน่นอน มันจะได้กลับไปอยู่กับบิดามารดา แต่ทันทีที่นางตอบไปว่าใช่ ยังไม่ทันพูดจบประโยค ทะเลสาบด้านหลังเกิดน้ำวนยักษ์ขึ้นอย่างกะทันหันยิ่ง แทบเป็นช่วงที่มันโผล่มา ก็มีร่างเงาดำหนึ่งบินออกมาจากในนั้น

เงาดำนั้นขยับวูบวาบกลางอากาศก่อนกลายเป็นปลาตัวนั้นในขนาดใหญ่หนึ่งจั้งกว่า ด้วยความเร็วของมันพริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้เด็กหญิงน้อยโดยที่นางไม่สังเกตเห็นแม้แต่น้อย ปากมันงับนางเอาไว้ จากนั้นก็พุ่งลงไปในทะเลสาบตรงขอบฐานตกปลาอีกด้านหนึ่ง

เสียงเด็กหญิงน้อยหายไป ตอนที่ถูกลากลงทะเลสาบ นางเห็นสัตว์ที่กัดนางและทำให้นางเจ็บปวดจวนจะหมดสติอย่างชัดเจน รูปลักษณ์มัน…..คือปลาตัวนั้นที่นางเพิ่งปล่อยไป นอกจากขนาดแล้ว เหมือนกันทุกประการ

มีแค่ตอนนี้เท่านั้นที่นางเพิ่งจะเห็นประกายในดวงตาปลาตัวนี้ นั่นไม่ใช่ความตื่นเต้น แต่เป็นประกายดุร้ายเย็นชา

ขณะเดียวกับที่นางจมลงไปในทะเลสาบและเห็นประกายแววตาดุร้ายในสายน้ำอย่างแจ่มชัดนั้น เด็กหญิงน้อยที่พูดไม่ออกริมฝีปากสั่นระริก สีหน้าสับสน ริมฝีปากยังกล่าวคำพูดหนึ่งที่ซูหมิงเห็นแล้วก็เข้าใจว่านางจะพูดอะไร

“เพราะเหตุใด…..”

ซูหมิงเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น เขาไม่ได้ห้าม นี่คือการเลือกของไป๋เฟิ่ง ตอนที่นางเลือกยกตาข่ายที่มีปลาตัวนี้ขึ้น ทุกอย่างได้ลิขิตเอาไว้แล้ว

ที่นี่ไม่ใช่โลกจริงๆ นี่คือวัฏจักรที่เป็นมายา ทุกอย่างที่นี่เกิดขึ้นได้หมด

เสียงปุดๆ ดังมาจากในน้ำ โลหิตจำนวนมากย้อมทะเลสาบเล็กแห่งนี้จนเป็นสีแดง ซูหมิงมองอยู่เงียบๆ ก่อนหลับตาลง ผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อลืมตาอีกครั้ง ดวงตาเขาเป็นประกายรวดเร็วและดุดัน แต่กลับนำสายคันเบ็ดโยนลงไปในทะเลสาบเงียบๆ แล้วหลับตาลงอีกครั้ง

ฟ้าค่อยๆ มืดลง เริ่มเกิดฝนตก….

ครั้นซูหมิงหลับตาลง โลกที่เขาอยู่พลันหยุดนิ่งและแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จนกลายเป็นเศษเหลือคณานับแล้วก็รวมขึ้นอีกครั้ง เหมือนกับว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ก็เหมือนว่า….จะเกิดการเปลี่ยนแปลง

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร หลังซูหมิงลืมตาอีกครั้ง เขาเห็นท้องฟ้าคราม บนฟ้ามีฝนตกพรำๆ สายฝนตกลงบนหินดังซ่าๆ จนเกิดหมอกขึ้นเต็มเมืองที่เขาอยู่

เขาไม่ใช่ชายชราตกปลาอีก แต่เป็นชายวัยกลางคนสวมอาภรณ์สีน้ำเงินอมแดง ถึงบอกว่าเป็นวัยกลางคน แต่เส้นผมเขาก็มีสีขาวไม่น้อย เขานั่งอยู่บนเก้าอี้โยก ใต้ชายคา มองฝนบนฟ้า มองไข่มุกของชายคา มองเมฆดำเคลื่อนไหวช้าๆ มองดวงตะวันยามอัศดงที่ถูกเมฆดำปกคลุม แต่กลับยังเห็นได้รางๆ

นี่คือเมืองเงียบสงบแห่งหนึ่งกลางสายฝนในยามโพล้เพล้

เรือนที่ซูหมิงอยู่เป็นโรงละคร บนดินเหนียวมีพืชหญ้าปลูกไว้ไม่น้อย ยามนี้หญ้าเหล่านั้นเหมือนจะได้รับสารอาหารไม่น้อยกลางสายฝน

เรือนหลังนี้ไม่ใหญ่ มีแค่ซูหมิงที่อาศัยอยู่คนเดียว เขาคือหมอที่มีชื่อเสียงอยู่บ้างคนหนึ่งในเมืองนี้ คอยช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ช่วยชีวิตคนไปแล้วไม่น้อย

เวลาผ่านไปช้าๆ สายฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ตกลงบนแผ่นดินทำให้ยามค่ำคืนมาถึงเร็วกว่าเดิม และทั้งเมืองนี้ยังตกอยู่ในความมืด มีเพียงแสงไฟที่สว่างในบ้านแต่ละแห่งเท่านั้นที่เหมือนจะ

เป็นตัวเหนี่ยวนำบางอย่างกลางความมืด ทำให้คนไม่รู้สึกโดดเดี่ยว….

ซูหมิงยืนขึ้นจากเก้าอี้โยกนั้นช้าๆ เขายังจำได้ว่าเขาคือซูหมิง เพียงแต่ว่าเขาก็พบว่าความทรงจำไม่ชัดเจน ราวกับว่าหนึ่งชีวิตสำหรับเขายาวนานมาก นานจนใกล้จะถูกลืมแล้ว

‘นี่คือวัฏจักรอย่างนั้นหรือ เพียงแค่สองครั้งข้าก็เป็นถึงขนาดนี้แล้ว บางทีครั้งที่สามหรือครั้งที่สี่ ข้าอาจจะลืมว่าข้ามาที่นี่ได้อย่างไร…..’ ซูหมิงยืนขึ้นเงียบๆ มือถือตะเกียง แสงตะเกียงแกว่งไปมาตรงหน้าเขา เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ทำให้ตัวเขามีกลิ่นอายผ่านโลกมาอย่างโชกโชนเพิ่มเข้ามา

ตอนนี้เองมีเสียงปังๆ ดังแว่วมาอย่างรีบร้อน นั่นคือมีคนกำลังเคาะประตูอย่างร้อนรนข้างนอก

“หมอโม่อยู่หรือไม่ ขอให้หมอโม่ช่วยคนด้วย!”

ซูหมิงหันไปมองกระตูก่อนรีบเดินเข้าไป หลังฝ่าสายฝนเปิดประตูแล้วก็เห็นชายร่างกำยำสองคนนอกประตูรวมถึงอีกเจ็ดแปดคนข้างหลังพวกเขาที่กำลังแบกเกี้ยวพังๆ

ชายร่างกำยำสองคนนั้นมีหน้ำตาคล้ายกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นพี่น้องกัน ยามนี้คนทางซ้ายมองซูหมิงด้วยสีหน้าร้อนใจ ซ้ำยังเดินเข้ามาดึงมือซูหมิง

“หมอโม่ช่วยด้วย ภรรยาข้าใกล้จะคลอดแล้ว หมอโม่ช่วยด้วย!”

ชายร่างกำยำคนนั้นมีท่าทีร้อนรน เขาดึงมือซูหมิงพลางเรียกให้คนที่แบกเกี้ยวข้างหลังเข้ามา

“เดี๋ยว ภรรยาเจ้าจะคลอด ควรจะไปหาหมอตำแย เรื่องนี้….” ซูหมิงนิ่งอึ้งไป ตอนนี้เขาเหมือนลืมฐานะในอดีตของตน มันเหมือนกับว่าเขาหลอมรวมเข้ามาใน โลกนี้จริงๆ จึงกล่าวออกไปโดยจิตใต้สำนึก

“แต่ว่า…..เฮ้อ หมอโม่ เรื่องนี้พูดยาว แต่ชีวิตภรรยาข้าแขวนบนเส้นด้ายแล้วจริงๆ หมอโม่ ขะ…ข้าจะโขกศีรษะให้ท่าน!” ชายร่างกำยำคนนั้นลงไปคุกเข่ากับพื้น แล้วโขกศีรษะลงไปหลายทีโดยไม่สนใจน้ำบนพื้นที่จะเปียกอาภรณ์ตรงหัวเข่า

เขาตาแดง ไม่รู้ว่าน้ำที่ไหลจากดวงตาเป็นน้ำตาหรือสายฝนกันแน่ แต่ท่าทางแบบนี้มองไปดุจดั่งสัตว์ร้ายที่มีแต่ความสิ้นหวัง ประหนึ่งว่าหากซูหมิงไม่ตอบตกลง เขาจะสังหารคน

“เฮ้อ เจ้าลุกขึ้นก่อนเถอะ ข้าจะไป พวกเจ้าไปเอากล่องยามาให้ข้า” ซูหมิงลังเลเล็กน้อย จากนั้นมองชายร่างกำยำคนนั้นแล้วรีบเข้าไปประคองขึ้น

ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูหมิงถือกล่องยาขึ้นไปนั่งบนเกี้ยว จากนั้นก็ถูกแบกฝ่าสายฝนไปอย่างรวดเร็ว มองทอดไกลเห็นแสงไฟในบ้านแต่ละหลังในยามค่ำคืน ขณะที่พวกมันขยับแสงยังมีความเงียบเหงาอยู่ด้วย

ซูหมิงนั่งอยู่บนเกี้ยว กล่องยาวางไว้ใต้เท้า สายตามองเมืองนอกหน้าต่างเกี้ยว เมื่อเกี้ยวถูกแบกเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว ก็เริ่มเห็นเพิงใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นใต้กำแพงเมืองอยู่ไม่ไกล ในนั้นเป็นซุ้มขายบะหมี่ มีคนหลายคนกระจัดกระจายกันนั่งอยู่ ข้างโต๊ะ กำลังกินบะหมี่ร้อนๆ

ตอนนี้เองมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ขณะเดียวกันมีหญิงคนหนึ่งฝ่าฝนมาแต่ไกลๆ พลางสะอื้อไห้ร้องเสียงแหลมเล็กราวกับคนบ้า

“เฟิ่งเอ๋อร์ เฟิ่งเอ๋อร์…..เหตุใดเจ้ายังไม่กลับมาอีก….”

“เฮ้อ….นั่นมันลูกสะใภ้ตระกูลไป๋….” พอได้ยินเสียงแหลมเล็ก คนในร้านบะหมี่ต่างเงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่งก่อนพากันส่ายศีรษะ พูดขึ้นด้วยเสียงต่ำ

“เด็กหญิงน้อยคนนั้นน่าสงสาร สามวันก่อนถูกปลาตัวใหญ่กระชากลงไปในทะเลสาบ…..”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version