วันที่เขียน 15 มกราคม 2567
ฤทัยเทวา
Chapter 1
จักรสำริด
แพรพรรณ บูรณา บุตรสาวของดร.พัน บูรณา และคุณหญิงแพรทอง บูรณา กำลังวิ่งลงบันไดลงไปหาคุณพ่อคุณแม่ด้วยความดีใจ เสียงหวานใสดังนำหน้ามาก่อนเจ้าตัว “คุณพ่อคุณแม่ขา”
ทำให้ดร.พันยิ้มรับด้วยความเอ็นดู ส่วนคุณหญิงพแพรทองเห็นลูกสาววิ่งลงบันไดมาก็ดุด้วยความเป็นห่วงว่า “ยัยพรรณอย่าวิ่งซิลูกเดี๋ยวหกล้มตกบันไดลงมาหรอก”
คุณหญิงดุยังไม่ทันขาดคำ แพรพรรณก็วิ่งมาถึงตัวพร้อมกับโถมเข้ากอดด้วยความคิดถึง “คิดถึงคุณแม่ที่สุดในโลกเลยค่ะ”
เสียงหวานออดอ้อนแม่พร้อมกับยื่นหน้าไปหอมแก้มฟอดใหญ่
คุณหญิงกอดตอบลูกสาวพลางหอมแก้มด้วยความคิดถึง “แม่ก็คิดถึงลูกเหมือนกันจ๊ะ”
“มาให้พ่อกอดด้วยซิ” ดร.พันเดินไปกอดทั้งคู่พร้อมกับก้มลงหอมแก้มลูก “ชื่นใจจริงๆ”
“ของฝากค่ะคุณพ่อไหนล่ะคะของฝากของพรรณที่คุณพ่อโทรมาบอกว่าพรรณจะต้องชอบมากแน่ๆน่ะ” แพรพรรณทวงของฝากทันทีพร้อมกับทำตาอ้อน
“เจอหน้าก็ทวงของฝากเลยเชียวนะไอ้ลูกคนนี้นี่ ไอ้ที่รีบวิ่งมานี่เพราะอยากได้ของฝากมากกว่าคิดถึงพ่อแม่เสียอีก เฮ้อ…มันน่าน้อยใจจริงๆเลย” ดร.พันแกล้งว่าพลางขยี้หัวลูกอย่างเอ็นดู แล้วผละจากทั้งคู่เดินไปเปิดกระเป๋าเอกสารสีดำที่คนรับใช้เอามาวางไว้บนโซฟารับแขก
“เห็นไหมคุณพ่อน้อยใจไปซะแล้ว” คุณหญิงแกล้งว่ายิ้มๆ แล้วรุนหลังลูกให้ไปง้อพ่อ
“แหมคุณพ่อขาอย่างอนนะคะ พรรณคิดถึงคุณพ่อคุณแม่มากที่สุดเลย คุณพ่อคุณแม่ไปเชียงใหม่ตั้งหลายวันพรรณกินข้าวคนเดียวอยู่บ้านคนเดียวเหงามากเลยนะคะ” แพรพรรณเข้าไปโอบเอวพ่อในขณะที่ผู้เป็นพ่อกำลังรื้อของออกจากกระเป๋า ดวงตาคู่สวยมองข้าวของที่ถูกหยิบออกมากองอย่างสนใจ
“อ้าวแล้วพี่ทองไปไหนละลูก? ทำไมปล่อยให้หนูอยู่บ้านคนเดียวล่ะ?” ดร.พันถามถึงลูกชายคนโตของตัวเอง ทั้งๆที่ยังไม่หยุดรื้อของออกจากกระเป๋า แพรพรรณจึงผละจากพ่อไปนั่งที่โซฟา ใบหน้างดงามจิ้มลิ้มงอเป็นม้าหมากรุก “คุณแม่ขาคุณพ่อลืมอีกแล้วค่ะว่าพี่ทองไปออกค่ายอาสา”
เธอฟ้องแม่ยิ้มๆ คุณหญิงเดินไปนั่งข้างลูก แล้วหันไปถามสามีว่า “คุณลืมไปแล้วเหรอคะว่าตาทองไปออกค่ายอาสาที่แม่ฮ่องสอนมะรืนถึงจะกลับน่ะค่ะ”
“เออจริงซิ ผมลืมไปสนิทเลยว่าเจ้าทองไปออกค่ายกับเพื่อน” ดร.พันตบหน้าผากตัวเองเมื่อนึกขึ้นได้ แล้วก็รื้อกระเป๋าต่อ
“แล้วนี่คุณหาอะไรอยู่คะ?” คุณหญิงมองดูสามีรื้อของออกมาวางจนเต็มโต๊ะไปหมด
“ผมหาของฝากยัยพรรณนะซิ” ดร.พันตอบแล้วก็บ่นกับตัวเองว่า “จำได้ว่าเอาใส่ไว้ในนี้นะ เอ…ไปไหนละเนี่ย?”
คุณหญิงยิ้มน้อยๆ อย่างอ่อนใจกับนิสัยขี้ลืมของสามี
“ของฝากยัยพรรณคุณเอาใส่กระเป๋าเสื้อผ้าไว้เองตอนจัดกระเป๋าไงคะ” เธอบอกพร้อมกับชี้ไปที่กระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ที่คนรับใช้ยกมาวางไว้ข้างโซฟา
“เออจริงซินะ ผมลืมไปได้ไง” แล้วดร.พันก็หันไปเปิดกระเป๋าเสื้อผ้าทันที
“เออจริงซินะ” คุณหญิงแพรทองกับแพรพรรณพูดล้อประโยคฮิตติดปากของดร.พันพร้อมๆ กัน แล้วสองแม่ลูกก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
“ล้อเลียนกันเข้าไป เดี๋ยวเถอะ!” ดร.พันหันมาทำตาดุแกล้งงอน แล้วก็หันกลับไปหาของต่อ
“อ่ะ! เจอแล้วๆ นี่ไงของฝากของยัยพรรณ” เขาบอกอย่างดีใจพร้อมกับหยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงออกมาอย่างถนุถนอม แล้วยื่นส่งให้ลูกด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ของฝากสุดพิเศษของหนูไง”
“อะไรคะคุณพ่อ” แพรพรรณถาม ยื่นมือไปรับของฝาก ดร.พันยิ้มไม่ยอมตอบ
“เปิดดูเลยซิลูก พ่อว่าหนูต้องชอบมากแน่ๆ” เขาคะยั้นคะยออย่างตื่นเต้น แพรพรรณมองกล่องกำมะหยี่สีแดงในมือก็ทำหน้าแหยงๆ อึ๋ย!…คงไม่ใช่พวกสร้อย…แหวน…กำไล…หรอกนะ
“เปิดดูซิลูก แม่ว่าหนูคงจะชอบ” คุณหญิงคะยั้นคะยออีกคน ทำให้แพรพรรณทำหน้าสงสัย เอ…ข้างในเป็นอะไรล่ะหว่า?
เธอค่อยๆ เปิดฝากล่องออก พอเห็นของข้างในกล่องเธอก็ตาโตทันที “ว๊าว!”
“เป็นไงชอบไหมล่ะยัยพรรณ?” ดร.พันถามพร้อมกับยิ้มหน้าบานที่เห็นลูกทำตาโตชื่นชอบของฝาก
“ขอบคุณค่ะคุณพ่อ” แพรพรรณพูดขอบคุณแล้วยิ้มแย้มอย่างถูกอกถูกใจ “สวยจังเลยค่ะ” เธอค่อยๆ หยิบใบจักรโลหะสีดำออกมาจากกล่องอย่างถนุถนอม
“สวยใช่ไหมละ จ้องตาไม่กระพริบเชียวนะ” ดร.พันแซวพลางหันไปขยิบตากับภรรยา แล้วก็หันไปถามลูกว่า “ถูกใจไหมล่ะลูก?”
แต่แพรพรรณไม่ได้ฟังพ่อเลย เธอจ้องมองใบจักรสีดำอย่างชื่นชอบเหมือนเด็กๆ ได้ของเล่นถูกใจ
“เก่าด้วยนะลูก พ่อไปเจอในร้านขายของเก่าที่เชียงใหม่ คนขายเขาว่าอายุมากกว่าร้อยปีเชียวนะ” ดร.พันบอกแล้วเดินไปนั่งข้างๆ ลูก “แต่เนื้อโลหะยังดูใหม่อยู่เลยพ่อว่าน่าจะอายุซัก 70 ปีขึ้นไปแต่ไม่น่าจะเกิน 100 ปีแน่ๆ”
แพรพรรณไล้นิ้วไปตามลวดลายบนใบจักรพร้อมกับฟังพ่อพูดไปด้วย
“แต่เนื้อโลหะคล้ายๆ กับจะเป็นสำริด แต่ก็ไม่ใช่สำริดล้วนๆ หรอกนะ เหมือนกับสำริดผสมเงินผสมทองคล้ายๆ กับวิธีตีกริชของเกาะชวาอย่างงั้นแหละ”
คนรับใช้เดินเข้าไปบอกกับคุณหญิงว่า “ตั้งโต๊ะเสร็จแล้วค่ะ”
คุณหญิงพยักหน้ารับแล้วก็หันไปขัดคอสามีว่า “เอาไว้ค่อยบรรยายต่อหลังทานอาหารดีไหมคะคุณ ตอนนี้ไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า เด็กๆเขาตั้งโต๊ะเสร็จแล้วค่ะ”
เธอรู้ดีว่าถ้าไม่ขัดคอเช่นนี้รายการสาธยายเกี่ยวกับของฝากชิ้นนี้จะยื้ดเยื้อต่อไปอีกนาน
“ถ้างั้นพรรณเอาของไปเก็บบนห้องก่อนนะคะคุณแม่” แพรพรรณบอกแล้วรีบเก็บของฝากลงกล่อง
เธอลุกขึ้นยืนแล้วหันไปบอกพ่อกับแม่เมื่อนึกขึ้นได้ว่า “วันนี้ป้าพิมทำข้าวหมกไก่กับกล้วยเชื่อมมาให้ด้วยค่ะ”
“จ้าลูก แล้ว…” คุณหญิงบอกยังไม่ทันจบแพรพรรณก็รีบถือของฝากวิ่งขึ้นบันไดไปข้างบนซะแล้ว “เฮ้อ…ยัยพรรณนี่จริงๆเลยนะ”
เธอส่ายหน้าระอากับความใจร้อนของลูก ดร.พันหันไปสั่งคนรับใช้ “เอ้า…เด็กๆ มาเอากระเป๋าไปเก็บบนห้องได้แล้ว”
จากนั้นเขาก็หันไปโอบเอวภรรยา “แหมวันนี้พี่พิมทำข้าวหมกไก่มาให้ยังกับรู้ว่าพวกเราจะกลับมาเลยนะ”
“จะไม่รู้ได้ไงคะก็คุณโทรบอกพี่พิมเองว่าจะกลับมาวันนี้ ลืมอีกแล้วนะคะ คุณเนี่ยขี้ลืมจริงๆ เลย” คุณหญิงเลยตีแขนสามีทีนึงด้วยความหมั่นใส้
“เออจริงซินะ แหะๆๆๆ” ดร.พันนึกขึ้นได้แล้วก็หัวเราะเขินๆ
แพรพรรณวิ่งขึ้นบันไดไปจนถึงห้องนอนตัวเอง เธอก็รีบเปิดประตูห้องเอาของฝากวางไว้บนโต๊ะทำงาน ขณะที่กำลังจะหมุนตัวออกจากห้องก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างหลัง เป๊าะ!
เธอหันไปดูทันที
“เฮ้ย!” เธอตกใจยืนตะลึงค้าง เมื่อเห็นฝากล่องของฝากเปิดอ้าออกพร้อมกับใบจักรในกล่องค่อยๆ ลอยขึ้นมาอยู่กลางอากาศ
ฉับพลัน! ใบจักรก็หมุนวนติ้วๆ พร้อมกับเปล่งแสงสีรุ้งออกมา แล้วสรรพสิ่งรอบๆ ตัวแพรพรรณก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป รอบๆ ตัวเต็มไปด้วยผู้คนแต่งกายงดงาม แต่ละคนมีแสงรัศมีสีเงินจางๆ ระยิบระยับล้อมรอบร่างกายเอาไว้ ผู้คนเหล่านั้นวิ่งวุ่นขวักไขว่กันไปหมด
“เอ๊ะ อะไรกันเนี่ย?” แพรพรรณมองตามคนเหล่านั้นอย่างงุนงง
“ทางนี้ไม่มี”
“ทางนั้นมีหรือไม่?”
“ทางนั้นล่ะพบรึไม่?” เสียงอึงอลดังก้องไปทั่วประหนึ่งดั่งว่าพวกเขาเหล่านั้นกำลังตามหาอะไรซักอย่างกันอยู่
“พวกเจ้าหาเจอรึยัง?” เสียงถามก้องกังวานทรงอำนาจดังมาจากผู้ชายคนหนึ่งซึ่งสวมอาภรณ์สีแดงอ่อน รอบๆ ตัวชายคนนั้นเปล่งรัศมีสีแดงทับทิมเจิดจ้า แล้วผู้คนที่วิ่งขวักไขว่กันอยู่ต่างก็พากันหมอบลงกับพื้น
“ขอเดชะองค์เทวะ พวกข้าเพียรหาแล้วแต่ก็ไม่พบจักรอัคคีเลยพระเจ้าข้า” ผู้ชายคนหนึ่งที่หมอบอยู่ใกล้กับชายผู้ซึ่งมีรัศมีสีทับทิมบอกด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน
“ช่างเถอะเรื่องจักรอัคคีเดี๋ยวค่อยหาต่อ ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่า พระศุกร์กำลังจะเสด็จมาที่นี่ พวกเจ้าเตรียมการต้อนรับพระองค์เร็วเข้าเถิด” ชายผู้สวมอาภรณ์สีแดงอ่อนสั่งแล้วก็หมุนตัวเดินลับตาไป
“เอ๋!..องค์เทวะ จักรอัคคี พระศุกร์…” แพรพรรณได้แต่งุนงงกับสิ่งที่ได้ยิน ฉับพลัน! ก็มีเสียงดัง เป๊าะ!
เธอสะดุ้งเฮือก “เอ๊ะ!”
ไม่มีผู้คนแต่งกายงดงามระยิบระยับอีกแล้ว มีแต่ห้องนอนของตัวเอง เธอมองไปรอบๆ ห้องอย่างงุนงง “เมื่อกี้นี้มันอะไรหว่า?”
แล้วพอมองไปที่โต๊ะทำงาน กล่องของฝากยังวางอยู่ที่เดิม ฝากล่องก็ไม่ได้เปิดออก
“อะไรกันเนี่ยฉันฝันกลางวันรึไง?” เธอถามตัวเองพลางนิ่งคิด แล้วก็ตอบเองว่า “ก็ไม่ได้หลับซักหน่อยจะฝันได้ไงล่ะ”
“เอ…หรือว่าจะเห็นภาพหลอนกันนะ” เธอคิดหาเหตุผลอย่างงงๆ แล้วเธอก็ว่าตัวเองทันที “โอ้ยตาย…ท่าจะบ้าแล้วเราเนี่ย”
ครั้นพอนึกขึ้นได้ว่า “อุ้ย!…คุณพ่อคุณแม่รออยู่นี่น่า”
เรือนร่างระหงก็รีบลงไปข้างล่างทันที
พอไปถึงโต๊ะรับประทานอาหาร ดร.พันกับคุณหญิงแพรทองนั่งรออยู่แล้ว แพรพรรณจึงรีบไปนั่งข้างแม่
“ช้าจังเลยลูกมัวทำอะไรอยู่ล่ะ” คุณหญิงต่อว่าไม่ได้คิดจะดุจริงจัง แพรพรรณจึงรีบประจบว่า “อย่าดุนักซิคะคุณแม่ เดี๋ยวจะแก่เร็วนะคะ”
“เดี๋ยวเถอะ ยัยพรรณนี่ ดูพูดจาเข้าซิ แก่แดดใหญ่แล้วนะเรา” คุณหญิงแกล้งดุแล้วเงื้อมือจะตีลูก ดร.พันจึงรีบหันไปสั่งคนรับใช้ว่า “เอ้า ตักข้าวได้แล้วล่ะ มัวชักช้าเดี๋ยวคุณหญิงจะกลายเป็นนางยักษ์ไปซะก่อน”
แล้วเขาก็หันไปยิ้มล้อภรรยา ทำให้คุณหญิงเบนเข็มไปตีแขนสามีแทน เพี๊ยะ!
“นี่แน่ะ! คุณนี่ล่ะก็…” คุณหญิงค้อนขวับ
“อู้ย! ผมเจ็บนะคุณ” ดร.พันรีบลูบแขนตัวเองใหญ่
“นางฟ้าเริ่มกลายเป็นนางยักษ์ไปซะแล้ว” เขาพูดลอยๆ ทำให้ทุกคนหัวเราะคิกคัก ยกเว้นคุณหญิงคนเดียวที่ไม่ขำ วงหน้างามสง่าเชิดขึ้นอย่างนึกเคืองสามี “เดี๋ยวเถอะคุณ!”
คนรับใช้จึงรีบตักข้าวเสิร์ฟ
“รีบๆ กินข้าวเถอะค่ะเดี๋ยวอาหารจะเย็นซะหมด” คุณหญิงบอกพร้อมกับตักกับข้าวให้สามีกับลูก
สามคนพ่อแม่ลูกกินข้าวไปก็คุยกันไป ดร.พันเล่าถึงงานแต่งของลูกสาวเพื่อนที่เชียงใหม่ว่าจัดงานใหญ่โตหรูหราขนาดไหนให้ลูกฟัง แล้วก็กระเซ้าว่า “เอ แล้วเมื่อไหร่พ่อจะได้จัดงานให้หนูซักทีละ?”
“คุณพ่อก็รอให้พรรณหาแฟนให้ได้ก่อนเถอะค่ะ” แพรพรรณตอบแล้วก็จิ้มผลไม้เข้าปาก
“ก็นั่นแหละ เมื่อไหร่หนูจะหาแฟนได้ล่ะลูก อายุก็ 22 แล้วนะ เรียนก็จบแล้วเลือกมากเดี๋ยวก็ขึ้นคานหรอก” ดร.พันแกล้งว่า
“ไว้รอให้พรรณจบโทก่อนดีกว่าค่ะคุณพ่อค่อยพาแฟนมาอวด” แพรพรรณบอกแล้วก็หันไปหากองสนับสนุนทันที “ดีไหมคะคุณแม่?”
คุณหญิงจึงรีบรับมุขลูกว่า “ดีลูก จบโทแล้วมีแฟน แต่งงานก็ยังไม่สายหรอกลูก อย่าไปเชื่อคุณพ่อมาก เกิดเจอผู้ชายไม่ดีเข้ามีแต่จะช้ำใจ”
แล้วเธอก็ถามต่อว่า “แล้วนี่หนูคิดจะต่อโทที่ไหนล่ะลูก?”
“ก็ที่เดิมนั่นแหละค่ะ พรรณไปสมัครไว้แล้ว รอแต่งบประมาณสนับสนุนจากคุณพ่อคุณแม่นี่แหละค่ะ” แพรพรรณตอบพร้อมกับยิ้มประจบแม่
“เท่าไหร่ละลูกบอกมาเลยเดี๋ยวแม่โอนเข้าบัญชีให้” คุณหญิงบอกพร้อมลูบหัวลูกอย่างเอ็นดู
“เย้! รักคุณแม่ที่สุดเลยค่ะ ขอบคุณค่ะคุณแม่” แพรพรรณไหว้ขอบคุณแล้วหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่ๆ
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วดร.พันและคุณหญิงแพรทองก็แยกตัวไปพักผ่อนเพราะเหนื่อยจากการเดินทาง แพรพรรณจึงกลับไปห้องนอนของตัวเอง พอเข้าไปในห้องเธอก็หยิบกล่องของฝากเดินมานั่งบนเตียงนอน มือเรียวสวยเปิดกล่องออกแล้วหยิบใบจักรออกมา
“เอ…จะเอาวางไว้ตรงไหนดีนะ?” เธอมองหาที่ที่จะวางใบจักรไว้ประดับห้อง ใบหน้างดงามหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ
“อ่ะ…ตรงนี้แหละเหมาะที่สุด” แล้วเธอก็หยิบรูปของตัวเองออกจากขาตั้งบนโต๊ะข้างหัวเตียงออกแล้วเอาใบจักรไปวางไว้แทน เธอเก็บรูปของตัวเองใส่ลิ้นชักใต้โต๊ะ หลังจากนั้นก็เดินเข้าห้องน้ำถอดเสื้อผ้าอาบน้ำ “ลัน…ลั๊น…ล้า…”
พออาบน้ำเสร็จเธอก็มานั่งพับเพียบเรียบร้อยบนเตียงนอน เธอพนมมือขึ้นระหว่างอกแล้วก็เริ่มสวดมนต์ก่อนนอน ขณะกำลังสวดมนต์ก็ได้กลิ่นดอกไม้หอมๆ กลิ่นหอมโชยกลิ่นฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งห้อง
“เอ๊ะ!…กลิ่นอะไรหอมจังเล…” พูดยังไม่ทันจบเรือนร่างอรชรก็ฟุบหลับไปทันที ฉับพลัน! ใบจักรข้างหัวเตียงก็เปล่งแสงสีรุ้งสว่างเจิดจ้า แสงสีรุ้งลอยเข้ามาล้อมรอบตัวหญิงสาวเอาไว้จนมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากแสงสีรุ้งระยิบระยับ
แพรพรรณค่อยๆ ลืมตาขึ้น ภาพแรกที่สะท้อนเข้านัยน์ตาคือแสงสีเขียวระยิบระยับประดุจประกายแสงมรกต
“เอ๊ะ! แสงอะไรหว่า?” เธอค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง แล้วก็พบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวเปล่งแสงสีเขียวมรกตระยิบระยับ ครั้นพอมองไปรอบๆ ตัวเธอก็อุทานอย่างงุนงงว่า “เอ๊ะ! ที่นี่ที่ไหนหว่า?”
แต่พอเห็นดอกไม้หลากสีสันเปล่งแสงระยิบระยับดุจแสงอัญมณีเธอก็ร้องอุทานอย่างลืมตัวว่า “โห…สวยจัง มีแต่ดอกไม้เต็มไปหมดเลย”
พลัน! เธอก็นึกขึ้นได้ว่า “เอ๊ะ! ก็เรากำลังสวดมนต์ก่อนนอนอยู่นี่น่า”
แล้วเธอก็ก้มลงมองตัวเอง “เอ๋! ก็ชุดนอนตัวเดิมนี่”
มือเรียวสวยลูบไปตามชุดนอนกระโปรงผ้าซาตินสีฟ้าอ่อนที่สวมอยู่บนตัวอย่างงงๆ ฉับพลัน! เธอก็คิดได้ว่า “เอ…สงสัยเราคงกำลังฝันอยู่แน่ๆ เลยเน๊าะ”
พอคิดอย่างนั้นแล้วเธอก็หันไปมองรอบๆ ตัวอย่างชื่นชม “ดอกไม้สวยจังเลย”
แล้วเธอก็ลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปหาพุ่มดอกไม้ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดพุ่มหนึ่ง เธอก้มลงสูดดมกลิ่นดอกไม้ “ห๊อม…หอม ดอกอะไรเนี่ยหอมจังเลย?”
นิ้วเรียวสวยค่อยๆ ลูบไล้ไปตามกลีบดอกไม้สีชมพูที่เปล่งประกายแสงสีชมพูระยิบระยับดั่งอัญมณีดอกนั้น พอลูบไล้ไปถึงโคนดอก ดอกไม้งามดอกนั้นก็หลุดร่วงจากต้นลงสู่ฝ่ามือเรียวงาม
“อุ้ย!” เธอใช้สองมือประคองดอกไม้เอาไว้ไม่ให้หล่นลงพื้น แล้วเธอก็ถือดอกไม้ดอกนั้นไว้ แล้วยืดกายขึ้นมองไปรอบๆ อย่างชื่นชม “สวยจังเลย”
“เอ๊ะ!? เจ้าเป็นใคร เข้ามาในนี้ได้อย่างไรกัน!?” เสียงทุ้มกังวานทรงอำนาจดังขึ้นด้านหลัง
“อุ๊ย!” แพรพรรณสะดุ้งตกใจ เธอรีบหมุนตัวไปมองทันที เธอเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนห่างจากตัวเองไปประมาณ 5 เมตร ผู้ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าสีแดงอ่อน รอบๆ ตัวเขาเปล่งแสงรัศมีดั่งแสงทับทิมสีแดงเจิดจ้า เมื่อชายคนนั้นเห็นหญิงสาวชัดเจน เขาก็ตะลึงไปชั่วอึดใจ
“เจ้าเป็นมนุษย์นี่! เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน?” เขาถามแล้วก็เดินเข้าไปหาเธอ จนกระทั่งยืนห่างจากหญิงสาวประมาณ 1 เมตร แต่ก่อนที่แพรพรรณจะได้ตอบคำถามของเขา ก็มีผู้ชายอีกคนหนึ่งสวมชุดสีแดงอิฐเข้ามาคุกเข่าพนมมืออยู่ด้านหลังผู้ชายสวมชุดสีแดงอ่อน ผู้ชายที่เข้ามาใหม่พูดกับชายที่สวมชุดสีแดงอ่อนว่า “ขอเดชะองค์เทวะ พระศุกร์เสด็จมาถึงแล้วพระเจ้าข้า”
ผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘องค์เทวะ’ จึงหันไปตรัสกับผู้ชายคนนั้นว่า “ปฐพี เจ้าไปกราบทูลพระศุกร์ว่าเดี๋ยวข้าจะตามไป”
“พระเจ้าข้า” ชายที่ชื่อปฐพีรับคำแล้วก็ลุกขึ้นเดินกลับไปตามทางเดิม ‘องค์เทวะ’ ในชุดสีแดงอ่อนจึงหันไปมองหญิงสาวแล้วตรัสว่า “เจ้าคงจะเป็นวิญญาณที่พลัดหลงมาที่นี่ล่ะซิ”
เขามองหญิงสาวด้วยสายตาอ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยเมตตา แพรพรรณทำหน้างงๆ “เอ๋!? วิญญาณเหรอ?” เธอชี้ที่ตัวเองพร้อมกับถามเขาว่า “ฉันเนี่ยนะเป็นวิญญาณ?”
Chapter 2
องค์เทวะ
“ก็ใช่น่ะซิ” ‘องค์เทวะ’ ตอบพร้อมกับแย้มยิ้ม แล้วก็ตรัสอีกว่า “หากเจ้าไม่ใช่วิญญาณเจ้าจะมาที่นี่ได้อย่างไรกัน มนุษย์ธรรมดาเช่นเจ้ามาที่นี่ไม่ได้หรอกนะ อาจจะมีบ้างที่บางครั้งบางคราวจะมีวิญญาณอย่างเจ้าหลงมาบ้าง”
แล้วเขาก็วาดมือไปรอบๆ “ที่นี่เป็นทิพย์วิมานของข้าเอง”
แพรพรรณอึ้ง! แต่พอเธอนึกได้ว่าเธอกำลังฝันอยู่ เธอจึงรีบบอกว่า “ก็ฉันกำลังฝันอยู่นี่คะ”
‘องค์เทวะ’ ผู้งามสง่านึกขำคำพูดของนาง แล้วเขาก็หัวเราะ “หึๆๆๆ ฝันงั้นรึ…”
แล้วก็คิดในใจว่า ‘นางคงจะตายโดยไม่รู้ตัวเป็นแน่’
แพรพรรณหน้างอ “ขำอะไรของคุณน่ะ?”
“ข้าขำที่เจ้าคิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่อย่างไรล่ะ หึๆๆๆ” เขาตอบพลางหัวเราะไปด้วย ทำให้แพรพรรณยิ่งหน้างอมากกว่าเดิม
“ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้ากำลังฝันอยู่ก็ตามใจเจ้าเถิด” เขาบอกแล้วแย้มยิ้มให้อย่างปราณี พลัน! เขาก็เห็นบุปผาในมือนาง
“นั่น! ดอกเปลวสุริยันนี่!” เขาตรัสอย่างตกใจแล้วคว้าหมับที่ข้อมือเรียวเล็กข้างที่ถือดอกไม้เอาไว้
“อุ๊ย!” แพรพรรณตกใจตะลึงงัน! เขามองข้อมือเรียวเล็กในอุ้งมือของตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นมองใบหน้างดงาม พร้อมกับอุทานว่า “เจ้าไม่ใช่วิญญาณนี่!”
แพรพรรณนึกในใจอย่างงงๆว่า ‘เอ๊ะ! อะไรของเค้าอีกล่ะ?’
แล้วเขาก็ตรัสว่า “หากเจ้าเป็นวิญญาณ เจ้าย่อมจะสัมผัสสิ่งใดไม่ได้ แต่นี่เจ้าถือบุปผาได้ เจ้าย่อมไม่ใช่วิญญาณแน่ แล้วข้ายังจับต้องตัวของเจ้าได้เช่นนี้เจ้าจึงไม่ใช่วิญญาณอย่างแน่นอน”
เขาตรัสอย่างต้องการจะยืนยันกับตัวเอง แล้วเขาก็จ้องมองหญิงสาวด้วยความสงสัย “เจ้ามาที่วิมานของเราได้อย่างไรกัน?”
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน พลางคิดว่า ‘ผู้ใดกันที่นำพานางมาที่นี่?’
แพรพรรณได้แต่มอง ‘เทวะ’ ผู้งามสง่าอย่างงงๆ เธอไม่รู้ว่าจะตอบคำถามได้อย่างไร ก็เธอกำลังฝันอยู่นี่…จะให้ตอบว่ายังไงล่ะ?
พลัน! ก็มีแสงสีรุ้งล้อมรอบตัวของเธอเอาไว้
“หืม…!” ‘องค์เทวะ’ มองปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตกใจ แล้วเขาก็เผลอปล่อยมือจากข้อมือเรียวเล็ก แล้วแสงสีรุ้งก็สว่างวาบ!
“จักรอัคคี!” เขาอุทานอย่างจำได้ว่าแสงสีรุ้งที่เกิดขึ้นเป็นแสงของศาสตราเทพของเขาเอง พลัน! แสงสีรุ้งก็จางหายไปพร้อมๆ กับร่างของหญิงสาว ‘องค์เทวะ’ ได้แต่ยืนมองนิ่งงันไป
“กรุ๊ก…กรู๊ กรุ๊ก…กรู๊ กรุ๊ก…กรู๊” เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่นจนแพรพรรณค่อยๆ งัวเงียตื่น เธอเอื้อมมือไปปิดนาฬิกาปลุก
“อือ เช้าแล้วเหรอ ขอนอนต่ออีกหน่อยละกัน” มือเรียวสวยค่อยๆ หดกลับเข้าไปซุกใต้ผ้าห่มพร้อมกับดวงตาคู่งามปรือลงหลับต่อ
“กริ๊งๆๆๆๆ…” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอยื่นมือออกจากผ้าห่มไปควานหยิบโทรศัพท์ทั้งๆ ที่ยังงัวเงีย
“ใครโทรมาปลุกแต่เช้าล่ะเนี่ย?” เธอพึมพำกับตัวเองแล้วก็กดรับโทรศัพท์ “ฮาโหล”
“คุณหญิงแพรพรรณเจ้าขา เธอรีบๆ ลุกออกจากเตียงได้แล้วนะย่ะ วันนี้เธอต้องไปวัดเป็นเพื่อนฉันนะยะแม่คุณ” เสียงปลายสายใส่เป็นชุด ทำให้คนรับโทรศัพท์ลืมตาตื่นหายงัวเงียเป็นปลิดทิ้ง
“อ๊าก! ตายแล้ว! ฉันลืมสนิทเลย ขอโทษทีจ้า” เธอพูดแล้วก็กดตัดสายโยนโทรศัพท์ทิ้งปุลงบนเตียง จากนั้นก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำอาบน้ำแต่งตัวด่วนจี้คว้ากระเป๋ารองเท้าวิ่งลงบันไดไปอย่างทำเวลาเร่งด่วน
พอลงไปถึงข้างล่าง คุณหญิงแพรทองก็เรียก “ยัยพรรณ”
แล้วคุณหญิงก็เดินเข้าไปหาลูกสาวพลางถามอย่างสงสัยว่า “จะรีบไปไหนล่ะลูก? มาทานข้าวเช้าก่อน ป้าแจ๋วตั้งโต๊ะไว้แล้ว วันนี้มีแต่ของโปรดของหนูเยอะแยะเลยนะลูก”
“พรรณจะรีบไปบ้านคุณนายจีค่ะแม่ วันนี้นัดกันไว้ว่าจะไปทำบุญที่วัดค่ะ” แพรพรรณตอบแล้วก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาในห้องรับแขกบอกเวลา 6 โมงกว่าๆ
“ตายแล้ว!… พรรณต้องไปแล้วค่ะคุณแม่ พรรณไปก่อนนะคะ รักคุณแม่นะคะ จุ๊บๆ” เธอหอมแก้มแม่แล้วก็รีบวิ่งไปที่รถ
“อย่าวิ่งซิลูกเดี๋ยวก็หกล้มหรอกยัยพรรณ” คุณหญิงร้องเตือน แต่แพรพรรณหาได้สนใจฟังคำเตือนนั้น เธอยังคงวิ่งหน้าตั้งไปที่รถเก๋งของตัวเองที่คุณพ่อซื้อให้เป็นของขวัญฉลองเรียนจบปริญญาตรี เธอคว้ากุญแจกดรีโมทปลดล็อค แล้วก็เปิดประตูรถโยนสรรพสิ่งที่ถือมาไปไว้บนเบาะข้างตัวแล้วก็ผลุบเข้าไปนั่งในรถ พอสตาร์ทรถได้ก็ขับออกไปทันที
“ยัยพรรณรีบไปไหนแต่เช้าเหรอคุณ?” ดร.พันถามพร้อมกับเดินเข้าไปหาภรรยา
“รีบไปบ้านหนูจีน่ะค่ะ เห็นว่านัดกันไว้ว่าจะไปทำบุญที่วัดกันค่ะ” คุณหญิงตอบสามีแล้วก็บ่นด้วยความเป็นห่วงว่า “ดูซิคะรีบไปจนข้าวปลาไม่ยอมกิน จริงๆ เลยลูกคนนี้”
ดร.พันเข้าไปโอบไหล่ภรรยาอย่างเอาใจ “ไม่เอาน่าคุณ ลูกโตแล้วนะ ผมว่าเดี๋ยวลูกคงไปกินที่บ้านหนูจีนั่นแหละ คุณมัวแต่ห่วงลูกไปซะทุกเรื่องอย่างนี้ยัยพรรณถึงยังไม่ยอมโตเป็นผู้ใหญ่กะเค้าซะที พวกเราก็ไปทานข้าวกันเถอะจะได้รีบไปทำงานกัน ไม่ได้เข้าบริษัทตั้งหลายวันงานคงกองเต็มโต๊ะแหงๆ”
แล้วเขาก็จูงมือภรรยาไปที่โต๊ะรับประทานอาหาร
ครึ่งชั่วโมงต่อมา แพรพรรณก็ขับรถไปถึงบ้านของจีระนันท์หรือคุณนายจี เพื่อนสนิทที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่ชั้นประถม จิระนันท์รีบเดินไปเปิดประตูรั้วให้ทันทีเมื่อเห็นรถของเพื่อนมาจอดหน้าบ้าน พอประตูรั้วเปิดกว้างแพรพรรณก็ขับรถเข้าไปจอดหน้าบ้าน จีระนันท์ปิดประตูรั้วแล้วก็เดินไปหาเพื่อนที่รถทันที พร้อมกับแพรพรรณเปิดประตูลงจากรถพอดี จีระนันท์เห็นสภาพของเพื่อนที่ผมยุ่งกระเซิง หน้าตาก็ยังไม่ได้แต่ง เธอจึงพูดว่า “ยังไม่ได้กินข้าวมาชัวร์ งั้นก็ไปกินกันก่อน วันนี้คุณยายทำขนมจีนแกงเขียวหวานเอาไว้เพียบ”
เธอบอกเสร็จสรรพแล้วก็เดินนำหน้าเพื่อนเข้าบ้านไปก่อน
“มาเร็วๆ ซิเจ้าคะคุณหญิง” เธอหันไปเร่ง แพรพรรณปิดประตูรถแล้วรีบเดินตามไป แต่จู่ๆ จีระนันท์ก็หยุดชะงักแล้วหันกลับไปทำจมูกฟุดฟิดๆ ทำให้แพรพรรณหยุดเดินไปด้วย
“แกดมอะไรของแกย่ะคุณนายจี? แกทำจมูกฟุดฟิดๆ เหมือนหมาได้กลิ่นอะไรงั้นแหละ” แพรพรรณถามเพื่อนด้วยความสงสัย
“แกไม่ได้กลิ่นอะไรหอมๆ เหรอ กลิ่นห๊อม…หอม” จีระนันท์ย้อนถามแล้วก็ทำจมูกฟุดฟิดๆ ต่อ แพรพรรณส่ายหน้าแล้วทำจมูกฟุดฟิดๆบ้าง
“กลิ่นไรแก? ไม่เห็นจะได้กลิ่นอะไรซักอย่าง” เธอบอกแล้วก็เลิกดมกลิ่น พลางหันไปมองหน้าเพื่อน แต่จีระนันท์ยังดมกลิ่นอยู่จนค่อยๆ เข้ามาใกล้ๆ ตัวแพรพรรณมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นว่าเธอมาดมกลิ่นรอบๆ ตัวแพรพรรณ จีระนันท์หยุดดมกลิ่นแล้วก็เงยหน้ามองหน้าเพื่อนพร้อมกับพูดว่า “ที่แท้ก็กลิ่นจากตัวแกนี่เอง”
แล้วเธอก็ถามว่า “วันนี้ใช้น้ำหอมอะไรย่ะคุณหญิง? กลิ่นหอมมากเลยอ่ะ”
แพรพรรณทำหน้างงๆ “น้ำหอมอะไรแก? วันนี้ฉันยังไม่ได้ฉีดน้ำหอมซักหยดเลยนะ รีบลกๆ ตาเหลือกหน้าตั้งมาบ้านแกเนี่ย หน้าเน้อก็ไม่ทันแต่ง ผมก็ไม่ทันหวี จะเอาเวลาตรงไหนไปฉีดน้ำหอมย่ะคุณนาย”
เธอว่าพร้อมกับยกแขนตัวเองขึ้นดม แล้วก็จับเสื้อที่ใส่อยู่ขึ้นมาดมกลิ่นอย่างงงๆ แล้วเธอก็บอกว่า “ฉันว่าจมูกแกท่าจะเพี้ยนแล้วมั้ง ถ้าจะมีกลิ่นหอมๆ ก็คงกลิ่นน้ำยารีดผ้าล่ะมั้งแก”
จีระนันท์ดึงแขนเสื้อแพรพรรณไปดมบ้างแล้วก็ยื่นหน้ามาดมกลิ่นจากตัวเพื่อนจนหน้าแทบจะชิดกัน
“กลิ่นเสื้อที่ไหนล่ะ? กลิ่นจากตัวแกชัดๆ จมูกฉันไม่เพี้ยนเด็ดขาด เดี๋ยวให้คุณยายช่วยพิสูจน์อีกคนก็ได้ย่ะ” แล้วเธอก็รีบลากแพรพรรณเข้าไปในบ้านทันที
พอเข้าไปในบ้าน ทั้งสองก็เห็นคุณยายปิ่นกำลังจัดโต๊ะรับประทานอาหารอยู่ แพรพรรณรีบทำไหว้คุณยายของเพื่อน “สวัสดีค่ะคุณยาย”
“สวัสดีจ้าหนูพรรณ” คุณยายปิ่นรับไหว้แล้วก็ทักว่า “หายหน้าไปซะตั้งหลายวันเลยนะลูก”
แต่พอเห็นแพรพรรณไม่ตอบอะไร เอาแต่ยิ้มอย่างเดียว คุณยายก็บอกว่า “งั้นมากินข้าวกับยายเร็วลูก”
เธอมองสภาพเพื่อนของหลานสาวที่หัวยุ่งฟู หน้าตาไร้เครื่องสำอางแต่งแต้มก็เดาว่า “คงจะยังไม่ได้กินอะไรมาแน่ๆ เลยใช่ไหมจ๊ะ?”
“ค่ะคุณยาย” แพรพรรณตอบพร้อมกับยกมือไหว้ “ขอบคุณค่ะ”
แล้วเธอก็หันไปมองบนโต๊ะ “โห น่ากินทั้งนั้นเลยค่ะคุณยาย งั้นพรรณไม่เกรงใจนะคะ”
เธอพูดแล้วก็เดินเข้าไปประคองคุณยายให้ไปนั่งที่หัวโต๊ะ แต่พอเธอเข้าไปใกล้ผู้สูงวัย คุณยายก็ทักว่า “กลิ่นน้ำหอมอะไรเนี่ยหนูพรรณ? หอมชื่นใจจังเลยลูก”
“เห็นไหมล่ะคุณยายยังได้กลิ่นเลย ทีนี้จะบอกได้ยัง? ว่าใช้น้ำหอมอะไรกลิ่นถึงได้ห๊อม…หอมขนาดนี้?” จีระนันท์ไล่เบี้ยเพื่อนสาวทันที แพรพรรณได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ “ฉันไม่รู้จริงๆ นะคุณนาย ก็ยังไม่ได้ฉีดน้ำหอมซักหยดเลยจริงๆ ให้สาบานก็ได้นะแก”
เธอยืนยันหน้าตาจริงจัง
“ก็…” จีระนันท์จะพูดต่อแต่ก็ถูกคุณยายขัดว่า “ยัยจีนี่ยังไงนะ หนูพรรณเขาว่าไม่ได้ใส่ก็ไปซักไซ้เคี่ยวเข็ญอยู่นั้นแหละ”
แล้วคุณยายก็บอกว่า “คงจะกลิ่นน้ำยารีดผ้าล่ะมั้งลูก รีบๆ มากินข้าวเถอะจะได้ไปวัดกัน มัวแต่เถียงกันอยู่เดี๋ยวก็ไปวัดสายกันพอดี”
คุณยายตัดบทแล้วก็ไปนั่งที่หัวโต๊ะ แพรพรรณช่วยประคองคุณยายนั่งลงแล้วก็ขยับไปนั่งข้างๆ จีระนันท์ตามไปนั่งข้างคุณยายอีกด้าน เธอจัดแจงตักขนมจีนใส่จานให้ทุกคน แล้วทั้งสามคนก็ทานอาหารเช้าอย่างเงียบๆ
พอทานอาหารเสร็จแล้วจีระนันท์ก็ลุกไปหิ้วตะกร้าใส่ของที่เตรียมจะเอาไปทำบุญใส่รถเพื่อนทันที แพรพรรณตามไปช่วยเพื่อนอีกแรง เพียงครู่เดียวก็เสร็จเรียบร้อย จากนั้นจีระนันท์ก็เดินไปประคองคุณยายไปขึ้นรถ “คุณยายขาค่อยๆ เดินนะคะ”
เด็กรับใช้เห็นเจ้านายทานอาหารเสร็จแล้วก็เดินเข้าไปเก็บจานไปล้างในครัว แพรพรรณรีบไปสตาร์ทรถเปิดแอร์เย็นๆ รอ
พอผู้สูงวัยขึ้นรถแล้ว เธอก็ค่อยๆ ขับรถถอยออกจากบ้าน จีระนันท์เดินไปปิดประตูรั้วแล้วก็เดินไปขึ้นรถ แล้วแพรพรรณก็ขับรถไปที่วัดอย่างคุ้นเคยเส้นทาง
เมื่อไปถึงวัด แพรพรรณก็ขับรถไปจอดหน้าศาลา พอรถจอดสนิท จีระนันท์ก็รีบเปิดประตูลงไปแล้วเปิดประตูรถช่วยประคองคุณยายลงจากรถ “คุณยายขาค่อยๆ ลงนะคะ”
เธอประคองคุณยายพาเดินเข้าไปในศาลา ซึ่งมีคนมารอทำบุญกันเต็มศาลาเพราะวันนี้เป็นวันพระ แพรพรรณรีบหิ้วของทำบุญตามไป เธอวางตะกร้าไว้ข้างคุณยายแล้วก็เดินไปหยิบถ้วยจานชามใส่ถาดแล้วก็ถือกลับไปนั่งจัดอาหารถวายพระ จีระนันท์และคุณยายก็ช่วยกันหยิบนู้นจัดนี่ เพียงครู่เดียวทุกอย่างก็จัดเสร็จเรียบร้อย แล้วสองสาวก็ยกถาดอาหารถือไปวางรอถวายพระ แล้วทั้งสองคนก็กลับมานั่งข้างคุณยาย
สองสาวและผู้สูงวัยนั่งคุยกันไปเรื่อยระหว่างรอพระลงมาที่ศาลาด้วยกริยาสงบสำรวม มีเสียงพูดคุยเบาๆ ดังเป็นระยะๆ จากผู้คนคนอื่นๆ ที่มาร่วมทำบุญ
จนกระทั่งพระและเณรเดินเรียงแถวเข้ามาในศาลา เสียงพูดคุยต่างๆ จึงเงียบลง แล้วพิธีกรรมทางศาสนาก็เริ่มขึ้น จนกระทั่งพิธีกรรมทางศาสนาจบลง จีระนันท์ก็ประคองคุณยายให้ลุกขึ้นเดินไปนั่งใต้ร่มไม้ใหญ่ข้างรถ ส่วนแพรพรรณก็ถือขันน้ำที่ใช้สำหรับกรวดน้ำไปเทใส่โคนต้นไม้แล้วก็เอาขันไปเก็บ พร้อมกับเก็บของตามไปที่รถของตัวเอง ระหว่างที่เดินไปเกือบจะถึงรถ แพรพรรณก็ถูกแม่ชีรูปหนึ่งเรียกไว้ “หนูจ๊ะ เดี๋ยวก่อนหนู”
“คะแม่ชี” แพรพรรณหันไปตามเสียงเรียก แม่ชีก็เดินเข้าไปหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอิ่มเอิบ แล้วก็พูดว่า “หนูมีชะตาจะต้องไปในที่ที่ไกลแสนไกล แต่หนูไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ ความดีที่หนูทำมาจะเป็นเกราะคุ้มภัยให้กับตัวหนูเอง”
แล้วแม่ชีก็ยิ้มให้หญิงสาว
“อะไรนะคะแม่ชี?” แพรพรรณถาม ทำหน้างงๆ กับคำพูดของแม่ชี แต่ยังไม่ทันจะซักถามอะไรต่อก็ได้ยินเสียงเพื่อนเรียก “นี่คุณหญิงพรรณเจ้าขา จะยืนอยู่อีกนานไหมเจ้าคะ? ดิฉันกับคุณยายอยากกลับบ้านแล้วเจ้าค่ะ”
“แป๊บนึงนะยะคุณนาย” แพรพรรณหันไปบอกเพื่อน แล้วเธอก็หันกลับไปคุยกับแม่ชี แต่แม่ชีไม่อยู่ซะแล้ว “อ้าวแม่ชีหายไปไหนแล้วล่ะ?”
เธอมองหาแต่ก็ไม่เห็นแม่ชีเลย มีแต่ผู้คนที่มาทำบุญกำลังทยอยกลับ
“มัวมองอะไรอยู่ยะคุณหญิง?” จีระนันท์ถาม แพรพรรณรีบเดินไปหาเพื่อน พอไปถึงที่รถ เธอก็บอกเพื่อนว่า “มองหาแม่ชีน่ะซิ เมื่อกี้มีแม่ชีคนนึงมาเรียกฉันไว้แล้วก็พูดอะไรไม่รู้ ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรเลย แกก็เรียกฉันซะลั่นเชียว พอฉันหันไปจะคุยกับแม่ชีคนนั้นซักหน่อยก็ไม่เห็นแล้ว ไม่รู้เดินไปทางไหนแล้วล่ะ เดินไวๆ ฉันมองหาก็ไม่เห็นเลย”
เธอพูดจบก็เปิดท้ายรถเอาของเก็บ
“ไปเหอะแก ฉันร้อนจะแย่แล้ว” จีระนันท์เร่ง “เดี๋ยวต้องไปหาซื้อหนังสือกันอีก”
เธอบอกแล้วก็หันไปก็ประคองคุณยาย “คุณยายขาค่อยๆ ขึ้นรถนะคะ”
พอคุณยายขึ้นรถแล้วเธอก็เร่งเพื่อนยิกๆ “ไปได้แล้วจ้าคุณหญิง อย่ามัวชักช้าอยู่เลย”
แพรพรรณจึงตัดใจเลิกมองหาแม่ชีคนนั้นแล้วขับรถออกจากวัด
หลังจากส่งคุณยายที่บ้านแล้ว สองสาวก็พากันไปเดินห้างฯ กันต่อ
กว่าจะเดินช็อปปิ้งเสร็จก็เย็นจนเกือบค่ำ จีระนันท์จึงชวนเพื่อนหาอะไรกินก่อนกลับบ้าน “คุณหญิง ฉันว่าหาไรกินก่อนเหอะแก เย็นๆ งี้ออกไปเจอรถติดแน่”
แพรพรรณเห็นด้วยกับเพื่อน “อืม ก็ดีนะแก”
แล้วเธอก็พูดต่อว่า “งั้นเดี๋ยวฉันโทรบอกคุณพ่อคุณแม่ก่อนว่าจะกลับบ้านค่ำ แล้วแกก็โทรบอกคุณยายด้วยว่าไม่ต้องรอทานข้าว เดี๋ยวคุณยายจะมัวแต่รอแกกลับไปทานข้าวด้วย”
จีระนันท์พยักหน้านึกขึ้นได้ “เออจริงด้วยซิ งั้นแกโทรหาคุณลุงคุณป้า ส่วนฉันก็โทรหาคุณยาย”
แล้วสองสาวก็พร้อมใจหยิบโทรศัพท์ออกมาโทร ซักพักพอคุยโทรศัพท์เสร็จแล้วทั้งคู่ก็ชูมือให้กันเป็นสัญญาณว่าเรียบร้อย
“ไปแก จะกินอะไรดีล่ะ?” จีระนันท์ถาม แพรพรรณนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เสนอว่า “อาหารญี่ปุ่นไหมแก?”
จีระนันท์พยักหน้าเห็นด้วย “เออ…ไม่ได้กินมานานแล้วนะ อยากกินอยู่เหมือนกัน”
“งั้นก็ไปกันเลยนะ” แพรพรรณชวน แล้วสองสาวก็เดินไปร้านอาหารญี่ปุ่นยอดฮิตภายในห้างฯ
หลังจากทานอาหารเสร็จทั้งคู่ก็ชวนกันกลับ แพรพรรณขับรถไปส่งเพื่อนที่บ้าน
“ถึงบ้านแล้วโทรหาฉันด้วยนะย่ะ” จีระนันท์บอกเพื่อนก่อนจะเข้าบ้าน
“จ้าคุณนาย แกก็รีบๆ เข้าบ้านไปเหอะ” แพรพรรณบอกพร้อมกับโบกมือลา “บ๊าย…บายจ้า”
“บ๊าย…บายจ้า ขับรถดีๆ นะแก” จีระนันท์โบกมือให้เพื่อนแล้วก็เดินเข้าบ้านไป แพรพรรณรอจนเพื่อนปิดประตูรั้วเรียบร้อยแล้วเธอจึงขับรถกลับบ้าน
ไม่นานนักแพรพรรณขับรถถึงบ้าน คนรับใช้ซึ่งรออยู่แล้วก็รีบเดินไปเปิดประตูให้ทันทีที่เห็นรถของเจ้านายสาวขับมาจอดหน้าประตูรั้ว แพรพรรณขับรถเข้าไปพลางชะลอรถแล้วลดกระจกลงถามคนรับใช้ว่า “น้าอินทร์ คุณพ่อคุณแม่ขึ้นนอนกันรึยังคะ?”
นายอินทร์หันไปตอบว่า “ยังครับคุณหนู เมื่อกี้นี้คุณหญิงก็เพิ่งเดินมาดูหน้าบ้านว่าคุณหนูมาถึงรึยังครับ”
แล้วเขาก็หันไปปิดประตูรั้ว แพรพรรณจึงขับรถเข้าไปจอดในโรงรถ นายอินทร์ก็เดินตามมา “มีอะไรให้ผมช่วยถือไหมครับคุณหนู?”
“น้าอินทร์ไปนอนเถอะค่ะ มีของนิดเดียวพรรณถือไปได้ค่ะ” แพรพรรณบอกแล้วลงจากรถ
“ครับคุณหนู” แล้วนายอินทร์ก็เดินกลับห้องพักของเขาที่อยู่ด้านหลังตึก ส่วนแพรพรรณก็เปิดประตูรถด้านหลังหิ้วถุงกระดาษกับกระเป๋าถือออกมา เธอปิดประตูรถกดรีโมทล็อกรถแล้วก็เดินเข้าบ้าน
ภายในห้องรับแขก คุณหญิงแพรทองกับดร.พันกำลังนั่งดูทีวีกันอยู่ พอได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาคุณหญิงแพรทองก็หันไปดู
“ไปช็อปปิ้งซื้ออะไรมามั่งล่ะลูก?” เธอถามลูกพลางมองถุงกระดาษ
“มีแต่หนังสือค่ะคุณแม่” แพรพรรณตอบแล้วก็เดินไปนั่งข้างๆ แม่พร้อมกับวางถุงกระดาษไว้บนพื้นข้างโซฟา ดร.พันละสายตาจากจอทีวีหันมาบอกพร้อมกับหาวไปด้วย “ยัยพรรณก็กลับมาแล้ว คุณก็ขึ้นไปนอนได้แล้วล่ะ พรุ่งนี้มีประชุมแต่เช้าด้วย”
“ค่ะคุณ” คุณหญิงตอบสามีแล้วก็หันไปพูดกับลูกว่า “แม่กับพ่อไปนอนล่ะลูก หนูก็รีบไปอาบน้ำเข้านอนนะ”
“ค่ะคุณแม่ ราตรีสวัสดิ์ค่ะคุณแม่คุณพ่อ” แพรพรรณบอกแล้วก็ยื่นหน้าไปหอมแก้มแม่ คุณหญิงแพรทองหอมแก้มลูกแล้วจึงลุกจากโซฟาหันไปดึงมือสามี ทั้งคู่ยกมือปิดปากหาวพร้อมๆ กันก่อนจะพากันเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน
Chapter 3
ป่าหิมพานต์
แพรพรรณลุกขึ้นจัดการปิดทีวีปิดไฟแล้วก็หิ้วถุงกระดาษเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนของตัวเอง เมื่อถึงห้องนอน เธอก็วางถุงกระดาษไว้บนโต๊ะทำงาน เธอเตรียมจะไปอาบน้ำแต่จู่ๆ ก็มีแสงสว่างเจิดจ้าสาดเข้ามาทางหางตา
“เอ๊ะ!…แสงอะไรน่ะ?” เธอหันไปมองที่มาของแสงนั้น แล้วเธอก็ตกใจยืนตะลึง! “เฮ้ย!”
เธอเห็นใบจักรที่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียงเปล่งแสงสีรุ้งเจิดจ้า แล้วใบจักรก็ค่อยๆ ลอยขึ้นจากแท่นวางพุ่งตรงมาหาเธอ
“เหวอ!” เธอตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ทั้งๆ ที่ใจสั่งให้วิ่งหนี ‘วิ่งซิ! วิ่ง!…’
แต่ร่างกายกลับไม่ยอมขยับเขยื้อนเลยแม้แต่นิดเดียว ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างอย่างตกใจสุดขีด พลัน! ใบจักรก็ลอยขึ้นไปอยู่เหนือศีรษะของเธอ แล้วใบจักรก็หมุนวนเร็วจี๋พร้อมกับเปล่งแสงสีรุ้งเจิดจ้าล้อมรอบเรือนร่างอรชรเอาไว้ แพรพรรณตกใจจนเป็นล้มล้มพับลงไป แล้วแสงสีรุ้งเจิดจ้าก็สว่างวาบแล้วจางหายไปพร้อมๆ กับเรือนร่างอรชร
กลางป่าหิมพานต์อันเต็มไปด้วยพฤกษานานาพันธุ์ สายธารนทีแห่งสีทันดร ขุนเขาสูงเสียดฟ้า และสรรพสัตว์หลากหลาย พลัน! จู่ๆ ก็ปรากฎแสงสีรุ้งสว่างวาบพร้อมๆ กับร่างของแพรพรรณซึ่งสลบไสลไม่ได้สติปรากฎขึ้น เหนือเรือนร่างระหงใบจักรหมุนวนเร็วจี๋ แล้วใบจักรก็ค่อยๆ หมุนช้าลงจนหยุดนิ่ง จากนั้นใบจักรก็ลอยหายเข้าไปในตัวของแพรพรรณ
“อือ” เปลือกตาคู่งามค่อยๆ กระพริบลืมตาขึ้น ภาพตรงหน้าดูเบลอๆ จนแพรพรรณต้องกระพริบตาหลายๆ ครั้ง ครั้นพอลืมตาขึ้นเห็นภาพตรงหน้าชัดเจนเธอก็กลอกตามองไปมาอย่างงุนงง ภาพแรกที่กระทบนัยน์ตาคือภาพสีเขียวของกิ่งไม้หนาทึบจนแสงตะวันไม่อาจส่องลอดลงมาได้
“เอ๊ะ!” เธอค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบๆ อย่างงุนงง
“ทำไมมีแต่ต้นไม้เต็มไปหมดเลยล่ะ? นี่ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย?” เธอถามอย่างงงๆ
“นี่ฉันคงฝันไปอีกแล้วแหงๆ” เธอบอกตัวเองพลางนึกใจใจว่า ‘ช่วงนี้ฉันฝันได้ฝันดีซิน่า’
เธอลุกขึ้นยืนพลางมองไปรอบๆตัวอย่างงงๆ พลัน! เธอก็ได้ยินเสียงร้องดังขึ้น
“ฮือๆๆๆ…ปล่อยข้านะเจ้านักพรตชั่ว!” เสียงนั้นดังมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
“เอ๊ะ! เสียงอะไรน่ะ!?” แพรพรรณเงี่ยหูฟังอย่างสงสัย
“ปล่อยข้า! ฮือๆๆๆ…” เสียงร้องดังขึ้นอีก แพรพรรณจ้องมองต้นเสียงอย่างสงสัยแล้วรีบเดินไปดูทันทีเพราะเสียงที่ได้ยินน่าจะเป็นเสียงผู้หญิง เธอแหวกพุ่มไม้ออก แล้วเธอก็ได้เห็น… ผู้ชายคนหนึ่งสวมชุดสีขาวคล้ายพระสงฆ์ เขาแบกเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอยู่บนบ่า
“ฮือๆๆ…ปล่อยข้านะเจ้านักพรต…ฮือๆๆๆ…เจ้าจับข้ามาทำไม…ฮือๆๆๆ” เด็กหญิงทั้งดิ้นทั้งร้องน้ำตานองหน้า แล้วนักพรตคนนั้นก็โยนร่างของเด็กหญิงลงกับพื้นอย่างไร้ความปราณี ตุบ!
ร่างของเด็กน้อยกระแทกพื้นจนเด็กน้อยร้องออกมาด้วยความเจ็บ “โอ๊ย!”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” แพรพรรณตวาดลั่นพร้อมกับถลันเข้าไปหาเด็กน้อยทันที เธอโกรธจนตัวสั่นกับการกระทำอันป่าเถื่อนที่ได้เห็นเมื่อกี้นี้
“หืม!” นักพรตคนนั้นหันไปมองผู้ที่เข้ามาขวางอย่างตกใจ ส่วนเด็กหญิงก็ตกใจหยุดร้องไห้ทันที
“เจ็บมากไหมจ๊ะหนู?” แพรพรรณถามเด็กน้อยเสียงอ่อนโยนพร้อมกับดึงเด็กน้อยเข้าไปกอดอย่างต้องการจะปกป้อง นักพรตมองการกระทำนั้นอย่างไม่พอใจพร้อมกับตวาดลั่นอย่างโกรธจัด “เจ้าเป็นใคร!? ถอยไปนะ ไม่ใช่เรื่องของเจ้า!”
“ทำไมต้องทำร้ายเด็กด้วยห๊า!?” แพรพรรณหันไปตวาดใส่นักพรตอย่างโกรธจัด ทำให้นักพรตชะงักกึก! เมื่อได้เห็นหน้าคนที่เข้ามาขวางชัดเจน “เจ้าเป็นสตรีนี่!?”
นักพรตจ้องหน้าหญิงสาวอย่างลืมตัว “ช่างงดงามเสียจริง”
แล้วนักพรตก็เดินเข้าไปหาหญิงสาวพร้อมกับยื่นมือไปหมายจะลูบไล้ใบหน้างดงามหวานซึ้งอย่างลืมตัว
“เพี๊ยะ!” แพรพรรณรีบปัดมือนั้นทันที เธอตวาดลั่น “หยุดนะ! จะทำอะไรน่ะ?”
“เจ้าช่างงดงามยิ่งนักแม่หญิง” นักพรตบอกอย่างหลงไหล กริยาท่าทีเช่นนั้นทำให้แพรพรรณกลืนน้ำลายเอื๊อก!
ท่าทางไม่ดีแน่…
เธอรีบดึงเด็กหญิงถอยห่างทันที
“อย่าเข้ามานะ!” เธอตวาดลั่น ส่วนเด็กหญิงก็เกาะแพรพรรณแน่น
“พี่หญิง…ระวังนะ” เด็กหญิงบอกพลางซุกตัวเบียดหญิงสาวอย่างหวาดกลัว
“ข้าไม่เคยเห็นสตรีใดงดงามเช่นเจ้าเลย” แล้วนักพรตก็เดินย่างสามขุมเข้าหาทั้งสองคน ทำให้แพรพรรณและเด็กน้อยถอยกรู ทั้งสองคนกอดกันแน่นหน้าซีดเผือด
“หยุดนะ! อย่าเข้ามานะ!” แพรพรรณตวาดอีกครั้ง แต่เสียงตวาดห้ามนั้นกลับเหมือนจะยิ่งยั่วยุให้นักพรตสาวเท้าเข้าหาเร็วขึ้น
ฉับพลัน!…นั้นเอง…
“โฮกกกก!” เสือดำตัวใหญ่พุ่งกระโจนเข้าใส่นักพรต ตุ๊บ!
“เฮ้ย!” นักพรตตกใจล้มลงกับพื้น แล้วเสือดำตัวนั้นก็อ้าปากกว้างขบขย้ำลงบนช่วงไหล่ของนักพรต
“อ๊าก!” นักพรตร้องลั่นอย่างเจ็บปวด แล้วเสือดำก็คาบร่างของเหยื่อกระโจนหายเข้าไปในพุ่มไม้ สวบๆๆๆ…
“กรี๊ด!” แพรพรรณและเด็กน้อยกรีดร้องพร้อมกันด้วยความตกใจ ทั้งคู่กอดกันแน่น หน้าซีดเผือดอย่างหวาดผวาต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา แข้งขาอ่อนจนต้องทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ฮือๆๆๆๆ” เด็กหญิงร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว ส่วนแพรพรรณก็ได้แต่ลูบหลังเด็กน้อยกอดปลอบประโลมทั้งๆ ที่ตัวเธอเองก็ตกใจขวัญหนีดีฝ่อเช่นกัน
“ไม่ต้องกลัวนะ ไม่มีอะไรแล้วนะ” เธอปลอบเด็กน้อย
จนกระทั่งเสียงสะอื้นหยุดลง เด็กหญิงเงยหน้ามองหญิงสาวทั้งน้ำตา
“ขอบใจพี่หญิงที่ช่วยเหลือข้า” เด็กน้อยพูดพลางยกหลังมือเช็ดน้ำตาบนใบหน้า
“พี่หญิงเป็นใครหรือ? เหตุใดจึงมาอยู่กลางป่าเขาเช่นนี้?” เด็กหญิงถามพร้อมกับมองตาแป๋ว
“เออ…พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันน่ะ” แพรพรรณตอบแล้วก็มองไปรอบๆ ตัวอย่างงงๆ
“พี่หญิงไม่รู้!?” เด็กหญิงทวนคำ วงหน้าจิ้มลิ้มน่ารักขมวดคิ้วแล้วถามว่า “พี่หญิงไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร? หรือพี่หญิงไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่กลางป่าหิมพานต์นี้ได้อย่างไรกันแน่?”
“อะไรนะป่าหิมพานต์?” แพรพรรณตกใจ เด็กหญิงพยักหน้า “ก็ป่าหิมพานต์แห่งนี้น่ะซิพี่หญิง”
แพรพรรณตกตะลึงกับคำตอบ
“ป่าหิมพานต์?…นี่ฉันฝันเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้เชียวเหรอ?” เธอพึมพำ เด็กหญิงมองหญิงสาวอย่างไม่ค่อยเข้าใจแล้วแย้งว่า “พี่หญิงไม่ได้ฝันหรอก ที่นี่คือป่าหิมพานต์จริงๆ”
แล้วเด็กหญิงก็พูดว่า “หากพี่หญิงคิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ พี่หญิงก็จงหยิกเนื้อตัวเองดูเถิด ข้าเคยได้ยินเขาเล่ากันว่าหากไม่แน่ใจว่าเป็นความจริงหรือความฝันให้ลองหยิกเนื้อตัวเองดู หากรู้สึกเจ็บก็หมายความว่าไม่ได้กำลังฝันอยู่แน่”
แพรพรรณจึงลองหยิกแขนตัวเอง
“โอ๊ย! เจ็บง่ะ” เธอร้องพลางลูบแขนตัวเองป่อยๆ “นี่เราไม่ได้ฝันนี่! แล้วเรามาอยู่ที่นี่ได้ไงล่ะ โอ๊ย!…งงไปหมดแล้ว”
เธอมองไปรอบๆ ตัวอย่างหวาดหวั่นตื่นกลัว
“พี่หญิงใจเย็นก่อนเถิด” เด็กหญิงบอกทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรที่ดีไปกว่าคำๆ นี้ได้อีก พลัน! เด็กหญิงก็มีท่าทีเหมือนได้ยินเสียงอะไรซักอย่าง “พี่หญิง ข้าได้ยินเสียงน้ำ!”
“เสียงน้ำเหรอ!?” แพรพรรณเงี่ยหูฟังบ้าง “อืม…เสียงน้ำจริงๆ ด้วย”
“ข้าว่าใกล้ๆ นี่คงมีลำธารแน่ๆ” เด็กหญิงบอก “ข้าหิวน้ำเหลือเกินพี่หญิง”
ทำให้แพรพรรณรู้สึกตัวว่าตัวเองก็หิวน้ำเหมือนกัน “พี่ก็หิวน้ำเหมือนกันจ้ะ”
“ถ้างั้นเราลองไปดูกันนะพี่หญิง” เด็กหญิงชวน แพรพรรณพยักหน้าเห็นด้วย “จ้ะ”
แล้วเธอก็ลุกขึ้นยืน แต่พอก้าวเดินเธอก็ร้อง “โอ๊ย!”
“พี่หญิงเป็นอะไร?” เด็กหญิงถาม
“พี่เจ็บเท้าน่ะ สงสัยอะไรจะตำเท้าพี่แน่ๆ เลย” แพรพรรณตอบพร้อมกับยกขาหงายฝ่าเท้าขึ้นมาดู
“อูย…หนามตำนี่เอง” แล้วเธอก็ดึงหนามเหวี่ยงทิ้งไป เด็กหญิงมองเท้าของหญิงสาว แล้วก็ถามอย่างสงสัยว่า “พี่หญิงไม่มีเกือกหรือ?”
“เอ่อ…” แพรพรรณไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี แล้วเด็กน้อยก็หันไปเห็นเกือกของนักพรตตกอยู่ “นั่น! เกือกของไอ้นักพรตชั่วนี่!”
เด็กน้อยรีบวิ่งไปหยิบเกือกมาให้หญิงสาวทันที “พี่หญิงสวมเกือกนี่เถิด”
“ขอบใจจ้ะ” แพรพรรณบอกแล้วก็รับเกือกหนังสานเหมือนรองเท้าแตะคู่นั้นมาใส่อย่างจำใจ แม้จะหลวมไปบ้างแต่ก็ยังดีกว่าเดินเท้าเปล่าแน่ๆ
“ไปกันเถอะพี่หญิง” เด็กหญิงชวน
“จ้ะ” แพรพรรณพยักหน้าแล้วก็จูงมือเด็กน้อยพากันเดินไปตามเสียงน้ำที่ได้ยิน
“พี่หญิงมีนามว่าอะไรหรือ?” เด็กน้อยถามแล้วก็บอกว่า “ข้ามีนามว่า…มณีรัตนา”
“มณีรัตนาเหรอ!” แพรพรรณทวนแล้วก็ชมว่า “ชื่อเพราะจัง”
แล้วเธอก็แนะนำตัวเองว่า “พี่ชื่อแพรพรรณจ้ะ น้องเรียกพี่ว่าพี่พรรณก็ได้จ้ะ”
“จ้ะพี่พรรณ” เด็กหญิงรับคำ แล้วแพรพรรณก็ถามมณีรัตนาว่า “ทำไมน้องมณีรัตนาถึงถูกผู้ชายคนนั้นทำร้ายล่ะจ๊ะ?”
“ข้าถูกไอ้นักพรตชั่วจับตัวมาจ้ะ” มณีรัตนาตอบแล้วก็เล่าว่า “มันจะเอาข้าไปบัดพลีแด่เจ้าแม่กาลีเพื่อที่มันจะได้ขอพรจากเจ้าแม่ให้ตัวมันเป็นอมตะจ้ะ”
แพรพรรณฟังอย่างงง “บัดพลีเหรอ?”
“ใช่แล้วจ้ะ” มณีรัตนาพยักหน้าแล้วก็เล่าต่อ “มันจับตัวข้ามาเพื่อจะเอาข้าไปถวายเป็นเครื่องบัดพลีแด่องค์เจ้าแม่กาลีเพื่อให้ตัวมันเองได้รับพรที่จะทำให้มันเป็นอมตะได้จ้ะ”
แพรพรรณยังงงๆ ไม่เข้าใจว่าคำว่า ‘บัดพลี’ คืออะไร? พลัน! เธอก็นึกขึ้นได้ว่าพิธีบูชาเจ้าแม่กาลีนั้นทำยังไงจากสารคดีที่เคยดูในทีวี เธอตะลึง! นี่หมายความว่าไอ้คนเลวนั่นมันจะเอาตัวเด็กไปบูชายัญงั้นเหรอ…!?
“ทำไมมันถึงได้โหดเหี้ยมขนาดนี้!?” เธอหลุดปากออกมาอย่างไม่รู้ว่าจะหาคำใดเหมาะสมไปกว่านี้
“โชคดีจริงๆ ที่มันถูกเสือคาบไปซะก่อน ไม่งั้นป่านนี้พวกเราจะเป็นยังไงมั่งก็ไม่รู้นะน้องมณีรัตนา” เธอบอกแล้วก็พูดว่า “เออ…จริงซิ น้องมณีรัตนา พี่ขอเรียกน้องว่า ‘รัตนา’ ได้ไหมจ๊ะ? คือชื่อน้องมันยาวจังเลยอ่ะ”
มณีรัตนานิ่งคิดครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้า “ได้ซิจ๊ะ”
แล้วเด็กหญิงก็ถามว่า “แล้วพี่พรรณล่ะจ๊ะ เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
ดวงตากลมโตแป๋วแหว๋วจ้องมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย
“หรือว่าพี่พรรณอาศัยอยู่ใกล้ๆ นี้หรือจ๊ะ?” เด็กหญิงคาดเดา ทำให้แพรพรรณนิ่งอึ้งไป เพราะเธอก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่พอสบตากับดวงตาแป๋วแหว๋วที่จ้องมองอย่างรอคำตอบทำให้เธอตัดสินใจตอบว่า “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ พี่จำได้ว่ากำลังจะไปอาบน้ำ แล้วจู่ๆ จักรที่คุณพ่อของพี่เพิ่งซื้อมาให้พี่เป็นของฝาก มันก็มีแสงออกมา แล้วมันก็พุ่งมาหาพี่ หลังจากนั้นพี่ก็จำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ ตื่นขึ้นมาก็มาอยู่ที่นี่ซะแล้ว”
มณีรัตนาฟังอย่างงงๆ ไม่เข้าใจที่หญิงสาวเล่าเลยแม้แต่น้อย เด็กหญิงจึงเบือนหน้าไปมองทางข้างหน้าแทน ดวงตากลมโตแป๋วแหว๋วเบิกกว้างอย่างดีใจ
“นั่น!…น้ำ!” เด็กหญิงอุทานอย่างตื่นเต้น
“น้ำ!” มือเล็กๆ กระตุกแขนแพรพรรณอย่างตื่นเต้นดีใจ
“มีน้ำจริงๆ ด้วยพี่พรรณ” เด็กหญิงพูดแล้วก็วิ่งตรงเข้าไปหาลำธารเล็กๆที่เห็นอยู่เบื้องหน้า แพรพรรณรีบตามไป
พอถึงริมลำธาร ทั้งคู่ก็วักน้ำขึ้นมาดื่มอย่างกระหาย เมื่อได้ดื่มน้ำจนอิ่มแล้วทั้งคู่ก็วักน้ำล้างหน้าล้างตา หลังจากได้ล้างหน้าจนสดชื่นแล้วแพรพรรณก็เดินไปนั่งบนโขดหิน “นี่เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงนะ?”
เธอมองไปรอบๆ อย่างงงๆ เธอบอกตัวเองว่ากำลังฝันไปแน่ๆ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับจับต้องได้จนไม่อาจจะหลอกตัวเองต่อไปได้อีกว่ากำลังฝันอยู่ ความเจ็บปวดที่ฝ่าเท้าจากแผลหนามตำก็เจ็บแปล๊บๆ ทุกครั้งที่ก้าวเดิน เตือนให้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้มันคือความจริง เธอหันไปมองเด็กหญิงอย่างชัดๆ เป็นครั้งแรก
ร่างกลมป้อมสวมเสื้อคล้ายๆ เสื้อคอกระเช้าสีเหลืองอ่อน เนื้อผ้าดูแวววาวเหมือนผ้าไหม กับผ้าถุงสีแดงสลับทองคล้ายกับผ้าไหมทอสลับกับดิ้นทอง ตามแขนขาเล็กๆ กลมป้อมสวมกำไลทองข้างละวง เวลาเดินจึงกระทบกันส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง รอบคอของเด็กน้อยสวมห่วงทองวงหนึ่ง บนศีรษะเล็กทุยเกล้ามวยผมไว้แล้วครอบด้วยที่ครอบทองคำปักยึดกับมวยผมด้วยปิ่นทองอีกทีหนึ่ง
เส้นผมบางส่วนหลุดลุ่ยจากมวยผมลงมายาวจรดเอว สวมรองเท้าหนังสานสีน้ำตาลปักดิ้นทองเป็นลวดลายดอกไม้งดงาม ดูจากการแต่งตัวของมณีรัตนาแล้วทำให้รู้ทันทีว่า…เด็กหญิงคนนี้ต้องเป็นลูกคนรวยแน่ๆ
“พี่พรรณ ข้าอยากอาบน้ำเหลือเกิน” มณีรัตนาบอกพร้อมกับมองตาแป๋วเหมือนกับจะขออนุญาต แพรพรรณพยักหน้า “อยากอาบน้ำก็อาบซิจ๊ะน้องรัตนา”
พอได้ยินเช่นนั้นมณีรัตนาก็ยิ้มแป้น รีบเปลื้องผ้าออกจนเหลือแต่ตัวล่อนจ้อน แล้วร่างเล็กกลมป้อมค่อยๆ ลงไปนั่งในแอ่งน้ำตื้นๆ มือเล็กๆวักน้ำล้างตัวขัดถูคราบดินคราบเหงื่อไคลออกจากร่าง แล้วก็หันมาเรียก “พี่พรรณ ท่านก็ลงมาอาบน้ำด้วยกันเถิด น้ำใสเย็นสบายนัก”
“จ้าน้องรัตนา” แพรพรรณตอบแล้วก็ถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกบ้าง เพราะเธอนั่งมองเด็กหญิงอาบน้ำแล้วก็นึกอยากอาบน้ำขึ้นมาเหมือนกัน แล้วเรือนร่างระหงเปลือยเปล่าก็ลงไปลอยคอแหวกว่ายอยู่ในสายธารใสสะอาดอีกแอ่งหนึ่งซึ่งลึกกว่าแอ่งที่เด็กน้อยนั่งอาบอยู่
พออาบน้ำเสร็จ ทั้งคู่ก็เดินขึ้นฝั่งมาสวมเสื้อผ้าของตัวเอง แล้วมณีรัตนาก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้แพรพรรณ “พี่พรรณ ตัวท่านห๊อม…หอมยิ่งนัก”
แพรพรรณอึ้ง! เอ…มีคนบอกว่าเราตัวหอมอีกคนแล้วซิ
“จ๊อก!…” เสียงท้องของมณีรัตนาร้อง เด็กหญิงก้มหน้าอายๆ พลางกระตุกแขนหญิงสาว “พี่พรรณ ข้าหิวแล้วล่ะ”
“น้องรัตนาหิวเหรอ?” แพรพรรณถามพลางมองใบหน้ากลมป้อม มณีรัตนาพยักหน้าทำตาละห้อย
“เอาไงดีล่ะ?” แพรพรรณพึมพำกับตัวเอง เธอมองไปรอบๆตัว พลัน! เธอก็เหลือบไปเห็นดงกล้วยริมลำธาร มีกล้วยอยู่หลายเครืออ่อนบ้างแก่บ้าง มีเสียงนกร้องจิกตีแย่งอาหารอยู่ในดงกล้วย เธอชี้มือไปที่ดงกล้วยพร้อมกับบอกว่า “น้องรัตนา พี่ว่าคงมีกล้วยสุกแน่ๆ เลย เราลองไปดูกันเถอะ”
“จ้ะพี่พรรณ” มณีรัตนาพยักหน้าแล้วก็เกาะมือหญิงสาวเอาไว้ ทั้งคู่เดินตรงไปที่ดงกล้วยริมลำธาร มีกล้วยหลายเครือสุกเหลืองอร่าม บ้างก็สุกงอมจนหล่นเกลื่อนพื้น มีนกหลายตัวกำลังจิกตีแย่งอาหารกันอยู่ พอพวกมันได้ยินเสียงสวบสาบเข้าไปใกล้ พวกมันก็บินพรึ่บขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างระแวงภัย แพรพรรณเขย่งตัวเอื้อมมือไปหักกล้วยที่สุกแล้วส่งให้เด็กหญิง “นี่จ้ะน้องรัตนา”
มณีรัตนารับกล้วยมาแล้วก็ปอกเปลือกกินอย่างหิวโหย แพรพรรณก็หักกล้วยมากินบ้าง จนกระทั่งกล้วยหมดไปเกือบหวีทั้งคู่จึงอิ่มแปล้
“พี่พรรณ ข้าอยากกลับบ้าน” มณีรัตนาบอกน้ำเสียงละห้อย ใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราเศร้าสร้อยจนน่าเวทนา
“อยากกลับบ้าน?” แพรพรรณนิ่งคิด ‘อ้าว!…จะทำไงดีล่ะ?’
เธอมองใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพลาที่เริ่มทำตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้แล้วก็รู้สึกสงสาร “แล้วบ้านของน้องรัตนาอยู่ที่ไหนล่ะ?”
มณีรัตนาตอบว่า “อยู่อมรานคร”
แล้วเด็กหญิงก็อ้อนวอนว่า “พี่พรรณ ท่านช่วยพาข้าไปส่งที่วังด้วยเถิด”
แล้วเด็กหญิงก็เริ่มร้องไห้ “ฮือๆๆๆ”
“อ้าว…ร้องไห้ซะแล้ว” แพรพรรณมองอย่างสงสาร
“เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งร้องไห้นะ” เธอรีบห้ามแล้วก็ถามว่า “อมรานครอยู่ที่ไหนล่ะ? พี่ก็ไม่รู้จักแล้วพี่จะพาน้องไปส่งบ้านได้ยังไงล่ะ?”
เธอเกาหัวตัวเองแกร๊กๆ ทำหน้ายุ่ง ‘ทำไงดีล่ะ…’
Chapter 4
เจอโจรร้าย
“ฮือๆๆๆๆๆ…” มณีรัตนายิ่งร้องไห้หนัก “ฮือๆๆ ข้าคิดถึงเสด็จพ่อเสด็จแม่…ฮือๆๆๆๆ ข้าอยากกลับวัง ฮือๆๆๆ”
แพรพรรณรีบดึงเด็กหญิงไปกอดพลางพูดปลอบว่า “โอ๋ๆ…หยุดร้องไห้นะคนดี๊…คนดี พี่จะพาน้องไปส่งเองนะ หยุดร้องไห้นะจ๊ะ”
มณีรัตนาเงยหน้ามองพร้อมกับถามปนสะอื้นว่า “ฮือๆ…ท่านจะพาข้ากลับวังจริงๆนะ ฮือๆๆๆ”
“จริงซิจ๊ะ” แพรพรรณพยักหน้า มณีรัตนายกมือปาดน้ำตาทิ้งแล้วพูดว่า “ฮือๆ…สัญญานะ”
“จ้ะ…สัญญาจ้ะ” แพรพรรณรับปาก มณีรัตนาค่อยๆ หยุดสะอึกสะอื้น “อึก…อึก…”
แพรพรรณช่วยเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราพลางถามว่า “แล้วน้องรัตนาพอจะจำทางกลับบ้านได้รึเปล่าจ๊ะ?”
มณีรัตนาส่ายหน้าแล้วตอบว่า “ข้าจำไม่ได้หรอก ไอ้นักพรตชั่วนั่นมันพาข้าเหาะมาจากอมรานครจ้ะ”
“เหาะ!” แพรพรรณตกใจ! เธออุทานในใจ ‘โอ๊ยตาย!’
แล้วเธอก็ถามย้ำให้แน่ใจว่าตัวเองฟังไม่ผิด “เหาะมางั้นเหรอจ๊ะ?”
เธอนึกอยากให้ตัวเองฟังผิดไป แต่เด็กหญิงพยักหน้าหงึกๆ “จ้ะพี่พรรณ เหาะมาจ้ะ แต่ข้าจำได้แต่ว่ามันพาข้าเหาะมาทางทิศประจิมจ้ะ”
“ทิศประจิมเหรอ!?” แพรพรรณถามย้ำ มณีรัตนาก็พยักหน้าตอบ “จ้ะพี่พรรณ”
แพรพรรณนึกชื่อทิศแล้วก็พึมพำกับตัวเอง “ทิศประจิมก็ทิศตะวันตกซินะ”
เธอครุ่นคิดวาดทิศทางคร่าวๆ ในใจ “ถ้างั้น…ถ้าจะไปอมรานครก็ต้องไปทางทิศตะวันออกหรือทิศบูรพาซินะ”
มือเล็กกลมป้อมเอื้อมมาจับมือหญิงสาวประหนึ่งว่าเธอคือความหวังเดียวที่มี ณ ขณะนี้
“ถ้างั้นพวกเราคงต้องหาทางออกจากป่านี้กันก่อนล่ะจ้ะ” เธอบอกพร้อมกับลูบศีรษะเล็กทุย พลัน! เสียงกรีดก็ร้องดังแว่วมา “กรี๊ด!…ปล่อยข้านะ! ได้โปรดปล่อยข้าเถิด”
“เอ๊ะ!…เสียงอะไรน่ะ!?” แพรพรรณตกใจสะดุ้งเฮือก มณีรัตนาก็ตกใจโผเข้ากอดหญิงสาวไว้ทันที
“พี่พรรณ นั้นเสียงอะไรหรือ?” เด็กหญิงถามเสียงสั่นกลัว แพรพรรณจึงเงี่ยหูฟังเสียง
เคร้ง!…เคร้ง!…เคร้ง!… เสียงโลหะกระทบกันดังแว่วอยู่ไม่ไกลนัก พร้อมกับเสียงตะโกนว่า “ฆ่าพวกมันให้หมด!”
แล้วก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวน “กรี๊ด!…”
ผสมกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด “โอ๊ย!”
หลังจากนั้นก็มีเสียงตะโกนสั่ง “ลากตัวสตรีออกมา! นอกนั้นฆ่าให้หมด!”
จากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือดังแว่วมา “กรี๊ด!…ช่วยด้วย!”
เสียงทั้งหมดผสมปนเปดังแว่วมาให้ได้ยิน
“เสียงเหมือนคนฆ่ากันนะน้องรัตนา” แพรพรรณบอก แล้วชะเง้อชะแง้หันไปมองตามทิศทางที่ได้ยินเสียง
“ใกล้ๆ นี่เอง” เธอคำนวณระยะทางคร่าวๆ จากเสียงที่ได้ยินแล้วก็บอกว่า “ไปดูกันเถอะนะน้องรัตนา”
“จ้ะพี่พรรณ” มณีรัตนาพยักหน้าแล้วเกาะหญิงสาวแน่นอย่างหวาดกลัว
ทั้งสองคนจึงค่อยๆ เดินไปตามทิศทางที่ได้ยินเสียง ทั้งคู่เดินเลียบลำธารเล็กๆ ไปตามปลายลำน้ำจนกระทั่งได้ยินเสียงต่อสู้ดังชัดขึ้นเรื่อยๆ
“หลบเร็ว!” แพรพรรณรีบฉุดมณีรัตนาให้หลบหลังโขดหิน อีกฟากหนึ่งของลำธารดูเหมือนจะเป็นหมู่บ้าน มีชายฉกรรจ์สามคนอยู่บนหลังม้าถือดาบไล่ฆ่าฟันผู้คนอย่างโหดเหี้ยม แพรพรรณค่อยๆโผล่หน้าออกไปชะเง้อมอง
“พวกโจรแน่ๆ” เธอพึมพำบอกตัวเอง มณีรัตนาก็ชะเง้อแอบมองเช่นกัน ร่างเล็กกลมป้อมสั่นสะท้านไปทั้งตัวอย่างหวาดกลัว ทั้งคู่เห็นผู้ชายอีกสองคนเที่ยวไล่ฉุดคร่าผู้หญิงอย่างไร้ความปราณี
จนกระทั่งผู้ชายคนหนึ่งบนหลังม้าตะโกนบอกว่า “ไปโว้ย! ฮ่าๆๆๆ”
แล้วชายผู้นั้นก็กระชากตัวหญิงสาวคนหนึ่งฉุดขึ้นม้าไปด้วย พวกที่เหลือก็พากันฉุดคร่าหญิงสาวอีกสองคนที่เหลืออยู่ขึ้นม้าตามไป อีกสองคนที่อยู่บนพื้นก็รีบตวัดตัวขึ้นหลังม้าแล้วควบม้าตามพรรคพวกไปทันที พอพวกนั้นไปหมดแล้วก็ไร้ซึ่งเสียงใดๆ อีก แพรพรรณจึงหันไปพูดกับเด็กหญิงว่า “พวกนั้นไปหมดแล้ว เราเข้าไปดูกันเถอะ”
“ไม่!…ข้ากลัว” มณีรัตนาปฏิเสธพร้อมกับรั้งแขนหญิงสาวแน่น แพรพรรณจึงบอกว่า “พี่ก็กลัวจ้ะ แต่พวกนั้นไปกันหมดแล้ว แล้วอีกอย่างพี่ก็อยากรู้ด้วยว่ามีใครรอดตายหรือเปล่า”
เธอลูบศีรษะเล็กทุยปลอบประโลม
“ถ้ามีคนรอด…อย่างน้อยพวกเราจะได้ถามทางออกจากป่านี้ได้ไงจ๊ะ” เธอยกเหตุผลมาอ้างหวังจูงใจให้เด็กหญิงนึกอยากไปที่หมู่บ้านนั้น มณีรัตนาฟังเหตุผลของหญิงสาวแล้วก็คิดตาม แล้วพยักหน้า “จ้ะ…พี่พรรณ”
แล้วเด็กหญิงก็เกาะแขนหญิงสาวไว้แน่นอย่างหวาดกลัวจนตัวสั่น แพรพรรณเองก็หวาดกลัวจับใจเช่นกัน แต่ด้วยความอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมู่บ้านแห่งนี้บ้างทำให้เธอจำต้องข่มความกลัวแล้วกล้าที่จะเข้าไปดู ทั้งคู่ค่อยๆเดินข้ามลำธารเข้าไปในหมู่บ้าน แพรพรรณกำมือเล็กกลมป้อมไว้แน่น มือเรียวสวยเย็นเฉียบชื้นเหงื่อ เด็กหญิงเองก็เช่นกัน กำมือหญิงสาวไว้แน่นพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคออย่างหวาดๆ ทั้งสองคนเดินจับมือกันแน่น แล้วพากันเดินสำรวจไปทั่วหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ ทั้งหมู่บ้านเงียบสงัดเต็มไปด้วยศพคนตาย ทั้งเด็กเล็ก…คนแก่คนเฒ่า…ผู้ชาย…ผู้หญิง…นอนตายกันอย่างน่าสยดสยอง
“มีแต่คนตายทั้งนั้นเลยพี่พรรณ” เสียงใสพูดเบาหวิวสั่นสะท้าน มือข้างที่ว่างยกปิดปากตัวเองอย่างพยายามฝืนกลั้น แพรพรรณเองก็มีสภาพไม่ต่างไปจากเด็กหญิง ใบหน้างดงามซีดเผือดไร้สีเลือด แข้งขาพาลจะอ่อนเปลี้ยเพลียแรงขึ้นมาเสียเฉยๆ นี่ถ้าหากเมื่อกี้นี้โจรพวกนั้นมันเห็นเธอเข้า ‘อึ๊ย!…ไม่อยากจะคิด…ตัวเราเองคงมีสภาพไม่ต่างจากผู้หญิงพวกนั้นแน่!’
“อ๊วก!…” ทั้งคู่ขย้อนอาหารที่เพิ่งกินเข้าไปจนหมดไส้หมดพุง
“พี่พรรณ ข้าว่าพวกเรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ ข้ากลัว” มณีรัตนาเช็ดปากแล้วหันไปเขย่าแขนหญิงสาวพลางพูดว่า “หากไอ้พวกนั้นย้อนกลับมาพวกเราคงตายแน่”
เสียงใสสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวจนหญิงสาวขนลุกซู่! ใช่ซิ…ถ้าไอ้โจรพวกนั้นย้อนกลับมาเจอ…เธอคงถูกพวกมันปู้ยี่ปู้ยำไม่มีชิ้นดีแน่ พลัน! ความคิดหนึ่งก็แล่นวาบเข้ามาในสมอง ‘ชาย…ต้องปลอมเป็นชาย…จึงจะปลอดภัย’
เธอรีบฉุดเด็กหญิงให้เดินไปที่เรือนหลังหนึ่งทันที “น้องรัตนามาทางนี้เร็ว!”
“อะไรจ๊ะพี่พรรณ?” มณีรัตนาถามหน้าตาเหรอหรา
“ช่วยพี่หาเสื้อผ้าผู้ชายเร็ว พี่ต้องปลอมตัวเป็นผู้ชาย” แพรพรรณบอกอย่างร้อนรน
เด็กน้อยพยักหน้าอย่างเข้าใจทันที ‘ใช่แล้ว…หากพี่หญิงปลอมเป็นชาย…คงรอดพ้นจากการฉุดคร่าของพวกโจรแน่’
“ข้าเข้าใจแล้วพี่พรรณ”
แล้วทั้งสองคนก็พากันขึ้นบันไดไปบนเรือน ประตูเรือนเปิดอ้าซ่า ทั้งคู่ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป ข้าวของถูกรื้อกระจุยกระจายล้มระเนระนาดเต็มไปหมด ทั้งสองคนจูงมือกันไปยังห้องหนึ่งบนเรือน แพรพรรณผลักบานประตูซึ่งแง้มๆเอาไว้อย่างหวาดๆ
“แอ๊ด!” เสียงบานประตูเปิดออกพาให้ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เธอมองเข้าไปภายใน สภาพในห้องถูกรื้อค้นกระจัดกระจายเช่นกัน ทั้งคู่จึงค่อยๆ ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป ทั้งสองกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง แล้วมณีรัตนาก็กระตุกมืออีกฝ่าย
“พี่พรรณ นั่นไงอาภรณ์” มือกลมป้อมชี้ไปที่กองผ้าบนพื้น หน้าตู้ไม้หลังหนึ่งข้างหน้าต่าง แพรพรรณรีบก้าวเข้าไปทันที “ช่วยพี่หาเสื้อผ้าเร็ว”
แล้วทั้งคู่ก็ช่วยกันรื้อกองผ้ากองนั้นอย่างเร่งรีบด้วยความกลัวว่าพวกโจรอาจจะย้อนกลับมาอีกก็ได้
“พี่พรรณ ข้าเจอเสื้อกับผ้านุ่งแล้วจ้ะ” มณีรัตนายื่นเสื้อสีน้ำตาลแดงกับผ้านุ่งสีครามเข้มให้หญิงสาว
“ขอบใจจ้ะ” แพรพรรณรับมาแล้วก็จัดแจงถอดเสื้อผ้าตัวเองออกอย่างว่องไวเหลือเพียงชุดชั้นใน เธอรีบสวมเสื้อแล้วนุ่งผ้าให้เหมือนกับผู้ชายที่นอนตายอยู่ข้างล่างโดยมีเด็กหญิงเป็นผู้ช่วยแต่งตัวให้
“เดี๋ยวก่อน…พี่พรรณ! ท่านนั่งลงให้ข้ามุ่นผมให้ท่านก่อนเถิด” มณีรัตนาบอก แพรพรรณจึงรีบนั่งลงบนพื้นกระดาน มณีรัตนาก็จัดแจงรวบผมยาวสลวยเงางามของหญิงสาวเกล้าพันขมวดแล้วม้วนไว้กลางกระหม่อม ผูกด้วยแถบผ้ายาว พอเสร็จสรรพแล้วแพรพรรณก็ดูละม้ายหนุ่มน้อยหน้าหวาน
“พี่พรรณ ข้าว่าไหนๆ พวกเราก็มาเอาของของคนตายแล้ว ข้าว่าพวกเราควรจะต้องมีเสื้อผ้า…ข้าวของ…เครื่องใช้สำหรับเดินทางด้วยนะ” มณีรัตนาเสนอ เพราะเคยได้ยินพระอาจารย์พร่ำสอนเสมอทุกครั้งที่เสด็จพ่อออกประพาสป่ารอบๆ เมือง เด็กหญิงจึงท่องจำขึ้นใจว่า ‘จะเดินทางไปแห่งหนใดต้องตระเตรียมข้าวของให้พร้อมสรรพ’
“จริงซินะน้องรัตนา” แพรพรรณบอกอย่างเห็นด้วย แล้วเธอก็พูดว่า “ถ้างั้นก็จัดไปเลยน้อง”
มณีรัตนาทำหน้างงกับสำนวนของหญิงสาว แต่พอคิดๆ แล้วก็พอจะเข้าใจความหมาย ‘เอ…คงจะหมายความว่าเห็นด้วยกระมัง’
พอคิดได้ดังนั้นเด็กหญิงก็จัดแจงเอาผ้ามาปูแล้วก็หยิบผ้านุ่งอาภรณ์ข้าวของที่ต้องการวางลงไปบนผ้าอย่างที่เคยเห็นนางกำนัลจัดเตรียมข้าวของให้เสด็จแม่ แพรพรรณก็รีบช่วยอีกแรง พอมัดห่อผ้าเสร็จ เธอก็พนมมือขึ้นแล้วพูดว่ “ท่านทั้งหลายที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ขอจงได้โปรดยกโทษอโหสิกรรมให้พรรณด้วยเถอะค่ะ พรรณขอเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ไปใช้เพื่อเอาชีวิตรอด ขออย่าได้จองเวรจองกรรมต่อพรรณเลยนะคะ แล้วพรรณจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้นะคะ”
มณีรัตนาเห็นหญิงสาวพนมมือจึงพนมมือตาม หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ลงจากเรือนด้วยสภาพสะพายห่อผ้าคนละห่อ กระบอกน้ำไม้ไผ่คนละกระบอก แพรพรรณเดินไปหยิบดาบกับฝักดาบที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา
“คงต้องเอาไปด้วยนะ อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีอาวุธอะไรเลย” เธอว่าแล้วก็เอาดาบเสียบเข้าไปในฝักดาบแล้วก็เอามาเสียบเหน็บไว้กับผ้าคาดเอว มณีรัตนาจึงหันไปเก็บมีดสั้นที่ตกอยู่ใกล้ตัวขึ้นมา แล้วจัดแจงหาผ้าห่อมีดสั้นแล้วเอาเหน็บเอวไว้บ้าง แล้วมือเล็กกลมป้อมก็เอื้อมไปกระตุกมือหญิงสาว
“พี่พรรณ ข้าว่าพวกเรารีบไปกันเถิดนะ ข้ากลัว” เสียงใสสั่นสะท้านเมื่อมองไปรอบๆตัว
“รีบไปกันเถอะน้องรัตนา เกิดไอ้โจรพวกนั้นมันย้อนกลับมาเจอ พวกเราคงซี้แหงแก๋แน่ๆ จ้ะ” แพรพรรณบอกอย่างนึกกลัว มณีรัตนาทำหน้างง
“ซี้แหงแก๋?” เด็กหญิงทวนคำอย่างงงๆ พลางถามว่า “หมายความว่าอะไรหรือพี่พรรณ?”
“ช่างมันเถอะจ้ะ” แพรพรรณส่ายหน้าขี้เกียจอธิบาย แล้วเธอก็เงยหน้ามองดวงอาทิตย์ “ทิศตะวันออกอยู่ทางนี้”
เธอรีบจูงมือพาเด็กหญิงเดินออกจากหมู่บ้านไปตามทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นคนละทางกับที่พวกโจรมุ่งหน้าไป ทั้งสองคนรีบเดินจ้ำไปตามทางเล็กๆ ซึ่งน่าจะเป็นเส้นทางที่คนในหมู่บ้านใช้เดินเป็นประจำ ทั้งคู่เดินตามทางไปเรื่อยๆ จนทางเดินเล็กๆ นั้นไปสิ้นสุดตรงริมทุ่งหญ้าคากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
“จะทำเช่นไรหรือพี่พรรณ? ไม่มีทางให้เดินแล้ว” มณีรัตนาถาม ส่วนแพรพรรณก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน วงหน้างดงามขมวดคิ้วนิ่งคิด “อืม…เอาไงดีล่ะเนี่ย?”
เมื่อก่อนเธอเคยบุกป่าฝ่าดงไปท่องเที่ยวกับพี่ชายก็จริง แต่มันก็เป็นการเดินท่องป่าไปอย่างรู้จุดหมายปลายทางและรู้เส้นทาง แถมอุปกรณ์เดินป่าก็ครบครัน แต่นี่…ไม่รู้ทั้งเส้นทางและสภาพภูมิศาสตร์เลยแม้แต่น้อย จะต้องไปผจญกับอะไรบ้างก็ยังไม่รู้ “เฮ้อ…เอาไงดีล่ะ?”
แต่พอเห็นดวงหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราที่มองมาที่เธอประหนึ่งดังว่าเธอคือความหวังเดียวทำให้เธอจำต้องฮึดสู้
“เอ้า!…เอาก็เอา! ทิศตะวันออกอยู่ทางนี้ก็ต้องลุยป่าไปตามทางนี้แหละนะ เรื่องอื่นค่อยว่ากันล่ะนะน้องรัตนา” เธอกำมือเล็กกลมป้อมบีบกระชับแน่นเหมือนขอความเห็น ทำให้ผู้ร่วมทางตัวน้อยพยักหน้า “เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะจ้ะ”
แล้วทั้งสองก็ค่อยๆ เดินแหวกไปในทุ่งหญ้าคาสูงเคียงเอว
จนกระทั่งดวงตะวันเคลื่อนคล้อยสู่กลางนภาบอกเวลาเที่ยงวัน ทั้งสองจึงหาที่นั่งพักใต้ร่มไม้กลางทุ่งหญ้าคา มณีรัตนาปลดกระบอกน้ำของตัวเองมายกดื่มอึกๆ อย่างกระหาย มือเล็กกลมป้อมปาดเหงื่อออกจากใบหน้า ส่วนแพรพรรณก็มีสภาพไม่ต่างกัน เหงื่อไหลไคลย้อยเต็มหน้าไปหมด พอได้นั่งพัก เธอก็หลับตาลง
‘ฝัน…ฝัน…ฝัน…ฉันกำลังฝันอยู่แน่ๆ…ตื่นซิ…ตื่น…ตื่นเดี๋ยวนี้นะ!’ เธอบอกตัวเองในใจ เธอหวังว่าเธอเมื่อลืมตาขึ้นคงจะเห็นภาพห้องนอนของตัวเอง แต่พอลืมตาขึ้นมา ทุกอย่าง…ยังเป็นเหมือนเดิม…ทุ่งหญ้าคาไกลสุดลูกหูลูกตายังสะท้อนเข้านัยน์ตาไม่ได้แปรเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
“เฮ้อ…” เธอถอนหายใจ แล้วก็ปลดกระบอกน้ำของตัวเองมาดื่มบ้าง
“พี่พรรณ!” มณีรัตนาเรียกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“นั่นกวางนี่!” มือเล็กกลมป้อมชี้ไปทางฝูงกวางฝูงใหญ่ที่เดินหากินอยู่ไกลๆ แพรพรรณหันไปมอง
“โห…กวางจริงๆด้วย” เธออุทานอย่างตื่นเต้น ตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่เคยเห็นฝูงกวางใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย ทั้งคู่ยืนขึ้นมองดูกวางฝูงนั้นอย่างตื่นเต้นและตื่นตาตื่นใจ พลัน! ก็มีเสียงร้อง “กี้—”
เสียงนั้นดังมาจากบนฟ้า ทั้งคู่จึงแหงนหน้ามอง แล้วทั้งสองก็เห็นนกตัวหนึ่งบินร่อนลงมาอย่างรวดเร็ว นกตัวนั้นบินร่อนลงมาอย่างว่องไวตรงเข้าหาฝูงกวางที่วิ่งแตกตื่นทันทีเมื่อได้ยินเสียงร้องจากฟากฟ้า แล้วนกตัวนั้นก็โฉบเอากวางตัวหนึ่งติดอุ้งเล็บบินเหินขึ้นฟ้าหายลับไป
“พระเจ้าช่วย! นั่นนกอะไรน่ะ!?” แพรพรรณอุทานอย่างตกใจ จะไม่ให้เธอตกใจได้ยังไงในเมื่อนกตัวนั้นมีขนาดเท่ากับรถบัสได้ล่ะมั้ง
“นั่นนกอินทรีจ้ะพี่พรรณ” มณีรัตนาบอกน้ำเสียงปกติ ไม่ได้ตื่นตกใจแต่อย่างใด เหมือนกับว่าเคยเห็นนกยักษ์นั่นจนชินตา แล้วก็หันไปมองฝูงกวางที่วิ่งแตกตื่นห่างออกไป พลางบ่นอย่างเสียดายว่า “เฮ้อ…เพราะเจ้านกอินทรีนั่นแท้ๆ เชียว ข้าจึงอดดูกวางแล้ว”
“นกอินทรีเหรอ?” แพรพรรณทวนคำ เธอยังตกใจไม่หาย
‘พระเจ้าช่วย!…นกอินทรีทำไมมันใหญ่ขนาดนั้นล่ะ! แค่กวางตัวเดียวคงไม่พอให้ไอ้นกยักษ์นั่นอิ่มหรอก’ เธอคิดอย่างสยดสยอง
“พี่พรรณ ข้าหิวแล้วล่ะ” มณีรัตนาพูดพร้อมกับสะกิดแขนเรียวเสลา ทำให้แพรพรรณหันไปสนใจผู้ร่วมทางตัวน้อย
“หิวแล้วเหรอ” เธอถาม มณีรัตนาพยักหน้า แพรพรรณจึงปลดห่อผ้าลงจากบ่า แล้วแก้ห่อผ้าออกหยิบห่อใบตองที่รัดไว้ด้วยตอกออกมาจากห่อผ้า เธอรีบแกะห่อใบตองคลี่ออกแล้ววางลงกับพื้น
“ถ้าหิว งั้นก็กินข้าวตังนี่ล่ะกัน” เธอบอกแล้วก็พูดว่า “ดีนะที่เมื่อกี้ห่อมาด้วย”
“จ้ะพี่พรรณ” มณีรัตนาพยักหน้าแล้วก็จัดแจงหยิบข้าวตังใส่ปาก พอเคี้ยวหมดคำก็บอกอีกฝ่ายว่า “พี่พรรณก็กินด้วยกันซิจ๊ะ”
แพรพรรณจึงเอื้อมมือไปหยิบข้าวตังมากิน ทั้งคู่แบ่งกันกินข้าวตังจนหมดห่อแล้วก็เช็ดมือเช็ดปากด้วยเสื้อที่ใส่ แล้วก็ยกกระบอกน้ำขึ้นดื่มกันคนละหลายอึก ทั้งสองนั่งพักอีกหน่อยแล้วก็ชวนกันเดินทางต่อ
จนกระทั่งบ่ายคล้อยดวงอาทิตย์ลดต่ำลงเหนือทิวไม้ ทั้งสองคนก็เดินมาถึงชายป่า
“เกือบจะเย็นแล้ว พี่ว่าเราหาที่พักกันก่อนเถอะนะ” แพรพรรณบอกเพื่อนร่วมทางตัวน้อย มณีรัตนาพยักหน้าเห็นด้วย “จ้ะพี่พรรณ ข้าเดินต่อไปไม่ไหวแล้วล่ะ”
แล้วเด็กน้อยก็ทรุดลงนั่งแปะบนก้อนหินใหญ่ แพรพรรณจึงเริ่มมองหาที่พักเหมาะๆ เธอหันมองไปรอบๆ แล้วก็เห็นสถานที่ซึ่งพอจะใช้เป็นที่พักค้างแรมได้ ซึ่งก็คือใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งไร้วัชพืชรกทึบ
“ถ้างั้นพวกเราก็ไปพักตรงนั้นกันเถอะ” มือเรียวสวยชี้ไปที่ที่ตัวเองหมายตา มณีรัตนามองตามพลางพยักหน้าเห็นด้วย “จ้ะพี่พรรณ”
แพรพรรณจึงยื่นมือไปฉุดผู้ร่วมทางตัวน้อยให้ลุกขึ้น แล้วทั้งสองคนก็เดินไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ทั้งสองปลดห่อผ้าลงวางไว้ที่โคนต้นไม้ แล้วแพรพรรณก็เดินไปเก็บกิ่งไม้แห้งสำหรับก่อกองไฟ ส่วนมณีรัตนาก็นั่งพิงลำต้นไม้ใหญ่ผล็อยหลับไปทันที พอแพรพรรณหันไปเห็นเข้าก็นึกสงสาร “โถ…คงจะเหนื่อยมากล่ะซิ หลับไปซะแล้ว”
แล้วเธอก็หอบกิ่งไม้ไปวางไว้ใต้ต้นไม้ แต่พอเหลือบไปดูพระอาทิตย์เธอก็รีบเดินไปเก็บกิ่งไม้ต่อ “ต้องรีบแล้วซิ…เดี๋ยวจะมืดซะก่อน”
เธอรีบเก็บกิ่งไม้แห้งเพื่อให้พอกับการก่อกองไฟทั้งคืน พอได้กิ่งไม้แห้งเพียงพอแล้วเธอจึงเลิกเก็บ พลัน! เธอก็ได้ยินเสียงร้อง “เจี๊ยกๆ”
เสียงนั้นดังมาจากบนยอดไม้
“เอ๊ะ!” เธอรีบหันไปดู แล้วเธอก็เห็นลิงตัวหนึ่งนั่งอยู่บนต้นไม้ห่างไปไม่ไกลนัก
“ลิงนี่น่า” เธออุทาน แล้วลิงตัวนั้นก็กระโดดจากต้นไม้ที่นั่งอยู่ไปยังต้นไม้อีกต้นที่อยู่ข้างๆ กัน พอไปถึงมันก็โผนไปเด็ดผลไม้สีเหลืองบนต้นมากัดกินอย่างเอร็ดอร่อย แพรพรรณเห็นเช่นนั้นเธอจึงรีบเดินไปที่ต้นไม้ต้นนั้นทันที
“อืม…ผลไม้นี้คงจะกินได้ล่ะมั้ง” เธอแหงนมองผลไม้สีเหลืองรูปร่างกลมเหมือนผลส้มอย่างชั่งใจ
“เอาน่า…ลิงกินได้คนก็ต้องกินได้ละนะ” มือเรียวสวยจึงเอื้อมไปโน้มกิ่งเด็ดมาลูกหนึ่ง แล้วเธอก็มองผลไม้ลูกนั้นแล้วยกขึ้นดมกลิ่น “กลิ่นเหมือนมะม่วงเลยแฮะ”
แล้วเธอจึงทดลองกัดชิมดู กร๊วม!
“อื้ม…เหมือนแอ๊บเปิ้ลเลยแฮะ” เธอจึงเคี้ยวผลไม้กลืนลงคอ
Chapter 5
เจอพญานาค!
“เก็บไปให้น้องรัตนากินด้วยดีกว่า” พอคิดดังนั้นเธอจึงเอื้อมมือไปเก็บผลไม้สีเหลืองมาอีกห้าลูกแล้วก็เดินกลับไปยังที่พัก เธอวางผลไม้ไว้ที่โคนต้นไม้แล้วก็ลงมือก่อไฟ เธอดึงดาบออกมาเหลาไม้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วก็จัดการตัดกิ่งไม้ท่อนหนึ่งให้เป็นท่อนสั้นๆขนาดเหมาะมือ แล้วเธอก็เอากิ่งไม้ท่อนใหญ่มาวางเป็นแท่นจากนั้นเธอก็เอากิ่งไม้ท่อนสั้นเหมาะมือตั้งแล้วก็หมุนกับกิ่งไม้ท่อนใหญ่เพื่อให้เกิดแรงเสียดสี เหมือนกับที่เคยเห็นครูสอนตอนเป็นเนตรนารี เธอตั้งหน้าตั้งตาหมุนๆ จนกระทั่งเริ่มมีควันลอยขึ้นเล็กน้อยเธอก็รีบเอาเศษไม้ฝอยๆใส่ลงไป แล้วเธอก็หมุนท่อนไม้อีกครั้ง
“เฮ้อ…ยากจัง” เธอบ่นแล้วก็หมุนท่อนไม้ต่อ
“เฮ้อ…น่าจะมีไม้ขีดไฟแช็คนะเนี่ย” เธอเอ่ยลอยๆ
จนกระทั่งเริ่มมีควันหนามากขึ้นและเริ่มมีประกายไฟเล็กน้อย เธอจึงรีบเอาเศษใบไม้แห้งสุมลงไป แล้วก็รีบหมุนท่อนไม้ในมือต่อ ซักพัก…เศษใบไม้ก็ค่อยๆ มอดไหม้พร้อมกับเปลวไฟค่อยๆ ลุกโชน เธอจึงรีบเอาเศษกิ่งไม้แห้งชิ้นเล็กๆ ใส่ลงไปก่อน แล้วก็ก้มลงเป่าลมเพื่อช่วยเร่งไฟให้ติดเร็วขึ้น
“เฮ้อ…กว่าจะติด” เธอพึมพำพลางปาดเหงื่อ แล้วก็ค่อยๆ หักกิ่งไม้แห้งสุมลงไปทีละน้อยๆ เธอรอจนไฟลุกโชนดีแล้วจึงถอยไปนั่งข้างๆ เพื่อนร่วมทางตัวน้อย เธอนั่งชันเข่าเอาคางวางเกยกับเข่าตัวเอง สองแขนกอดขาตัวเองแน่น แสงตะวันค่อยๆ ลาลับฟ้า ความมืดโรยตัวไปรอบๆ แพรพรรณเหม่อมองออกไปในความมืดมิด
“ทำไมฉันต้องมาอยู่ที่นี่ด้วยนะ? เฮ้อ…ป่านนี้คุณพ่อคุณแม่คงตามหากันวุ่นแล้วมั้ง คิดถึงคุณพ่อคุณแม่จังเลย” น้ำตาค่อยๆ รินไหลอาบสองแก้ม
“พี่พรรณ ท่านร้องไห้หรือ?” เสียงใสถามพร้อมกับดวงหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรายื่นหน้าเข้ามามอง
“ปะ…เปล่าจ้ะ…เปล่า” แพรพรรณปฏิเสธพลางรีบเช็ดน้ำตาแล้วหันไปถามเด็กหญิง “ตื่นแล้วเหรอ?”
“จ้ะ” มณีรัตนาตอบแล้วก็มองใบหน้าอีกฝ่ายที่ยังเปื้อนคราบน้ำตา “เอ่อ…”
ริมฝีปากจิ้มลิ้มขยับจะพูดบางอย่างแต่พอเห็นหญิงสาวพยายามฝืนยิ้มให้ เด็กหญิงจึงนิ่งเงียบ
“หิวไหมจ๊ะ?” แพรพรรณถามพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบผลไม้สีเหลืองยื่นให้เด็กหญิง
“พี่เห็นมันออกลูกอยู่ตรงนู้นก็เลยเก็บมา กินซิจ๊ะ” เธอบอกพลางชี้มือไปทางต้นไม้ที่อยู่ถัดไป
“จ้ะ” มณีรัตนาพยักหน้าแล้วรับผลไม้มา ดวงหน้าจิ้มลิ้มแย้มยิ้มให้หญิงสาวแล้วก็พูดว่า “ลูกพลับหมากม่วงนี่ข้าชอบกินมากเลยจ้ะ”
แล้วเด็กหญิงยกผลไม้ในมือกัดกินอย่างเอร็จอร่อย
“ลูกพลับหมากม่วงเหรอ?” แพรพรรณทวนชื่อผลไม้แล้วก็หยิบมากินบ้าง ทั้งคู่กินลูกพลับหมากม่วงอิ่มแล้ว ก็เริ่มหาวนอนแข่งกัน
“ข้าง่วงนอนจังเลยพี่พรรณ” มณีรัตนาบอกพร้อมกับอ้าปากหาวอย่างง่วงนอน แพรพรรณลูบศีรษะเล็กทุยแล้วบอกอย่างอ่อนโยน “ง่วงก็นอนซิจ๊ะ เดี๋ยวพี่เติมฟืนก่อน”
มณีรัตนาจึงเอาห่อผ้ามานอนหนุนหัวต่างหมอน ส่วนแพรพรรณก็ลุกไปเติมฟืนใส่กองไฟ แล้วกลับมานั่งข้างๆ เด็กหญิง
“พี่พรรณขอข้านอนหนุนตักท่านจนกว่าข้าจะหลับได้ไหม? ข้ากลัว” เสียงใสอ้อน แพรพรรณรีบบอกอย่างสงสาร “ได้ซิจ๊ะ”
เธอขยับตัวไปชิดเพื่อนร่วมทางตัวน้อยทันที พอได้ยินคำอนุญาต มณีรัตนาก็เขยิบมานอนหนุนตักหญิงสาวแล้วหลับตาลง แพรพรรณลูบศีรษะเล็กทุยอย่างเอ็นดูปนสงสาร ‘เฮ้อ…ไม่น่าต้องมาลำบากลำบนอย่างนี้เลยน้องเอ้ย’
ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเด็กหญิงหลับสนิทไปแล้ว แพรพรรณจึงค่อยๆ ช้อนตัวเด็กน้อยให้ไปนอนหนุนห่อผ้าแทน
“โถ…เด็กหนอเด็ก” เธอลูบศีรษะเล็กๆ นั่นอีกครั้ง แล้วเธอก็ล้มตัวลงนอนข้างๆ เด็กน้อย ไม่นานนักเธอก็หลับสนิทเพราะความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าที่ต้องเดินเท้ามาตลอดทั้งวัน พลัน! ต้นไม้ที่ทั้งสองคนมาอาศัยนอนพักก็เกิดแสงสว่างวาบ พร้อมกับชายคนหนึ่งเดินออกมาจากต้นไม้ เขาสวมอาภรณ์สีเงินสวมเครื่องประดับระยิบระยับเต็มตัว รอบๆ ตัวชายคนนั้นเปล่งแสงรัศมีสีเงินจางๆ เขาหยุดยืนห่างจากหญิงสาวและเด็กหญิงประมาณ 2 เมตร
“เหตุใดสตรีงดงามและธิดาน้อยน่ารักจึงมารอนแรมกลางป่าเช่นเล่า?” เขาพึมพำอย่างสงสัย แต่ใครล่ะจะตอบได้ เขามองสองหญิงต่างวัยที่มานอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ของตนเอง
“หืม…กลิ่นบุปฝาแห่งสวรงสวรรค์นี่” เขาอุทานแล้วก็มองหาที่มาของกลิ่นหอม แล้วเขาก็ระลึกรู้ได้ว่ากลิ่นนั้นลอยมาจากตัวของหญิงสาว
“เหตุใดสตรีนางนี้จึงมีกลิ่นบุปฝาแห่งสวรงสวรรค์เล่า?” เขาพึมพำด้วยความสงสัย แต่ในเมื่อสงสัยไปก็ไม่ได้คำตอบ เขาจึงตัดใจเลิกสงสัย มองทั้งสองคนอย่างปราณี
“เอาเถอะ…คืนนี้พวกเจ้าทั้งสองจงนิทราให้สนิทเถิดนะ” เขากล่าวแล้วก็ยื่นมือมาทางคนทั้งสอง พลัน! ก็มีแสงสีเงินระยิบระยับลอยออกจากมือข้างนั้นมาล้อมรอบตัวของผู้เดินทางต่างถิ่นทั้งสองเอาไว้ เขายิ้มอย่างปราณีแล้วลดมือลง แล้วเขาก็เดินหายเข้าไปในต้นไม้ ทั่วทั้งบริเวณก็มืดสนิทเช่นเดิม ยกเว้นเฉพาะรอบๆ ตัวของสองหญิงต่างวัยทั้งสองที่มีไอสีเงินระยิบระยับลอยอยู่รอบตัวจางๆ
เสียงนกร้องดังระงมไปหมดจนแพรพรรณไม่อาจจะนอนหลับต่อไปได้
“เสียงนกหนวกหูจัง” เธอบ่นพึมพำอยู่ในลำคอ เธอหวังว่าตัวเองคงจะนอนอยู่บนเตียงนุ่มๆ ใต้ผ้าห่มอุ่นๆ ภายในห้องนอนของตัวเอง แต่พอลืมตาขึ้นมาภาพแรกที่เห็นกลับเป็นนกตัวเล็กๆ มากมายกำลังจิกคุ้ยหาอาหารอยู่บนพื้น พอเธอขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ฝูงนกก็บินพรึ่บหนีไปด้วยความตกใจ
“เฮ้อ…เมื่อไหร่ฉันจะตื่นจากฝันนี่ซะทีนะ?” เธอพึมพำหน้าเศร้า แล้วหันไปมองร่างเล็กที่นอนเคียงกัน
“น้องรัตนาตื่นเถอะ เช้าแล้วนะ” มือเรียวสวยเขย่าแขนกลมป้อมเบาๆ
“อือ…เช้าแล้วหรือ” มณีรัตนางัวเงียลืมตาตื่นแล้วก็ยกมือปิดปากหาว
“หิวไหมจ๊ะ?” แพรพรรณถาม
มณีรัตนาพยักหน้าทั้งๆ ที่ยังงัวเงีย
“ถ้างั้นรอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวพี่ไปเก็บลูกพลับหมากม่วงมาให้นะจ๊ะ” แล้วแพรพรรณก็ลุกไปทันที เรือนร่างอรชรเขย่งตัวแล้วเอื้อมมือไปเก็บผลไม้สีเหลืองหอมหวาน เสียงเดินสวบสาบเข้ามาใกล้ แพรพรรณหันไปมอง พอเห็นว่าเป็นผู้ร่วมทางตัวน้อยเดินมาเธอจึงบอกว่า “รอเดี๋ยวนะ”
แล้วมือเรียวสวยก็ปลิดลูกพลับหมากม่วงมาลูกหนึ่ง
“พี่พรรณ ให้ข้าช่วยถือนะ” มณีรัตนาอาสาแล้วยื่นมือมารอรับ แพรพรรณจึงยื่นผลไม้ส่งให้แล้วหันไปปลิดผลไม้ลูกอื่นต่อ มณีรัตนาใช้ชายเสื้อของตัวเองใส่ผลไม้รสอร่อย
“คงพอกินล่ะนะ” แพรพรรณมองผลไม้ในเสื้อของเด็กหญิงแล้วจึงหยุดเก็บ
“มากมายขนาดนี้กินทั้งวันแน่จ้ะ” มณีรัตนาบอก ตามองผลไม้ในเสื้อตัวเองพร้อมกับยิ้มแก้มปริ จากนั้นแพรพรรณจึงดึงชายเสื้อของตัวเองมาถ่ายผลไม้จากผู้ร่วมทางตัวน้อย แล้วสองสาวต่างวัยจึงพากันเดินกลับไปนั่งใต้โคนต้นไม้ที่ใช้อาศัยพักแรม
“กินเสร็จแล้ว พวกเราก็รีบเดินทางต่อเถอะนะ” แพรพรรณบอกหลังจากกินผลไม้อิ่มแล้ว มณีรัตนารีบพยักหน้า “จ้ะพี่พรรณ ออกเดินทางแต่เช้าก็ดีจ้ะ สายนักแดดแรงเหลือเกิน”
“เออจริงซิ…น้องรัตนาจำได้ไหมว่าถูกพาเหาะมาไกลขนาดไหนจ๊ะ” แพรพรรณถามพรางมองใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา มณีรัตนานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตอบว่า “ข้าจำไม่ค่อยได้หรอกจ้ะ มันพาข้าเหาะมาบนหลังอินทรียักษ์ บินข้ามน้ำข้ามป่าข้ามขุนเขาตั้งหลายวัน จนเจ้านกตัวนั้นขาดใจตาย มันจึงแบกข้าเดินต่อเพื่อจะหานกอินทรีย์ตัวใหม่ จนกระทั่งข้าได้พบกับพี่นั่นละจ้ะ”
เด็กหญิงเล่าน้ำตาคลอ
“อย่าร้องไห้นะจ๊ะ พี่สัญญาแล้วว่าจะพาไปส่งบ้านนะ พวกเราเดินออกจากป่านี้ไปเจอเมืองเมื่อไหร่ค่อยหาทางกันอีกทีนะจ๊ะ” แพรพรรณปลอบแล้วลูบไหล่เด็กหญิงปลอบใจ มณีรัตนาเช็ดน้ำตา “จ้ะพี่พรรณ”
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ออกเดินทางต่อ
ยิ่งสาย…แดดก็ยิ่งร้อนแรง ทั้งสองเดินผ่านป่าทึบไปตามทางเดินสัตว์ป่าจนกระทั่งถึงบึงน้ำใหญ่
“พี่พรรณ น้ำ!” มณีรัตนาบอกพร้อมกับกระตุกแขนหญิงสาว
“สระน้ำ!” แพรพรรณมองอย่างดีใจ เพราะจะได้เติมน้ำใส่กระบอกซึ่งเหลือน้ำติดก้นกระบอกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งสองคนเดินเข้าไปที่บึงน้ำอย่างดีใจ
“พี่พรรณดูซิจ๊ะ น้ำใสแจ๋วจนเห็นฝูงปลาเลยจ้ะ” มณีรัตนาชี้ฝูงปลาซึ่งกำลังแหวกว่ายไปมา แพรพรรณมองไปรอบๆ อย่างสำรวจ แสงแดดส่องลอดต้นไม้ลงมาเป็นลำดูงดงาม สะท้อนลงบนผิวน้ำจนเกิดประกายรุ้ง มณีรัตนานั่งลงริมตลิ่งแล้ววักน้ำล้างหน้า “ชื่นใจนัก”
“น้ำใสจริงๆ” แพรพรรณบอก แล้วก็นั่งลงวักน้ำล้างมือล้างหน้าบ้าง พลัน! น้ำในบึงก็กระเพื่อมแรง ซ่า!
“อ่ะ!”
“อุ๊ย!”
ทั้งสองคนตกใจ รีบถอยกรูห่างจากบึงน้ำทันที น้ำในบึงกระเพื่อมแรงขึ้นประดุจคลื่นลมในทะเลปั่นป่วน พร้อมๆ กับผิวน้ำนูนขึ้น…ดันตัวสูงขึ้นแล้วก็แตกซ่า!
“กรี๊ด!” สองสาวตกใจกรีดร้องลั่นผวากอดกันแน่น เมื่อจู่ๆ ก็มีสัตว์ตัวใหญ่โผล่พรวดจากผิวน้ำ ทั้งสองคนกลัวจนขาสั่นทรุดลงกอดกันแน่นอยู่ตรงริมบึงนั่นเอง ทั้งสองจ้องมองสัตว์ตัวนั้นอย่างหวาดกลัว
“งู!” แพรพรรณอุทานลั่น ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างอย่างตกใจสุดขีด
“พญานาค!” มณีรัตนาอุทานเช่นกัน แล้วก็ก้มหน้าซุกกับอกของหญิงสาว ตัวสั่นสะท้านกลัวจับจิต
“ใครกันมารบกวนในที่แห่งข้า?” พญานาคตนนั้นถามพร้อมกับก้มลงมองมนุษย์สองคนที่นั่งกอดกันอยู่ริมตลิ่ง
“พวกเจ้าเป็นใครกัน? ไม่รู้หรือว่าบุกรุกเข้ามาในที่พำนักแห่งข้ามีโทษสถานใด?” พญานาคตวาดลั่นแล้วก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้มนุษย์น้อยตัวกระจ่อยร่อย
“อ๊ะ!” แพรพรรณตกใจจนพูดอะไรไม่ออก เธอได้แต่นึกถึงคุณพ่อคุณแม่ ดวงตาคู่สวยจ้องมองรูปร่างที่เหมือนกับรูปปูนปั้นที่เคยเห็นตามวัดจนชินตาด้วยความกลัวจับใจ แต่ครั้นพอพญานาคตนนั้นยื่นหน้าเข้าไปจนชิดมนุษย์น้อยตัวกระจ่อยร่อย ก็ผงะออก
“กลิ่นบุปฝาแห่งสรวงสวรรค์นี่!” พญานาคอุทานลั่นอย่างตะลึง! พลัน! พญานาคตนนั้นก็กลายร่างจากรูปนาคเปลี่ยนเป็นรูปมนุษย์จำแลง เขานุ่งผ้าสีเขียวสลับสีทอง ไม่ได้สวมเสื้อ มีเพียงสร้อยสังวาลพาดอกไขว้กันสองสาย สวมกำไลข้อมือและข้อเท้ายืนอยู่บนผิวน้ำ
“พวกเจ้าไม่ต้องกลัวข้าหรอก” พญานาคบอกเสียงนุ่มแล้วเดินไปยืนตรงหน้ามนุษย์ทั้งสองคน น้ำเสียงอ่อนโยนผิดกับเมื่อกี้นี้ทำให้แพรพรรณใจชื้นขึ้นมาหน่อย
“พวกเจ้าเป็นใครกัน? เหตุใดจึงมาถึงที่พำนักแห่งข้า?” พญานาคถาม แต่เมื่อสัมผัสกระแสความกลัวจากมนุษย์ทั้งสองได้เขาจึงปลอบว่า “อย่ากลัวไปเลย ข้าไม่ทำอันตรายพวกเจ้าหรอก”
“ไม่…ทำอะไรจริงๆ นะ” แพรพรรณถามเสียงสั่น พญานาคตนนั้นจึงแย้มยิ้มอย่างเมตตาปราณี “ข้าไม่กล้าทำอันตรายผู้มีกลิ่นบุปฝาแห่งสวรงสวรรค์หรอก จงเชื่อข้าเถิด”
เขาย้ำหนักแน่นทำให้แพรพรรณค่อยๆ คลายความกลัวลง
“พวกเจ้าเป็นใครกัน? เหตุใดจึงมาถึงที่พำนักแห่งข้า?” พญานาคถามอีกครั้งแล้วมองสำรวจมนุษย์ทั้งสองคน แพรพรรณจ้องมองพญานาคอย่างไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเล่าจากตรงไหนดี “เอ่อ…”
เธอมองเขานิ่ง ซักพักเธอก็ถอนหายใจ “เฮ้อ…”
แล้วเธอเล่าว่า “น้องฉันถูกจับตัวมาจากอมรานครค่ะ”
เธอชี้มือที่ร่างน้อยในอ้อมกอดประกอบคำบอกเล่า
“ฉันเจอในป่าทางนู้น ฉันกับน้องจึงเดินมาทางนี้เพื่อจะพาน้องไปส่งที่บ้านค่ะ” เธอบอกแล้วก็ยกมือขึ้นไหว้แล้วรีบพูดว่า “ฉันไม่ได้มีเจตนาที่จะบุกรุกบ้านของท่านเลยนะคะ ได้โปรดยกโทษให้พวกเราด้วยเถอะค่ะ”
พญานาคมองทั้งสองแล้วก็พูดว่า “อมรานครหรือ?”
เขาทวนคำแล้วบอกว่า “มิใช่ใกล้ๆ เลยนะ เหตุใดจึงถูกพามาไกลเช่นนี้เล่า?”
“น้องรัตนาเล่าว่าไอ้คนชั่วนั่นจะเอาเขาไปบูชายัญให้เจ้าแม่กาลีค่ะ” แพรพรรณบอก พญานาคพยักหน้ารับรู้ “เป็นเช่นนี้นี่เอง”
แล้วเขาก็พูดว่า “ข้าเคยได้ยินมาเหมือนกันว่าในป่าทางทิศประจิมมีพวกนักพรต…ฤาษี…นักบวช…พราหมณ์ ผู้ซึ่งบูชาเจ้าแม่กาลี และการบูชานั้นต้องใช้เด็กที่กำเนิดในคืนจันทรคราส”
เขาก้มลงมองเด็กหญิงในอ้อมกอดของหญิงสาวอย่างปราณีพร้อมกับเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเด็กหญิงพลางเดาว่า “เจ้าคงจะกำเนิดในคืนจันทรคราสซินะจึงถูกจับตัวมา”
มณีรัตนาสัมผัสได้ถึงกระแสอ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยเมตตา จึงกล้าเงยหน้ามองพญานาค ความหวาดกลัวค่อยๆ หายไป
“ท่านดูใจดีผิดกับเมื่อกี้นี้นัก ท่านคงไม่กินข้าใช่ไหม?” เสียงใสถามอย่างหวาดๆ ทำให้พญานาคหัวเราะขำ “ฮ่าๆๆๆ…”
“ข้าไม่กินเจ้าหรอกเด็กน้อยเอย…ข้าละเว้นซึ่งเนื้อสัตว์ ข้ากินแต่ผลไม้พืชผักเท่านั้น” เขาบอกน้ำเสียงอ่อนโยน ทำให้สองสาวถอนหายใจโล่งอก “เฮ้อ…”
“แล้วเหตุใดท่านจึงดูน่ากลัวนักยามเมื่อท่านปรากฏตัวครั้งแรก?” มณีรัตนาถามอย่างสงสัยยิ่งนัก ดวงตากลมแป๋วแหว๋วมองสบตากับพญานาค
“ข้าไม่ชอบให้ใครมาทำให้น้ำในที่พำนักแห่งข้าต้องขุ่นมัว ข้าจึงเพียงแกล้งขู่เท่านั้น ฮ่าๆๆๆ” พญานาคตอบพลางหัวเราะแล้วก็บอกว่า “พวกกินนร ชอบมาเล่นน้ำส่งเสียงหนวกหูจนข้าบำเพ็ญตบะไม่ได้ ข้าจึงต้องขึ้นมาคอยไล่อยู่เรื่อย”
‘แกล้งขู่! นั่นอ่ะนะแกล้งขู่…ฉันเกือบจะหัวใจวายตายไปแล้วเชียวนะ!’ แพรพรรณนึกอยู่ในใจ
“เพื่อเป็นการไถ่โทษที่ข้าทำให้พวกเจ้าหวาดกลัว ข้าจะพาพวกเจ้าไปส่งที่ชายป่าหิมพานต์” พญานาคบอกพร้อมกับแบมือยื่นไปตรงหน้ามนุษย์ทั้งสอง
“พวกเจ้าจับมือข้าไว้ซิ” เขาสั่ง สองสาวต่างวัยจึงหันไปมองหน้ากัน
“จะทำเช่นไรดีหรือพี่พรรณ?” มณีรัตนาถาม แพรพรรณจึงหันไปมองพญานาคอย่างชั่งใจ ‘จะเชื่อเขาได้รึ?’
เธอสบตาพญานาค เห็นดวงตาของเขาดูจริงใจ เธอจึงหันไปพยักหน้ากับผู้ร่วมทางตัวน้อย “พี่ว่าลองเชื่อเขาเถอะนะ”
แล้วเธอก็ลุกขึ้นยืนแล้วจับมือพญานาคไว้ มณีรัตนาทำตาม มือเล็กกลมป้อมจับทับบนมือของแพรพรรณ พญานาควางมืออีกข้างทับมือมนุษย์น้อยทั้งสอง พลัน! รอบๆ ตัวของพญานาคก็เปล่งแสงสีเขียวมรกต แล้วแสงนั้นก็เข้าล้อมรอบตัวมนุษย์ทั้งสองคนเอาไว้ พอแสงสีเขียวระยิบระยับจางหาย ร่างของทั้งสามก็อันตรธานหายไป
ณ ชายป่าหิมพานต์ แสงสีเขียวมรกตสว่างวาบพร้อมกับการปรากฎกายของมนุษย์สองคนกับพญานาคหนึ่งตน
“ข้าพาพวกเจ้ามาส่งได้เพียงเท่านี้ ข้าไม่อยากไปไกลมากกว่านี้ ข้าไม่ชอบเข้าไปในเมืองของพวกมนุษย์นัก ข้าทนกลิ่นสาบของพวกมนุษย์ไม่ได้ อีกทั้งข้าทนเห็นพวกมนุษย์ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่ได้เช่นกัน” พญานาคบอกพร้อมกับปล่อยมือจากมนุษย์ทั้งสอง สองสาวต่างวัยจึงยกมือไหว้พญานาคผู้อารี
“ขอบคุณท่านมากค่ะ”
“ขอบใจท่านที่เมตตาต่อข้า”
ทั้งสองพูดพร้อมกัน พญานาคยิ้มให้อย่างปราณี แล้วเขาก็ชี้ไปที่เด็กหญิงพลางพูดว่า “เจ้าจงถอดข้าวของมีค่าพวกนั้นใส่ห่อผ้าเสียเถิด หากเจ้าสวมใส่ไว้เช่นนี้คงล่อตาล่อใจเหล่าโจรชั่วนักเชียว”
เขาเตือนอย่างเป็นห่วง
“จ้ะท่านพญานาค” มณีรัตนารีบถอดเครื่องประดับตามคำแนะนำของพญานาคผู้อารี แพรพรรณก็ช่วยถอดอีกแรง พอเก็บเครื่องประดับใส่ห่อผ้าเรียบร้อยแล้ว พญานาคก็ยื่นมือไปตรงหน้าเด็กหญิงพร้อมกับแบมือออก พลัน! กลางฝ่ามือข้างนั้นก็ปรากฎเกล็ดนาคราชสีเขียวมรกตแวววาว สองสาวต่างวัยมองอย่างตกใจระคนแปลกใจ “อุ๊ย!”
“รับไปซิเด็กน้อย” พญานาคบอก มณีรัตนาแบมือรับอย่างงงๆ พลัน! เกล็ดนาคราชก็หายเข้าไปในใจกลางฝ่ามือเล็กกลมป้อม
“เอ๊ะ!” เด็กหญิงอุทานตกใจ พญานาครีบบอกว่า “ไม่ต้องตกใจไป เกล็ดแห่งข้าจะช่วยให้เจ้าพ้นภยันตรายจากไฟและน้ำได้”
Chapter 6
เจ้าชาย!
แล้วเขาก็ลูบศีรษะเล็กทุยอย่างปราณี มณีรัตนารีบยกมือไหว้ “ขอบใจท่านที่เมตตาต่อข้า”
แล้วพญานาคก็หันไปพูดกับหญิงสาวว่า “เจ้าเป็นสตรีที่งดงามยิ่งนัก แม้เจ้าจะพรางกายด้วยอาภรณ์แห่งบุรุษก็ไม่อาจจะบิดเบือนความเป็นหญิงของเจ้าไปได้ เจ้าจงรับสิ่งนี้ไปเถิด”
แล้วพญานาคก็แบมือยื่นไปตรงหน้าหญิงสาว พลัน! ก็ปรากฏเกล็ดนาคราชขึ้นกลางฝ่ามือ
“รับไปซิ” เขาบอก แพรพรรณแบมือรับ เกล็ดนาคราชลอยลงสู่อุ้งมือเรียวเสลาแล้วก็กลายเป็นสร้อยมรกตเปล่งแสงระยิบระยับ
“อุ๊ย!” เธอตกใจเกือบจะปล่อยมือจากสร้อยทันที
“ไม่ต้องตกใจไปหรอก เจ้าจงสวมสร้อยเส้นนี้ไว้ เกล็ดแห่งข้าจะช่วยบันดาลให้เจ้ากลายเป็นชาย หากเจ้าต้องการกลับคืนสู่ร่างเดิมก็เพียงแค่ถอดออก เจ้าก็จะกลายเป็นหญิงเช่นเดิม” พญานาคบอกอย่างปราณี แพรพรรณจึงคิดจะลองสวมดู เพียงแค่นึกเท่านั้นสร้อยก็พุ่งวาบไปสวมอยู่บนลำคอระหงพร้อมกับแสงสีเขียวมรกตสว่างวาบ
“อุ๊ย!” เธอตกใจ ยกมือลูบคลำสร้อยบนคอตัวเองอย่าง อึ้ง…ทึ่ง…ตะลึง แล้วสร้อยมรกตก็กลายสภาพเป็นเชือกถักสีเขียวเพื่อพรางตาผู้คน เพราะหากโจรผู้ร้ายเห็นสร้อยสูงค่าอาจจะนำภยันตรายมาสู่เจ้าของก็เป็นได้
“และอีกข้อหนึ่งที่เจ้าควรจะรู้ไว้ เกล็ดแห่งข้าสามารถป้องกันภยันตรายจากไฟและน้ำได้เช่นเดียวกันกับที่ข้ามอบให้เจ้าเด็กน้อย และหากพวกเจ้าต้องการให้ข้าช่วยเหลือสิ่งใด เจ้าจงเอ่ยนามแห่งข้า…มธุราชนาคา แล้วข้าจะปรากฎกายต่อหน้าพวกเจ้า” พญานาคบอกอ่อนโยน แต่ยามเอ่ยถึงนามของตนเสียงนั้นกลับอหังการอย่างภาคภูมิใจ แล้วเขาก็ชี้ไปทางทุ่งหญ้าพลางบอกว่า “พวกเจ้าจงเดินไปทางนี้ จะพบเมืองแห่งมนุษย์”
เขาหันไปยิ้มให้ทั้งสองคนอย่างปราณี “ข้าต้องไปแล้ว ลาก่อนเจ้ามนุษย์น้อย”
“ขอบคุณค่ะที่ช่วยเหลือพวกเรา” แพรพรรณยกมือไหว้ มณีรัตนารีบไหว้ตาม “ขอบพระคุณท่านยิ่งนัก ข้าจะไม่ลืมพระคุณของท่านเจ้าค่ะ”
พลัน! ร่างของมธุราชนาคาก็เปล่งแสงสีเขียวมรกตอีกครั้งแล้วก็หายวับไป ทั้งสองคนได้แต่ยืนมองอย่างตะลึง!
‘พระเจ้าช่วย! นี่ถ้าเอาไปเล่าให้ใครเขาฟังว่าหลุดไปอยู่ในป่าหิมพานต์ ได้เห็นนกยักษ์ ได้เจอพญานาค เขาคงหาว่าเราบ้าแน่ๆ’ แพรพรรณนึกในใจแล้วก็ถอนหายใจ “เฮ้อ…”
เธอก้มมองดูตัวเองพลางลูบคลำไปตามร่างกาย ซึ่งจับดูแล้วก็ไม่เห็นจะแตกต่างอะไรมาก นอกจากหน้าอกอวบอิ่มที่เคยมีหายไปเท่านั้นเอง นอกนั้นก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“น่าจะมีกระจกนะเนี่ย จะได้ส่องดูว่าพอเป็นผู้ชายแล้วเป็นยังไงบ้างนะ” เธอเปรยเบาๆ มณีรัตนาโผกอดหญิงสาวไว้แล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าคงจะต้องตายแน่แล้วเสียอีกนะพี่พรรณ”
เด็กหญิงเหลือบมองฝ่ามือของตัวเองข้างที่ได้รับเกล็ดนาคราชพลางพูดว่า “กลับกลายเป็นว่าท่านพญานาคช่วยพาพวกเรามาส่งแล้วยังมอบเกล็ดนาคราชให้พวกเราอีก”
“นั่นซินะ ทีแรกพี่ก็คิดว่าคงตายแน่ๆ เลย เฮ้อ…ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะได้มีโอกาสเจอพญานาคด้วย” แพรพรรณพูดแล้วก็ลูบสร้อยที่คอ “พี่ว่าพวกเราเดินทางกันต่อเถอะนะ”
มณีรัตนาพยักหน้า “จ้ะพี่พรรณ แดดร่มลมตกด้วยซิ”
แล้วสองสาวต่างวัยก็ออกเดินทางไปตามทางที่มธุราชนาคาบอก ทั้งสองเดินผ่านทุ่งหญ้าคาจนมายืนอยู่ริมหน้าผาเตี้ย
“พี่พรรณดูซิ นั่นเมืองนี่จ๊ะ” มณีรัตนากระตุกแขนหญิงสาวพลางชี้ไปที่เมืองเบื้องล่างอย่างตื่นเต้น แพรพรรณมองลงไปยังเมืองเล็กๆที่แวดล้อมไปด้วยขุนเขา
“มีเมืองจริงๆด้วย” เธอตื่นเต้นเช่นกัน พลัน! เธอก็นึกขึ้นมาในใจ ‘เอ…จะเป็นเมืองแบบไหนกันนะ?’
“พวกเรารีบเข้าเมืองเถิดพี่พรรณ ข้าอยากรู้ยิ่งนักว่าที่นั่นคือเมืองใด” มณีรัตนาเร่งน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ สองสาวต่างวัยจึงหาทางลงจากหน้าผา ทั้งคู่ค่อยๆ เดินไต่ไปตามทางเล็กๆ มีต้นไม้ขึ้นประปรายพอให้ใช้เกาะยึด ครั้นเมื่อลงจากหน้าผาแล้วทั้งสองก็มุ่งหน้าเข้าเมืองทันที
จนกระทั่งไปถึงหมู่บ้านนอกกำแพงเมือง ทั้งสองเดินไปตามทางในหมู่บ้าน บ้านแต่ละหลังเป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูงเหมือนกับหมู่บ้านตามชนบททั่วไป แพรพรรณและมณีรัตนาชะเง้อมองหันซ้ายหันขวาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ชาวบ้านหันมองคนต่างถิ่นพร้อมกับยิ้มให้ด้วยท่าทางเป็นมิตร
“พ่อหนุ่มแม่หนู” หญิงชราคนหนึ่งเรียกทั้งสอง
“สวัสดีค่ะคุณยาย” แพรพรรณไหว้หญิงชรา หญิงชรามองอย่างประหลาดใจ “พ่อหนุ่มพูดจาประหลาดนัก พวกเจ้ามาจากเมืองใดรึ?”
“เอ่อ…คือว่า” แพรพรรณอึ้ง!
“ท่านยายจ๊ะคือว่าพวกข้าหลงทางมา ที่นี่คือเมืองใดหรือจ๊ะ” มณีรัตนาถาม หญิงชรามองเด็กหญิงอย่างเอ็นดู “ที่นี่คือพนมนครจ๊ะแม่หนู”
แล้วหญิงชราก็เอื้อมมือไปลูบศีรษะเด็กหญิงอย่างเอ็นดู แล้วก็หันไปพูดกับหนุ่มน้อยว่า “พวกเจ้าหลงทางมาคงจะยังไม่รู้ซินะว่าที่นี่กำลังจะเกิดศึกสงครามในเร็ววันนี้แล้ว ข้าว่าพวกเจ้ารีบออกไปจากเมืองนี้โดยเร็วเถิด”
“อะไรนะ! สงครามเหรอ!?”
“จะเกิดศึกสงครามหรือท่านยาย!?”
แพรพรรณกับมณีรัตนาอุทานพร้อมกัน
“ก็พวกหิรัญคีรีน่ะซิ ยกทัพใหญ่มามากมาย ใกล้จะประชิดชายแดนพนมนครในอีกวันสองวันนี้แล้วล่ะ” หญิงชราบอกแล้วก็หดมือกลับ
“หิรัญคีรีหรือท่านยาย!?” มณีรัตนาถามอย่างงุนงง “ก็ไหนพระอาจารย์เคยบอกว่าหิรัญคีรีเป็นมิตรกับพนมนครไม่ใช่หรือจ๊ะ? เหตุใดจึงจะสู้รบกันเสียล่ะจ๊ะท่านยาย?”
หญิงชราถอนหายใจ “เฮ้อ…”
แล้วก็เล่าว่า “เมื่อก่อนน่ะใช่ พนมนครกับหิรัญคีรีเป็นมิตรกัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้วล่ะแม่หนู ตั้งแต่ราชาองค์ใหม่ขึ้นครองเมือง ก็ประกาศตัวเป็นศัตรูกับหิรัญคีรี ทำให้พวกหิรัญคีรียกทัพมามากมาย หมายจะตีเมืองฆ่าราชาองค์ใหม่”
“เอ๋…ราชาพนมไพศาลทรงสวรรคตเสียแล้วหรือท่านยาย?” มณีรัตนาถามอย่างอยากรู้
“ไม่ใช่หรอกจ้ะแม่หนู องค์ราชาพนมไพศาลกับพระโอรสหายตัวไประหว่างออกล่าสัตว์ ปุโรหิตมหินธาจึงเข้ายึดอำนาจก่อ…” หญิงชราเล่ายังไม่ทันจบก็มีเสียงตวาดว่า “อีแก่! มึงอยากตายนักหรือถึงได้กล่าวหาว่าองค์ราชามหินธาก่อการกบฎเช่นนี้!?”
“เอ๊ะ!” แพรพรรณกับมณีรัตนาหันไปมองทันที
“โอ๊ะ! หมื่นหาญ” หญิงชราตกใจ กลัวจนตัวสั่น ผู้ที่ถูกเรียกว่าหมื่นหาญเดินปรี่เข้ามาหน้าตาถมึงทึง พอเดินมาถึงก็ฟาดหลังมือตบหน้าหญิงชราทันที เพี๊ยะ!
“โอ๊ย!” หญิงชราล้มถลาลงกับพื้น
“ท่านยาย!”
“คุณยาย!”
สองสาวต่างวัยร้องเรียกพร้อมกัน แพรพรรณถลันเข้าไปขวางทันที
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เธอตวาดใส่อย่างลืมตัว ส่วนมณีรัตนาก็ถลันเข้าไปประคองหญิงชราซึ่งนั่งกุมแก้มอยู่กับพื้น
“ท่านยาย ท่านเจ็บมากไหม?” เด็กหญิงถาม
“ไอ้หนุ่มไม่ใช่เรื่องของเอ็ง! อย่าเสือก!” หมื่นหาญตวาดใส่พลางชี้หน้าผู้ที่กล้าเข้ามาขวางอย่างเอาเรื่อง
“ทำไมต้องทำร้ายคุณยายด้วย!?” แพรพรรณตวาดใส่อย่างไร้ความเกรงกลัว เธอโกรธเลือดขึ้นหน้าที่เห็นคนแก่ถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตา ‘ป่าเถื่อนที่สุด!’
“หือ” หมื่นหาญประหลาดใจที่หนุ่มน้อยไม่มีท่าทางกลัวเขาเลยแม้แต่น้อย ดวงตาเหี้ยมจึงกวาดตามองสำรวจคนตรงหน้า
“ไอ้หนุ่ม เอ็งคงเป็นคนต่างถิ่นล่ะซิจึงได้ไม่รู้จักข้า…หมื่นหาญ” เขาถามแล้วก็มองหนุ่มน้อยตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ท่านหมื่นขอรับ หรือว่ามันเป็นทหารของหิรัญคีรีที่เข้ามาสืบความ?” ทหารคนหนึ่งที่มาด้วยกันรีบบอก ทำให้หมื่นหาญหัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆ รูปร่างอย่างไอ้หนุ่มนี่หรือจะเป็นทหารของหิรัญคีรี ถุย!”
เขาถ่มน้ำลายอย่างดูแคลน “เอ็งดูมันให้ชัดๆ ซิ ผอมแห้งปานนี้หรือจะเป็นทหารได้ แล้วเอ็งดูซิผิวมันขาวเสียยิ่งกว่าสตรีเสียอีก หากมันเป็นทหารได้ ข้าคงเป็นพระราชากระมัง ฮ่าๆๆๆ”
“ท่านหมื่นขอรับ หรือว่ามันจะเป็นไส้ศึก?” ทหารอีกคนบอก หมื่นหาญหรี่ตาลง “ไส้ศึกงั้นรึ?…อาจจะเป็นไปได้”
“มันต้องเป็นไส้ศึกแน่ขอรับท่านหมื่น ยามศึกสงครามประชิดติดชายแดนเช่นนี้คนต่างถิ่นที่ไหนจะกล้าเข้ามาขอรับ” ทหารคนที่สองบอก
ระหว่างที่ทหารทั้งสามคุยกัน มณีรัตนาก็พยุงหญิงชราให้ลุกขึ้น “ท่านยายลุกไหวไหมจ๊ะ?”
“ไหวจ้ะแม่หนู” หญิงชราตอบพร้อมกับค่อยๆลุกขึ้นยืน
“ท่านหมื่นขอรับ ไอ้หนุ่มคนนี้หน้าตามันงามนัก รูปร่างมันก็ดูอ้อนแอ้น ข้าว่าหากพวกเราเอาตัวมันไปให้องค์ราชามหินธา พระองค์คงจะตบรางวัลให้พวกเราอย่างงามแน่ขอรับ” ทหารคนแรกกระซิบกับหมื่นหาญ ทำให้หมื่นหาญตาลุกวาว
“จริงซิ องค์ราชาทรงโปรดหนุ่มๆ หน้าตางดงาม ไอ้หนุ่มนี่คงจะทำให้ข้าได้รางวัลมากโขเชียวล่ะ” หมื่นหาญกระซิบตอบ สายตาเหี้ยมจับจ้องที่หนุ่มน้อยตรงหน้าอย่างมีเลศนัย แล้วเขาก็ร้องตะโกนสั่งลูกน้องทั้งสองคนว่า “จับมันไว้ มันต้องเป็นไส้ศึกแน่”
“เอ๋…” แพรพรรณอุทานอย่างงงๆ ‘อะไรง่ะ!?’
จู่ๆ ก็มาหาว่าเธอเป็นไส้ศึกซะงั้น!
“พี่พรรณ ระวัง!” มณีรัตนาบอกเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดี
“พ่อหนุ่ม…แย่แน่” หญิงชราอุทานแล้วก็รีบปลีกตัวออกห่างทันที แล้วทหารทั้งสองคนก็เข้ามาจับแขนของหนุ่มน้อยคนละข้าง
“เอ๊ะ! อะไรเนี่ย มาจับฉันไว้ทำไม? ปล่อนฉันนะ” แพรพรรณพยายามสลัดแขนให้หลุดจากการจับกุม
“ยอมให้จับกุมเสียดีๆ ไอ้หนุ่ม ข้าจะจับเอ็งไปให้องค์ราชามหินธาทรงสอบสวนด้วยพระองค์เอง หากเอ็งไม่ใช่ไส้ศึกก็จงอย่าได้ขัดขืน ยอมให้พวกข้าจับกุมแต่โดยดีเถิด หากเอ็งไม่ใช่ไส้ศึกก็คงจะได้รับการปล่อยตัวในไม่ช้านี้ล่ะ” หมื่นหาญประกาศก้อง แล้วลดเสียงลงพูดกับหนุ่มน้อยว่า “หึๆๆๆ แต่เอ็งคงถูกองค์ราชาทั้งสอบ…ทั้งสวน…จนทวาร…บานเป็นแน่ ฮ่าๆๆ”
เขาพูดแล้วก็หัวเราะ ทำให้ลูกน้องทั้งสองหัวเราะตาม “ฮ่าๆๆๆ”
แพรพรรณได้ฟังก็ทำหน้างงๆ ในตอนแรกแต่พอคิดได้… เธอก็ทำหน้าสยอง! ‘อึ๋ย!…อย่าบอกนะว่า…องค์ราชาที่ว่าเนี่ยเป็น……… กรี๊ด!…ไม่นะ!’
“ปล่อยฉันนะ!” เธอสะบัดแขนสุดแรง ทหารทั้งสองคนไม่ทันระวังจึงเผลอหลุดมือ
“เฮ้ย!” ทหารทั้งสองรีบจับตัวหนุ่มน้อยอีกครั้ง
พลัน! พลั่ก!
“โอ๊ะ!” ทหารคนหนึ่งถูกถีบเข้ากลางหลังจนถลาไปปะทะกับหมื่นหาญ “เฮ้ย!”
ส่วนทหารอีกคนก็ถูกแพรพรรณถีบเข้าที่ท้องเต็มแรง พลั่ก!
จนลงไปนั่งจุกแอ๊ก! “อุ๊ก!”
“ตามข้ามาทางนี้เร็ว!” เด็กหนุ่มคนหนึ่งบอกพร้อมกับคว้าแขนของคนต่างถิ่นทั้งสอง เด็กหนุ่มคนนี้ก็คือคนที่ถีบทหารคนแรกนั่นเอง!
สองสาวต่างวัยจึงรีบวิ่งตามเด็กชายไปทันที เขาพาเลี้ยวเข้าไปในตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่ง เขาพาเลี้ยวซ้ายทีเลี้ยวขวาทีอย่างชำนาญพื้นที่จนมาโผล่ยังป่าละเมาะแห่งหนึ่ง พอเห็นว่าไม่มีใครตามมาแล้วเขาก็หยุดวิ่ง “ไม่มีใครตามมาแล้วล่ะ”
สองสาวต่างวัยก็หยุดวิ่งเช่นกัน สำหรับตัวแพรพรรณเพียงแค่เหนื่อยหอบเล็กน้อย แต่สำหรับมณีรัตนานั้นกลับเหนื่อยหอบจนหายใจแทบไม่ทัน ใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราแดงก่ำเหงื่อท่วมตัวจนเสื้อผ้าเปียกชุ่ม เด็กหญิงทรุดตัวลงนั่งพักทันที “แฮ่กๆๆ”
“เป็นยังไงมั่งน้องรัตนา?” แพรพรรณรีบเข้าไปถามอย่างเป็นห่วง
“พวกเจ้ามาจากแคว้นใดหรือ?” เด็กชายถามพร้อมกับจ้องมองชายหนุ่มกับเด็กหญิงอย่างสงสัย แพรพรรณอึ้ง! “เอ่อ…”
“ข้าไม่เป็นไรจ้ะพี่พรรณ” มณีรัตนาตอบปนหอบ แล้วก็หันไปมองเด็กชายซึ่งดูแล้วน่าจะอายุมากกว่าตัวเอง “พวกข้าหลงทางผ่านมาจ้ะพี่ชาย”
พอได้ฟังคำตอบ เด็กชายก็ถามว่า “แล้วพวกเจ้ามีกิจธุระใดที่พนมนครหรือ?”
“พวกข้าไม่ได้มีกิจใดที่เมืองนี้หรอกท่าน ข้ากับพี่พรรณหลงทางผ่านมาเท่านั้นจ้ะ” มณีรัตนาตอบ เด็กชายนิ่งคิด แล้วพูดว่า “อืม…ถ้าเช่นนั้นค่ำนี้พวกเจ้าคงยังไม่มีที่พัก”
เด็กชายคาดเดา เด็กหญิงรีบตอบอย่างไม่ยี่หร่ะ “ข้ากับพี่พรรณเดินทางผ่านมา ค่ำไหนก็นอนนั่น คืนนี้พวกข้าก็คงหาที่นอนเอาแถวไหนสักแห่งนั่นแหละพี่ชาย”
พอได้ยินเด็กหญิงหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราบอกเช่นนั้น เด็กชายจึงออกปากเชื้อเชิญว่า “ถ้าเช่นนั้นคืนนี้พวกเจ้าไปพักที่บ้านของข้าเถิด ข้ารู้สึกถูกชะตากับเจ้าจึงอยากจะสนทนากับพวกเจ้าอีกซักหน่อย พวกเจ้าคงไม่ปฏิเสธน้ำใจไมตรีของข้าหรอกนะ”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเด็กชายจึงรู้สึกถูกชะตากับเด็กหญิงคนนี้ยิ่งนัก
สองสาวต่างวัยนิ่งอึ้งไปเมื่อถูกดักคอเช่นนี้ เพราะถ้าปฏิเสธก็เท่ากับหักหน้าเด็กชาย
“พี่ชายท่านพูดเช่นนี้ ข้ากับพี่พรรณจะปฏิเสธได้อย่างไรกัน” มณีรัตนาพูดแกมประชดพร้อมกับยิ้มให้เด็กชาย
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็ตามข้ามาเถิด” เด็กชายบอกแล้วก็เดินนำไปทันที แพรพรรณหันไปช่วยพยุงมณีรัตนาให้ลุกขึ้น มณีรัตนากระซิบว่า “จะทำเช่นไรดีจ๊ะพี่พรรณ?”
แพรพรรณสบตากับมณีรัตนาแล้วก็มองตามเด็กชายไปพลางนิ่งคิด ‘เอ…จะเอาไงดีล่ะ…?’
แล้วเด็กชายก็เดินย้อนกลับมายืนกอดอกมองทั้งสองอย่างไม่ค่อยพอใจที่ทั้งสองมัวแต่ชักช้าพร้อมกับพูดว่า “หรือพวกเจ้าอยากจะอยู่รอไอ้พวกทหารเมื่อกี้นี้ก็ตามแต่ใจพวกเจ้าเถอะ ข้าไปล่ะ”
สองสาวต่างวัยมองตากัน ‘อึ๊ย!…อยู่รอพวกนั้นเหรอ ไม่เอาด้วยหรอก’
แพรพรรณจับมือมณีรัตนาพลางพยักหน้า “ไปกันเถอะจ้ะน้องรัตนา”
“จ้ะพี่พรรณ” มณีรัตนาพยักหน้า แล้วสองสาวต่างวัยก็เดินตามเด็กชายไป
“ข้ามีนามว่าวัชระ” เด็กชายหันไปบอก มณีรัตนาจึงรีบบอกว่า “ข้ามีนามว่ามณีรัตนา ส่วนพี่ข้ามีนามว่าพรรณจ้ะพี่ชาย”
แพรพรรณเห็นเด็กทั้งสองคุยกันเธอจึงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ปล่อยให้มณีรัตนาเป็นคนพูด
“มณีรัตนาหรือ นามของเจ้าไพเราะยิ่งนัก” วัชระชม มณีรัตนายิ้มที่ถูกชม วัชระพาทั้งสองเดินลัดเลาะไปตามป่าละเมาะ
จนกระทั่งไปถึงเรือนของเขา หน้าเรือนมีบ่าวไพร่ 4 คน ยืนถือหอกดาบเฝ้าอยู่ พอบ่าวไพร่เห็นวัชระเดินมาก็พากันคุกเข่าลง
“เจ้าชายเสด็จกลับมาแล้ว” บ่าวคนหนึ่งตะโกนบอก แพรพรรณและมณีรัตนาชะงักกึก! “เอ่อ…”
ทั้งสองมองไปที่เด็กชายเขม็ง
“เจ้าชาย!” ทั้งสองอุทานลั่น
“พวกเจ้าตามข้ามาเร็วๆ เข้าเถอะ” เจ้าชายวัชระทรงเร่งแล้วเสด็จเข้าไปภายใน แพรพรรณและมณีรัตนาจึงรีบตามเสด็จเจ้าชายแห่งพนมนครไปอย่างงุนงง
“ท่านคือเจ้าชายวัชระแห่งพนมนครหรือนี่?” มณีรัตนาจ้องมองอย่างไม่คาดคิดว่าจะได้มาเจอกับเจ้าชาย แล้วเด็กหญิงก็พูดว่า “ก็ไหนท่านยายบอกว่าท่านหายไประหว่างล่าสัตว์อย่างไรล่ะ?”
“ฮึ!…หายไปหรือ น่าขันนัก!” เจ้าชายวัชระตรัสประชดแล้วตรัสว่า “ไอ้ปุโรหิตนั่นมันลอบปลงพระชนน์เสด็จพ่อของข้าระหว่างออกล่าสัตว์ต่างหาก แต่เป็นเพราะพระบุญญาธิการของเสด็จพ่อของข้ายังไม่ถึงคราวแตกดับจึงทรงรอดมาได้ แต่ก็ทรงบาดเจ็บสาหัสนัก ข้ากับเหล่าข้าราชบริพารที่ตามเสด็จในครั้งนั้นจึงพาเสด็จพ่อหลบหนีมารักษาตัวอยู่ที่นี่”
เจ้าชายวัชระตรัสอย่างเจ็บแค้น
“เจ้าชายเสด็จกลับมาแล้ว เสด็จออกไปข้างนอกอีกแล้วนะเพคะ” เสียงต่อว่าดังขึ้นพร้อมกับร่างของสตรีสูงวัยเดินแกมวิ่งมา แต่เจ้าชายวัชระกลับไม่ใส่ใจคำพูดนั้น เขาหันไปมองแว๊บนึงแล้วก็ตรัสกับชายหนุ่มและเด็กหญิงว่า “นี่ขุนท้าวแจ่มศรี แม่นมของข้า”
แพรพรรณและมณีรัตนาไหว้ขุนท้าวแจ่มศรีด้วยกริยาอ่อนน้อม ขุนท้าวแจ่มศรีจ้องมองทั้งสองคนอย่างสงสัย
Chapter 7
ราชาแห่งหิรัญคีรี
“นี่คือสหายใหม่ของข้า” เจ้าชายวัชระบอกขุนท้าวคนสนิทแล้วสั่งว่า “ท่านช่วยไปจัดเตรียมที่พักให้สหายของข้าด้วยนะท่านขุนท้าว”
“เพคะ” ขุนท้าวแจ่มศรีรับพระบัญชาแล้วก็เดินต้วมเตี้ยมๆ ออกไป เจ้าชายวัชระตรัสกับพระสหายใหม่ทั้งสองว่า “ตามข้ามาทางนี้เถอะ”
ตรัสเสร็จก็เสด็จไปทันที ทำให้แพรพรรณและมณีรัตนารีบตามเสด็จ ทั้งคู่ตามเสด็จเจ้าชายไปจนถึงศาลากลางสระน้ำ ที่นั่นมีนางกำนัล 3 คนนั่งอยู่หน้าศาลา พอเจ้าชายเสด็จไปถึงพวกนางก็รีบหมอบกราบถวายบังคม “ถวายบังคมเพคะ”
เจ้าชายวัชระโบกมือไล่ พวกนางทั้ง 3 คนรีบคลานเข่าออกไป
ภายในศาลามีตั่งเตี้ยตัวใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง บนตั่งเต็มไปด้วยขนมและผลไม้สารพัดชนิด รอบๆ ตั่งมีเบาะรองนั่งและหมอนอิงสีแดงปักดิ้นทองวางรอบตั่งตัวใหญ่ ชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว เจ้าชายวัชระเข้าไปในศาลาพร้อมกับตรัสว่า “ถวายบังคมพระเจ้าข้าเจ้าพี่”
“ไม่ต้องพิธีรีตองหรอกวัชระ เข้ามาซิ” ผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘เจ้าพี่’ ตรัสแล้วก็หันไปมองผู้ที่ตามเจ้าชายวัชระมา “นั่นใครหรือ?”
เจ้าชายวัชระรีบทูลว่า “นี่สหายใหม่ของข้าพระเจ้าข้า พวกเขาเป็นคนต่างถิ่น ข้าไปช่วยมาจากไอ้หมื่นหาญพระเจ้าข้า”
แล้วเขาก็หันไปตรัสกับพระสหายใหม่ว่า “พี่ชาย…มณีรัตนา นี่คือเจ้าพี่อัคนี ราชาแห่งหิรัญคีรี พระองค์ทรงเป็นพี่ร่วมสาบานของข้าเอง”
มณีรัตนารีบพนมมือไหว้ราชาอัคนี “ถวายบังคมเพคะ”
แพรพรรณยกมือไหว้โดยไม่ได้พูดอะไร ราชาอัคนีแปลกใจพลางคิดในใจว่า ‘แม่หนูน้อยพูดจาเหมือนเคยอยู่ในวังมาก่อน เด็กคนนี้เป็นใครกัน? มาจากไหนกันนะ?’
เขาเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ แล้วตรัสว่า “พวกเจ้ามานั่งกินขนมกับข้าเถิด”
เขาชี้ไปที่เบาะนั่งฝั่งตรงข้าม เจ้าชายวัชระเสด็จเข้าไปนั่งข้างๆ ราชาอัคนี ราชาอัคนีเห็นพระสหายใหม่ของพระอนุชาไม่เข้ามานั่งด้วย เขาค์จึงสั่งว่า “พวกเจ้าก็เข้ามาเถิด อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำอีก”
แพรพรรณกับมณีรัตนาหันไปสบตากัน ประหนึ่งว่า ‘จะทำอย่างไรดี?’
เจ้าชายวัชระลุกไปจูงแขนมณีรัตนา “มาซิ เจ้าพี่ข้าไม่ดุหรอก เจ้าอย่ากลัวไปเลยมณีรัตนา”
“เอ่อ…” มณีรัตนารีบคว้าแขนแพรพรรณให้ตามไปด้วย
“เจ้านั่งตรงนี้นะ ส่วนพี่ชายก็นั่งตรงนั้นเถิด” เจ้าชายวัชระชี้ที่เบาะรองนั่งแล้วนั่งลงที่เดิม มณีรัตนานั่งลงกับพื้นกระดานอย่างหวั่นกลัว “เอ่อ…”
ส่วนแพรพรรณก็นั่งลงข้างๆ เด็กหญิง เธอปลดห่อผ้าวางไว้ข้างตัว ราชาอัคนีมองทั้งสองคน เห็นทั้งสองนั่งพับเพียบกับพื้นกระดานก็สั่งว่า “พวกเจ้าเข้ามานั่งบนเบาะนี่เถิด สหายของน้องข้าก็เหมือนดังเช่นสหายของข้าเช่นกัน”
มณีรัตนาหันไปกระซิบกับแพรพรรณ “จะทำเช่นไรดีล่ะจ๊ะพี่พรรณ?”
แพรพรรณยังไม่ทันจะตอบ ราชาอัคนีก็ดุว่า “พวกเจ้านี่เป็นเช่นไรนะ! ชอบให้ข้าพูดซ้ำเสียจริง ข้าบอกให้พวกเจ้ามานั่งบนเบาะนี่อย่างไรล่ะ”
“อุ๊ย!” ทั้งสองคนสะดุ้ง มณีรัตนารีบเขยิบไปนั่งพับเพียบบนเบาะนุ่ม แพรพรรณมองราชาอัคนีแล้วก็ขยับไปนั่งบนเบาะเช่นกัน ราชาอัคนีเอื้อมมือไปหยิบขนมทองม้วนใส่จานยื่นให้ทั้งสองคนพร้อมกับตรัสว่า “พวกเจ้ากินขนมและลูกไม้ตามใจชอบเถิด ไม่ต้องเกรงใจข้าและวัชระหรอก”
เขาตรัสน้ำเสียงอ่อนโยน พอให้ขนมแล้วเขาก็มองทั้งสองคนอย่างพินิจพิเคราะห์
“ขอบพระทัยเพคะ” มณีรัตนาพูดแล้วก็นั่งเฉยไม่กล้ากินขนม
“ขอบพระทัยเพคะ” แพรพรรณพูดแล้วก็นั่งเฉยเช่นกัน เจ้าชายวัชระจึงตรัสว่า “พวกเจ้าลองชิมดูเถิด ขนมพวกนี้เป็นฝีมือขุนท้าวแจ่มศรีทั้งนั้น ข้ารับรองว่าอร่อยไม่เป็นรองแคว้นใดแน่”
มณีรัตนาจึงรีบหยิบขนมกิน ไม่ใช่เพราะคำคะยั้นคะยอของเจ้าชายวัชระหรอกนะ แต่เป็นเพราะสายตาดุๆ ของราชาอัคนีต่างหาก พอกัดคำแรกเด็กหญิงก็รู้สึกว่าขนมอร่อยจริงอย่างที่เจ้าชายบอก เด็กหญิงกินขนมด้วยกริยามารยาทอ่อนช้อยเรียบร้อยสมกับที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมา แพรพรรณอึกอัก แต่พอสบตากับดวงตาดุๆ เธอจึงจำใจหยิบขนมกิน
ราชาอัคนีมองทั้งสองคนพลางคิดในใจว่า ‘แม่เด็กน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ผิวพรรณก็ดูสะอาดเกลี้ยงเกลาขาวผุดผ่องเป็นยองใย กริยามารยาทก็ดูเรียบร้อยมีสัมมาคารวะ กินอยู่ก็ไม่มูมมาม ดูท่าทางคงได้รับการอบรมมาดี อาภรณ์ที่สวมใส่แม้จะขมุกขมอมไปสักหน่อยแต่ก็เป็นแพรพรรณเนื้อดี ส่วนเจ้าหนุ่มก็ผอมแห้งแทบจะปลิวลม ผิวพรรณรึก็ขาวนวลยิ่งกว่าสตรีเสียอีก ดูท่าทางคงไม่ค่อยได้ออกแรงถูกแดดเช่นชายชาตรีเป็นแน่ น้ำเสียงก็หวานระรื่น กริยามารยาทนั้นก็งามยิ่งนัก อ่อนช้อยงดงามยิ่งกว่าพวกนางในเสียอีก หน้าตารึก็งดงามเสียยิ่งกว่าสตรีนางใดในพนมนครและหิรัญคีรี นี่ถ้าหากเป็นหญิงหัวกระไดเรือนคงไม่แห้งเป็นแน่ หึๆๆๆ…’
แล้วความคิดของราชาอัคนีก็สะดุดหยุดลงเมื่อได้ยินหนุ่มน้อยพูดว่า “ขนมทองม้วนอร่อยมากเพคะ”
พอได้ยินคำพูดของหนุ่มน้อย ราชาอัคนีก็คิดในใจอย่างสงสัยว่า ‘เจ้าหนุ่มคนนี้รู้จักขนมทองม้วนด้วยรึ? ขนมพวกนี้มีแต่ในวังเท่านั้น ดูท่าทางเจ้าหนุ่มนี่คงเคยอยู่ในวังเป็นแน่’
แล้วเขาก็ตรัสว่า “ถ้าเจ้าชอบก็กินอีกซิ กินให้มากๆ เจ้าจะได้ดูล่ำสันบึกบึนสมกับเป็นชายชาตรี”
แล้วเขาก็หยิบขนมทองม้วนและขนมอีกสองสามอย่างใส่จานให้หนุ่มน้อยและแม่หนูน้อย
“เจ้ารู้จักขนมทองม้วนด้วยหรือ?” เขาถามพลางจ้องหน้าหนุ่มน้อย
“เพคะ” แพรพรรณตอบ แล้วก็ค่อยๆ หยิบขนมกินอย่างเรียบร้อย ราชาอัคนียิ้มแล้วสอนว่า “เจ้าเป็นชายต้องพูดว่าพะย่ะค่ะ คำว่าเพคะนั้นไว้สำหรับสตรีพูด”
แพรพรรณยิ้มเจื่อน “เพ…พะย่ะค่ะ”
‘หากเจ้าหนุ่มนี่เคยอยู่ในวังก็ไม่น่าจะพูดผิดพูดถูก หรือว่าข้าคิดไปเองกระมัง’ ราชาอัคนีคิดในใจแล้วก็นึกอยากทดสอบให้แน่ใจ เขาจึงแกล้งชี้ไปที่ขนมบนตั่งแล้วตรัสว่า “ขนมพวกนี้อร่อยนักแต่ข้ากลับจำไม่ได้ว่าเรียกว่าอะไรบ้าง บางครั้งขุนท้าวถามข้าว่าขนมของนางอร่อยหรือไม่ข้าก็ตอบผิด ๆถูก ๆจนนางน้อยใจข้าเสียหลายครั้ง หากเจ้ารู้ว่าขนมเหล่านี้เรียกว่าอะไรบ้างเจ้าก็ช่วยบอกข้าทีเถิดข้าจะได้จำไว้ตอบขุนท้าวได้ถูกต้อง”
แพรพรรณได้ยินราชาอัคนีพูดเช่นนั้นก็ไม่ได้นึกคิดอะไร ด้วยความที่ตัวเองรู้จักขนมที่อยู่บนตั่งทั้งหมดเพราะเคยช่วยแม่ทำขนมบ่อยๆ จึงบอกโดยไม่ทันคิดพร้อมกับชี้ไปที่ขนมแต่ละอย่าง “อันนี้ขนมชั้น อันนั้นขนมทองหยิบ อันนู้นขนมทองหยด นั่นขนมลูกชุบ ส่วนอันนี้ขนมจ่ามงกุฎเพ…เอ้ย…พะย่ะค่ะ”
คำลงท้ายเกือบจะหลุดว่า ‘เพคะ’ อีกแล้ว แต่ก็ยั้งไว้ได้ทัน เธอลอบถอนหายใจ “เฮ้อ…”
‘เกือบไปอีกแล้วซิเรา’
หนุ่มน้อยบอกชื่อขนมได้ถูกต้อง ทำให้ราชาอัคนียิ่งแน่ใจว่าหนุ่มน้อยร่างผอมจะต้องเคยอยู่ในวังมาก่อนแน่ๆ แล้วเขาก็ตรัสว่า “ขอบใจที่ช่วยบอก ข้าจะจำไว้ให้ขึ้นใจ ครั้งต่อไปข้าจะได้ตอบขุนท้าวได้ถูกต้อง”
เขาแย้มยิ้มแต่สายตานั้นมองหนุ่มน้อยอย่างจับสังเกต
“เจ้าพี่พะย่ะค่ะ ขอบพระทัยที่รีบเสด็จมา” เจ้าชายวัชระตรัสแล้วก็รินน้ำให้ ราชาอัคนีจึงละสายตาจากพระสหายใหม่ของพระอนุชา
“เจ้าเดือดร้อน ข้าย่อมต้องรีบมาช่วยเป็นธรรมดา อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นน้องร่วมสาบานของข้า อย่าได้คิดมาก” เขาตรัสแล้วก็ยกจอกน้ำขึ้นดื่ม
พลัน! สายลมก็เปลี่ยนทิศ จากที่พัดจากสระน้ำเข้าสู่ฝั่งกลับกลายเป็นพัดออกจากฝั่ง กระแสลมจึงหอบเอากลิ่นหอมจากตัวแพรพรรณไปทางราชาอัคนี
“หือ…กลิ่นหอมนี้…” ราชาอัคนีอุทานพร้อมกับจ้องมองไปที่พระสหายใหม่ของพระอนุชา สายตาคมกล้าจนทำให้คนที่ถูกมองทั้งสองคนสะดุ้งวูบ!
“จริงซิ…ข้าก็ว่าพี่ชายมีกลิ่นกายหอมยิ่งนัก” เจ้าชายวัชระตรัส แล้วสายลมก็พัดวูบม้วนตัวเป็นกลุ่มก้อนอยู่เบื้องหลังของราชาอัคนี พร้อมกับเสียงทุ้มดังขึ้นกลางกระแสลมหมุน “ถวายบังคมพระเจ้าข้า”
“อ่ะ!” แพรพรรณตะลึงงัน!
“กรี๊ด!” มณีรัตนากรีดร้องอย่างตกใจแล้วก็ผวาเข้ากอดหญิงสาวแน่น
“ไม่ต้องตกใจไป นี่คือวายุขุนพลคนสนิทของข้าเอง” ราชาอัคนีตรัสแล้วก็หันไปสั่งวายุว่า “เจ้าทำให้แม่หนูน้อยตกใจนะวายุ เจ้ารีบปรากฎตัวเถอะ”
“ขอประทานอภัยพระเจ้าข้า” สิ้นเสียง ก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งขึ้นพร้อมกับกระแสลมหมุนสลายตัวหายไป เขารีบกราบทูลว่า “กระหม่อมรีบร้อนเกินไปจึงไม่ทันมองว่าทรงมีแขกอยู่ด้วยพระเจ้าข้า”
“โอ๋ๆ…ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะน้องรัตนา” แพรพรรณปลอบมณีรัตนา ตาก็มองผู้ชายที่ปรากฎตัวขึ้นอย่างประหลาดเขม็ง นี่เธอจะต้องพบเจอกับอะไรที่มันมหัศจรรย์พันลึกพิลึกพิลั่นอีกล่ะเนี่ย?
“มีอะไรก็รีบๆ พูดมาเถอะ” ราชาอัคนีตรัสกับวายุ
“กองทัพของพวกเราเดินทางมาถึงชายแดนพนมนครแล้วพระเจ้าข้า” วายุกราบทูล
“ดีมาก เช่นนั้นเจ้าก็สั่งให้ทหารตั้งกองทัพรออยู่ที่ชายแดนก่อน แล้วข้าจะสั่งอีกที เจ้าไปได้แล้ววายุ” สิ้นคำสั่งของราชาแห่งหิรัญคีรี วายุก็สลายตัวกลายเป็นกระแสลมหมุนหายไป
“เจ้าไปสืบความได้อะไรมาบ้างล่ะวัชระ?” ราชาอัคนีหันไปถามเจ้าชายวัชระ
“อ๋อ…ก็หลายเรื่องอยู่เจ้าพี่” เจ้าชายวัชระตอบ “เสด็จแม่ถูกขังอยู่ในตำหนัก พวกขุนนางที่ต่อต้านไอ้เจ้าปุโรหิตวิตถารถูกขังไว้ในคุกหลวง ส่วนพวกหนุ่มๆ หน้าตาดีๆ ก็ถูกจับตัวไปสนองตัณหาวิปริตของมันไม่เว้นแต่ละวัน มีเพียงขุนนางกับขุนทหารไม่กี่คนที่ร่วมมือกับไอ้ปุโรหิตนั่น ส่วนพวกขุนนางบางคนที่ยังจงรักภักดีต่อเสด็จพ่อแต่จำต้องก้มหัวให้มันก็พร้อมจะลุกฮือขึ้นทันทีที่พวกเราทำศึกพะย่ะค่ะ ข้าล่ะอยากบั่นคอไอ้ปุโรหิตวิตถารเสียเดี๋ยวนี้นักเชียว!”
สีหน้าของเจ้าชายน้อยเหี้ยมขึ้นอย่างคันไม้คันมืออยากจะไปจัดการกับเจ้าปุโรหิตวิตถารเต็มแก่
“เจ้าใจเย็นไว้ก่อนเถอะวัชระ” ราชาอัคนีรีบปรามแล้วตรัสว่า “เพราะเจ้าไม่อยากให้ชาวพนมนครต้องสู้รบกันเองจึงได้ขอให้ข้ามาช่วยไม่ใช่หรือ จะทำการสิ่งใดต้องคิดให้รอบคอบ เจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมากนัก”
“ฮึ่ม…พะย่ะค่ะเจ้าพี่” เจ้าชายวัชระพยักหน้าแล้วก็คว้าจอกน้ำยกดื่มรวดเดียวเพื่อดับความร้อนรุ่มในใจ
“เจ้าชายเพคะ หม่อมฉันจัดเตรียมห้องให้พระสหายเรียบร้อยแล้วเพคะ” ขุนท้าวแจ่มศรีเข้ามากราบทูล
“เห็นทีว่าห้องหับคงจะไม่พอเสียแล้วกระมังขุนท้าว เพราะสองขุนพลแห่งหิรัญคีรีมาถึงแล้ว” ราชาอัคนีตรัสกับขุนท้าวร่างท้วม แล้วเขาก็ถามว่า “เหลืออยู่ห้องเดียวไม่ใช่หรือขุนท้าว?”
“เพคะฝ่าบาท” ขุนท้าวแจ่มศรีพยักหน้า
“อืม…จะทำเช่นไรดีล่ะ?” ราชาอัคนีนิ่งคิดพร้อมกับมองไปที่พระสหายใหม่ของพระอนุชา
“เช่นนั้นให้สหายของข้าพักกับข้าก็ได้เจ้าพี่” เจ้าชายวัชระเสนอ เพราะเขาเป็นผู้เชิญแขกมาพักเอง หากไม่มีห้องให้แขกพักคงเสียหน้าแน่ๆ
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร? ขุนท้าวพักอยู่กับเจ้าด้วย ถึงนางจะสูงอายุแต่ถ้าหากให้เจ้าหนุ่มคนนี้ไปพักด้วยไม่เหมาะแน่ เจ้ายังเด็กจึงไม่เป็นไร” ราชาอัคนีตรัสแล้วก็คิดๆ “อืม…”
“เอ่อ…ถ้าหากว่าไม่มีห้องถ้างั้นฉันกับน้องไปหาที่พักกันเองก็ได้ค่ะ” แพรพรรณรีบบอกเมื่อเห็นว่าการมาของเธอกับมณีรัตนาทำให้คนอื่นลำบาก
“ทำเช่นนั้นไม่ได้หรอกเจ้าหนุ่ม พวกเจ้ามาจากต่างถิ่นหากเป็นยามปกติคงไม่เป็นไรหรอกหากเจ้าจะไปขออาศัยชาวบ้านนอนสักคืน แต่ขณะนี้เป็นยามศึกสงคราม คงไม่มีใครกล้าให้ที่พักกับพวกเจ้าหรอก อีกทั้งวัชระก็เพิ่งช่วยพวกเจ้าจากหมื่นหาญไม่ใช่หรือ หากเจ้าคิดจะไปนอนค้างอ้างแรมกลางดินกลางทรายคงไม่เหมาะแน่ หากทหารของพวกปุโรหิตมาพบพวกมันคงรีบจับตัวเจ้าไปให้ปุโรหิตเป็นแน่” ราชาอัคนีตรัสน้ำเสียงเรียบๆ
‘หยึ๋ย! ถ้าต้องถูกจับไปล่ะก็…ขอตายดีกว่า’ แพรพรรณทำหน้าแหยงๆ
“ข้าคิดได้แล้วล่ะ” ราชาอัคนีตรัสแล้วสั่งว่า “เจ้ากับน้องอยู่กับข้า ส่วนห้องที่เหลือก็ให้สองขุนพลของข้าอยู่กันไป”
“เอ่อ…จะดีหรือเจ้าพี่?” เจ้าชายวัชระแย้ง ขุนท้าวแจ่มศรีรีบท้วง “คงไม่เหมาะกระมังเพคะฝ่าบาท ที่พระองค์จะให้สองคนนี้พักห้องเดียวกับพระองค์ ทั้งสองคนนี้เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้นะเพคะ หม่อมฉันว่าให้พวกเขาพักรวมกับท่านขุนพลของพระองค์คงจะดีกว่านะเพคะ”
“ฟูกเล็กพอแค่คนนอนสองคนเท่านั้นนะขุนท้าว แล้วห้องก็เล็กเพียงแค่นั้น จะเบียดเสียดเข้าไปยังไงตั้งสี่คน” ราชาอัคนีแย้ง
“เอ่อ…” ขุนท้าวแจ่มศรีคิดตามแล้วก็นิ่งเงียบ แล้วนางก็รีบกราบทูลว่า “ถ้าเช่นนั้นพระองค์ก็ให้ท่านขุนพลสักคนอยู่กับพระองค์ก็ได้นี่เพคะ แล้วให้พระสหายของเจ้าชายอยู่กับท่านขุนพลอีกคน บุรุษสองคนกับเด็กผู้หญิงเล็กๆ คนหนึ่งน่าจะพออยู่ด้วยกันได้กระมังเพคะ” ขุนท้าวเสนอแนะ
“ให้ขุนพลคนใดคนหนึ่งของข้ามาอยู่ด้วยน่ะรึ ข้าไม่เห็นด้วยหรอก ข้าไม่อยากจะฟังเสียงนอนกรนของเจ้าพวกนั้น ให้เจ้าหนุ่มนี่กับแม่หนูน้อยอยู่กับข้าเสียยังดีกว่า” ราชาอัคนีตรัส แล้วเขาก็หันไปถามหนุ่มน้อยว่า “เจ้านอนกรนหรือไม่เจ้าหนุ่ม?”
“ไม่ค่ะ เอ้ย…ไม่พะย่ะค่ะ” แพรพรรณรีบตอบพลางส่ายหน้า ราชาอัคนีแย้มยิ้มแล้วสั่งว่า “เช่นนั้นก็ได้ข้อสรุปแล้ว เจ้าสองคนอยู่กับข้า ส่วนห้องนั้นก็ยกให้ขุนพลของข้าไป”
“แต่ว่า…” ขุนท้าวแย้ง ราชาอัคนีจึงตรัสว่า “ถ้าขุนท้าวยังมีปัญหา ข้าจะให้ขุนพลของข้าไปนอนร่วมห้องกับท่านแทน”
“ฝ่าบาท!” ขุนท้าวแจ่มศรีตวัดค้อนควับๆ
“เจ้าพี่ ถ้าท่านให้ท่านขุนพลมานอนห้องข้า ข้าจะหนีไปนอนหน้าเรือนปล่อยให้ขุนท้าวนอนฟังเสียงกรนเพียงผู้เดียวพะย่ะค่ะ ฮ่าๆๆๆ” เจ้าชายวัชระตรัสแล้วก็หัวเราะอย่างขบขัน
“เจ้าชาย!” ขุนท้าวแจ่มศรีเลยถวายค้อนเผื่อแผ่เพิ่มให้เจ้าชายวัชระ แล้วนางก็นึกขึ้นได้ว่า “อุ้ยตายจริง! หม่อมฉันก็ลืมไปเพคะ เจ้าชายเพคะเหนือหัวทรงรับสั่งหาเพคะ”
เจ้าชายวัชระดีใจ หน้าตาแช่มชื่นทันควัน “เสด็จพ่อฟื้นแล้วหรือ?”
ขุนท้าวรีบทูลว่า “ฟื้นแล้วเพคะ เจ้าชายรีบเสด็จไปเฝ้าเถิดเพคะ”
“เจ้าพี่ ประเดี๋ยวข้ากลับมาพะย่ะค่ะ” แล้วเจ้าชายวัชระก็รีบเสด็จไป
“ขุนท้าว ท่านพาแม่หนูน้อยไปนอนก่อนเถิด ดูซิหลับไปเสียแล้ว” ราชาอัคนีสั่งพลางมองเด็กหญิงซึ่งนั่งหลับสับปะหงกอยู่ในอ้อมกอดของหนุ่มน้อย แล้วเขาก็สั่งหนุ่มน้อยว่า “ส่วนเจ้าหนุ่มอยู่สนทนากับข้าก่อนหากเจ้าไม่รังเกียจ”
แพรพรรณได้ยินเช่นนั้นก็นึกในใจ ‘ก็พูดแบบนี้…ไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธจะให้ตอบว่าอะไรได้อีกล่ะ เฮ้อ…’
“ค่ะ…พะย่ะค่ะ” เธอตอบแล้วก็ก้มลงดูร่างน้อยกลมป้อมในอ้อมกอดแล้วพูดว่า “โถ…คงจะเหนื่อยน่าดู พอได้กินอิ่มปุ๊บ…ก็หลับปั๊บ”
“พ่อหนุ่ม เจ้าส่งเด็กมาให้ข้าเถิด” ขุนท้าวแจ่มศรีบอกพร้อมกับยื่นมือไปอุ้มร่างน้อยกลมป้อม แพรพรรณจึงค่อยๆ ช่วยช้อนตัวเด็กหญิงส่งให้
“ดูซิ…หลับสนิทเลย น่ารักน่าชังแท้ๆ เชียวแม่หนูคนนี้” ขุนท้าวเปรยอย่างเอ็นดู แล้วก็อุ้มเด็กหญิงไป ในศาลาจึงเหลือเพียงราชาอัคนีและแพรพรรณ
“เจ้ามาจากที่ใดและจะเดินทางไปที่ใดหรือเจ้าหนุ่ม?” ราชาอัคนีถาม แพรพรรณนิ่งเงียบทันที ‘จะตอบว่ายังไงดีล่ะ…’
“ข้าถามเจ้า เจ้าได้ยินหรือไม่เจ้าหนุ่ม?” น้ำเสียงเข้มขึ้นอย่างไม่พอใจที่เห็นหนุ่มน้อยเอาแต่นั่งเงียบ
‘แย่ล่ะซิ…เขาเริ่มทำหน้าหงิกแล้วอ่ะ จะทำไงดีล่ะ?’ แพรพรรณเหลือบมองอย่างหวาดๆ แต่การไม่พูดอะไรเลยก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีแน่ๆ เธอจึงตอบว่า “คือฉันกับน้องหลงทางมา พวกเราจะไปอมรานครค่ะ”
“พวกเจ้าเป็นชาวอมรานครหรือ?” ราชาอัคนีมองหนุ่มน้อยอย่างสังเกต ไม่ให้มีสิ่งใดหลุดรอดไปจากสายตาได้
“เอ่อ…” แพรพรรณอึกอัก
“เจ้าอยู่ในวังหรือ?” ราชาอัคนีถาม แพรพรรณทำหน้างง “วัง?…วังอะไรคะ?”
“ก็วังอมรานครอย่างไรล่ะ?” ราชาอัคนีจ้องหนุ่มน้อยอย่างสังเกตท่าที แพรพรรณรีบปฏิเสธ “ไม่ค่ะ”
Chapter 8
กอดราชาเหมือนหมอนข้าง
“ถ้าเช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงรู้จักขนมพวกนี้ล่ะ?” ราชาอัคนีชี้ขนมบนตั่งแล้วก็ตรัสว่า “ขนมพวกนี้มีแต่ในวังเท่านั้น คนธรรมดาสามัญหารู้จักไม่ แต่เจ้ากลับรู้จักทั้งหมด”
“อ๋อ…” แพรพรรณพยักหน้า “ที่บ้านของฉันมีขายเยอะแยะไปค่ะ ไม่ต้องอยู่ในวังก็รู้จักค่ะ มีขายตั้งหลายร้านค่ะ แล้วฉันก็เคยช่วยคุณแม่ทำอยู่บ่อยๆ ค่ะ”
ราชาอัคนีพยักหน้ารับรู้ “เป็นเช่นนี้เองหรือ ที่อมรานครคงมีขนมพวกนี้ขายเต็มไปหมดกระมัง ข้าไม่เคยรู้มาก่อน”
แล้วราชาอัคนีก็เขยิบเข้าไปใกล้หนุ่มน้อยพร้อมกับสูดกลิ่น แพรพรรณสะดุ้ง! “อ่ะ!”
เธอผงะถอยห่าง “จะทำอะไรน่ะ!?”
ราชาอัคนียื่นหน้าไปใกล้
“เหตุใดเจ้าจึงมีกลิ่นหอมของดอกเปลวสุริยัน?” เขาถามน้ำเสียงเข้ม ดวงตาคมกล้าจ้องเข้าไปในดวงตาคู่สวย แพรพรรณจ้องตาตอบอย่างงงๆ “ดอกเปลวสุริยันเหรอ? คือดอกอะไรคะ?”
พลัน! ภาพหนึ่งก็ลอยเข้ามาในห้วงความคิด ผู้ชายคนหนึ่งใส่เสื้อผ้าสีแดงอ่อนจับข้อมือของเธอไว้แล้วพูดว่า ‘…ดอกเปลวสุริยัน…’ แล้วภาพนั้นก็วูบหายดุจดังความฝันที่เลือนรางจางหายไปยามเมื่อลืมตาตื่น
“เจ้าไม่รู้จักดอกเปลวสุริยันได้อย่างไรกัน? ในเมื่อตัวเจ้าหอมฟุ้งกลิ่นดอกเปลวสุริยันเช่นนี้” ราชาอัคนีคาดคั้น แพรพรรณงุนงง “เอ่อ…”
ราชาอัคนีเห็นหนุ่มน้อยแสดงท่าทางว่าไม่รู้เรื่อง เขาจึงถอยห่างออกไป แล้วเขาก็ตรัสว่า “คำพูดของเจ้าฟังประหลาดนัก ไม่เหมือนชาวอมรานครเลยสักนิด”
แพรพรรณไม่รู้จะพูดอะไรจึงนิ่งเงียบทำเฉย เธอนึกถึงคำพูดของเขา ‘ดอกเปลวสุริยันเหรอ? เอ…เคยได้ยินชื่อจากไหนนะ? แล้วทำไมถึงมีแต่คนทักว่าตัวหอมกันจัง? เอ…หรือว่าฉันกลายเป็นนางตัวหอมแบบในหนังสือวรรณคดีไปแล้วล่ะมั้ง…’
“เอาเถิด ในเมื่อเจ้าไม่อยากตอบก็ช่างเถอะ” ราชาอัคนีตรัสพลางคิดในใจว่า ‘ข้าจะต้องรู้ให้ได้ว่าเหตุใดเจ้าจึงมีกลิ่นดอกเปลวสุริยัน? และเจ้ามาจากที่ใดกัน? คำพูดคำจาจึงแปลกประหลาดผิดแผกจากผู้อื่นเช่นนี้’
“ข้าจะพาเจ้าไปที่เรือน เจ้าจะได้พักผ่อนอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัว” เขาบอกแล้วก็เสด็จไป แพรพรรณรีบลุกตามเสด็จไป
เมื่อถึงห้อง ราชาอัคนีก็ชี้บอก “นั่นผ้าผลัดอาบน้ำและอาภรณ์ ลานอาบน้ำอยู่ด้านหลังเรือน เจ้าอาบน้ำอาบท่าแล้วจะนอนพักก็ตามแต่ใจเจ้าเถิด แล้วข้าจะให้นางกำนัลมาตามเมื่อถึงเวลาอาหาร หรือหากเจ้าไม่อยากนอนจะลงไปเดินเล่นข้างล่างก็แล้วแต่เจ้าต้องการ หากเจ้าต้องการสิ่งใดก็บอกกล่าวกับบ่าวไพร่ แต่จงอย่าได้ออกไปนอกอาณาบริเวณเรือนเป็นอันขาดหากเจ้ายังไม่อยากมีผัวเป็นชาย เจ้าหน้าตางดงามคงถูกอกถูกใจปุโรหิตนั่นเป็นแน่”
พอตรัสเสร็จก็เสด็จไปทันที แพรพรรณมองตามราชาอัคนีแล้วก็เดินไปนั่งมองมณีรัตนาซึ่งนอนหลับอยู่บนฟูก “หลับสนิทเชียวนะน้องรัตนา เฮ้อ…เมื่อไหร่นะฉันจะตื่นจากความฝันนี่ซักที คุณพ่อคุณแม่ขา พรรณคิดถึงคุณพ่อคุณแม่ ป่านนี้คุณพ่อคุณแม่คงตามหาพรรณกันวุ่นวายแล้วแน่ๆเลย”
น้ำตารินไหลอาบแก้มนวล เธอนั่งร้องไห้เงียบๆ อยู่อย่างนั้นจนกระทั่งรู้สึกสบายใจขึ้นแล้วก็ลุกขึ้นหยิบผ้าผลัดอาบน้ำซึ่งเป็นผ้าฝ้ายทอมือผืนยาวเนื้อนิ่มคล้ายผ้าขาวม้าจากถาดไม้แกะสลักลงรักปิดทองลวดลายงดงาม แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่าลืมห่อผ้าไว้ที่ศาลากลางน้ำ
ก๊อก!ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นแล้วเสียงผู้หญิงคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “ท่านเจ้าคะ ข้าเอาห่อผ้ามาให้เจ้าค่ะ”
“อ๋อ…” แพรพรรณเดินไปรับห่อผ้า “ขอบใจจ้ะ”
เธอยิ้มให้ข้าทาส ข้าทาสยิ้มตอบแล้วก็หน้าแดงท่าทางเอียงอาย จากนั้นก็รีบจากไป แพรพรรณเอาห่อผ้าไปวางไว้ตรงมุมห้อง แล้วก็หยิบเสื้อผ้ากับผ้าผลัดอาบน้ำเดินไปทางด้านหลังเรือน
ณ ลานอาบน้ำ แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นลานอาบกลางแจ้ง อีกส่วนหนึ่งกั้นเป็นห้องไม่มีหลังคา ทำไว้สำหรับบ่าวไพร่สตรี แพรพรรณรีบเข้าไปอาบน้ำในห้อง พออาบน้ำสบายตัวแล้วเธอก็เอาเสื้อผ้าไปเก็บไว้ในห้องแล้วก็ออกไปเดินเล่น เธอเดินไปจนถึงเรือนครัว บ่าวไพร่กำลังทำอาหารกันอยู่ ครั้นพวกบ่าวไพร่หันมาเห็นเธอก็ยิ้มให้ ส่วนข้าทาสสาวรุ่นๆ บ้างก็เขินอายไม่กล้าสบตาได้แต่แอบชำเลืองมอง บางคนก็เดินเลี่ยงไปทำงานอื่น แพรพรรณเดินไปนั่งบนตั่งมองดูบ่าวไพร่ทำงาน ครั้นมองไปมองมาก็เกิดนึกอยากกินทำกับข้าวขึ้นมาบ้าง เธอจึงขอแม่ครัวทำกับข้าวเอง
“ท่านทำกับข้าวกับปลาได้หรือเจ้าคะ?” แม่ครัวถามอย่างแปลกใจ
“ได้ซิคะ ตอนอยู่บ้าน พรรณช่วยคุณแม่ทำกับข้าวบ่อยๆ ค่ะ” แพรพรรณบอกกับแม่ครัวสูงอายุด้วยคำพูดที่คุ้นชิน แม่ครัวฟังแล้วก็นึกประหลาดใจในคำพูดคำจาของพ่อหนุ่มต่างถิ่น ‘ที่บ้านเมืองของพ่อหนุ่มคงจะพูดจากันเช่นนี้กระมัง’
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ประหลาดใจเท่ากับพ่อหนุ่มน้อยขอทำกับข้าวเอง ก็เรื่องกับข้าวกับปลามันเป็นหน้าที่ของสตรี ไม่เคยมีบุรุษจะขอทำกับข้าวกับปลาดังเช่นพ่อหนุ่มน้อยเลย
‘โอ…ฤาจะเกิดอาเภพเสียกระมัง หรือไม่พ่อหนุ่มน้อยก็คงนึกสนุกเท่านั้นกระมัง ลองให้ทำดูประเดี๋ยวเบื่อก็คงเลิกราไปเอง’ แม่ครัวคิดในใจแล้วก็ยิ้มให้หนุ่มน้อย
“ถ้าเช่นนั้นก็ตามใจท่านเถิดเจ้าค่ะ” แม่ครัวบอกแล้วก็มองดูว่าหนุ่มน้อยจะทำอย่างไรต่อไป พอได้ยินคำอนุญาต แพรพรรณก็ยิ้มหน้าบาน เธอคว้ามีดคว้าเขียงมาแล้วก็หยิบผักมาหั่นอย่างคล่องแคล่ว บ่าวไพร่ก็มองดูหนุ่มน้อยทำครัวอย่างตะลึง…อึ้ง…ทึ่ง “โอ…”
จากที่เพียงแค่เมียงๆ มองๆ ก็กลายเป็นว่าล้อมวงดูหนุ่มน้อยทำกับข้าวกับปลากันแบบลุ้นตัวโก่ง
“ข้าว่าคงทำเสียของแน่” ข้าทาสคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อน
“ข้าก็อยากจะรู้นักว่าจะเป็นเช่นไร? คงไม่แคล้วต้องเทให้หมูหมากาไก่เสียกระมัง” อีกคนกระซิบบอก
เวลาผ่านไป อาหารฝีมือแพรพรรณก็เสร็จเรียบร้อยเป็นจานแรก ทั้งแม่ครัวและบ่าวไพร่พากันลองชิมรสกันถ้วนหน้า ชิมคำแรกก็ต้องประหลาดใจจนต้องชิมอีกคำให้แน่ใจ
“ไม่น่าเชื่อ”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน”
“ประหลาดแท้”
ฯลฯ หลายๆ คนต่างออกปากพลางจ้องมองหนุ่มน้อยเป็นตาเดียว
“อร่อยมากเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยกินแกงอร่อยเช่นนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ” แม่ครัวชมหลังจากได้ชิมน้ำแกงฝีมือหนุ่มน้อย แพรพรรณยิ้มรับคำชม หลังจากนั้นจึงกลายเป็นว่าอาหารมื้อนี้เธอเป็นผู้ปรุงเองทั้งหมดโดยมีแม่ครัวและบ่าวไพร่เป็นลูกมือ
หลังจากทำอาหารเสร็จแล้วแพรพรรณก็เดินกลับห้องไปดูมณีรัตนา
ครั้นพอถึงเวลาเสวย บ่าวไพร่จัดเตรียมสำรับกับข้าวถวาย ราชาอัคนีนั่งเคียงข้างเจ้าชายวัชระ
“เอ๊ะ! แล้วเจ้าหนุ่มนั่นล่ะอยู่ที่ใดหรือ?” ราชาอัคนีถามแล้วสั่งว่า “เจ้าไปตามเจ้าหนุ่มพระสหายใหม่ของวัชระมาที อ่อ…แม่หนูน้อยด้วยนะ”
“เพคะ” นางกำนัลรับพระบัญชาแล้วก็คลานเข่าออกไป
สักพัก แพรพรรณกับมณีรัตนาก็เดินตามนางกำนัลเข้ามา ราชาอัคนีกวักมือ “พวกเจ้าเข้ามาซิ มานั่งกินข้าวปลาอาหารด้วยกันกับข้าซิ”
“ขอบพระทัยเพคะ”
“ขอบพระทัยเพ…เอ้ย!…พะย่ะค่ะ”
มณีรัตนากับแพรพรรณพูดพร้อมกัน แล้วทั้งสองก็ค่อยๆ เข้าไปนั่งตรงข้ามอย่างสงบเสงี่ยม ราชาอัคนีแย้มยิ้มแล้วตักน้ำแกงสีแดงเข้มเสวย
เจ้าชายวัชระแย้มยิ้มให้มณีรัตนา แล้วเขาก็ตักสำรับกับข้าวให้พระสหายตัวน้อย
“ขอบพระทัยเพคะ” มณีรัตนาไหว้อย่างอ่อนน้อมแช่มช้อย เจ้าชายวัชระแย้มยิ้มแล้วก็เริ่มเสวย เพียงคำแรกที่ลิ้มรสก็ชมว่า “อื้ม…แกงนี้อร่อยยิ่งนัก เรียกว่าอะไรหรือขุนท้าว?”
เขาถามขุนท้าวแจ่มศรีที่ถวายการรับใช้อยู่ใกล้ๆ
“ทรงถามพ่อหนุ่มพระสหายของพระองค์เองเถอะเพคะ หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ เพราะพระกระยาหารทั้งหมดเป็นฝีมือพ่อหนุ่มทั้งสิ้นเพคะ” ขุนท้าวโบ๊ยไปให้หนุ่มน้อย ทำให้ทุกคนในที่นั้นหันไปมองหนุ่มน้อยเป็นตาเดียว
“ฝีมือเจ้าหรือ?” ราชาอัคนีถามอย่างไม่เชื่อว่าหนุ่มน้อยจะทำกับข้าวกับปลาเป็น
“พี่ชายทำกับข้าวกับปลาเป็นด้วยหรือ?” เจ้าชายวัชระถามอย่างประหลาดใจ
“พี่พรรณทำกับข้าวกับปลาได้อร่อยนัก ข้าคงต้องให้ท่านช่วยสอนเสียแล้ว” มณีรัตนาชมหลังจากที่ได้กิน
“เอ่อ…” แพรพรรณได้แต่ยิ้มแหยๆ พลางนึกในใจว่า ‘แค่ทำกับข้าวเป็นทำไมถึงได้กลายเป็นเรื่องแปลกประหลาดสำหรับที่นี่นักนะ เฮ้อ…เราก็แค่อยากกินของที่ชอบเท่านั้นเองอ่ะ’
ราชาอัคนีเสวยมากกว่าปกติ เจ้าชายวัชระก็เช่นเดียวกัน ส่วนมณีรัตนาก็กินอย่างเอร็จอร่อย แพรพรรณกินได้นิดเดียวก็รามือ เพราะเธอกินข้าวกินขนมไปบ้างแล้วตอนที่อยู่เรือนครัว ราชาอัคนีเห็นหนุ่มน้อยกินน้อยยิ่งนักก็ตรัสว่า “เจ้ากินข้าวน้อยนิดเช่นนี้เองจึงได้ผอมแห้งนัก เจ้าต้องกินให้มากกว่านี้จะได้ล่ำสันสมกับเป็นชายชาตรี”
แพรพรรณนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
“หม่อมฉันเห็นพ่อหนุ่มกินไปบ้างแล้วเพคะตอนอยู่ที่เรือนครัว” ขุนท้าวกราบทูล ราชาอัคนีพยักหน้ารับรู้แล้วถามว่า “ผู้ใดสอนเจ้าทำกับข้าวกับปลาหรือ?”
“คุณแม่ค่ะ” แพรพรรณตอบแล้วก็ทำหน้าเศร้าเพราะคิดถึงคุณแม่คุณพ่อ ‘คุณแม่ขา…พรรณคิดถึงคุณแม่คุณพ่อเหลือเกินค่ะ พรรณอยากกลับบ้าน…’
พอเห็นสีหน้าของหนุ่มน้อยราชาอัคนีก็ถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงดูเศร้าโศกนัก?”
แพรพรรณรู้สึกหัวใจกระตุกวาบ! เธอรับรู้ถึงความอ่อนโยนเป็นห่วงเป็นใยในน้ำเสียงของเขา
“พรรณคิดถึงคุณพ่อคุณแม่ค่ะ” เธอตอบแล้วก็พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“เจ้าจงอย่าเศร้าไปเลย อีกไม่นานเจ้ากับน้องก็จะได้กลับบ้านเมืองของพวกเจ้าแล้ว รอให้ข้าเสร็จศึกที่นี่แล้วข้าจะให้คนพาพวกเจ้าไปส่งที่อมรานครเอง” ราชาอัคนีตรัสพร้อมแย้มยิ้มให้ แพรพรรณยิ้มแล้วก็ยกมือไหว้ “ขอบพระทัยเพคะ”
“ขอบพระทัยเพคะ” มณีรัตนาก็รีบไหว้อย่างดีใจ ราชาอัคนีฟังหนุ่มน้อยพูดผิดๆ ถูกๆ อย่างไม่ถือสา เจ้าชายวัชระเริ่มหาว
“เจ้าไปนอนเสียเถิดวัชระ เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ประเดี๋ยวข้าก็จะไปนอนเช่นกัน” ราชาอัคนีบอก เจ้าชายวัชระพยักหน้าพลางยกมือปิดปากหาวไปด้วย “ถ้าเช่นนั้นข้าไปนอนก่อนล่ะเจ้าพี่”
แล้วเขาก็หันไปแย้มยิ้มให้พระสหายทั้งสอง จากนั้นเขาก็เสด็จไป ราชาอัคนีมองตามพระอนุชาไปแล้วก็หันไปตรัสกับหนุ่มน้อยว่า “นี่ก็ดึกมากแล้วพวกเจ้ากับข้าก็ควรจะไปนอนได้แล้ว”
เขาแย้มยิ้มให้ทั้งสองคน
“เพคะ” มณีรัตนารับคำอย่างว่าง่าย ส่วนแพรพรรณก็ตอบรับว่า “ค่ะ” อย่างเคยปาก ราชาอัคนีลุกขึ้นแล้วก็เสด็จนำหน้า มณีรัตนากับแพรพรรณรีบตามเสด็จ ขุนท้าวแจ่มศรีก็จัดแจงให้นางกำนัลยกสำรับกับข้าวไปเก็บ
เมื่อไปถึงห้องนอน แพรพรรณก็หอบหมอนกับผ้าห่มไปนอนบนพื้นกระดาน
“เจ้าจะทำอะไรหรือ?” ราชาอัคนีถามพลางเลิกคิ้วขึ้น
“คือว่า…” แพรพรรณยังพูดไม่จบ ราชาอัคนีก็ตรัสว่า “เจ้าจะนอนกับพื้นให้เจ็บตัวไปไย ฟูกก็ออกจะกว้างพอให้นอนกันได้ทั้งหมด”
“คงไม่เหมาะสมหรอกค่ะ ที่ดิฉันจะนอนร่วมเตียงเดียวกันกับคุณ คุณมีฐานะสูงกว่าดิฉัน ดิฉันไม่อาจเอื้อมหรอกค่ะ” แพรพรรณรีบพูดเร็วปรื้อ พลางนึกในใจ ‘อึ๋ย!…จะให้นอนร่วมเตียงเดียวกันกับผู้ชายไม่นะ…ไม่เด็ดขาด’
“สิ่งใดหรือที่เจ้าว่าไม่เหมาะสม?” ราชาอัคนีถามแล้วตรัสว่า “สหายนอนร่วมกันจะเป็นไรไป แล้วยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งหนาวเจ้าจะเจ็บไข้ได้ป่วยเสียเปล่า เจ้าอย่าทำตัวพิรี้พิไรให้มากเรื่องดังเช่นอิสสตรีอยู่เลย และเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่ได้มีจิตวิปริตชมชอบบุรุษเหมือนอย่างเจ้าปุโรหิตนั่นหรอก เจ้าไปนอนบนฟูกเถิด”
แล้วเขาก็คว้าหมอนกับผ้าห่มไปวางไว้บนฟูกตามเดิม แพรพรรณชะงักงันไม่รู้จะทำเช่นไร เธอยืนมองอย่างลำบากใจ
“พี่พรรณข้าง่วงแล้ว” มณีรัตนาบอกพลางหาวไปด้วย
“เจ้าง่วงก็ไปนอนเถอะ นอนบนฟูกนั่นแหละ” ราชาอัคนีตรัสอย่างปราณี
“ขอบพระทัยเพคะ” มณีรัตนาไหว้เขาแล้วก็เดินไปนอนชิดริมข้างฝา ราชาอัคนีมองหนุ่มน้อย แล้วเขาก็นอนริมฟูกอีกด้าน เหลือที่ตรงกลางไว้ให้เจ้าหนุ่มน้อยมากเรื่อง แพรพรรณยืนนิ่งอย่างตัดสินใจ ถ้าหอบหมอนหอบผ้าออกมาอีกคงถูกตำหนิแน่ เธอจึงตัดใจยอมไปนอนบนฟูกเคียงข้างมณีรัตนา
“เจ้าจะไปนอนเบียดน้องเจ้าให้อึดอัดไปไย? เขยิบมาอีกหน่อยเถิด ที่เหลืออีกตั้งกว้าง” ราชาอัคนีตรัสพลางเหลือบมองหนุ่มน้อย แพรพรรณทำเฉยรีบห่มผ้าแล้วนอนตะแคงกอดมณีรัตนา เธอนอนเกร็งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของผู้ร่วมทางตัวน้อย เธอผงกหัวขึ้นมองคนในอ้อมกอด “หลับไปซะแล้ว เด็กเอ้ยเด็ก…”
เธอยิ้มแล้วก็เหลือบมองคนที่นอนอยู่ข้างหลัง เห็นเขานอนหลับนิ่งสนิทก็ถอนหายใจ “เฮ้อ…หลับไปแล้ว”
เธอนึกโล่งใจ หลังจากนั้นไม่นานนักเธอก็หลับสนิท ครั้นหนุ่มน้อยหลับสนิทแล้ว ราชาอัคนีก็ลืมตาขึ้น เขายันกายขึ้นชะโงกมองใบหน้างดงามของเจ้าหนุ่มน้อยมากเรื่อง แย้มยิ้มบางๆ
“หึๆๆๆ หลับเสียแล้วเจ้าหนุ่ม ยิ่งดู เจ้าก็ยิ่งงามเสียจริง ช่างน่าเสียดายนักที่เจ้าเป็นชาย” เขาพึมพำอย่างนึกเสียดาย เอื้อมมือไปปัดไรผมที่ปรกตามวงหน้างดงามอย่างนึกเอ็นดู พลัน! ก็เกิดแสงสว่างวาบระหว่างรัศมีสีแดงทับทิมระยิบระยับจากปลายนิ้วกับรัศมีสีเขียวมรกตจากลำคอระหง
“หืม!” เขาตกใจ มองปรากฎการณ์นั้นอย่างตะลึง
รัศมีสองสีปะทะกันลั่นเปรี๊ยะ! ประหนึ่งกำลังต่อสู้กันอยู่ แล้วรัศมีสีเขียวมรกตก็เลือนหายไป เหลือแต่รัศมีสีแดงทับทิมจากมือใหญ่ เขาผุดลุกขึ้นนั่งอย่างสงสัย แล้วเขาก็เห็นสร้อยมรกตระยิบระยับเปล่งประกายรัศมีสีเขียวมรกตจางๆ บนลำคอเรียวเล็ก
“สร้อยนาคราช!” เขาอุทานอย่างตกตะลึง! คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย “เหตุใดเจ้าหนุ่มนี่จึงมีสร้อยนาคราช?”
สายตาคมกล้าจับจ้องไปที่สร้อยเส้นนั้นเขม็ง เก็บความสงสัยไว้ในใจ “เจ้าหนุ่มนี่เกี่ยวข้องอันใดกับนาคราชหรือ?”
เขาละสายตาจากสร้อยไปที่วงหน้างดงาม ไล้นิ้วไปตามแก้มนวล
“เจ้าหนุ่มนี่ช่างมีแต่เรื่องให้ข้าประหลาดใจเสียจริง หึๆๆๆ…ข้าจะคอยดูซิว่าเจ้าจะยังมีอะไรให้ข้าประหลาดใจได้อีก หึๆๆๆ” เขาพึมพำปนหัวเราะเบาๆแล้วก็ถอยกลับไปนอนตามเดิม
ย่ำรุ่ง เสียงไก่ขันเป็นสัญญาณว่าดวงตะวันจะฉายแสงอีกครั้ง “เอ๊ก…อี๊…เอ๊ก…เอ๊ก…”
“อือ…เช้าแล้วเหรอ? ขอนอนต่ออีกหน่อยนะ อือ…” เสียงหวานใสพึมพำงัวเงีย ราชาอัคนีตื่นนอนตั้งแต่ไก่ยังไม่ขัน เขาละสายตาจากหน้าต่างหันไปมองเจ้าของเสียงงัวเงียที่ขยับตัวมาซุกหาไออุ่นจากเรือนกายของเขา พลัน! รัศมีสีแดงระยิบระยับกับรัศมีสีเขียวมรกตจากสร้อยนาคราชก็ปะทะกันอีกครั้ง เปรี๊ยะ!
แล้วรัศมีสีเขียวก็จางหายไป เขามองปรากฎการณ์นั้นอย่างเห็นเป็นปกติ เพราะอำนาจของสร้อยนาคราชหรือจะสู้ฤทธาของเขาได้ หึ!
เรือนร่างผอมแห้งขยับก่ายกอดเขาเอาไว้ประดุจดั่งเป็นหมอนข้าง ยิ่งทำให้เขาแย้มยิ้มอย่างขบขัน ไม่ได้นึกรังเกียจแม้แต่น้อยที่เรือนร่างผอมแห้งแนบชิดกับเรือนกายของเขา น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกยินดีปรีดายิ่งนักจนคิดอยากจะหยุดห้วงเวลานี้ไว้ให้นานแสนนาน เขาเอื้อมมือไปปัดเส้นผมสีดำนุ่มสลวยที่หลุดลุ่ยจากมวยผมให้พ้นจากใบหน้างดงาม ดวงหน้างามหวานซึ้งหลับพริ้มละไมห่างจากใบหน้าของเขาแค่คืบ ใบหน้างามสง่าขยับไปใกล้อย่างลืมตัว จมูกโด่งจรดลงแผ่วเบาแนบชิดกับผิวหน้าผากนวลผ่อง ครั้นพอรู้สึกตัว ก็ผงะถอย
‘นี่ข้าวิปริตไปแล้วหรือจึงได้กระทำเช่นนี้!?’ เขาคิดในใจอย่างสับสน
“อืม…” แพขนตายาวประดุจปีกผีเสื้อขยับลืมตาขึ้น ราชาอัคนีจึงรีบหลับตาแกล้งนอนหลับ ดวงตาคู่สวยลืมตาขึ้น ภาพแรกที่กระทบนัยน์ตาคือใบหน้างามสง่าที่อยู่ห่างเพียงแค่คืบเดียว แพรพรรณกระพริบตาปริบๆ อย่างงงๆ พอตั้งสติได้แก้มก็ร้อนฉ่า!
“อ่ะ” เธอผงะถอยห่างดั่งจับของร้อน ‘อ๊าย! อุ๊ยตาย…ว๊ายกรี๊ด!’
เธอผุดลุกขึ้นนั่ง ดีดตัวออกห่างจนแทบจะตกฟูก ดวงตาคมกล้าหรี่ขึ้นมองอย่างนึกขำ เขากลั้นหัวเราะสุดฤทธิ์ ‘หึๆๆๆ…’
Chapter 9
ปุโรหิตหนีไปได้!
ตึกๆๆๆ— แพรพรรณใจเต้นโครมคราม
“ตายแล้ว! นี่เราไปกอดเค้าได้ไงอ่ะ น่าขายหน้าที่สุด!” เธอพึมพำอย่างอายจัด แต่พอเห็นว่าคนถูกกอดยังไม่ตื่นก็โล่งใจ “เฮ้อ…ดีนะที่เขายังไม่ตื่น นี่ถ้าเขารู้ว่าเรานอนกอดเค้าล่ะก็…อึ๋ย!…คงมองหน้ากันไม่ติดแน่”
แล้วเธอก็รีบลุกจากฟูกนอนเดินไปเปิดประตูห้องออกไปข้างนอกทันที ราชาอัคนีลืมตามองตามร่างผอมบางไปอย่างนึกเสียดาย “เฮ้อ…”
คิดในใจอย่างสับสน ‘เหตุใดข้าจึงไม่นึกรังเกียจเดียจฉันท์ยามที่เจ้าหนุ่มกอดข้าเล่า หรือข้ากำลังจะวิปริตเป็นดังเช่นเจ้าปุโรหิตนั่นงั้นรึ…?’
แพรพรรณเดินลงจากเรือนไปจนถึงศาลากลางน้ำ เธอยืนมองดูดอกบัวสีแดงบานไสวรับแสงอรุณ พอหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ แก้มก็ร้อนซู่!
‘แย่ที่สุดเลย! เป็นสาวเป็นนางไปนอนกอดผู้ชายอย่างงั้นได้ไงอ่ะ ถึงเค้าจะไม่รู้ว่าเราเป็นผู้หญิงก็เหอะ น่าอายที่สุดเลย! แย่ๆๆๆๆ’ เธอด่าตัวเองในใจ
“เจ้าตื่นแต่เช้าเชียว” เสียงทุ้มกังวานทรงอำนาจดังขึ้นข้างหลัง ทำให้แพรพรรณรีบหันไปมอง
“อ่ะ!” เธอตะลึง! เมื่อคนที่อยู่ในห้วงความคิดมายืนอยู่ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว
“ข้าตื่นมาไม่เห็นเจ้าจึงตามหา ที่แท้เจ้าก็มาอยู่ที่นี่เอง” ราชาอัคนีตรัสน้ำเสียงราบเรียบ
“คือว่า…เอ่อ…คือว่า…ดิฉันตื่นแล้วก็เลยลงมาเดินเล่นค่ะ” แพรพรรณตอบตะกุกตะกักก้มหน้าหลบตา ราชาอัคนีแกล้งทำเฉยกับท่าทีเขินอายทั้งๆ ที่นึกขันอยู่ในใจ ‘หึๆๆๆ เจ้าหนุ่มนี่ช่างเขินอายได้น่ามองยิ่งกว่าสตรีเสียอีก’
แล้วเขาก็เสด็จไปยืนอยู่ข้างร่างผอมบางพลางยกมือขึ้นกอดอกด้วยท่วงท่าสง่างาม
“บัวยามเช้าช่างงดงามนัก” เขาเปรยขึ้นพร้อมกับมองดอกบัวในสระ “บัวงามเช่นนี้นี่เองจึงทำให้เจ้าตื่นแต่เช้านัก”
เขาละสายตาจากดอกบัวไปมองใบหน้างดงาม
“เอ่อ…ค่ะ” แพรพรรณไม่รู้ว่าจะพูดว่าอะไรดี เธอลอบมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ พลางนึกในใจ ‘เขาจะรู้ไหมนะว่าเราเผลอกอดเขาเมื่อคืน’
แต่พอเห็นท่าทีเฉยๆ เธอก็ลอบถอนหายใจ “เฮ้อ…”
‘คงไม่รู้หรอก’
“พี่พรรณ ท่านอยู่นี่เอง” เสียงใสดังขึ้นข้างหลัง ทำให้ทั้งสองคนหันไปมอง
“น้องรัตนา ตื่นแล้วเหรอ?” แพรพรรณทักพลางเดินเข้าไปหาร่างน้อยกลมป้อม
“ข้าตื่นมาไม่เห็นใครสักคน ที่แท้พวกท่านก็มาอยู่กันที่นี่เอง” มือน้อยกลมป้อมเอื้อมไปจับมือเรียวสวย
“เจ้าพี่!…แย่แล้วพะย่ะค่ะ!” เจ้าชายวัชระวิ่งหน้าตื่นเข้ามา ทำให้ทั้งสามคนหันไปมองเป็นตาเดียว
“มีอะไรหรือวัชระ?” ราชาอัคนีถามพลางเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
“ไอ้ปุโรหิตเฒ่ามันให้ทหารออกมาป่าวประกาศว่าหากข้ากับเสด็จพ่อไม่ยอมเข้ามอบตัวก่อนตะวันตกดินมันจะประหารเสด็จแม่พะย่ะค่ะ” เจ้าชายวัชระรีบกราบทูล “จะทำเช่นไรดีพะย่ะค่ะเจ้าพี่?”
เขากระวนกระวายใจ ไม่รู้จะตัดสินใจประการใดดี? ‘หากมอบตัวก็เท่ากับยอมตาย แต่หากไม่ยอมมอบตัว…เสด็จแม่ก็คงจะถูกมันสังหารแน่’
“ข้าคิดไว้แล้วว่ามันจะต้องกระทำเช่นนี้แน่” ราชาอัคนีบอก แล้วตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็จงยอมเข้ามอบตัวเพื่อจะล่อให้มันหลงกลเถิด ข้าเตรียมแผนไว้แล้ว”
เจ้าชายวัชระมองราชาอัคนีอย่างงงๆ แต่เมื่อเห็นสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นของราชาแห่งหิรัญคีรีผู้เกรียงไกรก็เบาใจว่าราชาผู้เกรียงไกรคงสามารถจัดการทุกอย่างได้แน่ๆ แพรพรรณกับมณีรัตนาได้แต่ยืนมองเฉยๆ ไม่สามารถออกความเห็นอะไรได้เพราะไม่รู้เรื่องอะไรซักอย่างกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้
“ปฐพี วายุ จงมาหาข้าเดี๋ยวนี้” ราชาอัคนีเรียกเสียงดังลั่น พลัน! ก็เกิดสายลมหมุนวนเบื้องหน้าราชาอัคนี แล้วสายลมก็สลายไปกลายเป็นวายุหนึ่งในขุนพลคนสนิท พร้อมกับแผ่นดินเบื้องหน้าราชาผู้เกรียงไกรก็แยกตัวออก ชายคนหนึ่งก้าวขึ้นมาจากรอยแยกนั้น เขาคือ ‘ปฐพี’ อีกหนึ่งขุนพลคนสนิทแห่งหิรัญคีรี
“เหวอ!” แพรพรรณตกใจจนแทบสิ้นสติ ‘พระเจ้าช่วย!…อะไรมันจะพิลึกพิลั่นขนาดนี้!’
“กรี๊ดดดด—” ส่วนมณีรัตนาก็กรี๊ดลั่นโผเข้ากอดหญิงสาวทันที
“ถวายบังคมพระเจ้าข้า”
“ถวายบังคมพระเจ้าข้า”
สองขุนพลคุกเข่าเบื้องหน้าราชาอัคนี ราชาอัคนีสั่งว่า “ปฐพีเจ้าไปกับข้าและวัชระ ส่วนวายุ เจ้าจงลอบเข้าไปช่วยพระมเหสีพิมพการะหว่างที่ข้ากับวัชระกำลังหลอกล่อเจ้าปุโรหิต”
“พระเจ้าข้า” ปฐพีและวายุรับพระบัญชา แล้วราชาอัคนีก็หันไปตรัสกับหนุ่มน้อยและเด็กหญิงว่า “ส่วนพวกเจ้าสองคนก็รออยู่ที่นี่ ข้าจัดการกับเจ้าปุโรหิตชั่วได้แล้วข้าจะส่งคนมารับเข้าวัง”
พอตรัสเสร็จก็เสด็จไปทันที เจ้าชายวัชระกับสองขุนพลจึงรีบตามเสด็จไป แพรพรรณและมณีรัตนาได้แต่มองตามอย่างงุนงง เจ้าชายวัชระตะโกนสั่งให้บ่าวไพร่จูงม้าออกมา แพรพรรณและมณีรัตนาจึงรีบเดินตามทั้งสี่ไป ครั้นพอบ่าวไพร่จูงม้ามาให้ ราชาอัคนีก็ตวัดตัวขึ้นหลังม้า พร้อมกับเจ้าชายวัชระและสองขุนพล ทั้งสี่คนชักม้าเตรียมจะออกวิ่ง แพรพรรณและมณีรัตนารีบเรียก “เดี๋ยวก่อนค่ะ”
“เดี๋ยวก่อนเพคะ”
ราชาอัคนีและเจ้าชายวัชระจึงหันไปถามพร้อมกันว่า “มีอะไรหรือ?”
“เจ้าชายจะเสด็จไปเพียงแค่สี่คนหรือเพคะ?” มณีรัตนาถามพลางทำหน้าสงสัย แพรพรรณก็รีบถามเช่นกัน “ฝ่าบาทจะเสด็จไปแค่นี้เหรอเพคะ?”
ราชาอัคนีมองทั้งสองคนแล้วถามว่า “ก็ใช่น่ะซิ พวกเจ้ามีอะไรหรือ?”
“แล้วกองทัพกองทหารล่ะคะ” แพรพรรณรีบถามอย่างเป็นห่วง
“จะไปช่วยพระมเหสีพิมพกาหากเอาคนไปมากๆ เจ้าปุโรหิตชั่วมันจะยิ่งระวังตัว” ราชาอัคนีบอกแล้วถามว่า “พวกเจ้าเป็นห่วงหรือ?”
ทั้งสองรีบพยักหน้าพร้อมกัน “ค่ะ”
“เพคะ”
ราชาอัคนีหัวเราะแล้วตรัสว่า “หึๆๆๆ พวกเจ้าอย่าได้กังวลใจไป เจ้าปุโรหิตนั่นไม่ครณามือข้าหรอก”
“เอ่อ…ถ้างั้นก็ระวังตัวด้วยนะเพคะ” แพรพรรณพูด แล้วก็สบตากับสายตาคมกล้า แล้วเธอก็บอกอีกว่า “ขอให้พระองค์ปลอดภัยเพคะ”
เพียงได้ยินถ้อยคำแสดงความห่วงใยจากหนุ่มน้อยร่างบาง ก็ทำให้ใจของราชาแห่งหิรัญคีรีปราบปลื้มยินดี ทรงแย้มยิ้มให้หนุ่มน้อยแล้วตรัสว่า “ขอบใจสำหรับความห่วงใยที่เจ้ามอบให้ข้า ข้าจะจดจำไว้ไม่มีวันลืม ข้าต้องปลอดภัยกลับมาแน่ พวกเจ้าไม่ต้องห่วงหรอก”
แล้วเขาก็หันไปตรัสกับผู้ตามเสด็จทั้งสามว่า “ไปกันได้แล้ว”
จากนั้นเขาก็ชักม้าออกวิ่ง อีกสามคนรีบตามเสด็จไป แพรพรรณและมณีรัตนาได้แต่มองตามด้วยความเป็นห่วง จนกระทั่งทั้งสี่คนควบม้าลับตาไปแล้วแพรพรรณจึงชวนมณีรัตนากลับเข้าเรือน
ราชาอัคนี เจ้าชายวัชระ ปฐพีและวายุควบม้าไปถึงหน้าประตูวัง เจ้าชายวัชระตะโกนบอกทหารที่ยืนยามอยู่หน้าประตูวัง “ไอ้ปุโรหิตชั่ว ข้ามาแล้วอย่างไรล่ะ จงรีบออกมาเสียโดยไว ไม่เช่นนั้นข้าจะตามไปบั่นคอเจ้าถึงที่นอนเอง”
“เจ้าชายวัชระมาแล้ว รีบไปกราบทูลราชามหินธาเร็วเข้า” ทหารที่อยู่บนป้อมเหนือประตูวังตะโกนบอกต่อๆ กันไป ราชาอัคนี เจ้าชายวัชระและสองขุนพลนั่งรอบนหลังม้าครู่ใหญ่ สักพักบนป้อมเหนือประตูวังก็มีเสียงดังวุ่นวาย “รีบเดินไปซิ!”
“หนีไปซะวัชระ ไม่ต้องห่วงแม่” พระมเหสีพิมพกาตะโกนบอก
“เสด็จแม่!” เจ้าชายวัชระรีบมองขึ้นไปบนป้อม พระมเหสีพิมพกาถูกกระชากผมลากขึ้นไปบนป้อมอย่างน่าเวทนา แล้วผู้ชายคนที่กระชากผมของพระมเหสีก็พูดว่า “เจ้าชาย หากเจ้าอยากจะช่วยเสด็จแม่ของเจ้าก็ลงจากหลังม้ายอมให้ทหารจับกุมเสีย”
“ไอ้มหินธา เจ้าจงปล่อยเสด็จแม่ของข้าเดี๋ยวนี้!” เจ้าชายวัชระตะโกนสั่งอย่างโกรธจัด ปุโรหิตมหินธากระชากพระมเหสีพิมพกาผลักให้ยืนจนชิดกำแพงป้อมพร้อมกับตวัดดาบพาดคอของพระมเหสีเอาไว้
“พวกเจ้าจงลงจากหลังม้าแล้วยอมให้ทหารจับกุมเสีย มิฉะนั้นข้าจะบั่นคอพระมเหสีเสียเดี๋ยวนี้!” ปุโรหิตตะโกนสั่งเสียงกร้าว
“อย่ายอมมันนะวัชระ เจ้าหนีไปเสียไม่ต้องห่วงแม่ แม่ยอมตายดีกว่าเห็นเจ้าถูกฆ่า!” พระมเหสีพิมพกาตะโกนบอกเด็ดเดี่ยวอย่างใจแข็ง นางพร้อมจะยอมสละชีวิตของตัวเองเพื่อลูก
“เสด็จแม่!” เจ้าชายวัชระสงสารพระมารดายิ่งนัก ราชาอัคนีขยับม้าเข้าไปชิดเจ้าชายวัชระแล้วกระซิบว่า “วัชระทำตามแผนเร็วเข้า”
เจ้าชายวัชระเหลือบมองราชาอัคนีแล้วแกล้งตะโกนว่า “อย่าทำอะไรเสด็จแม่นะไอ้มหินธา ข้ายอมแล้ว”
เขาโหนตัวลงจากหลังม้าลงไปยืนบนพื้นดิน ราชาอัคนีกับสองขุนพลก็ตวัดตัวลงจากหลังม้าเช่นกัน ปุโรหิตมหินธากระหยิ่มยิ้มย่องอย่างสมใจ “ดีมาก ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าก็จงทิ้งดาบแล้วยอมให้ทหารจับกุมซะ แล้วข้าจะปล่อยพระมเหสี”
“ทิ้งดาบแล้วรอคำสั่งจากข้า” ราชาอัคนีกระซิบสั่ง พลางปลดดาบโยนทิ้งไปเบื้องหน้า ตุบ!
เจ้าชายวัชระและสองขุนพลรีบทำตาม ตุบ!ๆๆ
พอเห็นว่าอีกฝ่ายโยนดาบทิ้งแล้วปุโรหิตก็รีบตะโกนสั่งทหารลั่น “ทหารจับพวกมันเอาไว้ แล้วเอาพวกมันไปขังไว้ในคุกหลวง”
ทหารกรูกันออกไปล้อมจับเจ้าชายวัชระกับผู้ติดตาม ซึ่งทั้งสี่ก็แกล้งยอมให้ถูกจับอย่างง่ายดาย ทหารรีบเอาเชือกมัดทั้งสี่คนเอาไว้ ปุโรหิตมหินธาเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะลั่นอย่างดีใจที่จับตัวเจ้าชายและผู้ติดตามได้อย่างง่ายดาย “ฮ่าๆๆๆ”
แล้วปุโรหิตเฒ่าก็ลดดาบลงจากลำคอของพระมเหสีเก็บเข้าฝัก ราชาอัคนีรอจังหวะอยู่แล้วก็กระซิบสั่งว่า “ลงมือได้”
พลัน! ก็เกิดลมพายุหนุนรุนแรง พัดรอบผู้ถูกจับกุมตัวทั้งสี่คน
“เฮ้ย!…ลมอะไรวะ!?” ทหารแตกตื่นระส่ำระส่าย กระแสลมรุนแรงขนาดสามารถฉุดกระชากให้ปลิวขึ้นไปบนฟ้าได้ พวกทหารรีบก้มตัวลงแนบพื้นเอามือป้องหน้าป้องตากันฝุ่น แล้วลมพายุก็แยกตัวออกเป็นสองสาย สายหนึ่งยังคงหมุนวนรอบคนทั้งสี่เอาไว้พร้อมกับสายลมนั้นบาดเชือกที่มัดตัวทั้งสี่คนจนขาดสะบั้น ส่วนอีกสายหนึ่งก็หมุนคว้างพุ่งตรงไปบนป้อมทันที
“เฮ้ย!…ลมอะไรกันวะ!?” ปุโรหิตมหินธาตกใจ รีบยกแขนบังฝุ่นไม่ให้เข้าตา แล้วกระแสลมหมุนก็พัดกระชากหอบเอาพระมเหสีพิมพกาลอยขึ้นไปด้านบน “ว๊าย!”
“เฮ้ย!” ปุโรหิตตกใจ! รีบคว้าตัวพระมเหสีเอาไว้ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว สายลมหอบพระมเหสีลอยไปหาเจ้าชายวัชระ วายุยื่นมือไปรับพระมเหสี
“ขอประทานอภัยพะย่ะค่ะพระมเหสี” เขาทูลก่อนจะถูกเนื้อต้องตัวพระมเหสีแล้วก็ประคองนางให้ยืนดีๆ
เจ้าชายวัชระโผเข้ากอดพระมารดาทันที “เสด็จแม่! ทรงเจ็บตรงไหนบ้างไหมพะย่ะค่ะ?”
“วัชระ! ลูกแม่…ฮือๆๆ” พระมเหสีกอดพระโอรสแน่น น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างดีใจ ปุโรหิตมหินธาเสียท่าถูกชิงตัวพระมเหสีไปได้ก็คลั่งแค้นใจยิ่งนัก ตะโกนสั่งเสียงเหี้ยมว่า “ทหาร! ฆ่าพวกมันให้หมด”
ทหารทั้งหมดต่างกรูเข้าไปล้อมเจ้าชายวัชระกับผู้ติดตาม ราชาอัคนีมองทหารเหล่านั้นดั่งมดปลวก
“วายุ เจ้าคอยคุ้มครองพระมเหสีกับเจ้าชาย ส่วนปฐพีเจ้าจัดการกับพวกทหาร ข้าจะไปจัดการกับเจ้าปุโรหิตเอง” เขาสั่งแล้วเหาะลอยขึ้นไปบนป้อม พริบตาเดียวก็ไปยืนต่อหน้าปุโรหิตเฒ่าอย่างสง่างามน่าเกรงขาม ปุโรหิตมหินธาพอได้เห็นหน้าคนที่เหาะขึ้นมาก็ตกใจ! “ราชาอัคนีแห่งหิรัญคีรี!”
น้ำเสียงสั่นอย่างเกรงกลัวบารมีของราชาแห่งหิรัญคีรี
“ยังจำข้าได้หรือเจ้าปุโรหิต?” ราชาอัคนีถามน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม พลางหรี่ตาจ้องดุจพยัคฆ์จ้องเหยื่อ
“เอื๊อก…” ปุโรหิตมหินธาลอบกลืนน้ำลายพลางมองหาทางหนีทีไล่ เพราะรู้ตัวดีว่าไม่อาจจะสู้กับราชาแห่งหิรัญคีรีได้ ขืนสู้ก็ตายแน่!
แล้วปุโรหิตเฒ่าก็ตะโกนก้องว่า “พี่มหิศวร…ช่วยข้าด้วย—”
พลัน! ก็มีควันสีดำพวยพุ่งขึ้นจากพื้นล้อมรอบร่างของปุโรหิตมหินธาเอาไว้ พอควันสีดำจางหาย…ปุโรหิตเฒ่าก็อันตรธานหายไป
“ฮึ่ม! ข้าประมาทไปหน่อย มันจึงหนีรอดไปได้” ราชาอัคนีจ้องพื้นว่างเปล่าตรงหน้าอย่างเจ็บใจ
หลังจากราชาอัคนีและเจ้าชายวัชระพร้อมกับสองขุนพลไปแล้ว แพรพรรณและมณีรัตนาก็ถูกขุนท้าวแจ่มศรีเชิญไปอาบน้ำอาบท่าแล้วก็กินข้าวกินปลา พอกินข้าวเสร็จแล้วทั้งสองก็เดินไปนั่งรอฟังข่าวที่ศาลากลางน้ำ
“พี่พรรณ พวกเราจะทำอย่างไรต่อไปล่ะจ๊ะ?” มณีรัตนาถามแล้วก็ทำหน้าเศร้า “ข้าอยากกลับบ้าน ข้าคิดถึงเสด็จพ่อเสด็จแม่”
“โธ่…อย่าทำหน้าเศร้าอย่างนั้นซิจ๊ะน้องรัตนา พวกเราต้องได้กลับบ้านแน่จ้ะ เพียงแต่ตอนนี้รอให้สงครามมันสงบลงก่อนนะจ๊ะ” แพรพรรณปลอบ แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่า “เออ…จริงซิน้องรัตนา แล้วพวกเราควรจะไปทางไหนต่อล่ะจ๊ะ? จู่ๆ ท่านพญานาคก็พาพวกเรามาที่นี่ พี่ก็เลยหลงทิศซะแล้วล่ะ น้องรัตนาพอจะรู้ไหมจ๊ะ?”
เธอมองหน้าผู้ร่วมทางตัวน้อยอย่างรอคำตอบ
“อ๋อ…รู้จ้ะพี่พรรณ” มณีรัตนาตอบ แพรพรรณถอนหายใจอย่างโล่งอก “เฮ้อ…”
“ขณะนี้พวกเราอยู่ที่พนมนคร” มณีรัตนาบอกพลางใช้นิ้วจิ้มน้ำในจอกมาวาดแผนที่บนตั่ง “อมรานครอยู่ทางทิศพายัพของพนมนครจ้ะ ก่อนจะถึงอมรานครพวกเราจะต้องผ่านจันทรานครก่อนจ้ะ” เด็กหญิงชี้บอก แพรพรรณมองแผนที่บนตั่งพยายามจดจำให้ขึ้นใจ เอาล่ะ…อย่างน้อยตอนนี้เธอก็รู้แล้วว่าควรจะไปทางทิศไหน เหลือก็แค่รอให้สงครามจบลงเท่านั้น
“เฮ้อ…ไม่รู้ว่าป่านนี้พวกนั้นจะเป็นยังไงมั่งนะ” เธอพึมพำอย่างกังวลใจ พลอยทำให้มณีรัตนากังวลใจไปด้วย พวกบ่าวไพร่ก็เหมือนกัน ต่างกังวลใจกระวนกระวายจนไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไร เฝ้าเดินวนเวียนรอฟังข่าวอยู่หน้าเรือนกันสลอน
พลัน! เสียงฝีเท้าม้าก็ดังขึ้น ทำให้ทั้งสองหันไปมองทางต้นเสียง
“พี่พรรณ…เสียงม้า! พวกเรารีบไปดูกันเถอะจ้ะ” มณีรัตนาบอกอย่างตื่นเต้น
“อื้ม…” แพรพรรณพยักหน้า แล้วทั้งสองก็ผุดลุกอย่างว่องไวจับมือกันไว้ แล้วก็พากันเดินแกมวิ่งไปที่หน้าเรือน
“ชนะแล้ว! เจ้าชายทรงชนะแล้ว!” เสียงตะโกนดังลั่น
“เฮ้!” บรรดาบ่าวไพร่ นางกำนัลต่างไชโยโห่ร้องดีใจกันยกใหญ่
“พี่พรรณ เจ้าชายทรงชนะจ้ะ ไชโย!ๆๆๆ” มณีรัตนากระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
“เฮ้อ…สงครามจบซะที” แพรพรรณถอนหายใจโล่งอก แล้วก็นึกถึงทั้งสี่คน “หวังว่าคงไม่มีใครเป็นอะไรหรอกนะ”
หลังจากนั้นเจ้าชายวัชระก็ส่งกองทหารพร้อมกับเสลี่ยงไปรับพระบิดาเข้าวัง แพรพรรณกับมณีรัตนาจึงได้ติดตามไปด้วย ระหว่างเดินทางเข้าวังก็ได้ยินเสียงร่ำลือถึงกิตติศัพท์ความเก่งกล้าของราชาแห่งหิรัญคีรีต่างๆ นานา
บ้างก็ว่าเพียงแค่ทรงตวาด…เจ้าปุโรหิตชั่วก็กลัวหัวหดจนต้องรีบหนี
บ้างก็ว่าทรงสู้รบกับทหารทั้งกองทัพเพียงพระองค์เดียว
บ้างก็ว่าทรงสังหารเจ้าปุโรหิตจนแหลกละเอียดเป็นผุยผง
ฯลฯ และอีกต่างๆ นานา จนแพรพรรณได้แต่นึกในใจอย่างขำๆ ว่า ‘สรุปว่ากำลังพูดถึงคนหรือยอดมนุษย์กันแน่น้า…’
หลังจากนั้นแพรพรรณและมณีรัตนาก็ได้เข้าเฝ้าพระราชาและพระมเหสีแห่งพนมนครพร้อมกับเหล่าข้าราชบริพาร ราชาแห่งพนมนครนั่งพิงหมอนบนบัลลังก์เพราะยังบาดเจ็บสาหัส พระมเหสีก็คอยอยู่เคียงข้างตลอดเวลา เสียงกราบทูลรายงานสถานการณ์ทำให้แพรพรรณได้รับรู้เพิ่มเติมว่า ราชาอัคนีและเจ้าชายวัชระกำลังยุ่งอยู่กับการสอบสวนพวกที่ร่วมมือกับปุโรหิตมหินธาที่คุกหลวง หลังจากนั้นแพรพรรณและมณีรัตนาก็ถูกพาไปพักที่เรือนรับรองหลวงในฐานะพระสหายของเจ้าชายวัชระ
ภายในถ้ำแห่งหนึ่งกลางป่าหิมพานต์ ปุโรหิตมหินธาปรากฎกายขึ้นท่ามกลางกลุ่มควันสีดำ พอเห็นพี่ชายของตัวเองเขาก็เรียกหาอย่างยินดี “พี่มหิศวร”
ร่างกำยำถลันเข้าหาพี่ชายซึ่งนั่งอยู่บนแท่นหินหน้าเทวรูปเจ้าแม่กาลี แต่แล้วเขาก็กระเด็นออกเพราะถูกแรงผลักมหาศาลกระแทกใส่ พลั่ก! “โอ๊ย!”
Chapter 10
ตกน้ำ!
“มหินธา! เจ้าคนเขลาเบาปัญญา หากเจ้าไม่ใช่น้องของข้าล่ะก็…ข้าคงฆ่าเจ้าเสียให้หายแค้น!” มหิศวรตวาดลั่น หน้าตาถมึงทึง แววตาเกรี้ยวกราดดุดัน
“พี่มหิศวร ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วยเถิด” มหินธาละล่ำละลักพูด ตัวสั่นเทารีบคลานเข้าไปกอดขาพี่ชาย มหิศวรมองน้องชายอย่างคลั่งแค้น “ข้าส่งเจ้าไปรับใช้ไอ้ราชาพนมไพศาลเพื่อให้เจ้าหาโอกาสขโมยมณีนพเก้าจากมัน ข้าอุตส่าห์ช่วยเจ้าทุกอย่าง ช่วยขจัดขวากหนามต่างๆ ให้แก่เจ้า จนเจ้าได้เป็นถึงปุโรหิต อีกเพียงแค่นิดเดียวแท้ๆ เจ้าก็จะสามารถขโมยมณีนพเก้าจากมันได้แล้ว แล้วเหตุใดเจ้าจึงกระทำนอกเหนือคำสั่งของข้า ก่อการกบฎยึดอำนาจ แล้วดูซิ! ทุกอย่างพังพินาศหมดแล้ว!”
มหินธาตัวสั่นงันงกรีบพร่ำขอโทษ “ข้าขออภัย ข้าผิดไปแล้วพี่มหิศวร ทั้งหมดเป็นเพราะไอ้หมื่นหาญจ้ะพี่ มันยุยงให้ข้าทำเช่นนี้จ้ะ มันว่าหากข้าเป็นราชาแล้ว ข้าก็จะได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งมณีนพเก้าที่พี่ต้องการด้วยจ้ะ”
เขารีบโยนความผิดไปให้ผู้อื่น ขอเพียงแค่พี่ชายให้อภัย ต่อให้ต้องกล่าวโทษใครเขาทำได้
“ไอ้น้องโง่เขลา!” มหิศวรตวาดใส่พร้อมกับสะบัดขาออกจากการเกาะกุมของน้องชาย พร้อมกับใช้ขุมพลังมหาศาลยกร่างของมหินธาขึ้นไปลอยคว้างอยู่กลางอากาศ
“เหวอ…พี่มหิศวร…ได้โปรดปล่อยข้าลงไปเถิด ข้ากลัวแล้ว อย่าทำอะไรข้าเลย ได้โปรด…” มหินธาร้องลั่น ไหว้ประหลกๆ อย่างหวาดกลัว มหิศวรตวัดมือขึ้นๆ ลงๆ ทำให้ร่างของมหินธาลอยขึ้นๆ ลงๆเช่นกัน
“เหวอ…พี่มหิศวร! ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิด” มหินธาพร่ำขออภัย มหิศวรตวาดใส่อย่างโกรธจัด “ไอ้น้องโง่!…แล้วเป็นเช่นไรล่ะห๊า! เจ้าจะฆ่าไอ้ราชาพนมไพศาลกับเจ้าชายก็ยังทำพลาด ถึงเจ้าฆ่าพวกมันได้ เจ้าคิดหรือว่าราชาอัคนีแห่งหิรัญคีรีจะปล่อยให้เจ้ารอดไปได้ มันเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเจ้าชายวัชระมันจะต้องตามล้างแค้นให้น้องร่วมสาบานของมันแน่ ถ้าหากว่าข้าต้องการยึดอำนาจเป็นราชาแห่งพนมนคร ข้าคงกระทำไปนานแล้ว ไม่ต้องยุ่งยากส่งเจ้าไปเป็นขี้ข้าไอ้ราชาพนมไพศาลหรอก แค่ราชาไร้น้ำยานั่นข้าจะฆ่ามันเสียก็ง่ายเพียงแค่พลิกฝ่ามือ แต่ที่ข้าต้องอดทนรอมาหลายปีเช่นนี้ก็เพราะข้าไม่ต้องการจะสู้รบกับไอ้ราชาอัคนี แค่เจ้าลักมณีนพเก้ามาเสียโดยที่พวกมันจับมือใครดมไม่ได้ ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามแผนอย่างที่ข้าวางไว้ แต่นี่เจ้าทำเสียแผนหมดสิ้นแล้ว เจ้าจะให้ข้าทำเช่นไรกับเจ้าดี มันถึงจะสาสมกับความโง่เขลาเบาปัญญาของเจ้าห๊า! มหินธา!”
มหินธาตัวสั่นงกๆ รีบพร่ำบอกอย่างหวาดกลัว “ขอโอกาสให้ข้าได้แก้ตัวเถิดนะพี่ จะให้ข้าทำอะไรข้ายอมทั้งนั้น ได้โปรดอภัยให้ข้าเถิด พี่มหิศวรอภัยให้ข้าด้วยเถิดนะพี่จ๋า”
มหิศวรมองน้องชายอย่างสมเพช “เห็นแก่ที่เจ้าเป็นน้องของข้า ข้าจะอภัยให้เจ้าสักครั้ง แต่เจ้าจะต้องกลับไปหาทางลักมณีนพเก้ามาให้ได้ หากเจ้าทำไม่สำเร็จ…ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งเสีย”
แล้วเขาก็ปล่อยน้องชายลงสู่พื้น พลั่ก!
“โอ๊ย!” มหินธากระแทกพื้นจุกจนร้องไม่ออก แล้วมหิศวรก็หันไปหยิบไม้เท้าสีดำสนิทจากแท่นบูชาเจ้าแม่กาลีพลางชี้ไม้เท้าไปที่ร่างของน้องชาย “ข้าจะแปลงกายให้เจ้าเป็นนางกำนัลเพื่อที่เจ้าจะได้ลอบเข้าไปในวังได้อย่างสะดวก”
ทันใดนั้นเองก็ปรากฎกลุ่มควันสีดำลอยออกมาจากปลายไม้เท้าแล้วพุ่งเข้าหาร่างของมหินธาทันที ครั้นพอควันสีดำจางลงก็ปรากฎร่างของนางกำนัลสูงวัยแทนที่ร่างกำยำของมหินธา มหิศวรมองร่างนั้นอย่างพอใจพลางพูดอย่างเหี้ยมโหดว่า “หากเจ้ายังทำพลาดอีก ข้าจะฆ่าเจ้าซะ…จงจำไว้ให้ดี ไอ้น้องโง่เขลา!”
มหินธาไหว้ประหลกๆ ละล่ำละลักรีบพูดว่า “ข้าจะไม่ทำพลาดอีกแล้วจ้ะพี่ ข้าจะเอามณีนพเก้ามาให้พี่ให้จงได้จ้ะ”
แล้วมหิศวรก็หันไปหยิบห่อผ้าสีดำจากหน้าแท่นบูชามายื่นให้น้องชายพลางบอกว่า “นี่คือผงนิทรา หากเจ้าสบโอกาสเมื่อไหร่เจ้าจงเอาผงนิทรานี้โรยใส่กองไฟ ผู้ใดสูดดมควันจากผงนี้เข้าไปมันก็จะหลับไปทันที”
“จ้ะพี่” มหินธายื่นมือไปรับห่อผ้าแล้วรีบเอาเหน็บเอวไว้ แล้วมหิศวรก็ชี้ไม้เท้าไปที่ร่างของมหินธาอีกครั้ง “ข้าจะแบ่งพลังพระเวทให้เจ้าไว้สักเล็กน้อยก็แล้วกัน”
แล้วควันสีดำก็พวยพุ่งออกจากปลายไม้เท้าลอยละลิ่วพุ่งตรงเข้าไปในตัวของมหินธาทันที มหินธาเกร็งกระตุกประดุจถูกไฟฟ้าช็อตไปทั้งร่าง “อึก!…อึก!…”
พอมหิศวรลดไม้เท้าลง มหินธาก็ทรุดลงไปกองกับพื้นทันที ตุบ!
แล้วมหิศวรก็พูดเสียงเหี้ยมว่า “เจ้าไปได้แล้ว จำเอาไว้ให้ดี…หากเจ้าทำไม่สำเร็จ…เจ้าตาย!”
มหินธารีบยกมือไหว้ประหลกๆ พร้อมกับพูดว่า “จ้ะพี่ ข้าจะไม่ทำให้พี่ผิดหวังอีกแล้วจ้ะ”
มหิศวรโบกมือไล่อย่างเอือมระอา “รีบๆไปได้แล้ว”
มหินธารีบร่ายพระเวท พลัน! ควันสีดำก็พวยพุ่งขึ้นจากพื้นล้อมรอบตัวเต็มไปหมด พอควันจางหาย เขาก็อันตรธานหายไป
ณ เรือนรับรองหลวง
แพรพรรณกำลังเลือกเก็บดอกบัวกับมณีรัตนาที่ท่าน้ำริมสระบัวข้างเรือนรับรองหลวง มณีรัตนาชี้ไปที่ดอกบัวหลวงสีชมพูซึ่งกำลังแย้มกลีบ
“พี่พรรณจ๊ะดอกนั้นด้วยจ้ะ” เด็กหญิงบอกพลางรับดอกบัวจากหญิงสาวมาถือไว้ พอส่งดอกบัวให้มณีรัตนาแล้วแพรพรรณก็หันไปเอื้อมเก็บดอกบัวดอกที่เด็กหญิงชี้ มณีรัตนาอยากจะช่วยเก็บบ้างจึงนั่งคุกเข่ากับพื้นกระดานท่าน้ำแล้วเอื้อมมือไปหมายจะเด็ดดอกบัวที่กำลังแย้มบานอยู่ตรงหน้า แพรพรรณเห็นเข้าพอดีก็บอกว่า “น้องรัตนาเดี๋ยวตก…”
เธอพูดยังไม่ทันขาดคำ เด็กหญิงก็พลัดตกจากท่าน้ำ “ว๊าย!”
ตูม! ร่างน้อยกลมป้อมตกลงไปในน้ำทันที
“น้องรัตนา!” แพรพรรณตกใจ รีบกระโดดลงไปช่วย ตูม!
“พี่พรรณช่วยด้วย!” มณีรัตนาร้องเสียงหลงตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ พลัน! ก็ปรากฏแสงสีเขียวมรกตรอบๆ ตัวเด็กหญิง แล้วรัศมีสีมรกตนั้นก็แผ่ออกกว้างดันมวลน้ำให้แยกตัวจากร่างน้อยกลมป้อมที่กำลังตะเกียกตะกายอย่างตกใจ
“เอ๊ะ!” ทั้งมณีรัตนาและแพรพรรณมองปรากฎการณ์ประหลาดนั้นอย่างฉงน แล้วร่างน้อยกลมป้อมก็หล่นตุบ! ลงไปนั่งจมโคลนก้นสระ
“อ่ะ! อะไรกันนี่!?” แพรพรรณตกใจ พอตั้งสติได้เธอก็รีบแหวกว่ายเข้าไปหาเด็กหญิง พอถึงตัวเด็กหญิง เธอก็มองปรากฎการณ์ประหลาดอย่างงุนงง
“นี่มันอะไรกันเนี่ย!? ทำไมน้ำแหวกเป็นช่องอย่างนี้ล่ะ?” เธอมองไปรอบๆ ตัวมณีรัตนาอย่างประหลาดใจ
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?” มณีรัตนาก็มองไปรอบๆ ตัวเองอย่างงุนงงปนประหลาดใจ
“ข้าว่าพวกเจ้าขึ้นมาก่อนเถิด” น้ำเสียงทุ้มกังวานตรัสขึ้น ทั้งสองตกใจ “อุ๊ย!”
“อุ๊ย!”
พอเงยหน้ามอง ก็เห็นราชาอัคนียืนอยู่บนท่าน้ำ
“อุ๊ย! พระองค์”
“อุ๊ย! คุณ…”
ทั้งสองอุทานพร้อมกัน แล้วราชาอัคนีก็คุกเข่ากับพื้นกระดาน พลางยื่นมือไป
“ส่งมือมาซิ” เขาสั่งพร้อมกับมองเหมือนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ แพรพรรณรีบอุ้มตัวมณีรัตนาส่งขึ้นไป “เอ้า! อึ๊บ!”
มณีรัตนายื่นมือไป ทันทีที่มือใหญ่แตะกับมือน้อยกลมป้อม พลัน! ก็ปรากฏรัศมีสีแดงทับทิมจากมือของราชาอัคนี แล้วรัศมีสีแดงทับทิมก็ปะทะกับรัศมีสีเขียวมรกตจากตัวมณีรัตนาลั่น เปรี๊ยะ!
รัศมีสีเขียวมรกตเลือนหายไป พร้อมๆ กับมวลน้ำคืนตัวกลับมาดังเดิม ซู่!
“ว๊าย!” มณีรัตนาตกใจ! คว้ามือใหญ่หมับ!
ราชาอัคนีรีบคว้าร่างน้อยกลมป้อมขึ้นมา แพรพรรณก็ตกใจเช่นกันที่จู่ๆ มวลน้ำก็กลับคืนมา ร่างบางอรชรจึงถูกมวลน้ำกลืนหายไปพร้อมๆ กับเสียงร้องของตัวเอง เธอรีบถีบตัวขึ้นสู่ผิวน้ำตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ซ่า!
เรือนร่างอรชรลอยคอขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ราชาอัคนีโล่งใจที่เห็นหนุ่มน้อยลอยคอขึ้นมา “เฮ้อ…”
แพรพรรณรีบว่ายน้ำโผไปเกาะพื้นกระดานท่าน้ำเอาไว้
“เฮ้อ…นี่มันเกิดอะไรขึ้นละเนี่ย” เธอพึมพำกับตัวเอง
“เจ้าก็ขึ้นมาเถอะ” ราชาอัคนีบอก เขาวางเด็กหญิงลง จากนั้นก็ยื่นมือไปให้หนุ่มน้อย แพรพรรณไม่ยอมจับมือเขา เพราะยังจำภาพที่มือใหญ่เปล่งแสงสีแดงออกมาได้ติดตา เธอมองจ้องมือข้างนั้นอย่างเกรงๆ แล้วเธอก็ใช้สองแขนโหนตัวขึ้นไปนั่งบนท่าน้ำ ตุบ!
ราชาอัคนีหดมือกลับ พลางแย้มยิ้มบางๆ ให้หนุ่มน้อย มณีรัตนาโผเข้าไปหาทันทีแพรพรรณทันที
“พี่พรรณ เหตุใดน้ำจึงแหวกออกเช่นนั้นล่ะจ๊ะ?” เด็กหญิงถามอย่างงุนงง
“เอ่อ…” แพรพรรณเองก็งงเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง ราชาอัคนีเห็นหนุ่มน้อยส่ายหน้า เขาจึงบอกว่า “ที่น้ำแหวกออกได้เป็นเพราะอิทธิฤทธิ์แห่งนาคราช”
ทั้งสองได้ยินเช่นนั้นก็นึกถึงเกล็ดนาคราชที่ได้รับมา
“อ๋อ…หม่อมฉันเข้าใจแล้วล่ะเพคะ” มณีรัตนาพยักหน้ารับรู้แล้วก้มลงมองฝ่ามือตัวเอง “เป็นเพราะเกล็ดนาคราชนี่เอง”
ราชาอัคนีมองที่ฝ่ามือเล็กกลมป้อมอย่างสงสัย แล้วถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงมีเกล็ดนาคราชล่ะแม่หนูน้อย?”
มณีรัตนาเงยหน้าขึ้นแล้วก็ทูลเล่าว่า “เกล็ดนาคราชนี้ ท่านมธุราชนาคาเป็นผู้มอบให้หม่อมฉันเพคะ”
“อืม…เป็นเช่นนี้เองรึ” ราชาอัคนีตรัสแล้วก็คิดในใจว่า ‘สองคนนี่เกี่ยวข้องกับนาคราชเช่นไรหรือข้าสงสัยจริง?’
แพรพรรณลุกขึ้นยืนแล้วก็รีบกราบทูลว่า “ขอบพระทัยเพคะที่ทรงช่วยน้องรัตนา”
“พวกเจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ข้าตกใจยิ่งนักที่เห็นแม่หนูน้อยตกน้ำ สระบัวนี้แม้จะไม่ลึกมากแต่สำหรับเด็กตัวเล็กๆ อย่างแม่หนูนี่อันตรายยิ่งนักเชียว” ราชาอัคนีตรัสพลางลูบหัวเด็กหญิงอย่างเอ็นดู แล้วว่า “พวกเจ้าเก็บดอกบัวจะเอาไปทำอะไรหรือ?”
เขามองดอกบัวที่หล่นกระจัดกระจาย
“หม่อมฉันจะเก็บไปใส่แจกันในห้องเพคะ” มณีรัตนากราบทูลแล้วก็ก้มลงเก็บดอกบัวที่หล่นอยู่บนพื้นกระดานขึ้นมา แพรพรรณก็ก้มลงช่วยเก็บอีกคน ครั้นพอเธอยืดตัวขึ้น ภาพหนุ่มน้อยหน้าหวานถือดอกบัวไว้เต็มอ้อมแขนก็สะกดราชาอัคนีให้ตะลึงต่อความงามพิสุทธิ์นั้น
พลัน! ภาพหนึ่งก็วูบขึ้นมาในใจ หญิงสาวร่างบางอรชร…ผมดำขลับยาวสยายเต็มแผ่นหลัง…สวมอาภรณ์แปลกตา…ถือดอกไม้ไว้ในมือข้างหนึ่ง
ดวงตาคมกล้าจ้องมองใบหน้าหนุ่มน้อยเขม็ง ‘อืม…ใบหน้าเช่นนี้ช่างเหมือนกันเหลือเกิน เจ้าหนุ่มคนนี้ช่างเหมือนสตรีนางนั้นยิ่งนัก…’
ความคิดหยุดลงเมื่อเสียงหวานใสถามว่า “เอ่อ…ทำไมฝ่าบาททรงมองหม่อมฉันแบบนี้ล่ะเพคะ?”
ดวงตาคู่สวยสบตากับดวงตาคมกล้าอย่างสงสัย ‘โหย…จ้องเอาๆ นี่จะจ้องอีกนานไหมอ่ะ เอ…หรือว่าหน้าฉันเปื้อนโคลนล่ะมั้ง’
เธอคิดในใจ จนลืมนึกไปว่าเมื่อกี้นี้เธอลงไปลอยคออยู่ในน้ำแต่พอขึ้นมา กลับไม่เปียกน้ำซักหยด มณีรัตนาเองก็เช่นกัน เนื้อตัวเสื้อผ้าแห้งสนิท ราชาอัคนีรีบละสายตาจากหนุ่มน้อยพลางตรัสว่า “ไม่มีอะไรหรอก แค่พวกเจ้าปลอดภัยไม่เป็นไรก็ดีแล้ว พวกเจ้าเอาดอกบัวไปเก็บก่อนเถอะ แล้วจงตามข้าไปเข้าเฝ้าราชาพนมไพศาลด้วยกันเถิด เมื่อสักครู่นี้ทรงมีรับสั่งให้พวกเจ้าไปเข้าเฝ้า”
“อ๋อค่ะ” แพรพรรณพยักหน้ารับแล้วก็นึกสงสัยในใจว่า ‘เอ…เรียกไปพบทำไมนะ?’
แล้วเธอก็หันไปบอกกับมณีรัตนาว่า “น้องรัตนาจ๊ะ พวกเรารีบเอาดอกบัวไปเก็บกันเถอะ”
“จ้ะพี่พรรณ” มณีรัตนาพยักหน้าแล้วก็ย่อตัวลงถวายความเคารพราชาอัคนี จากนั้นร่างเล็กกลมป้อมก็วิ่งไปทันที แพรพรรณเดินตามไป แต่อารามรีบร้อนทำให้เธอเผลอเหยียบน้ำที่กระเซ็นเปียกบนพื้นกระดาน เรือนร่างบางอรชรจึงลื่นพรึ่ด!
“อ่ะ!” เธอตกใจหลับตาปี๋
“ระวัง!” ราชาอัคนีถลันเข้าช่วย ทันทีที่แตะต้องถูกตัวหนุ่มน้อยก็เกิดรัศมีสีเขียวมรกตปะทะกับรัศมีสีแดงทับทิม เปรี๊ยะ!
แล้วรัศมีสีเขียวมรกตก็จางหายไป พร้อมกันนั้นท่อนแขนแข็งแกร่งก็รัดหมับรอบเอวเล็กบางแล้วกระชากเรือนร่างเล็กผอมบางพยุงไว้ไม่ให้ล้มหงายหลังได้ แผ่นหลังนวลปะทะกับอกกว้าง
“อุ๊ย!”
“เจ้าไม่เป็นไรนะ” ราชาอัคนีถามพร้อมกับก้มลงมองหนุ่มน้อยในอ้อมแขน แพรพรรณตกใจรีบส่ายหน้าตอบ “อ่ะ…ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะ”
ด้วยความตกใจทำให้เธอเผลอตัวพูดอย่างเคยชิน พอตั้งสติได้เธอก็รีบเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนของราชาหนุ่ม จังหวะที่รีบร้อนเบี่ยงตัวออกทำให้ท่อนแขนแข็งแกร่งกระทบกับหน้าอกนุ่ม
“หืม…” ราชาอัคนีรู้สึกว่าท่อนแขนของเขาไม่ได้กระทบกับแผ่นอกราบเรียบดังเช่นที่ควรจะเป็น กลับรู้สึกว่าแขนกระทบกับเนื้อนุ่มอวบใหญ่
“อุ๊ย!” แพรพรรณตกใจ เธอรีบก้มหน้าหลบตาวิ่งจากไป ราชาอัคนีมองตามหนุ่มน้อยไปอย่างงุนงง “เอ…เมื่อกี้นี้เหตุใดข้าถึงรู้สึกเหมือนว่าแขนของข้ากระทบถูกอกของสตรีได้ล่ะ?”
เขาก้มลงมองแขนตัวเองอย่างแน่ใจว่าความรู้สึกเมื่อกี้นี้ไม่ได้อุปทานไปเองแน่ๆ คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย มองตามร่างของหนุ่มน้อยซึ่งผลุบหายเข้าไปในเรือนรับรองหลวงอย่างหมายมั่นในใจ “ข้าจะต้องรู้ให้ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่?”
แพรพรรณวิ่งเข้าไปในห้องหน้าแดงก่ำ “โอย…หัวใจจะวาย”
ก็ตั้งแต่เกิดมาจนโตเป็นสาว เธอยังไม่เคยแนบชิดกับชายใดเช่นนี้มาก่อน นอกจากคุณพ่อและพี่ชายแล้วก็อย่าหวังเลยว่าจะมีชายคนใดได้ถูกเนื้อต้องตัวเพราะคุณแม่พร่ำสอนนักหน้าให้รักนวลสงวนตัว
“มีอะไรหรือจ๊ะพี่พรรณ?” มณีรัตนาหันไปมองอย่างสงสัยที่เห็นพี่พรรณวิ่งเข้ามา แพรพรรณรีบปฏิเสธ “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะน้องรัตนา”
เธอบอกพลางวางดอกบัวไว้บนตั่งแล้วก็พูดว่า “พี่ว่าพวกเรารีบไปกันเถอะจ้ะ”
มณีรัตนาพยักหน้า “จ้ะ”
จากนั้นทั้งสองคนก็เดินไปเข้าเฝ้าราชาพนมไพศาล
กลางอุทยานหลวง ท่ามกลางสุมทุมพุ่มไม้ดอกหลากสี จู่ๆ ก็ปรากฎควันสีดำพวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน พอควันสีดำจางหายก็ปรากฎร่างของนางกำนัลสูงวัยท่าทางลุกลี้ลุกลน ดวงตาหลุกหลิกกวาดตามองไปรอบๆ อย่างระวังตัว ครั้นพอไม่เห็นใครอยู่ในบริเวณนั้น มหินธาก็เดินออกจากพุ่มไม้แล้วตรงไปยังตำหนักหลวงทันที
“นั่นใครกัน! ท่าทางลับๆ ล่อๆ” ขุนท้าวแจ่มศรีเรียกเสียงดัง มหินธาสะดุ้งโหยง! “โอ๊ะ!”
“เจ้าเป็นใคร ใยจึงมาทำลับๆ ล่อๆ แถวตำหนักหลวง” ขุนท้าวแจ่มศรีจ้องเขม็ง มหินธารีบก้มหน้าหลบตาแล้วพูดกลบเกลื่อนว่า “อุ๊ยตาย…ข้าตกใจหมดเลยเจ้าค่ะ ที่แท้ก็ท่านขุนท้าวแจ่มศรีคนงามนี่เอง”
แล้วเขาก็รีบบอกว่า “คือพระมเหสีใช้ให้ข้ามาเก็บดอกไม้เจ้าค่ะ”
ขุนท้าวแจ่มศรียิ่งจ้องเขม็ง “เจ้าเป็นนางกำนัลของพระมเหสีหรือ ไยข้าจึงไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แล้วเสียงของเจ้าไยเป็นเช่นนั้นเล่า ช่างแหบห้าวดุจเสียงบุรุษยิ่งนัก”
มหินธารีบเผ่น “ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าค่ะท่านขุนท้าว ประเดี๋ยวพระมเหสีจะทรงรอนานเจ้าค่ะ”
เขารีบเดินลัดเลาะขึ้นตำหนักไป ขุนท้าวแจ่มศรีมองตามอย่างสงสัย “เอ…พระมเหสีทรงรับนางกำนัลใหม่หรือ เหตุใดข้าจึงไม่เคยรู้เลย แล้วนางกำนัลหน้าตาอัปลักษณ์สุ้มเสียงก็ห้าวดั่งบุรุษเช่นนี้ทรงรับเข้ามาได้เช่นไรกัน ช่างเป็นนางกำนัลที่อัปลักษณ์ยิ่งนัก”
ส่วนมหินธาพอหลบขึ้นไปบนตำหนักได้ก็รีบหาที่ซ่อนตัวพลางลอบมองว่าขุนท้าวตามมาหรือไม่
“ฮึ่ม…อีแก่นี่เสือกสอดรู้สอดเห็นจริงเชียว” เขาคำรามลอดไรฟันพร้อมกับแอบมองอย่างลุกลี้ลุกลน
“ถวายบังคมพะย่ะค่ะเจ้าพี่” น้ำเสียงของเจ้าชายวัชระดังขึ้นหน้าตำหนักทำให้มหินธารีบหลบขวับ!
“ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท” ขุนท้าวแจ่มศรีกราบทูล
“ไม่ต้องมากพิธี ข้าไม่ชอบ” ราชาอัคนีตรัสพลางทำหน้าเบื่อหน่าย แพรพรรณและมณีรัตนารีบทำความเคารพเจ้าชายวัชระ “ถวายบังคมเพคะ”
แล้วทั้งสองก็หันไปไหว้ขุนท้าวแจ่มศรี ขุนท้าวรับไหว้แล้วก็ยิ้มให้ทั้งสองคน ราชาอัคนีเห็นว่าทักทายกันจบแล้วก็เร่งว่า “รีบไปเข้าเฝ้าองค์ราชาและพระมเหสีเถิด ข้ายังมีกิจต้องเร่งสะสางอีกมาก”