Chapter 4
ศิษย์ดื้อรั้นต้องสั่งสอน
บรรดาอาจารย์คนอื่นๆ กับศิษย์คนอื่นๆ ถึงกับตกตะลึงปากอ้าตาค้างกันไปหมด มีคนผ่านการทดสอบของอาจารย์หยางซีหยุนด้วยหรือ!?
“หา!” เฉินมู่อิ๋งอ้าปากค้าง มองอาจารย์หยางซีหยุนกะพริบตาปริบๆ “ข้าเป็นศิษย์ท่าน?”
“อืม” หยางซีหยุนพยักหน้า สีหน้าเฉยชา ถามน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
“ข้า เฉินมู่อิ๋งขอรับ” เฉินมู่อิ๋งบอก หยางซีหยุนชี้นิ้วลง “คุกเข่า คารวะข้า”
“เอ่อ…ข้ามีคำถามขอรับ” เฉินมู่อิ๋งพูด หยางซีหยุนเลิกคิ้วขึ้น ในดวงตาปรากฎกลิ่นอายเย็นเยียบและคมกริบราวกับจะผ่าแยกสรรพสิ่งตรงหน้าออกเป็น 2 ซีกอย่างไรอย่างนั้น เฉินมู่อิ๋งไม่สนใจความเย็นเยียบและคมกริบนั้น เขาถามคำถามออกไป “ถ้ากราบอาจารย์แล้ว ข้าสามารถกราบอาจารย์คนอื่นได้อีกหรือไม่ขอรับ?”
“เจ้าอยากจะกราบใครเป็นอาจารย์อีกรึ?” หยางซีหยุนถามน้ำเสียงเย็นเยียบ เฉินมู่อิ๋งตอบ “อาจารย์หานเจิ้นตง อาจารย์จงฮ่วน อาจารย์………แล้วก็อาจารย์หงหลินขอรับ”
บรรดาอาจารย์ที่ถูกเอ่ยชื่อล้วนร้อนรนขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นอาจารย์หยางซีหยุนปรายตามองมาที่พวกเขา
“อะแฮ่มๆ เจ้าหนู ข้าเป็นอาจารย์ให้เจ้าไม่ได้หรอก” อาจารย์หานเจิ้นตงรีบบอก อาจารย์หงหลินก็รีบพูดเช่นกัน “เจ้าหนู ข้ารับแต่ศิษย์หญิง”
ใช่ นางรับแต่ศิษย์หญิงจริงๆ ศาสตร์เครื่องหอมนี้มีเพียงสตรีเท่านั้นที่เรียนได้ดีมีประสิทธิภาพที่สุด ส่วนบุรุษนั้นน้อยคนที่จะเรียนได้เพราะศาสตร์เครื่องหอมต้องใช้ความละเอียดยิ่งนักถึงจะปรุงเครื่องหอมออกมาได้
“อ่า…ข้ารับเจ้าไม่ได้หรอก” อาจารย์คนอื่นๆ รีบปฏิเสธ ทำให้เฉินมู่อิ๋งหันไปมองอาจารย์หยางซีหยุน เขาเห็นนะว่าอาจารย์หยางผู้นี้ส่งสายตากดดันอาจารย์คนอื่นๆ น่ะ! เขาจึงรู้สึกไม่ชอบอาจารย์หยางคนนี้ขึ้นมาทันที เขาจ้องอาจารย์หยางซีหยุนแล้วบอกว่า “ข้าไม่กราบท่านเป็นอาจารย์ขอรับ ข้าอยากกราบอาจารย์หานเจิ้นตงเป็นอาจารย์ขอรับ”
คนอื่นๆ ได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่มคนนั้นถึงกับปากอ้าตาค้างกันไปเลย “โอ!”
“ไอหยา!” พวกอาจารย์ร้องคนละคำ โดยเฉพาะอาจารย์หานเจิ้นตงที่รู้สึกเหมือนตกลงไปในโพรงน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น มีความคิดหนึ่งดังในหัวเขาว่า ‘เจ้าหนูนั่น หาเรื่องให้ข้าเสียแล้ว!’
อาจารย์หยางซีหยุนไม่เคยรับศิษย์สักคน เพราะยังไม่เคยมีใครแก้หมากของเขาได้ แม้แต่อาจารย์ด้วยกันเองก็ยังไม่อาจแก้หมากของอาจารย์หยางซีหยุนได้เลย จู่ๆ เจ้าเด็กนั่นทำให้อาจารย์หยางซีหยุนอยากรับเป็นศิษย์ขึ้นมา แล้วพวกเขาจะกล้าแย่งศิษย์กับอาจารย์หยางซีหยุนรึ! ไม่กล้า! ไม่กล้าแม้แต่นิดเดียว! ไม่กล้าเด็ดขาด เจ้าเด็กนั่นถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องเป็นศิษย์อาจารย์หยางซีหยุนเท่านั้น!
“หึ! วิชาหลอมอาวุธ ข้าเก่งกว่าเขา” หยางซีหยุนแค่นเสียงพูดอย่างเย็นชา เย่อหยิ่ง อาจารย์หานเจิ้นตงรีบพยักเพยิด “ใช่ๆ อาจารย์หยางเก่งกว่าข้าจริงๆ เจ้าหนู เจ้าโชคดีแล้วรู้ไหม เจ้ารีบกราบอาจารย์หยางเสียซิ”
“เก่งกว่าท่าน?” เฉินมู่อิ๋งมองอาจารย์หานเจิ้นตงแล้วมองอาจารย์หยางซีหยุน อาจารย์หานเจิ้นตงรีบพยักเพยิด “ใช่ๆ เรื่องหลอมอาวุธ อาจารย์หยางเก่งกว่าข้าจริงๆ เจ้าน่ะโชคดีแล้วที่ได้กราบอาจารย์หยางเป็นอาจารย์”
“แต่ข้าไม่อยากกราบอาจารย์หยางเป็นอาจารย์นี่” เฉินมู่อิ๋งบอก คนอื่นๆ ฟังแล้วหน้าเปลี่ยนสีกันแล้ว พวกเขามองอาจารย์หยางซีหยุนเป็นตาเดียว หยางซีหยุนลุกขึ้นยืนเก็บกระดานหมากไปแล้วพูดว่า “ศิษย์ดื้อรั้นต้องสั่งสอน”
เขาพูดจบแล้วก็พุ่งเข้าไปคว้าคอเสื้อเจ้าเด็กดื้อรั้นทันที เฉินมู่อิ๋งเบี่ยงตัวหลบวูบ ทำให้มืออาจารย์หยางพลาดจากอาภรณ์ไปเพียงนิดเดียว เฉินมู่อิ๋งก้าวถอยไปหลายก้าวทันที หยางซีหยุนคว้าพลาดก็หยุดอยู่ตรงนั้น มองเด็กหนุ่มด้วยแววตามาดหมาย “มีฝีมือนี่”
คนอื่นๆ ปากอ้าตาค้างกันถ้วนหน้า พวกเขารู้ดีว่าอาจารย์หยางโกรธขึ้นมาแล้ว พวกอาจารย์ทั้งหลายมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก หานเจิ้นตงรีบพูด “เจ้าหนู เจ้ากราบอาจารย์หยางเป็นอาจารย์เสียเถอะ อย่าทำให้อาจารย์หยางโกรธเลย เจ้าขึ้นเขามาก็ตั้งใจจะกราบอาจารย์มิใช่รึ บัดนี้อาจารย์ที่เก่งกาจอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว ทั่วทั้งสำนักเจ้าก็หาอาจารย์ที่เก่งกาจกว่าอาจารย์หยางไม่ได้อีกแล้ว เจ้ารีบกราบอาจารย์เสียเถอะ”
“ข้าไม่อยากกราบเขาเป็นอาจารย์” เฉินมู่อิ๋งพูดอย่างหนักแน่น คนอื่นๆ ตกตะลึงอีกรอบ คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนั่นจะดื้อรั้นถึงเพียงนี้ หยางซีหยุนเหยียดยิ้มเย็นชา รอยยิ้มนี้ทำให้พวกอาจารย์หัวใจหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มกันเลยทีเดียว หยางซีหยุนยกมือขึ้นวาดอักขระอาคมกลางอากาศ แล้วผลักอักขระอาคมนั้นไปใส่เด็กหนุ่มดื้อรั้นคนนั้น
เฉินมู่อิ๋งเห็นอาคมแปลกๆ กำลังพุ่งมาทางตัวเอง เขาจึงรีบก้าวหลบ แต่อาคมนั้นกลับตามติดเขาราวกับหมาล่าเนื้อ เขาวิ่งหนีมันไปรอบๆ ลาน ยิ่งวิ่งคล้ายกับว่าเรี่ยวแรงเขาค่อยๆ หดหายไปเรื่อยๆ เรื่องนี้ทำให้เขาขบริมฝีปากแน่นอย่างไม่ยอมแพ้ จนในที่สุดเขาก็หนีไม่พ้น อักขระอาคมนั้นพุ่งมาถึงตัวเขาแล้วผนึกเขาไว้ข้างใน เขารู้สึกตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที แม้จะกระดิกนิ้วยังทำไม่ได้เลย เขาอ้าปาก ก็พบว่าตัวเองอ้าปากไม่ขึ้น คล้ายกับร่างกายเขาเหมือนกลายเป็นหินไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น นี่มันคล้ายกับพิษศิลายิ่งนัก!
หยางซีหยุนก้าวเดินไปหาเฉินมู่อิ๋งแล้วคว้าคอเสื้ออย่างง่ายดาย จากนั้นเขาก็หิ้วเจ้าหนูดื้อรั้นคนนี้ขี่กระบี่กลับเขาไผ่ของเขา
“อา…” ผู้คนตกตะลึงกันอีกครั้ง มองดูอาจารย์หยางซีหยุนที่ลอยพุ่งจากไป พวกอาจารย์พากันถอนหายใจพรูออกมา “เฮ้อ…”
พวกเขาได้แต่หวังว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะยอมกราบอาจารย์ดีๆ เถอะ ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าอาจารย์หยางซีหยุนจะลงโทษเด็กคนนั้นอย่างไรบ้าง พวกศิษย์ฝึกหัดได้แต่มองดูอย่างงงๆ พวกเขายังไม่รู้กิตติศัพท์ของอาจารย์หยางซีหยุน พวกเขารู้แค่ว่าอาจารย์หยางผู้นั้นหล่อเหลาปานเทพเซียน ทำให้หัวใจของสตรีทั้งหลายเต้นตูมตามอยากจะเชยชมอาจารย์ท่านนั้นยิ่งนัก
กว่าผู้คนจะตั้งสติอีกครั้งได้ก็ผ่านไปพักใหญ่ พวกอาจารย์จึงบ้างตบมือ บ้างกระแอมไอ เรียกสติของศิษย์ทั้งหลายให้กลับคืนมา
แปะๆ “เอ้าๆ ทดสอบต่อๆ”
“อะแฮ่มๆ ทดสอบต่อเถอะ มาๆ เจ้าน่ะเข้ามา”
พวกศิษย์ฝึกหัดหันไปมองอาจารย์ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา แล้วตั้งสติให้ดีๆ จากนั้นก็ทำการทดสอบตามแต่ที่อาจารย์แต่ละคนกำหนดไว้
หยางซีหยุนหิ้วเฉินมู่อิ๋งกลับถึงเขาไผ่ของเขา ก็ยืนอยู่หน้าเรือนไผ่ เก็บกระบี่เซียนไปแล้วมองเฉินมู่อิ๋ง จากนั้นก็จับเฉินมู่อิ๋งมัดขากับต้นไผ่ต้นหนึ่ง ห้อยหัวลงมาเหมือนค้างคาวอย่างไรอย่างนั้น เฉินมู่อิ๋งมองจ้องอาจารย์หยางอย่างโกรธจัด เขาถูกมัดห้อยหัวอยู่กลางอากาศ ไม่อาจกระดุกกระดิกตัวได้เลย หน้าเขาค่อยๆ แดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ เพราะเลือดไหลลงหัว หยางซีหยุนมองเฉินมู่อิ๋งแล้วบอกว่า “เจ้าอยู่ตรงนี้คิดๆ ไปเถอะ กราบข้าเป็นอาจารย์เมื่อไหร่ข้าจะปล่อยเจ้าลงมา”
เฉินมู่อิ๋งมองจ้องอาจารย์หยางอย่างโมโหสุดขีด ตั้งแต่เกิดมาจำความได้ ไม่เคยมีใครทำให้เขาเสียเปรียบถึงเพียงนี้เลย อาจารย์แต่ละคนของเขาล้วนเป็นเขาเต็มใจกราบทั้งนั้น อีกทั้งอาจารย์ทั้งหลายก็มีเมตตาต่อเขามากยิ่งนัก อย่างเช่นผู้เฝ้ามองคนนั้นที่ดูเหมือนดุ แต่จริงๆ แล้วใจดีมาก ให้เขาดูชีวิตของคนตั้งมากมายจนเขาฉลาดเฉลียวอย่างทุกวันนี้ อย่างพี่สาวมังกร ก็ใจดีมากนัก อาจารย์เฟยเทียนก็ดีกับเขา ยิ่งอาจารย์กู่เสียนฟางยิ่งใจดีมากที่สุด เขาอยากตะโกนใส่หน้าอาจารย์หยางผู้นี้นักว่า ‘เจ้าไม่คู่ควรเป็นอาจารย์ข้า!’
แต่เขาก็ทำไม่ได้ ปากเขายังขยับไม่ได้เลย ตัวเขาแม้แต่จะกระดิกนิ้วก็ทำไม่ได้ เขาแค้นใจนัก แค้นใจจนตาแดงก่ำแล้ว
“อะไร แค่นี้ก็จะร้องไห้แล้วรึ” หยางซีหยุนพูดน้ำเสียงเย็นชา เฉินมู่อิ๋งอยากจะพูดยิ่งนักว่า ‘ข้าไม่ได้ร้องไห้!’ แต่เขาก็พูดไม่ได้ จึงได้แต่ถลึงตามองอาจารย์หยางอย่างโมโหสุดขีด คอยดูเถอะ เขาจะทำให้อาจารย์หยางผู้นี้ต้องเสียใจไปชั่วชีวิตเลยทีเดียว!
หยางซีหยุนนั่งลงบนเก้าอี้ เขาหยิบตำราหลายม้วนออกมาจากถุงฟ้าดินที่เอว เขากางตำราม้วนหนึ่งแล้วถือไปยืนตรงหน้าเฉินมู่อิ๋ง “เจ้าดูซิ ตำราหลอมอาวุธของข้าดีกว่าของหานเจิ้นตงเสียอีก”
เฉินมู่อิ๋งมองตำราม้วนนั้นแล้วเบนสายตาไปเหมือนไม่อยากมอง หยางซีหยุนเก็บตำราหลอมอาวุธแล้วหยิบตำราเครื่องหอมมาเปิดตรงหน้าเฉินมู่อิ๋ง “ดูตำราเครื่องหอมของข้าซิ ละเอียดกว่าตำราของหงหลินอีก”
เฉินมู่อิ๋งมองแล้วเบนสายตาไปอีก หยางซีหยุนเก็บตำราเครื่องหอมไปแล้วหยิบตำราหลอมโอสถมาเปิดตรงหน้าเฉินมู่อิ๋ง “ดูตำราหลอมโอสถนี่ซิ ดีกว่าของจงฮ่วนอีกนะ”
เฉินมู่อิ๋งมองแล้วเบนสายตาไปอีก หยางซีหยุนก็เก็บตำราไปแล้วหยิบตำราม้วนอื่นๆ มาเปิดตรงหน้าเฉินมู่อิ๋ง พลางพูดอวดตำราของตัวเองว่าดีกว่าของอาจารย์คนอื่นๆ เฉินมู่อิ๋งมองแล้วเบนสายตาไปไม่สนใจ หยางซีหยุนก็ยังคงเอาตำรามาเปิดให้เฉินมู่อิ๋งดูไม่น้อยเลย แต่เฉินมู่อิ๋งก็ไม่สนใจ จนกระทั่งหยางซีหยุนเอาตำราอาคมมาเปิดให้เฉินมู่อิ๋งดู “เจ้าดูตำราอาคมของข้าซิ ข้าบอกไว้ก่อนนะว่าอาจารย์คนอื่นๆ ไม่อาจสอนเจ้าได้แน่เพราะข้าเก่งเรื่องอาคมอย่างไรล่ะ อาคมในสำนักล้วนเป็นข้าสร้างทั้งหมด แม้แต่อาคมที่ผนึกเจ้าก็เป็นตำราของข้าเช่นกัน”
เฉินมู่อิ๋งมองตำราอาคมอย่างสนใจ หยางซีหยุนเห็นสายตาสนใจของเฉินมู่อิ๋งเขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาเก็บซ่อนความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ภายใต้สีหน้าเย็นชา แล้วพูดว่า “หึ! ข้ารึอยากจะรับเจ้าเป็นศิษย์ แต่เจ้าไม่อยากเป็นศิษย์ข้าก็ช่างเถอะ เจ้าลงเขาไปเสียเถอะ”
เขาพูดจบแล้วก็คลายอาคมผนึกออก เฉินมู่อิ๋งรู้สึกว่าร่างกายไม่แข็งทื่ออีกแล้ว เขาจึงเปิดปากพูด “โอย ปวดหัว”
เขาถูกมัดห้อยหัวมาตั้งนานจะไม่ปวดหัวได้อย่างไร เขาพยายามงอตัวขึ้นไปแกะเชือกที่ขาออก แต่แล้วเขาก็ทิ้งตัวลงมาเหมือนไม่มีแรง “โอย”
หยางซีหยุนใช้กระบี่เซียนตัดเชือกออก ฉับ!
ตุบ! เฉินมู่อิ๋งร่วงตกลงมา ต้นไผ่ก็ดีดผึงขึ้นไป ฟิ้ว!
“โอย” เฉินมู่อิ๋งกระแทกพื้นดิน เขาไม่เจ็บเท่าไหร่ แต่มึนๆ หัวมากกว่า เขานอนหมอบอยู่ตรงนั้น หยางซีหยุนถาม “จะกราบข้าเป็นอาจารย์ได้รึยัง?”
“ข้าปวดหัว” เฉินมู่อิ๋งคราง เอามือกุมหัวตัวเอง หยางซีหยุดหยิบโอสถเม็ดหนึ่งออกมาจากถุงฟ้าดิน เขาก้าวไปยืนข้างๆ เฉินมู่อิ๋งแล้วยอบตัวลงจับคางเรียวเล็กนั่นแล้วบีบให้อ้าปาก จากนั้นก็ยัดโอสถเม็ดนั้นเข้าไปจนถึงคอหอย เฉินมู่อิ๋งตาเหลือก “อ๊อกๆ”
จู่ๆ ถูกยัดโอสถเข้ามาในปากจนถึงคอหอยแบบนี้ทำเขารู้สึกจุกคอเลย หยางซีหยุนดึงมือออกแล้วปิดปากเฉินมู่อิ๋งเอาไว้ไม่ให้เขาคายโอสถออกมาได้ เฉินมู่อิ๋งดิ้นอึกอักๆ ครู่หนึ่งเม็ดโอสถก็ไหลลงคอไป เขารู้สึกเหมือนถูกกรรมตามสนองอย่างไรอย่างนั้น จำได้ว่าครั้งหรือสองครั้งเขาก็เคยกรอกโอสถใส่ปากองค์รัชทายาทเช่นนี้กระมัง
สักพักหยางซีหยุนก็ปล่อยมือแล้วลุกขึ้นถอยไปนั่งที่เก้าอี้ เขาเช็ดๆ นิ้วกับผ้าเช็ดหน้าอย่างรังเกียจเพราะเปื้อนน้ำลายตอนยัดโอสถให้เฉินมู่อิ๋ง เฉินมู่อิ๋งรู้สึกว่าในท้องร้อนวูบๆ สักพักอาการมึนหัวก็ค่อยๆ หายไป เขายังคงนอนอยู่ตรงนั้น หยางซีหยุนมองแล้วบอกอย่างเย็นชาว่า “จะกราบข้าเป็นอาจารย์ได้รึยัง? เจ้าเลิกเสแสร้งได้แล้ว”
เฉินมู่อิ๋งยันตัวลุกขึ้นมา พูดว่า “ถ้าท่านให้ตำราอาคมม้วนนั้น ข้าจะกราบท่านเป็นอาจารย์ก็ได้”
“หึ!” หยางซีหยุนแค่นเสียงเย็นชาคำหนึ่ง หยิบตำราอาคมม้วนนั้นโยนไปให้เฉินมู่อิ๋ง เฉินมู่อิ๋งรับมาแล้วเก็บใส่อกเสื้อทันที จากนั้นเขาก็นั่งคุกเข่ากราบอาจารย์ 3 ครั้ง หยางซีหยุนมองอย่างพอใจ แล้วชี้นิ้วไป “เจ้าไปหาที่อยู่เอาเอง จำไว้ว่าอยู่ห่างจากเรือนข้าอย่างน้อย 100 เมตร”
“ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งรับคำแล้วลุกขึ้นเดินออกไป หยางซีหยุนมองตามจนเฉินมู่อิ๋งเดินหายลับไปในป่าไผ่
ทางด้านอาจารย์ที่กำลังทดสอบศิษย์อยู่นั้น หลังจากทดสอบศิษย์และรับศิษย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ให้ศิษย์ฝึกหัดเหล่านั้นเข้าแถวรอทดสอบพลังกับหินวัดระดับพลังเซียน พวกศิษย์ฝึกหัดก็เข้าแถวเดินไปวางมือบนหินทดสอบพลังทีละคน…ทีละคน บางคนมีพลังระดับแรกเริ่ม บางคนมีพลังขั้นกลาง ซึ่งก็คือคนที่มีตำแหน่งเป็นองค์หญิงในโลกมนุษย์ แต่ไม่มีใครมีพลังขั้นสูงเลยสักคน ส่วนใหญ่แล้วมีพลังระดับแรกเริ่ม ขั้นพลังเซียนก็แบ่งออกเป็น 3 ระดับใหญ่ ขั้นแรกเริ่ม ขั้นกลาง ขั้นสูง แต่ละขั้นแบ่งเป็น 5 ขั้นย่อยอีก องค์หญิงฟางหรง (芳荣) ที่มีระดับพลังขั้นกลางแม้จะอยู่ในขั้นกลางแต่ก็ยังอยู่ในขั้นแรกของขั้นกลาง ทำให้นางรู้สึกลำพองใจยิ่งนัก
“อ่า เด็กคนนั้นยังไม่ได้วัดระดับพลังเลย” อาจารย์หานเจิ้นตงพูดขึ้นมา อาจารย์คนอื่นๆ รู้ว่าเขาหมายถึงเด็กคนไหนทันที แน่นอนว่าหมายถึงเฉินมู่อิ๋งที่ถูกอาจารย์หยางพาตัวไปก่อนนั่นเอง อาจารย์หรงเจ๋อจึงบอกว่า “ช่างเถอะๆ”
อาจารย์คนอื่นๆ ก็เห็นคล้อยตามทันที พวกเขาก็ไม่ค่อยอยากไปยุ่งกับศิษย์ของอาจารย์หยางหรอก เมื่อเห็นพ้องกันเช่นนั้นแล้วพวกเขาจึงบอกให้ศิษย์สายนอกพาศิษย์ฝึกหัดเหล่านี้ไปที่พัก พวกศิษย์สายนอกก็พาศิษย์ฝึกหัดไปที่พัก ศิษย์ฝึกหัดเดินตามศิษย์พี่ไปอย่างตื่นเต้น พวกอาจารย์ก็แยกย้ายกันไป ศิษย์คนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไปเช่นกัน
เฉินมู่อิ๋งเดินดูสถานที่บนเขาไผ่ไปทั่วๆ จนกระทั่งเจอสถานที่เหมาะๆ ซึ่งอยู่ตรงตีนเขาไผ่ มีธารน้ำร้อนไหลผ่าน ที่เขาเลือกสถานที่ตรงนี้ก็เพราะมันมีธารน้ำร้อนไหลผ่านนี่แหละ แม้ว่าธารน้ำร้อนจะเป็นเพียงธารน้ำสายเล็กๆ แคบๆ แต่ถ้าขุดบ่อกั้นผนังให้ดีมันก็จะกลายเป็นห้องอาบน้ำที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว เขาจึงมองๆ สถานที่แล้ววาดผังก่อสร้างไว้ในใจ เมื่อวาดผังเสร็จแล้วเขาก็มองต้นไผ่ที่มีอยู่เยอะมาก “ตัดไม้มาปลูกเป็นเรือนไผ่”
เขาเอาขวานออกมาจากแหวนคุนเฉียน แล้วตรงไปที่ต้นไผ่ เขาลงมือฟันขวานลงไป โป๊ก!
ขวานกระเด้งออกเหมือนฟันหินผาไม่มีผิด เขามองคมขวานที่บิ่นแตกออก ตัวขวานร้าวไปหมด เขามองต้นไผ่อย่างเหลือเชื่อ “แข็งเกินไปแล้ว!”
เขาทิ้งขวานลงพื้นแล้วยื่นมือไปดีดๆ ต้นไผ่ มีเสียงดังทึบๆ เหมือนเคาะหินภูเขาอย่างไรอย่างนั้น ทำให้เขารู้ว่าอาวุธธรรมดาๆ ของโลกมนุษย์ไม่อาจตัดไผ่นี้ได้แน่ “เช่นนั้นก็ต้องใช้อาวุธเซียนซินะ”
เขาคิดๆ แล้วค้นอาวุธในแหวนคุนเฉียน แต่ก็ไม่มีอาวุธเซียนซักชิ้น มีแต่อาวุธจากโลกมนุษย์แล้วก็อาวุธที่เก็บมาจากถ้ำในตอนเข้าทดสอบจ้าวตระกูลหวงในคราวนั้น เขาหยิบขวานสีดำอมม่วงออกมาเล่มหนึ่ง แล้วฟันต้นไผ่
ตู้ม! ต้นไผ่ระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้เฉินมู่อิ๋งตกใจจนถอยหลังกรูด เขามองต้นไผ่ต้นนั้นที่ระเบิดจนกลายเป็นเศษซากปลิวว่อนไปทั่วบริเวณอย่างตกตะลึง แล้วมองขวานสีดำอมม่วงในมือตัวเอง “นี่ก็แข็งแกร่งเกินไป”
ฟันทีเดียวทำให้ต้นไผ่ระเบิดได้เลย ขวานนี้แข็งแกร่งเกินไปจริงๆ อีกทั้งเพียงแค่ฟันไปทีเดียวเท่านั้นเขารู้สึกเหมือนไร้เรี่ยวแรงราวกับไปเดินขึ้นบันไดสำนักมาสักครึ่งทางอย่างไรอย่างนั้น “ขวานนี่สูบพลังข้ามากเกินไป”
เขารีบเก็บขวานไปทันที เสียงระเบิดดังขนาดนี้น่าจะทำให้อาจารย์หยางคนนั้นรีบมาดูแน่นอน แล้วก็เป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ หยางซีหยุนซึ่งกำลังนั่งจิบชาอยู่ได้ยินเสียงดังตูม เขาวางถ้วยชาลงทันทีแล้วพุ่งไปตามเสียงอย่างเร่งรีบ ไม่กี่อึดใจต่อมาเขาก็ยืนอยู่ตรงตีนเขา เห็นเฉินมู่อิ๋งยืนอยู่ตรงนั้นหน้าตาตื่นๆ เศษไผ่ปลิวว่อนไปในอากาศค่อยๆ ตกลงบนพื้น เขาก้าวเดินไปหาเฉินมู่อิ๋ง ถามน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าทำอะไร?”
“ข้าไม่ได้ทำอะไรนะขอรับ จู่ๆ ต้นไผ่ก็แตกเอง ฮู้! อาจารย์ นี่มันสถานที่บ้าอะไรกันเนี่ย!?” เฉินมู่อิ๋งวิ่งไปหาอาจารย์หยางอย่างตื่นกลัว ทำหน้าตาไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างแนบเนียนยิ่ง หยางซีหยุนมองๆ แล้วไม่เห็นความผิดปกติอะไร เขาจึงเดาว่า บางทีต้นไผ่อาจจะดูดซับพลังฟ้าดินมากเกินไปกระมังจึงได้ระเบิดออก แน่นอนว่าไผ่บนเขาถูกลงอาคมให้รวมพลังฟ้าดินเข้าไป เพื่อที่ลำไผ่จะได้แข็งแกร่งกว่าไผ่เซียนทั่วไป เมื่อหาสาเหตุแน่ชัดไม่ได้เขาก็คิดเช่นนี้ไปก่อน
เฉินมู่อิ๋งชี้ไปที่ขวานบิ่นๆ ร้าวๆ แล้วพูดว่า “ข้าแค่จะตัดต้นไผ่มาสร้างกระท่อม แต่ดูซิขอรับ ขวานข้าบิ่นหมดแล้ว”
“หึ! ขวานธรรมดาๆ จะตัดไผ่นี่ได้อย่างไร” หยางซีหยุนแค่นเสียงอย่างเย็นชา “ไผ่บนเขาข้าถูกลงอาคมให้ดูดซับพลังฟ้าดินเข้าไป มันย่อมแข็งแกร่งกว่าไผ่เซียนทั่วไป เจ้าเอาขวานของโลกมนุษย์มาตัดมันไม่ได้หรอก ต้องใช้อาวุธเซียนตัดมัน มันถึงจะขาด”
“อ่อ ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้าหงึกๆ หยางซีหยุนหยิบขวานเล่มหนึ่งออกมาจากถุงฟ้าดิน โยนลงพื้น “เอ้า”
แล้วเขาก็เดินจากไป เฉินมู่อิ๋งมองขวานเซียนเล่มนั้นแล้วมองตามอาจารย์ไป เขายิ้มบางๆ ฮี่ๆๆๆ…
เขาหยิบขวานขึ้นมาแล้วลงมือตัดต้นไผ่ เสียงตัดไม้ดังกังวานออกไป หยางซีหยุนฟังเสียงแล้วเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ในที่สุดเขาก็มีลูกศิษย์กับเขาเสียที แม้ว่าเจ้าศิษย์คนนี้จะดื้อรั้นมากไปหน่อยก็เถอะ ยังไงซะเป็นศิษย์เขาแล้ว เขาก็ตั้งใจว่าจะสั่งสอนให้ดีๆ เลยเชียว ศิษย์เขาจะต้องเก่งกาจเหนือกว่าใครๆ แน่นอน เขาวางแผนเคี่ยวกรำศิษย์อยู่ในใจ
เวลาผ่านไป 10 วัน ในที่สุดเฉินมู่อิ๋งก็สร้างกระท่อมเสร็จ เขาปาดเหงื่อออกจากไรผม ยืนมองกระท่อมหลังแรกที่สร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เมื่อก่อนเขามีบ่าวไพร่มากมาย จะทำอะไรก็ไม่ต้องลงมือทำเอง แต่ตอนนี้บ่าวไพร่แม้แต่คนเดียวยังไม่มี เขาต้องพึ่งพาตัวเองจริงๆ แล้ว เขาเก็บขวานไปแล้วเดินเข้าไปในกระท่อมปิดประตูแล้วถอดอาภรณ์ที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อออก จากนั้นก็เข้าไปในห้องอาบน้ำลงแช่ในบ่อน้ำร้อนที่เขาขุดเอาไว้ ความรู้สึกผ่อนคลายทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมากจริงๆ “โอ้! จริงซิ ข้ายังไม่ได้ซักผ้า”
เขานึกขึ้นได้แล้วก็รีบลุกไปหยิบอาภรณ์มาซัก ซักเสร็จก็ใส่ไว้ในกระบุงไม้ไผ่ที่เขาสานเอง ไม้ไผ่ยังเขียวสดอยู่เลย สีเขียวซีดจางไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซักผ้าเสร็จแล้วเขาก็นั่งแช่น้ำต่อ แช่จนพอใจแล้วก็ลุกขึ้นจัดแจงแต่งตัวแล้วเอาอาภรณ์ไปตากข้างห้องอาบน้ำ เขาไม่อาจเอาอาภรณ์ไปตากข้างนอกได้ ไม่เช่นนั้นหากคนอื่นเห็นเอี๊ยมย่อมต้องสงสัยแน่นอน บุรุษที่ไหนใส่เอี๊ยมกันล่ะ มีแต่สตรีเท่านั้นแหละที่ใส่เอี๊ยม
หลังจากตากผ้าแล้วเขาก็เปิดประตูเดินออกไป เขารู้สึกหิวมากจึงถือขวานเซียนอันนั้นไปหาขุดหน่อไม้ ครั้นได้หน่อไม้มาแล้วเขาก็เดินตรงไปยังธารน้ำปกติ ตรงธารน้ำนั้นมีปลาสีรุ้งเลื่อมพรายอยู่เป็นฝูงใหญ่ทีเดียว เขาตกปลามาตัวหนึ่งแล้วก็หิ้วกลับกระท่อมไป จัดแจงต้มปลากับหน่อไม้สดๆ หลังจากต้มเสร็จแล้วเขาก็ยกหม้อไปตั้งบนโต๊ะนั่งลงกินปลาต้มใส่หน่อไม้อย่างเอร็ดอร่อย หน่อไม้นี้หวานกรอบมาก อีกทั้งกินเข้าไปแล้วเขารู้สึกว่าพลังในตัวเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว ปลาสีรุ้งก็เช่นกัน เนื้อมันหวานอร่อยมาก เขาแค่ใส่เกลือลงไปเล็กน้อยรสชาติก็อร่อยล้ำแล้ว
10 วันมานี่เขากินปลาต้มใส่หน่อไม้มาตลอด ก็อาหารที่หาได้มีแค่ 2 อย่างนี้นี่นา จะให้เขากินเสบียงแห้งในแหวนคุนเฉียนไปเรื่อยๆ เขาก็รู้สึกเบื่อยิ่งนัก แต่ถึงเขาจะกินปลาต้มใส่หน่อไม้มาหลายมื้อแล้วเขาก็ยังไม่รู้สึกเบื่อเลย เขาคิดว่าคราวหน้าจะทำปลานึ่งกับหน่อไม้ดูบ้าง ถึงเขาจะทำกับข้าวไม่ค่อยเก่งแต่ก็เรียนรู้จากพวกสาวใช้มาหลายอย่างทีเดียว ต้ม ผัด แกง ทอด เขาก็ทำได้หลายอย่างอยู่นะ เขากินอิ่มแล้วก็เรอ “เอิ๊กกกก—”
หยางซีหยุนได้ยินเสียงเรอก็นิ่งฟัง แล้วเขาก็ร้องเรียก “เจ้าหนูๆ”
เฉินมู่อิ๋งได้ยินเสียงอาจารย์เรียกจึงลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู เขาเห็นอาจารย์หยางยืนอยู่ห่างจากกระท่อมราวๆ 20 เมตร เขาจึงกุมมือคารวะ “อาจารย์”
“สร้างเสร็จแล้วรึ” หยางซีหยุนมองกระท่อมแล้วบอกว่า “เจ้า…”
เขาชะงักไปเมื่อได้กลิ่นหอมๆ ลอยมากระทบจมูก “หือ?”
เขาขมวดคิ้วครู่หนึ่งแล้วเดินผ่านเฉินมู่อิ๋งเข้าไปในกระท่อมทันที เขามองหม้อที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะไม้ไผ่หยาบๆ ตัวนั้นแล้วใช้ตะเกียบคนๆ ในหม้อ เฉินมู่อิ๋งมองอาจารย์หยางอย่างงงๆ หรือว่าอาจารย์จะหิว?
หยางซีหยุนเห็นหัวปลาที่มีเกล็ดสีรุ้งติดอยู่ที่หัว เขาก็ตะโกนลั่น “ปลาไฉ่หง (彩虹=รุ้ง)ของข้า! เจ้า!”