Skip to content

Dream Gallery Chapter 8

  • by

Chapter 8

รูปปั้น

อรุณมองเอกสารแว๊บเดียว รีบพยักหน้ารับ “30% ก็ไม่เป็นไรค่ะ คุณช่วยรีบไปยกรูปปั้นพวกนั้นไปให้พ้นๆบ้านทีเถอะ เห็นทีไรขนลุกทุกที”

“คือทางเรารับซื้อคืนเฉพาะรูปปั้นเด็กที่คุณวสันต์ซื้อไปเท่านั้นค่ะ ส่วนอีก 2 ตัวคุณวสันต์ไม่ได้ซื้อจากที่ร้านของเราค่ะ” นิมิตราบอกน้ำเสียงเรียบเรื่อย อรุณเบิกตาโต คล้ายจะร้อนใจ “คุณช่วยรับซื้อไปด้วยเลยค่ะ จะราคาเท่าไหร่ป้าก็ไม่เกี่ยงค่ะ”

“แน่ใจว่าจะขายนะคะ?” นิมิตราถามย้ำน้ำเสียงจริงจัง อรุณรีบพยักหน้า “ขายค่ะ คือป้าอยากขายค่ะ”

“ถ้างั้นดิฉันจะรับซื้อไว้ในราคาตัวละ……….บาท ล่ะกันค่ะ” นิมิตราบอก อรุณรีบพยักหน้าหงึกๆ “ค่ะๆ”

ราตรีก็ยื่นสัญญาซื้อขายให้อรุณเซ็น “ถ้าจะขาย คุณเซ็นเอกสารตรงนี้ ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้ค่ะ อ่อ ขอบัตรประชาชนด้วยค่ะ”

อรุณรีบหยิบบัตรประชาชนส่งให้ ราตรีรับไปแล้วเดินไปถ่ายเอกสาร จากนั้นก็เดินกลับมายื่นสำเนาบัตรประชาชนกับบัตรให้อรุณ “เซ็นรับรองสำเนาถูกต้องด้วยค่ะ”

อรุณรีบเซ็นทันที เมื่อเซ็นเสร็จแล้ว ราตรีก็รับสัญญาซื้อขายไปตรวจดูรายละเอียด จากนั้นก็พยักหน้ากับเจ้านาย “เรียบร้อยค่ะ”

ราตรีส่งสัญญาซื้อขายฉบับหนึ่งให้อรุณพร้อมกับเช็คเงินสดแล้วบอกว่า “เดี๋ยวตอน 1 ทุ่ม ดิฉันจะไปรับรูปปั้นค่ะ”

“ไปตอนนี้เลยไม่ได้เหรอคะ?” อรุณถาม ราตรีก็บอกว่า “ตอน 1 ทุ่มดีกว่าค่ะ รถไม่ติดมาก”

อรุณหันไปมองการจราจรบนถนนแล้วก็พยักหน้า “ก็จริงของคุณค่ะ กำลังเลิกงานพอดีเลย”

เมื่อเซ็นสัญญาแล้ว นิมิตราก็พูดว่า “เดี๋ยวคุณช่วยดูแลคุณอรุณหน่อยนะ ขอตัวก่อนนะคะ พอดีดิฉันมีงานค้างอีกนิดหน่อยต้องเร่งทำให้เสร็จน่ะค่ะ”

“อ่อ เชิญค่ะๆ” อรุณพยักหน้า นิมิตราก็ลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปด้านใน ราตรีก็ยืนคอยดูแลแขก อรุณยกชาขึ้นจิบ มองดูภาพไปเรื่อยๆ ตาก็เคลิ้มหลับไป ราตรีก็รีบจับแก้วชาที่กำลังจะเอียงหก วางบนโต๊ะ แล้วเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ จนกระทั่ง 1 ทุ่ม ราตรีก็เดินไปปลุกอรุณ “คุณอรุณค่ะ ถึงเวลาไปรับรูปปั้นแล้วค่ะ”

อรุณสะดุ้งตื่น หน้าตางัวเงีย กะพริบตาปริบๆ “อุ้ยตาย ขอโทษทีค่ะ เผลอหลับไปซะได้”

ราตรียิ้มให้ “เชิญค่ะ”

อรุณจึงลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกไปขึ้นรถตัวเอง จากนั้นก็ขับไปบ้านน้องชาย ราตรีก็ขับรถกระบะตามไป

เมื่อไปถึงบ้านวสันต์ ราตรีก็เดินไปยกรูปปั้นขึ้นรถ อรุณยืนมองอย่างอึ้งๆ “โห คุณแข็งแรงจัง ยกคนเดียวได้ด้วย”

“ไม่หนักเท่าไหร่ค่ะ อีกอย่างดิฉันชอบเล่นยกน้ำหนักค่ะ” ราตรีบอก พลางแบกรูปปั้นไปขึ้นรถ แล้วก็เดินไปแบกรูปปั้นอีกตัว จากนั้นก็อีกตัว อรุณที่ทำท่าว่าจะช่วยจึงได้แต่ยืนดูเฉยๆ ราตรีแบกรูปปั้นขึ้นรถหมดแล้วก็เอาผ้าคลุมรูปปั้นแต่ละตัวเอาไว้ จากนั้นก็เอาเชือกมัดๆจนแน่นหนา อรุณเดินมาดูราตรีทำงาน ชมว่า “คล่องเชียว”

ราตรียิ้มให้ พอมัดเชือกเสร็จก็หันไปพูดว่า “ลาล่ะค่ะคุณป้า”

“ค่ะๆ กลับดีๆนะคะหนู” อรุณพยักหน้า รู้สึกโล่งอกที่รูปปั้น 3 ตัว ไปพ้นๆบ้านเสียที

ราตรีก็ขับรถกลับร้าน เมื่ออยู่ในรถแล้ว รอยยิ้มก็จางหายไป ใบหน้าเรียบขึงไร้รอยอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น จนถึงร้าน เธอก็จอดรถ ยกรูปปั้นลง เอาเข้าไปเก็บไว้ในห้องอย่างเรียบร้อย จากนั้นก็กดปุ่มปิดประตูม้วน เมื่อประตูม้วนปิดลง ไฟในร้านก็ดับพรึ่บ! ทุกหนแห่งมืดสนิท

บทที่ 4

หมาป่า

ณ คฤหาสน์ของชวิน ลูกค้าขาประจำของร้านดรีมแกลลอรี่ ชวินนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น

วิกานดาลูกสาวของชวินลงมาหาของกินตอนดึกๆ ได้ยินเสียงกุกกักก็ทักว่า “ฮั่นแน่! คุณพ่อคะ อย่างอื่นกินไม่ได้นะคะ คุณหมอห้ามค่ะ กินได้แต่ผลไม้นะคะน้ำตาลจะได้ไม่ขึ้น”

แต่พอสายตาเห็นร่างพ่อนอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้นครัว ถูกมีดปักอกเล่มหนึ่ง เธอก็ตกใจ “คุณพ่อ!”

วินาทีต่อมาเธอก็กรี๊ดร้องลั่น “กรี๊ดดดดดด…”

เธอถลันเข้าไปหาพ่อ กำลังจะก้มลงไป พลัน! ข้างหลังเธอก็มีคนๆหนึ่งปรากฏขึ้น พร้อมกับบางสิ่งที่ฟาดเข้ามาที่ขมับเธอ เพล้ง! เสียงแก้วแตก เธอรู้สึกเจ็บแปล๊บที่ขมับจนมึนงง เธอหันไปมองข้างหลัง เธอเห็นหน้าคนๆนั้น พลัน! สติก็ดับวูบไป

“เฮ้ยๆ เสียงคุณหนูร้อง รีบไปดูเร็ว!” เสียงดังแว่วมา ทำให้คนที่ยืนถือขวดรีบทิ้งขวดเอาไว้แล้วรีบหนีไปทันที

เมื่อคนรับใช้ วิ่งมาถึงก็เห็นคุณหนูวิกานดาล้มอยู่ที่พื้น ข้างๆกันนั้นคุณผู้ชายก็นอนจมกองเลือดอยู่ “เฮ้ย!”

“กรี๊ดดดดด…”

คนรับใช้ตกใจหน้าซีดเผือด ร้องลั่น

“เกิดอะไรขึ้น?” วัชระรีบวิ่งมา แหวกๆคนรับใช้ที่ยืนมุงเข้าไปดู พอเห็นเหตุการณ์ชัดๆก็ตกใจ “คุณพ่อ! น้องวิ!”

เขาหันไปสั่งคนรับใช้ว่า “รีบโทรแจ้งตำรวจเร็วเข้า!”

คนรับใช้บางคนตั้งสติได้รีบเอามือถือที่ถืออยู่ในมือโทรแจ้งตำรวจทันที วัชระถลันเข้าไปประคองน้องสาวขึ้นมา พร่ำเรียกอย่างตกใจว่า “น้องวิ!ๆๆๆๆ”

ราวครึ่งชั่วโมงต่อมา ตำรวจก็มาถึง

หลังจากซักถามอยู่ครู่หนึ่ง ตำรวจก็เรียกรถพยาบาลให้มารับคนเจ็บ กับเก็บศพคนตาย วัชระก็ไปกับรถพยาบาลด้วย เขานั่งกุมมือน้องไปตลอดทาง

เมื่อไปถึงโรงพยาบาล วิกานดาก็ถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉินทำแผลที่ศีรษะ จากนั้นก็ถูกส่งตัวขึ้นห้องพัก วัชระก็ตามเฝ้าไม่ห่าง จนกระทั่งวิกานดาฟื้นขึ้นมา “โอย เจ็บ”

“น้องวิ” วัชระมองน้อง วิกานดาได้ยินเสียงที่คุ้นเคยก็เรียก “พี่วัช”

“เป็นยังไงบ้าง?” วัชระถามน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย

“ทำไมมันมืดแบบนี้ล่ะคะ? ไฟดับเหรอพี่วัช?” วิกานดาถาม วัชระหรี่ตาลง พูดว่า “ไฟไม่ดับนะ วิเป็นอะไร?”

วิกานดาขมวดคิ้ว “ไฟไม่ดับ แต่ทำไมมันมืดแบบนี้ล่ะคะ?”

วัชระยื่นมือไปโบกๆตรงหน้าน้อง ดวงตาใสไม่ตอบสนองต่อมือสักนิด “วิเห็นมือพี่ไหม?”

“ไม่ค่ะ” วิกานดาตอบ ใจเสีย น้ำตาไหล “นี่วิ ตาบอดเหรอ?”

“วิจำได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?” วัชระถาม

“วิ…” วิกานดาพยายามนึก “วิเห็นคุณพ่อถูกแทง นอนอยู่ในครัว หลังจากนั้นวิก็เจ็บหัว แล้ววิก็จำอะไรไม่ได้แล้ว”

“เห็นคนร้ายไหม?” วัชระถามอีก

“เห็นค่ะ” วิกานตาตอบ ทำให้วัชระตัวเกร็งขึ้นมาทันที

“วิเห็นคน ผู้ชาย แต่วิไม่เห็นหน้า มีอะไรเข้าตาวิ วิเลยมองเห็นหน้าไม่ชัดค่ะ หลังจากนั้นวิก็ไม่รู้อะไรแล้ว”

คำตอบของน้องสาวทำให้วัชระคลายอาการตัวเกร็งลง มือที่กำอยู่ค่อยคลายออก “งั้นเดี๋ยวพี่ตามหมอมาตรวจก่อนนะ”

“พี่วัช วิกลัว” วิกานดายื่นมือไปทางที่ได้ยินเสียง วัชระก็ลุกไปตามหมอ

ครั้นหมอมาตรวจก็ลงความเห็นว่า อาจจะตาบอดชั่วคราวจากการกระทบกระเทือน ต้องรอดูอาการต่อไปอีกสักระยะ

เมื่อหมอออกไปแล้ว วิกานดาก็ถามถึงคุณพ่อ วัชระก็ตอบว่า “คุณพ่อตายแล้ว”

วิกานดาน้ำตาไหล ร้องไห้โฮๆ วัชระก็คอยปลอบใจอยู่ข้างๆ

หลังจากนั้น 2 วัน วิกานดาก็ได้ออกจากโรงพยาบาล เรื่องงานศพก็ได้วัชระช่วยจัดการทุกอย่างให้ เธอแค่นั่งฟังพระสวด แล้วก็กลับไปพักผ่อนที่บ้าน ผู้คนที่มาร่วมงานศพก็ทยอยมาพูดกับวิกานดาอย่างเห็นอกเห็นใจ ซึ่งมีทั้งเสแสร้งและจริงใจปะปนกันไป

จนกระทั่งถึงวันเผา แขกเหรื่อมาร่วมงานมากมาย เพราะชวินเป็นนักธุรกิจใหญ่ มีกิจการใหญ่โต คนรู้จักจึงมีมาก วัชระก็คอยรับแขก ส่วนวิกานดาก็นั่งอยู่บนรถเข็น ฟังเสียงผู้คนที่เข้ามาคุยด้วย มีคนรับใช้หญิงคอยดูแลอยู่ข้างๆคนหนึ่ง

หลังจากงานเผาเสร็จสิ้นไปแล้ว วัชระก็พาวิกานดาไปลอยอังคาร หลังกลับจากลอยอังคารแล้ววิกานดาก็สั่งคนขับรถว่า “ไปร้านดรีมแกลลอรี่”

คนขับรถเหลือบมองวัชระ เห็นวัชระพยักหน้า จึงพยักหน้ารับ “ครับคุณหนู”

เมื่อไปถึงร้านดรีมแกลลอรี่ วัชระก็ประคองแขนน้องสาวเดินเข้าไปในร้าน ราตรีเดินมาต้อนรับลูกค้า “สวัสดีค่ะคุณวิกานดา”

“สวัสดีค่ะ” วิกานดาทักทายตอบ

วัชระก็บ่นว่า “ตามองไม่เห็น จะดูภาพได้ไงล่ะน้องวิ พี่ว่ากลับกันเถอะ”

“ภาพ ไม่จำเป็นต้องใช้ตาดูเสมอไปนะคะคุณลูกค้า ภาพทุกภาพถ้าใช้ใจมอง จะเห็นภาพที่สวยยิ่งกว่าตาเห็นเสียอีกค่ะ”

นิมิตราเดินออกมาจากด้านใน แล้วก็ทักทายว่า “สวัสดีค่ะคุณวิกานดา ไม่พบกันเสียนานเชียว ทราบข่าวคุณชวินแล้ว เสียใจด้วยค่ะ”

วัชระมองนิมิตราอย่างไม่ค่อยชอบใจ คิดในใจว่า ใช่ซิ เสียใจที่ลูกค้ารายใหญ่ตายไง

“ขอบคุณค่ะ” วิกานดาพูด แล้วก็บอกว่า “คือวิตาบอดน่ะค่ะ ต่อไปนี้คงไม่ได้มาที่ร้านคุณอีกจนกว่าตาจะหายดี เลยอยากมาบอกคุณด้วยตัวเองน่ะค่ะ”

“แย่จังค่ะ” นิมิตราพูด “ถ้างั้นฉันพาคุณเดินดูภาพสักรอบก็แล้วกัน เผื่อว่าจะช่วยทำให้คุณจิตใจสงบดีขึ้น”

“เฮอะ คนตาบอด ยังจะดูอะไรได้อีกล่ะ” วัชระแค่นเสียงอย่างไม่ชอบใจ วิกานดารีบพูดว่า “วิอยากดู พี่วัชนั่งรอก่อนนะคะ”

“ก็ได้” วัชระจึงเดินไปนั่งที่โซฟา นิมิตรายื่นมือไปจับมือวิกานดาให้จับแขนตัวเอง “จับแขนฉันไว้ค่ะ”

“ขอบคุณค่ะ” วิกานดายิ้ม นิมิตราจึงพาวิกานดาเดินเข้าไปด้านใน วัชระมองอย่างไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไหร่ หันไปมองพนักงานสาวที่ยืนเงียบอยู่ใกล้ๆแทน ขณะที่มองด้วยสายตากะขนาดทรวดทรงของพนักงานสาว จู่ๆ เขาก็เห็นพนักงานสาวกลายเป็นโครงกระดูกที่สวมเสื้อผ้าซะงั้น “เหวอ!”

ราตรีมองวัชระสายตาเรียบเฉย แต่ในแววตาลึกๆกลับปรากฏแววสะใจ สมน้ำหน้า!

วัชระกะพริบตา ภาพโครงกระดูกก็หายไป เขาสูดลมหายใจเข้าหลายที แล้วเพ่งมองพนักงานเขม็ง พนักงานก็ยังคงยืนนิ่งเงียบราวกับรูปปั้นอยู่อย่างนั้น เขาผ่อนลมหายใจลง แล้วพูดว่า “ผมจะไปรอที่ร้านคาเฟ่นั่นล่ะกัน”

“ค่ะ” ราตรีรับคำสั้นๆคำเดียว วัชระก็รีบลุกขึ้นเดินออกไป เขาไม่ชอบบรรยากาศที่ร้านนี้เอาซะเลย มากี่ทีก็รู้สึกอึดอัดจนต้องออกไปรอที่อื่นทุกครั้ง ไม่รู้ชวินกับวิกานดาชอบเข้าไปได้ไง?

นิมิตราพาวิกานดาเดินชมภาพไปเรื่อยๆ ในความมืดซึ่งมองไม่เห็นเพราะตาบอดและความเงียบงันของบรรยากาศรอบตัว ในสมองของวิกานดาก็คล้ายจะเห็นทุ่งหญ้าสีทอง อาบไล้ไปด้วยแสงสีแดงของพระอาทิตย์ตก เธอมองภาพนั้นอย่างตะลึง ชมว่า “สวยจังค่ะ”

“ถ้าใช้ใจมอง คุณจะเห็นได้ดีกว่าตาอีกค่ะ” นิมิตราพูด วิกานดารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของนิมิตราในกะโหลกของตัวเอง เสียงที่ไม่ได้ผ่านหู ดังราวเสียงดนตรีอันไพเราะ

วิกานดาชื่นชมภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเธอก็ตกอยู่ในความมืดมิดอีกครั้ง นิมิตราก็พาเธอเดินไปชมภาพอื่นต่อ ในความมืดมิด วิกานดาเห็นรอบๆตัวปรากฎเป็นท้องน้ำสีฟ้าสดใส ฝูงปลาสีสันงดงามแหวกว่ายไปมาอย่างมีความสุข เธอชื่นชมภาพอย่างตะลึงลาน พูดว่า “ขอบคุณค่ะ”

นิมิตรายิ้ม พูดว่า “คุณมองไม่เห็นแบบนี้คงลำบากแย่”

“ก็ไม่ลำบากอะไรมากค่ะ มีคนใช้คอยดูแล มีพี่วัชคอยดูแล” วิกานดาพูดน้ำเสียงเจือแววเศร้า “เสียดายที่วิจำหน้าคนร้ายไม่ได้ พี่วัชบอกว่ากล้องในบ้านช่วงนั้นก็เกิดเสียทำให้ไม่มีภาพตอนช่วงเกิดเหตุ”

“แบบนี้คนร้ายก็ยังลอยนวลน่ะซิ” นิมิตราพูด วิกานดาพยักหน้า “จะทำไงได้ล่ะค่ะ ไม่มีหลักฐานอะไรซักอย่างนี่คะ”

“ฉันให้คุณยืมหมาป่าตัวนึงละกัน” นิมิตราบอก วิกานดาตกตะลึง “คะ?”

พลัน! เธอก็รู้สึกถึงความเย็นที่คอ จึงยกมือขึ้นจับ พบว่าเป็นสร้อยเส้นหนึ่ง ปลายนิ้วแตะบางสิ่งที่ปลายสร้อย น่าจะเป็นจี้ เธอใช้ปลายนิ้วคลำๆ เป็นจี้เล็กๆ อันหนึ่ง รูปร่างคล้ายสัตว์ชนิดหนึ่ง พลัน! ในความมืดมิด เธอก็เห็นหมาตัวใหญ่ตัวหนึ่ง รูปร่างเหมือนหมาป่าที่เคยเห็นตามวีดีโอสารคดีสัตว์โลก เธอผวา “อุ้ย!”

“เขาไม่ทำอะไรคุณหรอก เขาเชื่องจะตาย คุณยื่นมือไปให้เขาซิ” เสียงนิมิตราดังขึ้นมา วิกานดายื่นมือไป หมาป่าก็เดินเข้ามาดมมือด้วยท่าทางเป็นมิตร แล้วเลียมืออยู่พักใหญ่ “น่ารักจัง”

วิกานดายกมืออีกข้างลูบหัวหมาป่าสีเทา “มีชื่อไหม?”

“เรียกว่าเกรย์ค่ะ” เสียงนิมิตราดังในกะโหลก วิกานดาพยักหน้าพูดกับหมาป่าสีเทาว่า “ชื่อเกรย์เหรอจ๊ะ?”

เกรย์เลียมืออย่างเป็นมิตร เสียงนิมิตราก็ดังอีกว่า “ไปดูภาพต่อไปเถอะค่ะ”

วิกานดาพยักหน้า “ค่ะ”

เธอรู้สึกว่าจับแขนของนิมิตราอีกครั้ง ในความมืดมิด เธอเห็นเกรย์อยู่ข้างๆ เดินนำหน้าไปเล็กน้อยคล้ายจะนำทางให้เธอ “วิคงกำลังฝันซินะ ถึงได้เห็นอะไรแปลกๆแบบนี้น่ะค่ะ”

“คุณคิดว่าฝันก็คือฝัน คุณคิดว่าจริงก็คือจริง” เสียงนิมิตราบอก

“คงฝันจริงๆนั่นแหละค่ะ” วิกานดาพูด ยิ้มเศร้าๆ แล้วเธอก็เชิดหน้าสลัดความเศร้าออกไป “เอ้า ไหนๆก็ฝันแล้ว ขอฝันดีให้สุดๆไปเลยล่ะกัน”

“ค่ะ” เสียงนิมิตราดังขึ้น จากนั้นวิกานดาก็เห็นว่ารอบๆตัวเปลี่ยนไปอีก กลายเป็นทุ่งดอกไม้หลากสีสันบานสะพรั่งพลิ้วไหวไปกับสายลมเบาๆ เกรย์ก็อยู่ข้างๆ

บรรยากาศรอบๆตัวเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดก็กลับสู่ความมืดมิดอีกครั้ง มีเพียงเกรย์ที่ไม่หายไป ยังคงอยู่ข้างๆอย่างเป็นมิตร นิมิตราก็บอกว่า “ฉันไปส่งที่รถนะคะ”

วิกานดาพยักหน้า “ขอบคุณค่ะ”

นิมิตราก็ประคองแขนวิกานดาเดินไปส่งขึ้นรถ วิกานดาขึ้นไปนั่งในรถ ในความมืดมิดก็ยังเห็นเกรย์อยู่ข้างๆราวกับเป็นผู้พิทักษ์สี่ขายังไงอย่างงั้น ราตรีก็เดินไปตามวัชระ บอกว่า “คุณวิกานดากำลังจะกลับแล้วค่ะ”

“อ่อ ขอบคุณครับ” วัชระพยักหน้ารับรู้ หยิบแก้วกาแฟถือติดมือมา แล้วเดินไปขึ้นรถ หันไปสั่งคนขับรถว่า “กลับบ้าน”

“ครับ” คนขับรถก็ขับออกไป เมื่อนั่งอยู่ในรถ วัชระก็ถามว่า “คงไม่ได้หลงซื้อรูปอะไรเหมือนคุณพ่อหรอกนะ?”

“ไม่ได้ซื้อหรอกค่ะ” วิกานดาบอก วัชระพูดเบาๆว่า “ก็ดี”

ในความมืดมิดนั้น วิกานดาคล้ายจะเห็นเงาดำมืดที่ดูน่ากลัวราวกับปีศาจทางด้านที่ได้ยินเสียงพี่ชาย เธอรู้สึกหวาดผวาจนตัวสั่นๆ กำเท้าแขนของเบาะนั่งแน่น แล้วเธอก็เห็นเกรย์ขยับมาขวางกั้นระหว่างตัวเธอกับเงาดำมืดนั้น ทำให้เธอคลายความกลัวลงไป

เมื่อรถลูกค้าไปแล้ว นัฐพลก็เดินเข้าไปในร้าน ทักทายว่า “สวัสดี”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version