Skip to content

Ebook แบล็คเมล์ไฮโซ เล่ม 1

Bm1

แบล็คเมล์ไฮโซ

Chapter 1

จู่ๆ ก็ถูกล็อคตัวไปกินข้าวด้วย

นิยายเรื่องนี้แยกฉากอีโรติก(18+) มาจากเรื่อง Battle Sun ค่ะ เชิญอ่านเรื่องเต็มๆ ได้ในนิยาย Battle Sun ค่ะ

พอถึงนครวัดอารยะก็มุ่งตรงไปยังจุดที่เกิดเหตุฟ้าผ่า นักท่องเที่ยวก็ยังเนืองแน่นเหมือนเช่นเคย เขาเดินไปยืนตรงจุดที่เห็นน้องสาวเป็นครั้งสุดท้าย ภาพที่น้องยืนแอ็คท่าถ่ายรูปยังจำติดตา

“ยัยวา” เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งเอามือแตะพื้นน้ำตาหยด

“ขอโทษค่ะ คุณเป็นอะไรรึเปล่าคะ?” เสียงผู้หญิงถามเป็นภาษาอังกฤษพร้อมกับเอื้อมมือมาแตะบ่า

อารยะเงยหน้าขึ้นมอง เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งก้มตัวมาถามอย่างมีน้ำใจ เขารีบปาดน้ำตาแล้วก็บอกเป็นภาษาอังกฤษว่า “ผมไม่เป็นอะไรครับ ขอบคุณครับ”

ผู้หญิงคนนั้นยิ้มแล้วก็ยืดตัวขึ้น พลัน! เธอก็ทำสมุดตก “อุ้ย!”

อารยะเก็บให้ เขาชะงักนิดนึงเมื่อเห็นตัวอักษรภาษาไทย เขายืนขึ้นแล้วก็ยื่นสมุดคืนให้เธอ

“ของคุณครับ” เขาพูดเป็นภาษาไทย

ผู้หญิงคนนั้นชะงัก!

“คนไทยเหรอคะ?” เธอถามแล้วก็ยิ้มพลางรับสมุดคืนไป

“ครับ” อารยะพยักหน้า

“ ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้มให้แล้วก็เดินจากไป

อารยะมองตามแล้วก็ถอยไปนั่งหลบแดดริมสระบาราย พลางล้วงโทรศัพท์ออกมาเปิดดูรูปทิวา เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วก็จ้องรูปในโทรศัพท์ “พี่เชื่อว่าแกจะต้องกลับมา”

เขานั่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งถึงเวลาปิด เขาจึงลุกขึ้นเดินไปเรียกแท็กซี่กลับโรงแรม

พอถึงโรงแรมเขาก็นอนแผ่บนเตียง ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งสิ้นจนกระทั่งเห็นไลน์จากตะวันว่า “กินข้าวยังไอ้ยะ อย่ามัวแต่ตามหาทิวาจนลืมดูแลสุขภาพนะโว้ย เป็นห่วงนะ”

เขาพิมพ์ตอบกลับไปว่า “เออ…ขอบใจ”

แล้วเขาก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวโทรสั่งอาหารมากินในห้อง จากนั้นก็เปิดทีวีดูแล้วก็นอนหลับไป

เช้ามืด อารยะตื่นขึ้นมา เขาลุกพรวดอย่างมึนๆ เขาขยับตัวลุกจากเตียงยกมือขึ้นเสยผม พลัน! ผ้ายาวก็พาดหน้าเขา “อะไรวะ?”

เขาลดมือลง ในมือเขามีผ้ายาวเหมือนสายรัดชุดเสื้อคลุมอยู่ในมือ เขามองอย่างฉงนแล้วก็หวนคิดถึงความฝัน

“นี่เราได้เจอยัยวาจริงๆ เหรอ?” เขาถอยไปนั่งจ้องผ้าผืนนั้นเขม็ง มีแต่เรื่องประหลาดทั้งนั้นเลย เขานั่งจ้องผ้าอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งได้ยินเสียงนกร้องแว่วมา เขาหันไปดูที่หน้าต่างเห็นแสงลอดผ้าม่านเขาจึงลุกขึ้นเอาผ้าไปวางไว้บนโต๊ะแล้วก็ลุกไปอาบน้ำแต่งตัว

พอแต่งตัวเสร็จแล้วเขาก็คว้าผ้าผืนยาวใส่กระเป๋ากางเกง แล้วลงไปกินอาหารเช้าจากนั้นก็เรียกแท๊กซี่ไปนครวัด

เมื่อไปถึงนครวัดเขาก็ตรงดิ่งไปตรงจุดที่ทิวาหายตัวไป เขานั่งลงข้างสระบาราย ล้วงเอาผ้าออกมาดู นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยกันมาเที่ยวเหมือนเช่นเคย เขาไม่ได้สนใจใครเลย ยังคงจ้องดูผ้าผืนนั้นอย่างละเอียดลออ

“สวัสดีค่ะ” เสียงทักทายดังขึ้นข้างๆเป็นภาษาไทย

อารยะหันไปมอง เห็นผู้หญิงคนหนึ่งก้มตัวลงมายิ้มให้เขา

“คุณนั่นเอง สวัสดีครับ” เขาทักตอบ

ผู้หญิงคนนั้นนั่งลงกับพื้นห่างจากเขาไปราวเมตรกว่าๆ “พบกันอีกแล้วนะคะ”

“ครับ” อารยะพยักหน้ารับ

“คุณมาเที่ยวเหรอคะ?”

“ครับ”

“ฉันเห็นคุณมานั่งตรงนี้เป็นครั้งที่สองแล้วนะคะ คุณชอบตรงนี้เหรอคะ?”

“ครับ”

แล้วผู้หญิงคนนั้นก็เปิดสมุดออกหยิบดินสอมานั่งสเก็ตรูปอย่างเงียบๆ

อารยะไม่ได้สนใจเธออีก เขาจ้องมองผ้าในมือสลับกับสระบาราย แล้วก็เหม่อมองไปรอบๆเหมือนจะมองหาน้องสาวตัวเองในหมู่ผู้คน

“น้ำสักหน่อยไหมคะ อากาศเริ่มร้อนแล้วนะคะ” ผู้หญิงคนนั้นส่งขวดน้ำให้อารยะ

อารยะหันไปมองพลางยิ้มตอบตามมารยาท “ขอบคุณครับ ไม่เป็นไรครับ”

“คุณชื่ออะไรคะ? ฉันชื่อปรียาค่ะ”

“ผมอารยะครับ” อารยะแนะนำตัวตามมารยาท

ปรียายิ้มแล้วก็ชวนคุยว่า “คุณมาเที่ยวเหรอคะ?”

“ครับ”

“เอ่อ…ผ้านั่นลายสวยจังค่ะ ขอฉันถ่ายรูปหน่อยได้ไหมคะ” ปรียาชี้ไปที่ผ้าในมือเขา

“อ๋อ…ได้ครับ” อารยะส่งผ้าให้เธอ

ปรียารับไปคลี่ดู แล้วก็วางบนสมุด

“เป็นผ้าอะไรคะ? จะว่าเป็นโบว์ผูกผมก็ยาวเกินไปหน่อย ผ้าโอบิของญี่ปุ่นก็ไม่ใช่ แต่ลายสวยจังค่ะ” เธอพูดแล้วก็หยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปเก็บเอาไว้

“ขอบคุณค่ะ” เธอส่งผ้าคืนให้เขา

อารยะรับคืนมาแล้วก็ไม่ได้สนใจเธออีก

ส่วนปรียาก็ดูรูปในมือถือแล้วก็ก้มหน้าก้มตาสเก็ตภาพ เธอใช้ลายผ้าร่างแบบเสื้อผ้าตามจินตนาการไปเรื่อยๆ

อารยะเหลือบมองเธอ พอเห็นภาพที่เธอร่าง เขาก็ตะลึง! มันช่างเหมือนภาพยัยวาในความฝันเหลือเกิน เขาขยับเข้าไปมองใกล้ๆ

ปรียาเหลือบมองพลางยิ้มให้ พอร่างเสร็จเธอก็เอียงสมุดให้เขาดู “คุณคิดว่ายังไงคะ? ฉันจินตนาการจากลายผ้าของคุณน่ะค่ะ”

“คุณจินตนาการเอาเหรอครับ?” อารยะจ้องมองภาพสเก็ตตาไม่กะพริบ

“ค่ะ” ปรียาพยักหน้าแล้วก็พูดว่า “ฉันเห็นลายผ้าแล้วก็คิดถึงเสื้อผ้าสมัยจีนโบราณน่ะค่ะ แต่ฉันลองวาดคร่าวๆ เป็นชุดแซค คุณคิดว่าสวยไหมคะ?”

“ครับ” อารยะพยักหน้า

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

“ขอโทษนะคะ” เธอหยิบโทรศัพท์ออกมารับสาย “สวัสดีค่ะ”

อารยะขยับตัวออกห่าง

“ฉันอยู่ที่นครวัดค่ะ”

เสียงอีกฝ่ายแว่วมาว่า “ครับผมเห็นแล้วครับ ผมมารับคุณไปทานข้าวกลางวันครับ”

แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปยืนด้านหลังปรียา

ปรียาหันไปมอง “อ้าว”

เธอตัดสายแล้วก็ลุกขึ้นยืนคุยกับผู้ชายคนนั้น

“ต้องขอโทษด้วยนะคะคุณภาสกร พอดีว่าฉันมีนัดทานข้าวกลางวันแล้วค่ะ” เธอพูดกับเขาแล้วก็เดินไปยืนข้างอารยะพร้อมกับบอกว่า “นี่คุณอารยะค่ะ”

เธอขยิบตาให้อารยะแล้วก็บอกว่า “คุณอารยะคะนี่คุณภาสกรค่ะ”

เธอจัดแจงแนะนำให้ทั้งสองรู้จักกัน

อารยะทำหน้างงๆ เขาลุกขึ้นยืนยื่นมือไปเชคแฮนด์ตามมารยาท “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

ภาสกรจับมือกับอารยะ “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”

“ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนนะคะคุณภาสกร ไปกันเถอะค่ะคุณอารยะ” ปรียาบอกแล้วก็ฉวยข้อมืออารยะให้เดินตามไป

“ขอตัวก่อนนะครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” อารยะรีบพูดกับภาสกรแล้วก็เดินตามปรียาไป

พอเดินห่างไปได้สักพักปรียาก็หันไปมองข้างหลัง เธอเห็นภาสกรเดินตามมาเธอจึงกระซิบกับอารยะเบาๆว่า “คุณช่วยฉันหน่อยนะคะ ฉันไม่อยากไปกินข้าวกับเขาค่ะ คุณช่วยไปกินข้าวเป็นเพื่อนฉันได้ไหมคะ?”

อารยะเหลือบมองไปข้างหลัง เห็นภาสกรเดินตามมาอยู่ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ผู้หญิงอุตส่าห์เอ่ยปากขอร้องเขาจะใจดำปฏิเสธเธอได้ยังไง

“ผมช่วยคุณก็ได้ครับ แต่นี่คงไม่ใช่รายการลวงผมไปปล้นนะครับ”

ปรียาค้อนขวับ! กระซิบเสียงเขียว “นี่คุณ! ถ้าฉันคิดจะลวงคุณไปปล้นล่ะก็ ฉันเลือกเหยื่อที่ดูรวยๆกว่าคุณไม่ดีกว่ารึไงห๊ะ!”

“ก็ไม่แน่นะครับ คนสมัยนี้ไว้ใจได้ที่ไหน” อารยะตอบพลางก้มลงจ้องหน้าคนข้างกาย

“นี่คุณ! ฉันไม่ทำไรแบบนั้นหรอกนะ เอาเป็นว่ามื้อนี้ฉันเลี้ยงคุณก็ได้ คุณอยากกินร้านไหนคุณเลือกมาฉันจ่ายให้ ขอแค่คุณช่วยไปกินข้าวเป็นเพื่อนฉันหน่อยเท่านั้น” ปรียาบอก

“เอางั้นก็ได้ครับ” อารยะบอก

พอไปถึงหน้าทางเข้า อารยะก็โบกมือเรียกแท็กซี่ แท็กซี่ปราดเข้ามารับทันที

อารยะเปิดประตูให้ปรียา “เชิญครับ”

“ขอบคุณค่ะ” ปรียาก้าวเข้าไปนั่ง

อารยะปิดประตูแล้วก็เดินอ้อมไปเปิดประตูอีกด้าน เขาก้าวเข้าไปนั่งข้างเธอ เขาเหลือบเห็นภาสกรยืนมองอย่างไม่พอใจ เขาปิดประตูแล้วก็สั่งโชเฟอร์เป็นภาษาอังกฤษ

“เยสเซอร์” โชเฟอร์รับคำแล้วก็ขับรถออกไป

“เขาเป็นใครครับ? แล้วทำไมคุณถึงไม่อยากไปกินข้าวกับเขาล่ะครับ?” อารยะถามพร้อมกับหันไปมองหน้าเธอ ก็ผู้ชายคนนั้นท่าทางการแต่งตัวก็ออกจะดูดี หน้าตาก็หล่อเข้าขั้น แล้วทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงปฏิเสธที่จะไปกินข้าวด้วยถึงขนาดต้องลากเขาซึ่งเพิ่งจะรู้จักกันมาเป็นไม้กันหมาแบบนี้?

“เขาชื่อภาสกร เป็นคนที่คุณแม่ของฉันอยากให้แต่งงานด้วย แต่ฉันไม่ชอบเขาค่ะ พูดแค่นี้คุณคงเข้าใจนะคะ” ปรียาบอกน้ำเสียงไม่ชอบใจ

อารยะมองท่าทางของเธอแล้วก็นึกขำ เธอคงจะเกลียดหมอนั่นเอามากๆ ดูท่าทางเธอคงจะดื้อไม่เบานะนี่ เห็นแล้วก็ยิ่งคิดถึงน้องสาว

จนกระทั่งถึงร้านอาหาร พอรถจอดสนิท อารยะก็หยิบเงินจ่ายค่าแท็กซี่ เขาเปิดประตูลงไป พร้อมกับปรียาซึ่งเปิดประตูลงไปตั้งแต่รถจอดแล้ว

“เชิญครับ” อารยะผายมือไปที่ร้านอาหารหรูหราข้างหน้า

ปรียามองแล้วก็บอกว่า “รสนิยมสูงนะคุณ”

เธอบอกน้ำเสียงราบเรียบจนจับไม่ได้ว่าเธอแขวะเขารึเปล่า

“อ้าว…ก็คุณบอกว่าจะเลี้ยงผมไง” อารยะแกล้งทวงสัญญา

“ไม่มีปัญหาค่ะ ฉันพูดคำไหนคำนั้น เชิญค่ะ” ปรียาบอกแล้วก็เดินเข้าไปในร้านอย่างมั่นใจ

อารยะคิดในใจดูท่าทางเธอคงจะเป็นพวกลูกคุณหนูล่ะมั้ง เขาเดินตามเธอไป

พนักงานเปิดประตูต้อนรับ

ปรียาพูดกับพนักงานเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงชัดเป๊ะ

พนักงานพาลูกค้าไปที่โต๊ะด้านในตามที่ลูกค้าต้องการ ปรียานั่งลง พนักงานขยับเก้าอี้ให้แล้วก็หยิบผ้าเช็ดปากปูตักให้

อารยะก็ได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน พนักงานส่งเมนูให้ ปรียารับไปเปิดดูแล้วก็ถามอารยะว่า “คุณจะสั่งไวน์หรือวิสกี้หรือเบียร์ก็เชิญตามสบายนะคะ ไม่ต้องเกรงใจค่ะ”

“ผมไม่ดื่มครับ ขอบคุณ” อารยะบอกแล้วก็หันไปสั่งน้ำผลไม้กับพนักงาน ปรียาก็สั่งเครื่องดื่มกับพนักงาน จากนั้นเธอก็สั่งอาหาร

อารยะเปิดดูเมนูแล้วก็สั่งอาหาร พอสั่งเสร็จเขาก็ยื่นเมนูคืนให้พนักงาน

ปรียาส่งเมนูคืนให้พนักงานแล้วก็ถามอารยะว่า “คุณมาเที่ยวกับใครเหรอคะ?”

“ผมมาคนเดียวครับ แล้วคุณล่ะมาเที่ยวกับใครเหรอครับ?”

“ฉันไม่ได้มาเที่ยวค่ะ ฉันมาหาคุณพ่อคุณแม่ค่ะ” ปรียาบอกแล้วก็ชะงักไปเมื่อพนักงานยกเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ

“อ๋อครับ” อารยะพยักหน้ารับรู้

“คุณคงคิดว่าฉันบ้าที่จู่ๆก็ชวนคุณมากินข้าวด้วยแบบนี้” ปรียาพูดแล้วก็ยกน้ำส้มขึ้นจิบ

“ครับ ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ” อารยะยอมรับตรงๆ แล้วก็พูดเตือนว่า “แต่คุณทำแบบนี้มันเสี่ยงมากเลยนะครับ คุณไม่คิดบ้างเหรอว่าผมอาจจะฉวยโอกาสล่อลวงคุณไปทำมิดีมิร้ายน่ะ”

“ก็อาจจะจริงของคุณ” ปรียาตอบอย่างไม่แคร์

“แล้วนี่คุณทำแบบนี้บ่อยๆรึเปล่า”

“ก็บ่อยมั้งคะ ก็ฉันไม่อยากไปไหนมาไหนกับเขานี่”

“เฮ้อ…” อารยะถอนหายใจอย่างหนักใจ เขาล้วงกระเป๋าหยิบนามบัตรยื่นให้เธอ “นามบัตรผม”

ปรียารับไปดูอย่างงงๆ

“เอาเป็นว่าถ้าคุณต้องการไม้กันหมาอีกเมื่อไหร่ก็โทรมาล่ะกัน ระหว่างที่ผมอยู่ที่นี่ผมยินดีจะเป็นไม้กันหมาให้คุณชั่วคราว” อารยะบอก

ปรียายิ้ม “ขอบคุณค่ะ”

จากนั้นเธอก็หยิบโทรศัพท์มาเมมเบอร์เขาไว้ แล้วเธอก็โทรเข้าเครื่องเขา

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อารยะหยิบออกมาดู

“เบอร์ฉันค่ะ” ปรียาบอกแล้วก็กดตัดสาย อารยะพยักหน้าแล้วก็เมมเบอร์เธอไว้

พนักงานยกอาหารมาเสิร์ฟ จากนั้นทั้งคู่ก็กินอาหารไปคุยกันไปอย่างถูกคอ ปรียารู้สึกถูกชะตากับอารยะจนเธอสามารถคุยกับเขาได้หลายๆเรื่อง

พอกินอาหารเสร็จ อารยะก็ถามว่า “แล้วคุณจะไปที่ไหนต่อเหรอครับ?”

“กลับไปที่นครวัดค่ะ ฉันยังสเก็ตภาพไม่เสร็จน่ะค่ะ”

อารยะพยักหน้ารับรู้ “ผมก็จะไปที่นั่นเหมือนกันครับ”

“คุณดูไม่เหมือนนักท่องเที่ยวเลยนะคะ ฉันเห็นคุณเอาแต่นั่งอยู่ตรงนั้นมาสองครั้งแล้ว” ปรียาบอก

“ผมมาตามหาน้องสาวน่ะครับ น้องสาวผมหายไปที่นั่นครับ” อารยะบอกเสียงเศร้า

“อุ้ยตาย! ขอให้คุณเจอน้องสาวไวๆนะคะ” ปรียาตกใจ

“ขอบคุณครับ” อารยะพยักหน้ารับแล้วเขาก็ถามเธอว่า “คุณอยากได้อะไรเพิ่มอีกไหมครับ?”

“ไม่ค่ะ ขอบคุณค่ะ” ปรียาปฏิเสธ “แล้วคุณล่ะคะ?” เธอถามกลับอย่างมีน้ำใจ

“ไม่ครับ” อารยะตอบแล้วก็พูดว่า “ถ้างั้นผมว่าเราไปกันเถอะครับ”

“ค่ะ” ปรียาพยักหน้ารับ

อารยะกวักมือเรียกพนักงาน พอพนักงานเดินมาเขาก็บอกว่า “เช็กบิลด้วยครับ” เขาบอกเป็นภาษาอังกฤษ

พนักงานรับคำแล้วก็เดินไปที่เคาน์เตอร์

ครู่ต่อมาพนักงานก็เอาบิลมาให้ อารยะรับไปดูแล้วก็หยิบเงินจ่าย ปรียารีบหยิบกระเป๋าดึงเครดิตการ์ดออกมา

Chapter 2

นี่มันทองจริงๆ!

“ไม่ต้องครับ” อารยะพูดเสียงเข้มพลางยกมือห้าม

“แต่ว่าฉันบอกว่าฉันจะเป็นคนเลี้ยงนี่คะ” ปรียาท้วง

“อย่าทำให้ผมขายหน้าซิครับ” อารยะบอกเสียงนุ่ม

ปรียาพยักหน้า “ก็ได้ค่ะ” เธอเก็บเครดิตการ์ด

“ไปกันเถอะครับ” อารยะบอกแล้วก็ลุกไปช่วยขยับเก้าอี้ให้เธอ

“ขอบคุณค่ะ” ปรียาลุกขึ้นยิ้มให้เขา

จากนั้นทั้งสองก็เดินออกจากร้านไปเรียกแท็กซี่กลับไปที่นครวัด

ระหว่างทางปรียาก็ถามถึงน้องสาวที่หายตัวไป อารยะเล่าให้ฟังโดยไม่ปิดบัง

“ไม่น่าเชื่อ!” ปรียาตกใจ

“ครับ คุณอาจจะคิดว่าผมโกหกก็ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจครับ ขนาดตัวผมเองยังไม่เชื่อเลยครับ” อารยะบอกอย่างทำใจ

“ขอโทษค่ะ แต่ฉันเชื่อคุณนะคะ คุณไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องโกหกฉันนี่คะ” ปรียาบอกพลางเอื้อมมือไปจับมือเขาให้กำลังใจ

“ขอบคุณครับ” อารยะพูดอย่างเคยปาก ยิ้มให้เธอ ดูๆไปเธอก็เป็นคนนิสัยดีทีเดียว

พอไปถึงนครวัด ทั้งสองก็ลงจากแท็กซี่แล้วเดินเข้าไปด้านใน อารยะเดินไปนั่งที่เดิมอย่างคอยความหวัง ส่วนปรียาก็นั่งสเก็ตรูปอยู่ข้างๆ

ณ นครวัด ปรียานั่งสเก็ตภาพเสร็จแล้วเธอก็หันไปมองเพื่อนใหม่ เห็นเขาจิ้มๆโทรศัพท์อยู่เธอจึงลุกขึ้นเดินไปมองหามุมใหม่ไว้สำหรับสเก็ตภาพวันพรุ่งนี้

อารยะกำลังกดโทรศัพท์โอนเงินคืนให้ตะวัน เมื่อวานเขาลืมซะสนิทเลย ถึงแม้ตะวันจะไม่ว่าอะไรแต่เขาก็เกรงใจเพื่อน พอโอนเงินเสร็จเขาก็ไลน์บอกให้เพื่อนรู้ โชคดีที่เขาเล่นหุ้นได้เยอะ ไม่งั้นพนักงานบริษัทธรรมดาคนหนึ่งจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าเหมาเครื่องบิน ค่าใช้จ่ายอื่นๆอีกตั้งมากมาย แล้วที่เล่นหุ้นได้เยอะก็เป็นเพราะตะวันอีกเช่นกันที่สอนให้เขาเล่นหุ้นเป็น

เขาเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วก็หันไปมองเพื่อนใหม่ แต่ก็ไม่เห็นเธอนั่งอยู่ตรงนั้นแล้ว “อ้าว”

เขาหันไปมองหารอบๆ แล้วก็เห็นเธอกำลังยืนถ่ายรูปอยู่อีกด้านของบาราย เธอหันมามองเขาแล้วก็เดินอ้อมบารายมา

“ฉันคงต้องกลับแล้วล่ะค่ะ” ปรียาบอกแล้วก็ถามว่า “พรุ่งนี้คุณจะมาที่นี่อีกไหมคะ?”

“มาครับ” อารยะตอบ

“ถ้างั้นพรุ่งนี้คงได้พบกันอีกนะคะ”

“ครับ” อารยะพยักหน้า

ปรียายิ้มให้เขาแล้วก็ก้มลงหยิบสมุดสเก็ตภาพขึ้นมา “สวัสดีค่ะ พรุ่งนี้พบกันค่ะ”

“ครับ สวัสดีครับ” อารยะพูดตอบพลางโบกมือลา

ปรียาโบกมือให้แล้วก็เดินจากไป

อารยะมองตามจนเธอลับตาไปแล้วเขาจึงเดินไปดูรูปสลักนางอัปสรบนฝาผนัง ใจก็เฝ้าคิดถึงแต่น้องสาว เขาภาวนาทุกวินาทีให้ทิวากลับมาเสียที เขายืนมองนางอัปสรอยู่นานเท่าไหร่ไม่รู้

พอรู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงประกาศตามสายว่านครวัดกำลังจะปิดให้บริการแล้ว เขาหันไปมองสระบารายแล้วก็พึมพำว่า “พรุ่งนี้พี่จะมาอีกนะยัยวา พี่จะมาจนกว่าแกจะกลับมาหาพี่”

แล้วเขาก็เดินจากไป

พลัน! กลางสระบารายก็ปรากฏเงาเลือนรางคล้ายพยับแดดของเทพีจันทรา “เจ้าจะได้น้องเจ้ากลับคืนไปก็ต่อเมื่อนครจันทรากลับคืนสู่สันติสุขเช่นเดิม”

แล้วเงานั้นก็พลันเลือนหายไป

อารยะเดินไปเรียกแท็กซี่กลับโรงแรม พอไปถึงโรงแรมเขาก็เข้าห้องพักแล้วก็เผลอหลับไป เขาหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ เขาสะดุ้งตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ออกมารับสาย “สวัสดีครับ”

“เออหวัดดีไอ้ยะ” เสียงตะวันพูด

อารยะลุกขึ้นนั่งอย่างงัวเงีย “โทรมามีไรวะ?”

“ก็เป็นห่วงแกน่ะซิ เป็นไงมั่งวะ? พอจะมีหวังเจอทิวามั่งไหม?” ตะวันถามอย่างเป็นห่วง

“ยังเลยว่ะ แต่วันนี้ฉันเจอผู้หญิงคนนึง จู่ๆก็ชวนฉันไปกินข้าวเป็นไม้กันหมาให้คุณเธอซะงั้นว่ะ” อารยะเล่าให้เพื่อนฟังอย่างนึกขำ

“สวยไหมวะ?” ตะวันถามกลับแล้วก็ถามต่อว่า “เป็นคนเขมรเหรอ?”

“ไทยว่ะ สวยไหมก็สวยอยู่นะ แต่ดูท่าทางแล้วคงจะเอาแต่ใจตัวเองน่าดูเลยว่ะ คงเป็นพวกลูกคุณหนูมั้ง” อารยะตอบแล้วก็เบ้ปาก เพราะเขาไม่ค่อยถูกโรคกับผู้หญิงเอาแต่ใจ

ตะวันพยักหน้ารับรู้ “แกก็ไม่ชอบผู้หญิงเอาแต่ใจอยู่แล้วนี่หว่า แล้วนี่แกจะหาทิวาเจอได้ยังไงล่ะไอ้ยะ? วันหยุดแกก็ใกล้จะหมดแล้วไม่ใช่เหรอ?”

อารยะหน้าเครียด “นั่นซิไอ้วัน จะลาต่อก็ไม่ได้ซะด้วย มีทางเดียวถ้าจะลาต่อก็คือต้องลาออกเลยว่ะ ฉันก็คิดๆอยู่ว่าจะทำยังไงดี?”

“เอาไงดีล่ะ?” ตะวันช่วยคิด พลัน! เขาก็พูดว่า “เอางี้ไหมไอ้ยะ ถ้าจนถึงวันทำงานแล้วแกยังไม่เจอทิวาฉันว่าแกกลับมาทำงานก่อนดีกว่าไหม ส่วนที่นั่นก็จ้างคนในพื้นที่ให้คอยส่งข่าวให้แกคิดว่าไงล่ะ?”

“ฉันก็คิดไว้เหมือนแกนั่นแหละ ฉันก็ไม่อยากลาออกหรอก สงสารเจ้านายว่ะ ตอนที่ฉันลำบากเขาก็ช่วยฉันไว้เยอะอยู่” อารยะพูดแล้วก็ถามว่า “แล้วผู้หญิงที่หน้าเหมือนยัยวาตอนนี้เป็นไงมั่งวะ?”

“อ๋อ…คุณเจ้าหญิงจันทราน่ะเหรอ ก็ปกติดีว่ะ ฉันจ้างพยาบาลพิเศษให้คอยดูแลอยู่ พรุ่งนี้หมอก็ให้ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วล่ะ ฉันกะว่าจะพาเธอไปอยู่ที่บ้านฉันแล้วให้ป้าแจ๋วช่วยดูแลให้ก่อน”

“ก็ดีนะ แต่ว่าป้าแจ๋วจะไม่สงสัยเหรอว่าทำไมแกถึงพาเธอไปอยู่ที่บ้านน่ะ เกิดป้าแจ๋วเข้าใจว่าแกพายัยวาไปอยู่ที่บ้านเพราะแกกะยัยวาเป็นแฟนกันแล้ว คุณลุงกะคุณป้าคงรีบแจ้นไปหาแกเลยมั้ง แล้วถ้าเกิดคุณป้าเกิดเข้าใจผิด เดี๋ยวก็เป็นเรื่องหรอกไอ้วัน คุณป้ายิ่งอยากได้ยัยวาเป็นลูกสะใภ้อยู่ด้วย” อารยะติงเพราะรู้ดีว่าเพื่อนเห็นน้องสาวตัวเองเป็นเหมือนน้องสาวเท่านั้น

“เออ…จริงซิ ฉันลืมคิดไปเลย ขอบใจนะที่เตือน เกิดคุณแม่เข้าใจผิดแบบนั้นขึ้นมามีหวังคุณแม่ฉันคงรีบจัดงานแต่งให้ชัวร์” ตะวันบอกแล้วก็คิดหนัก “เอาไงดีวะ? จะพาไปอยู่ไหนดีล่ะ?”

“นั่นซิ” อารยะก็ช่วยคิด “ฉันว่าแกพาไปอยู่ที่บ้านฉันดีไหม? ให้เธอใช้ห้องยัยวาไปก่อน เสื้อผ้ายัยวาก็น่าจะใส่ด้วยกันได้ อีกอย่างถ้ายังไม่เจอยัยวาอีกไม่กี่วันฉันก็ต้องกลับแล้ว”

“เออดี” ตะวันเห็นด้วยทันที “งั้นก็ตามนี้ล่ะกัน ช่วงที่แกยังไม่กลับฉันจะจ้างคนคอยดูแลไปก่อน หรือไม่ก็จ้างยาวไปเลยก็ได้ ฉันออกค่าจ้างให้เอง บ้านแกมีห้องสำหรับแม่บ้านอยู่แล้วนี่หว่า”

อารยะพยักหน้า “งั้นก็ตามนั้นเลย แต่ฉันหวังว่าฉันคงได้เจอยัยวาก่อนกลับบ้านว่ะ”

“เออ…ฉันก็อยากให้แกหาทิวาเจอเหมือนกัน เอ…แต่ว่าถ้าแกเจอทิวาแล้วคุณเจ้าหญิงนั่นล่ะจะเป็นยังไงวะ?” ตะวันนึกสงสัย

“ไม่รู้ซิวะ” อารยะบอกแล้วก็คิดเหมือนกับตะวัน นั่นซิ…ถ้าเจอยัยวาแล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะ…?

“เฮ้ย! แค่นี้ก่อนนะพอดีว่าฉันถึงร้านอาหารที่นัดกะลูกค้าไว้น่ะ แล้วค่อยคุยกันใหม่นะไอ้ยะ” ตะวันบอกแล้วก็ค่อยๆเลี้ยวรถเข้าไปจอดหน้าร้านอาหาร

“เออ” อารยะพยักหน้าแล้วก็กดตัดสาย จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นเดินไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่แล้วก็ลงไปหาอะไรกินใกล้ๆโรงแรม

พอกินอาหารเย็นเสร็จแล้วเขาก็เดินเล่นอีกเล็กน้อย ใจก็คิดถึงน้องสาว นี่ถ้ายัยวาอยู่ด้วย เขาคงได้ถ่ายรูปให้เพลินเชียวล่ะ ยิ่งคิดถึงเขาก็ยิ่งกลุ้มใจจนต้องรีบเดินกลับโรงแรมไปนั่งดูข่าวตลาดหุ้นเพื่อไม่ให้ใจคิดฟุ้งซ่าน

“หาไรทำซะจะได้ไม่คิดมากเกินไป” คำสอนของหลวงพ่อที่เขานับถือแว๊บขึ้นมาในใจทุกครั้งที่เขาเครียดๆ

ประตูปรากฏขึ้น ณ ห้องพักของอารยะ

อารยะกำลังเก็บกระเป๋าเตรียมเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม เขาได้ยินเสียงลมข้างหลังก็หันไปดู เขาตกใจ! “เฮ้ย! อะไรวะ!”

ที่จู่ๆก็มีประตูสีทองบานเบ้อเริ้มปรากฏขึ้น ประตูเปิดออกแล้วผู้ชายคนหนึ่งก็ก้าวออกมาจากประตู เขาตะลึง! ก้าวถอยหลังอย่างลืมตัว

แล้วบานประตูก็ปิดลงพร้อมกับหายวับไป

“เจ้าคงจะเป็นพี่ชายของคุณทิวากระมัง” ลาวามองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบเฉย อารยะมัวแต่ตะลึงอยู่อย่างนั้น

ลาวายื่นม้วนแผ่นทองให้ “คุณทิวาฝากมาให้เจ้า”

พอได้ยินชื่อน้อง อารยะก็หายตะลึง “ยัยวา”

เขามองแขกไม่ได้รับเชิญผู้ปรากฏตัวอย่างประหลาดอย่างยังงงๆปนตื่นกลัว

“คุณทิวาฝากจดหมายมาให้เจ้า รับไปซิ ข้าจะได้ไปเสียที” ลาวาบอกน้ำเสียงราบเรียบ อารยะยื่นมือไปรับอย่างงงๆ

ลาวาวางม้วนแผ่นทองใส่มืออีกฝ่ายแล้วก็หันไปวาดมือกลางอากาศ พลัน! ก็ปรากฏประตูสีขาวขึ้น บานประตูเปิดออก

“เฮ้ย!” อารยะผงะถอยหลังจนติดเตียง ขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว

“ข้าไปล่ะ” ลาวาบอกแล้วก็เดินผ่านประตูไป ประตูปิดลงแล้วก็หายวับไป

“เฮ้ย!” อารยะร้องอีกรอบพร้อมกับเผ่นผลุ้งขึ้นไปอยู่บนเตียง ในใจคิดว่ากำลังฝันไปใช่ไหม ยกมืออีกข้างตบแก้มฉาด! “เพี๊ยะ!”

“โอ๊ย! เจ็บจริง งั้นก็ไม่ได้ฝัน” เขามองไปรอบๆอย่างหวาดผวา “งั้นก็ผีหลอก”

ขนหัวลุกซู่ ขนแขนสแตนอัพอย่างพร้อมเพรียง เขาก็ก้มลงดูที่มือตัวเอง

“เฮ้ย!” เขาร้องลั่น “ไรวะเนี่ย!?” แทบจะโยนม้วนสีทองในมือทิ้ง พลัน! แผ่นทองก็คลี่ออกพร้อมกับภาพของทิวาปรากฎขึ้นดั่งภาพสามมิติ

“เฮ้ย!” เขาร้องลั่นอีกครั้ง ตาจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตะลึงตื่นกลัว

“ถึงพี่ยะ หนูสบายดีค่ะ หนูคิดถึงพี่มากนะคะ ตอนนี้หนูส่งมาได้แค่จดหมาย ก็ไม่รู้ว่าเขาจะเอาจดหมายไปส่งให้พี่ยังไงน้า”

ภาพทิวาพูดเหมือนเธอกำลังยืนพูดด้วยตัวเอง เสียงที่ได้ยินก็เหมือนกับเสียงของเจ้าตัวไม่มีผิดเพี้ยน

“หนูหวังว่าพี่คงสบายดีนะคะ พี่รู้ไหม อยู่นี่นะหนูได้เจออะไรแปลกๆเยอะแยะไปหมดเลย หนูคิดว่าหนูคงกำลังหลับเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่แน่ๆ แล้วทุกสิ่งก็คงเป็นเรื่องที่หนูฝันเป็นตุเป็นตะเอาเองเมื่อหนูตื่นขึ้นหนูว่าหนูคงเขียนเป็นนิยายได้แน่ๆเลยมั้ง นี่ๆถ้าหนูจะบอกพี่ว่าจริงๆแล้วคุณสิงโตเขาไม่ได้เป็นสิงโตจริงๆ แต่ตัวจริงๆเป็นผู้ชายหล่อมากพี่จะเชื่อหนูไหมน้า หนูอยากให้พี่เห็นเองจังเลย ก็หวังว่าซักวันพี่คงจะได้เห็นตัวจริงของเขาเหมือนหนูบ้างนะ ขอย้ำว่าหล่อมากกกก แต่หนูก็ไม่เข้าใจอยู่อย่างนึง ทำไมเขาจะต้องแปลงเป็นสิงโตเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นด้วยก็ไม่รู้ ก็ไม่รู้ซินะพี่ยะ หนูคิดว่าวันนึงหนูคงหาคำตอบได้มั้ง เขาใจดีกับหนูมาก คอยดูแลหนูไม่ให้ถูกไอ้คนเลวนั่นรังแกได้ พี่คงจะสงสัยว่าหนูหมายถึงใครอยู่ใช่ป่ะ ตาคนเลวที่หนูพูดถึงก็คือราชาของอีกเมืองนึงน่ะพี่ เอาไว้หนูจะเล่าให้พี่ฟังอย่างละเอียดอีกทีนะว่าเรื่องมันเป็นมายังไง

เรื่องมันมีอยู่ว่าน้องสาวของราชาเมืองนี้เกิดไปแต่งงานกับราชาอีกเมืองนึง ประมาณโรมิโอกับจูเลียตได้มั้ง แต่มันโหดกว่านั้นอีก พอราชาคนพี่รู้เรื่องก็ตามไปฆ่าหลานของตัวเอง ประมาณว่าหลานที่เกิดมาจะทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายเหมือนตัวกาลกิณีนั่นแหละพี่ยะ ทีนี้เกิดพลาดพลั้งฆ่าน้องสาวตัวเองกับน้องเขยไปด้วย ทำให้ลูกติดของน้องเขยแค้นก็เลยยกทัพบุกมาฆ่าคนที่ฆ่าพ่อตัวเอง เพราะแค้นมากก็เลยกะฆ่าให้ตายอย่างทรมานทั้งเมืองด้วยการปล่อยให้อดตาย โหดป่ะล่ะพี่ย่ะ ตาคนนี้อ่ะโหดมากขอบอก พอไม่พอใจใครขึ้นมาก็ฆ่าก็เผาเขาซะหมด เท่าที่หนูฟังๆมาเนี่ยมีคนถูกตานี่ฆ่าตายไปหลายคนแล้ว แต่พี่ยะไม่ต้องห่วงหนูนะเพราะคุณสิงโตใจดีคอยช่วยปกป้องหนูตลอดๆ พี่ยะต้องดูแลตัวเองดีๆนะ หนูไม่อยู่พี่ต้องกินข้าวเยอะๆนะ นอนเยอะๆด้วยล่ะ หนูรักพี่ยะนะ รักพี่ยะที่สุดเลย” ภาพทิวาน้ำตาไหล

อารยะเดินเข้าไปหาภาพน้องยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้ แล้วภาพก็หายไปพร้อมกับแผ่นทองม้วนคืนดังเดิม เขาน้ำตาไหล “ยัยวา แกรู้ไหมพี่คิดถึงแกที่สุด ยัยวาของพี่”

เขาทรุดลงกำแผ่นทองแนบอกน้ำตาไหลริน เขาเชื่อแล้วว่าทิวาหลุดไปโลกประหลาดจริงๆ

พอตั้งสติได้เขาก็รีบเอาแผ่นทองใส่กระเป๋าเป้แล้วก็รีบจัดกระเป๋าอย่างด่วนจี๋ จากนั้นเขาก็รีบเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม เรียกแท็กซี่ไปสนามบิน

ระหว่างที่นั่งรอขึ้นเครื่องอยู่ที่สนามบินเขาก็เสิร์จหาข้อมูลเหตุการณ์ประหลาดๆเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติไปด้วย เขาจะต้องหาคำตอบให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับทิวากันแน่? และเขาจะทำยังไงถึงจะช่วยทิวากลับมาได้ สีหน้าเขาเคร่งเครียดจนไม่ทันได้สังเกตเลยว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามจ้องมองเขา รอให้เขาเงยหน้าไปทักทายด้วย

จนกระทั่งปรียาทนไม่ไหวจึงยื่นมือไปบังจอโทรศัพท์

อารยะเงยหน้าขวับ! “นี่คุณ!”

แต่พอเห็นว่าเป็นใครเสียงเขาก็อ่อนลง “คุณนั่นเอง”

“ค่ะปรีเองแหละ” ปรียาลุกไปนั่งข้างเขาเว้นระยะห่างหนึ่งเก้าอี้อย่างไว้ตัวนิดนึง “งานยุ่งเหรอคะ? เห็นคุณทำหน้าเครียดเชียว นี่ขนาดปรีมานั่งตั้งนานแล้วคุณยังไม่เห็นเลย”

“เครียดครับ เครียดมาก ใครเจออย่างผมก็ต้องเครียดทั้งนั้นแหละครับ” อารยะบอก

“เครียดเรื่องน้องใช่ไหมคะ” ปรียาเดา อารยะพยักหน้า

“เล่าให้ปรีฟังก็ได้ค่ะ เผื่อคุณจะสบายใจขึ้น” ปรียาเอื้อมมือไปแตะมือเขาอย่างให้กำลังใจ เพราะตั้งแต่ได้เจอกัน เธอกับเขาก็นัดเจอกันทุกวันที่นครวัด ไปกินข้าวด้วยกันทุกวัน พอเขาจะกลับวันนี้เธอจึงเลื่อนตั๋วกลับเมืองไทยเที่ยวบินเดียวกับเขา เธอเหลือบมองโทรศัพท์ของเขา

“อุ้ย อะไรคะนั่น ผี วิญญาณ” เธอจ้องหน้าเขา “คุณจะหาข้อมูลพวกนี้ไปทำไมคะ?”

“ถ้าผมบอกว่าเมื่อเช้าผมเจอผีหลอกคุณจะเชื่อผมไหม” อารยะถามหน้าเครียด

ปรียาจ้องเขาเขม็ง ไม่เห็นแววล้อเล่นในดวงตายาวรีเลยสักนิด “จริงง่ะ?”

อารยะพยักหน้า “จริงซิครับ พูดแล้วยังขนลุกไม่หาย” เขายกแขนให้เธอดู

“เจอผีอำแต่เช้าเลยเหรอคะ?” ปรียาถามไปงั้นแหละ

“ไม่องไม่อำล่ะคุณ มาตัวเบ้อเร่อเลยคุณ จู่ๆก็มีประตูโผล่ขึ้นมาแล้วผีตัวนั้นก็เดินออกมาจากประตูนั่น พอส่งม้วนทองให้ผมเสร็จก็หายไปอีกประตูนึง ผมงี้ขนหัวลุกเลยคุณ” อารยะเล่า ปรียาตาโต

“คุณฝันไปรึเปล่าคะ?” เธอถามอย่างไม่ค่อยเชื่อ

“ถ้าผมฝันงั้นคุณช่วยบอกผมหน่อยซิว่าไอ้นี่มันมาได้ไง” อารยะหันไปหยิบม้วนแผ่นทองส่งให้เธอ

ปรียารับไปดู ทีแรกเธอคิดว่าคงเป็นม้วนทองเหลืองแน่ๆ แต่พอได้สัมผัสน้ำหนักเธอก็อึ้ง ก้มลงดูม้วนทองในมือชัดๆ สีทองสุกสว่างดูยังไงๆ ก็สีเหมือนทองร้อยเปอร์เซ็นชัดๆ ด้วยความสงสัยเธอจึงหยิบกุญแจรถจากในกระเป๋าถือมากรีดม้วนทอง เธอพิศดูรอยแล้วก็ตะลึง

“นี่มัน…!?” เธอพูดเสียงดังจนคนอื่นหันไปมอง

“มันอะไรเหรอคุณ?” อารยะถามอย่างงงๆ ปรียาลดเสียงลงแผ่วเบาพอให้ได้ยินกันแค่สองคน “นี่มันทองจริงๆ น่ะซิ”

อารยะอึ้ง!

“ผีให้ทองกับคุณจริงๆเหรอ?” ปรียาถามให้แน่ใจ อารยะพยักหน้ายืนยัน

ปรียาจ้องตาเขา ไม่เห็นแววโกหกหรือล้อเล่นเลย เธอก้มมองม้วนทองแล้วก็รีบส่งคืนให้เขาอย่างรู้สึกกลัว เธอกลัวเจ้าของจะตามมาทวงคืนกับเธอน่ะซิ แค่คิดก็สยองแล้ว บรื้อ!

อารยะรับคืนไปแล้วก็รีบเก็บใส่กระเป๋าเป้ เขาหันไปกระซิบว่า “ทองจริงๆ แน่นะคุณ?”

“จริงล้านเปอร์เซ็นเลยค่ะ เจ้าของร้านเพชรการันตีเอง” ปรียากระซิบหนักแน่น อารยะอึ้งอีกรอบ แล้วเขาก็กระซิบเล่าเรื่องเมื่อเช้าให้เธอฟัง ปรียาฟังไปอย่างขนลุกไปด้วย

พออารยะเล่าจบ ปรียาก็อึ้งจนพูดไม่ออก

พลัน! เสียงประกาศขึ้นเครื่องก็ดังขึ้น ทั้งสองสะดุ้ง! จ้องหน้ากัน

อารยะตั้งสติได้แล้วก็บอกว่า “เรียกขึ้นเครื่องแล้วไปเถอะครับ”

“ค่ะ” ปรียาพยักหน้ายังนึกสยองไม่หาย เธอหันไปคว้ากระเป๋าถือ อารยะรีบยื่นมือไปอาสาอย่างสุภาพบุรุษ “กระเป๋าอีกใบนั่นผมถือให้”

“ขอบคุณค่ะ” ปรียาส่งให้อย่างไว้ใจ แล้วทั้งสองก็เดินไปเข้าแถวรอขึ้นเครื่องด้วยกัน

“เรื่องเมื่อกี้เอาไว้คุยกันต่อทีหลังนะคะ” ปรียากระซิบบอก อารยะพยักหน้า “ครับ”

“ที่นั่งคุณตรงไหนเหรอคะ” ปรียาถาม อารยะเอาบอร์ดดิ้งพาสให้เธอดู

“คนละที่เลยค่ะ” ปรียาพูดแล้วก็เดินขยับไปข้างหน้าตามแถว เธออยากจะถามเขาอีกมากมายแต่สถานการณ์ไม่อำนวย จนกระทั่งยื่นบอร์ดดิ้งพาสให้เจ้าหน้าที่สายการบิน

Chapter 3

ไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะ

จากนั้นทั้งสองก็เดินเคียงข้างกันไปขึ้นเครื่อง พออยู่บนเครื่องทั้งสองก็แยกไปนั่งตามที่นั่งของตัวเอง ปรียารอจนผู้โดยสารนั่งที่หมดแล้วเครื่องกำลังจะถอยออกเธอหันไปดูอารยะ พอเห็นที่นั่งข้างเขาว่างไม่มีคนนั่งเธอก็รีบลุกไป

“ฉันนั่งด้วยคนนะคะ” เธอยิ้มให้เขา

“ครับ” อารยะพยักหน้ายิ้มตอบ ปรียานั่งข้างเขาพร้อมกับรัดเข็มขัด

อารยะเหลือบมองเธออย่างงงๆ นึกในใจว่าทำไมเธอจะต้องกลับพร้อมเขาด้วย ทั้งๆที่เมื่อวานคุยกันก็ไม่เห็นเธอพูดเลยว่าจะกลับเที่ยวเดียวกัน เท่าที่ฟังเธอเล่า พ่อแม่เธอมาร่วมหุ้นลงทุนทำโรงแรมที่นี่ ส่วนตัวเธอมาเยี่ยมพ่อแม่แล้วก็ตระเวนเที่ยวนครวัดตามประสาคนชอบเมืองเก่า ส่วนผู้ชายคนนั้นเป็นคนที่พ่อแม่ของเธออยากจะให้แต่งงานกันแต่เธอไม่ชอบก็เลยพยายามหาตัวช่วย เท่าที่รู้จักกันเธอก็นิสัยดีทีเดียว เสียแต่ค่อนข้างจะเอาแต่ใจไปนิดตามประสาลูกคนรวย

“คิดอะไรอยู่เหรอคะ?” ปรียาถามเขา อารยะสะดุ้ง!โพล่งว่า “ก็คิดว่าทำไมคุณถึงกลับเที่ยวนี้ล่ะ?”

ปรียายิ้ม “อ้าวก็ไม้กันหมาอย่างคุณไม่อยู่แล้วเรื่องไรฉันจะอยู่ต่อล่ะ ฉันก็กลับซิคะยิ่งรำคาญนายนั่นอยู่ด้วย”

“โห นี่คุณคิดจะใช้ผมเป็นไม้กันหมาไปตลอดเลยรึไง?” อารยะถามเล่นๆ

“แล้วคุณยอมเป็นไม้กันหมาให้ฉันตลอดไปได้ป่ะล่ะ?” ปรียาแกล้งถามไปงั้นแหละ

“เรื่องไรล่ะคุณ เสียเครดิตหนุ่มหล่อเนื้อหอมหมด” อารยะพูดเล่น

“หลงตัวเองไปรึเปล่าคะคุณอารยะ” ปรียาแกล้งค้อน

“ไม่หลงล่ะ เห็นแบบนี้สาวๆในสต็อกผมก็เยอะเหมือนกันนะคุณ” อารยะแกล้งคุยอวด

ปรียาค้อน “เยอะตายล่ะ”

ส่วนในใจกลับคิดตรงข้ามเพราะหลายวันที่รู้จักกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน เธอสังเกตเห็นสายตาสาวๆจ้องเขาตาเป็นมันเชียว นี่ถ้าไม่ติดว่ามีเธออยู่ด้วยแม่สาวๆพวกนั้นคงได้เข้ามาแจกเบอร์โทรแจกไอดีให้เขาเป็นพรวนเลยเชียว ดูๆไปเขาก็หล่อดี หล่อกว่านายภาสกรนั่นเยอะ รูปร่างก็ดีกว่า ถึงแม้การแต่งตัวจะดูโลเกรดกว่านายคนนั้น แต่โดยรวมแล้วเขาก็ดูดีกว่าเยอะ

อารยะยิ้ม แล้วเครื่องก็เริ่มเทคออฟออกจากสนามบิน ปรียาชะโงกมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่อง

อารยะผงะเพราะหน้าเธอแทบจะเฉียดจมูกเขาเชียว นึกในใจว่า เธอไม่ค่อยระวังเลยเมื่ออยู่กับเขา แล้วกับผู้ชายคนอื่นเธอไม่ระวังตัวอย่างนี้ด้วยรึเปล่านะ? กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆโชยเข้าจมูก เขาสูดกลิ่นเข้าไปเต็มๆ หอมดีจัง กลิ่นหอมนี้ชวนให้คิดถึงกลิ่นน้ำหอมที่แม่ชอบใช้ แม่ของเขาชอบใช้น้ำปรุงที่ทำเอง กลิ่นน้ำหอมของแม่จึงไม่เหมือนใคร จนกระทั่งมาได้กลิ่นน้ำหอมของเธอนี่แหละหอมคล้ายๆ กันแต่ก็ไม่เหมือนกับของแม่เขาหรอก

“เดี๋ยวพอสัญญาณดับคุณมานั่งตรงนี้ไหม?” เขาเสนอเพราะเห็นเธอตั้งอกตั้งใจมองข้างนอกมาก อีกอย่างจะได้ไม่ต้องชะโงกจนหน้าแทบจะติดเขาแบบนี้ ก็เขาไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะ

“ไม่ล่ะ ฉันเข้าห้องน้ำบ่อยนั่งตรงนี้ดีแล้ว” ปรียาบอกแล้วก็มองไปข้างนอกต่อ อารยะลอบทำหน้าเซ็ง นั่งเกร็งพยายามไม่ให้หน้าตัวเองไปชนกับหน้าเธอ เขาขี้เกียจเจอข้อหาเอาเปรียบ จนกระทั่งปรียาถอยไปนั่งพิงเก้าอี้เลิกมองนอกหน้าต่างแล้วเขาจึงลอบถอนหายใจโล่งอก

สักพักสัญญาณคาดเข็มขัดก็ดับลงพร้อมกับเสียงกัปตันประกาศสภาพการเดินทางตามปกติ แอร์โฮสเตสก็เริ่มให้บริการเครื่องดื่มและอาหาร

“ฝากบอกเขาด้วยว่าฉันไม่กินนะคุณ อยากนอนมากกว่า” ปรียาบอกแล้วก็ปรับพนักพิงเอนตัวนอนหลับ

“ครับ” อารยะได้แต่พยักหน้ารับ นึกในใจว่ารู้จักกันไม่กี่วันเท่านั้นเองเธอกลับทำสนิทสนมราวกับรู้จักกันมานาน เขาไม่เคยเจอผู้หญิงแบบเธอเลย ส่วนมากเจอแต่พวกอยากสนิทสนมกับเขาจนออกนอกหน้า หรือไม่ก็พวกแอ๊บสร้างภาพ กับอีกพวกคือหยิ่งใส่เลย เขาเหลือบมองเธอแล้วก็หยิบนิตยสารมาเปิดอ่าน พอแอร์โฮสเตสมาบริการเครื่องดื่มเขาก็บอกตามที่เธอสั่งพร้อมกับเก็บนิตยสาร แอร์โฮสเตสยิ้มแล้วก็บริการอาหารเครื่องดื่มให้เขาแล้วก็เข็นรถไปบริการคนอื่นต่อ

พอกินอาหารเสร็จแล้วแอร์โฮสเตสก็เดินมาเก็บถาดไป เขาหยิบนิตยสารมาอ่านต่อ สักพักปรียาก็เอนหัวมาพิงซบไหล่ของเขา เขาเหลือบมองแล้วก็อ่านนิตยสารต่อปล่อยให้เธอหลับซบไหล่อยู่อย่างนั้น

ณ สนามบินดอนเมือง เครื่องบินแลนดิ้งเรียบร้อย ปรียากับอารยะนั่งรอจนกระทั่งผู้โดยสารคนอื่นทยอยลงจากเครื่องไปจนเกือบหมด จากนั้นปรียาก็ลุกไปหยิบกระเป๋าของตัวเอง อารยะตามไปช่วยถือกระเป๋าให้

“ขอบคุณค่ะ” ปรียายิ้มให้เขา “แล้วนี่คุณจะกลับบ้านยังไงคะ? จะเรียกแท็กซี่เหรอ?”

“ก็คงต้องเรียกแท็กซี่แหละครับ” อารยะตอบพร้อมกับเดินนำหน้าออกจากเครื่อง

“ถ้างั้นฉันไปส่งดีไหม? พอดีฉันให้คนขับรถมารับน่ะค่ะ อีกอย่างจะได้รู้จักบ้านคุณด้วยเผื่อโอกาสหน้าฉันผ่านไปจะได้แวะไปเที่ยวบ้านคุณไง” ปรียาอาสา

“รบกวนคุณเปล่าๆ ผมเรียกแท็กซี่สะดวกกว่า” อารยะปฏิเสธอย่างเกรงใจ

“ไม่รบกวนหรอกค่ะ ให้ฉันไปส่งเถอะ ฉันจะได้รู้จักบ้านคุณด้วยไงคะ นะคะคุณอารยะ” ปรียาบอกอย่างเอาแต่ใจ ทำตาอ้อน

อารยะพยักหน้า “ก็ได้ครับ ขอบคุณมากครับ”

ก็เจอสายตาอ้อนๆของคุณเธอทีไรเขายอมแพ้ทุกที

ปรียายิ้มพอใจ

จากนั้นทั้งสองก็ลงจากเครื่องเดินเข้าสู่อาคารผู้โดยสารตรงไปยังเคาน์เตอร์ตรวจคนเข้าเมือง ทั้งสองเดินคุยกันไปสารพัดเรื่อง พอผ่านจุดตรวจคนเข้าเมืองแล้วทั้งสองก็เดินไปรับกระเป๋า จากนั้นก็เดินออกประตูไปด้านหน้า

คนขับรถของปรียายืนคอยอยู่พอเห็นเจ้านายก็รีบปราดเข้าไปหา “สวัสดีครับคุณปรี เดินทางเป็นยังไงมั่งครับ?”

“สวัสดีค่ะน้านาจ” ปรียาทักทายแล้วก็หันไปแนะนำตัวคนขับรถกับอารยะ “คุณยะคะนี่น้านาจคนขับรถของปรีเองค่ะ”

อารยะยกมือไหว้ “สวัสดีครับ”

อำนาจรีบรับไหว้ “สวัสดีครับคุณ”

“น้านาจคะนี่คุณยะเพื่อนใหม่ของปรีค่ะ เดี๋ยวน้านาจไปส่งคุณยะก่อนนะคะแล้วค่อยกลับบ้าน” ปรียาแนะนำพร้อมกับสั่งเสร็จสรรพ

“ครับคุณปรี” อำนาจพยักหน้ายื่นมือไปรับกระเป๋า “มาครับผมถือให้ครับคุณ”

อารยะส่งกระเป๋าของปรียาให้อำนาจ ส่วนกระเป๋าของเขาๆถือเอง

“รถจอดอยู่ไหนคะน้านาจ?” ปรียาถามเพราะถ้าจอดไม่ไกลมากเธอก็กะจะเดินไปที่รถเลย

“คุณปรีรอที่ประตูทางออกดีกว่าครับ เดี๋ยวผมไปเอารถมารับครับ วันนี้รถเยอะเลยจอดไกลหน่อยครับ” อำนาจบอกแล้วก็รีบเดินไปเอารถ

สองหนุ่มสาวจึงเดินไปนั่งรอที่เก้าอี้

สักพักใหญ่อำนาจก็ขับรถไปจอดหน้าประตูทางออก ปรียาเห็นรถมาแล้วก็ลุกขึ้น “รถมาแล้วค่ะคุณยะ”

“ครับ” อารยะพยักหน้ายืนขึ้นเข็นรถขนกระเป๋าไปที่รถ อำนาจรีบเปิดท้ายรถแล้วก็เดินเร็วๆไปรับรถเข็นจัดแจงยกกระเป๋าใส่ท้ายรถ อารยะก็ช่วยยกกระเป๋าใส่ท้ายรถอย่างมีน้ำใจ

“คุณขึ้นรถเถอะครับ ผมยกเองครับ” อำนาจบอกอย่างเกรงใจ

“ไม่เป็นไรครับ ให้ผมช่วยเถอะกระเป๋าคุณปรีหนักมาก” อารยะบอก

ปรียามองทั้งสองคนแล้วก็เปิดประตูรถเข้าไปนั่งรอ

อำนาจยิ้มนึกถูกชะตากับเพื่อนของเจ้านาย คุณคนนี้ใจดีจังไม่เหมือนคุณภาสกรเลย รายนั้นรึอย่าหวังเลยว่าจะช่วยยกกระเป๋าแบบนี้น่ะ พอยกกระเป๋าใส่ท้ายรถเสร็จแล้ว เขาก็ปิดท้ายรถจากนั้นก็เดินไปเปิดประตูให้ “เชิญครับคุณ”

“ขอบคุณครับ” อารยะยิ้มก้าวเข้าไปนั่งเคียงข้างปรียา

อำนาจปิดประตูรถแล้วก็เดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งคนขับ จากนั้นเขาก็ขับรถออกจากสนามบิน “บ้านคุณอยู่ไหนเหรอครับ?”

“อยู่ราชเทวีครับ” อารยะบอก

อำนาจพยักหน้า “ถ้าถึงแถวๆนั้นแล้วคุณบอกทางผมด้วยนะครับ”

“ครับ” อารยะพยักหน้ายิ้มให้คนขับรถ

ปรียามองทั้งสองคุยกันแล้วก็หันไปมองวิวข้างทาง พยายามจดจำเส้นทางด้วยความอยากรู้จักอารยะให้มากขึ้น

อารยะหยิบโทรศัพท์ออกมาไลน์หาตะวัน สักพักเขาก็เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วก็มองออกไปนอกรถ

อำนาจขับรถขึ้นทางด่วน จากนั้นไม่นานนักรถก็ไปถึงบ้านของอารยะตามที่เจ้าของบ้านบอกทาง

ปรียาชะเง้อมองอย่างสนใจ

“บ้านคุณร่มรื่นดีจัง” เธอชมสายตาก็มองลอดลูกกรงประตูรั้วเข้าไปภายในบ้านสองชั้นบนเนื้อที่ครึ่งงาน

“ขอบคุณครับ” อารยะพูดอย่างติดปาก เขาเปิดประตูรถลงไป

อำนาจรีบเปิดประตูฝั่งเจ้านาย

ปรียาลงไปยืนมอง

ประตูรั้วเปิดออกพร้อมกับตะวันเดินออกมา

“ไงไอ้ยะ” เขาทักทายเพื่อนแต่พอเห็นผู้หญิงที่มากับเพื่อนก็ประหลาดใจ “คุณปรียา!”

“อ้าว…คุณตะวัน” ปรียาทักอย่างประหลาดใจเช่นกัน

อารยะมองทั้งสองคนทักกัน “นี่รู้จักกันเหรอ?”

“รู้จักซิ คุณปรียาเจ้าของร้านเพชรที่แม่ฉันชอบไปซื้อบ่อยๆไง” ตะวันบอกแล้วก็ถามว่า “แล้วนี่แกมากับคุณปรียาได้ไงเนี่ย?”

“ก็คนนี้ไงที่เจอที่เสียมเรียบไงล่ะ” อารยะตอบ

ตะวันพยักหน้ารับรู้ “อ๋อ…” เขาจะพูดต่อแต่ก็รีบยั้งไว้ทัน ก็ขืนพูดไป ‘คนเอาแต่ใจ’ ของไอ้ยะคงวีนใส่เขาแน่ เขาหันไปพูดกับปรียาว่า “เชิญคุณปรียาเข้าบ้านก่อนครับ”

ปรียานึกงง “นี่บ้านคุณตะวันเหรอคะ?”

ตะวันรีบส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอกครับ นี่บ้านไอ้ยะน่ะครับ ผมกับมันสนิทกันมากน่ะครับ ก็เลยเข้าๆออกๆเหมือนเป็นบ้านตัวเองอีกหลังเลยล่ะครับ”

ปรียาพยักหน้ารับรู้ “อ๋อค่ะ”

อำนาจเดินไปเปิดท้ายรถยกกระเป๋าลง

อารยะเดินไปช่วย จากนั้นเขาก็ลากกระเป๋าเข้าบ้าน ก่อนจะเข้าไปเขาก็หันไปพูดกับปรียาว่า “เชิญครับคุณปรี”

“เชิญครับ” ตะวันบอกพร้อมกับผายมือ

“ค่ะ” ปรียาพยักหน้าแล้วก็เดินตามอารยะเข้าไป

อำนาจปิดท้ายรถปิดประตูรถแล้วก็ขับรถไปจอดแอบข้างรั้วไม่ให้ขวางทางรถคันอื่น แล้วเขาก็จัดแจงเมมตำแหน่งบ้านเพื่อนเจ้านายไว้ในจีพีเอส เผื่อครั้งหน้าเจ้านายจะมาที่นี่อีกจะได้ขับรถมาส่งได้ถูก

อารยะลากกระเป๋าไปไว้มุมห้องรับแขกแล้วก็หันไปพูดกับปรียาว่า “เชิญนั่งครับ”

“ขอบคุณค่ะ” ปรียาเดินไปนั่งที่โซฟามองไปรอบๆห้อง

ตะวันเดินไปนั่งตรงข้ามกับปรียาแล้วก็หันไปสั่งเพื่อนว่า “ไอ้ยะเอาน้ำมาเผื่อฉันด้วยนะ”

“เออ” อารยะพยักหน้าแล้วก็เดินเข้าครัวไป พอเข้าไปในครัวเขาก็ตะลึง! “ยัยวา!”

เขาโผกอดอย่างดีใจ

“เฮ้ย! ไรวะไอ้ยะ?” ตะวันรีบลุกไปดูตั้งแต่ได้ยินเสียงเพื่อน

“ว๊าย!” เจ้าหญิงจันทราตกใจตัวแข็งทื่อ พอตั้งสติได้นางก็ผลักสุดแรง “ปล่อย!”

อารยะเซไปชนตะวันซึ่งพรวดเข้ามาพอดี “โอ๊ะ”

ปรียารีบตามตะวันไปอย่างอยากรู้ “มีอะไรเหรอคะ?”

อารยะตั้งตัวได้ก็มองน้องอย่างงงๆ “เป็นไรยัยวา ผลักพี่ทำไมเนี่ย?”

เจ้าหญิงจันทรารีบวิ่งผ่านอารยะเข้าไปหาตะวัน “ช่วยด้วย!”

ตะวันอ้าแขนรับ

“ไม่ต้องกลัวนะครับ ไม่มีอะไรครับ นี่ไอ้ยะไงครับ” เขาปลอบเสียงนุ่ม

เจ้าหญิงจันทราหันไปมองอารยะอย่างตื่นกลัว

“ไอ้ยะแกลืมไปแล้วเหรอ นี่ไม่ใช่ทิวานะ” ตะวันบอกเพื่อนอย่างพอจะเข้าใจสถานการณ์

อารยะหันไปมองเจ้าหญิงจันทรากับตะวัน “ขอโทษที ฉันลืมไป”

เขายกมือลูบท้ายทอยหน้าเจื่อน

ปรียามองอย่างงงๆ

อารยะมองเจ้าหญิงจันทรา “ผมขอโทษครับ ผมลืมไปว่าคุณไม่ใช่ยัยวา”

“ไปข้างนอกกันเถอะครับ” ตะวันพูดกับเจ้าหญิงจันทราแล้วก็สั่งเพื่อนว่า “แกเอาน้ำไปด้วยล่ะ พอดีป้าอ้อยออกไปซื้อของยังไม่กลับ”

อารยะทำหน้างง “ใครวะป้าอ้อย?”

“ก็แม่บ้านที่ฉันจ้างมาใหม่ไง” ตะวันบอก “แกลืมอีกล่ะซิ”

อารยะพยักหน้านึกขึ้นได้ แม่บ้านที่ตะวันบอกว่าให้มาคอยดูแลคุณเจ้าหญิงที่บ้านเขา “เออๆ จำได้แล้ว”

แล้วเขาก็เดินไปเปิดตู้เย็นหยิบเหยือกน้ำออกมาพร้อมกับหยิบแก้วน้ำใส่ถาดยกไปให้แขก

ตะวันหันไปเห็นปรียาก็บอกว่า “ไม่มีอะไรหรอกครับ เชิญที่ห้องรับแขกดีกว่าครับคุณปรียา”

“ค่ะ” ปรียาพยักหน้าแล้วก็เดินกลับไปนั่งที่โซฟา ตาก็มองหญิงสาวแล้วก็นึกขึ้นได้ว่า “อ๋อ…ผู้หญิงคนนี้นี่เองที่คุณยะบอกว่าเหมือนกับน้องของเขาใช่ไหมคะ ที่ว่ามาจากอีกโลกนึงนั่นใช่ไหมคะ” เธอโพล่งอย่างลืมตัว

ตะวันอึ้งไป “นี่ไอ้ยะมันเล่าให้คุณฟังเหรอครับ?”

“ค่ะ” ปรียาพยักหน้า

ตะวันหันไปมองทางห้องครัว นึกสงสัยว่าเพราะอะไรเพื่อนถึงได้เล่าเรื่องสำคัญให้คนที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่วันได้รับรู้แบบนี้นะ แล้วเขาก็พูดกับเจ้าหญิงจันทราว่า “นั่งตรงนี้นะครับ”

เจ้าหญิงจันทราพยักหน้าแล้วก็นั่งที่โซฟาเยื้องกับหญิงสาวแปลกหน้า

ตะวันนั่งข้างเจ้าหญิงจันทรา

ปรียาหันไปมองรูปบนผนังแล้วก็มองหญิงสาวต่างโลก “เหมือนน้องสาวคุณยะมากเลยค่ะ นี่ถ้าไม่บอกก็ต้องคิดว่าเป็นคนเดียวกันกับในรูปแน่ค่ะ”

อารยะยกน้ำเข้ามาพอดี เขาวางถาดบนโต๊ะแล้วก็รินน้ำแจกทุกคน “น้ำครับ”

“ขอบคุณค่ะ” ปรียายิ้มยกแก้วขึ้นดื่ม

อารยะนั่งที่โซฟาเดี่ยวเยื้องกับปรียา เขามองเจ้าหญิงจันทราแล้วก็มองหน้าเพื่อน “แกมานานรึยัง?”

“มาตั้งแต่เช้าแล้ว” ตะวันตอบ “แล้วแกล่ะเป็นไงมั่ง มีวี่แววว่าจะเจอทิวามั่งไหม?”

อารยะส่ายหน้า พลัน! เขาก็นึกขึ้นได้ “เออจริงซิ!”

เขารีบลุกไปเปิดกระเป๋าเป้หยิบม้วนทองคำออกมา

พอเจ้าหญิงจันทราเห็นม้วนทองคำนางก็หลุดปากว่า “สาส์นเทพ!”

ทุกคนหันไปมองเจ้าหญิงเป็นตาเดียว

“ไอ้นี่เรียกว่าอะไรนะ?” อารยะถามพร้อมกับจ้องหน้าเธอ

“สาส์นเทพ” เจ้าหญิงจันทราตอบแล้วก็ถามว่า “ท่านได้รับจากเทพีจันทราใช่ไหม? สาส์นนั่นคงส่งให้ข้าแน่”

นางรีบยื่นมือไป

อารยะส่งให้อย่างงงๆ

เจ้าหญิงจันทรารับไปอย่างดีใจ นางเปิดออกแต่สาส์นเทพกลับปิดสนิทไม่สามารถเปิดได้

“เอ๊ะ! ไม่ใช่สาส์นที่ส่งให้ข้าหรือ?” นางมองสาส์นเทพอย่างงงๆ แล้วก็ยื่นคืนให้อารยะ “ไม่ใช่ของข้า”

อารยะรับคืนไปอย่างงงๆ

Chapter 4

สาส์นเทพ!

“มันคืออะไรเหรอไอ้ยะ?” ตะวันถามจ้องมองสาส์นเทพอย่างงุนงง

“มันคือทองที่คุณยะได้รับจากผีเมื่อเช้าค่ะ” ปรียาตอบแทนพลางทำหน้าสยอง

“แล้วผมจะเปิดมันอีกได้ยังไงคุณเจ้าหญิง?” อารยะถามเจ้าหญิงจันทรา เขาอยากเห็นน้องเหมือนเมื่อเช้าอีกครั้ง

“ท่านคิดอยากอ่าน สาส์นเทพก็จะเปิดออก” เจ้าหญิงจันทราตอบ

อารยะก้มมองสาส์นเทพแล้วก็คิดในใจ พลัน! สาส์นเทพก็เปิดออก ภาพทิวาปรากฏขึ้น

“ว๊าย!” ปรียาตกใจตัวแข็งทื่อ

“เฮ้ย!” ตะวันตกใจจ้องมองภาพนั้นอย่างตะลึง

เสียงทิวาดังขึ้นตามข้อความที่เขียนลงในสาส์นเทพ เหตุการณ์เดิมปรากฏซ้ำดั่งเปิดวีดีโอซ้ำอีกรอบ

ตะวันกับปรียาจ้องมองอย่างตื่นกลัว ส่วนเจ้าหญิงจันทรามองอย่างคุ้นเคย อารยะมองภาพน้องน้ำตาซึม

พอจบประโยคสุดท้ายสาส์นเทพก็ม้วนคืนดังเดิม

อารยะกำสาส์นเทพแน่นคิดถึงน้องใจจะขาด “ยัยวา…”

ทุกคนนั่งเงียบไปพักใหญ่

ตะวันตั้งสติได้ก็รีบถามว่า “แกได้ไอ้นั่นมายังไง?”

อารยะมองหน้าเพื่อนแล้วก็เล่าว่า “เมื่อเช้าจู่ๆก็มีประตูผีขึ้นในห้อง แล้วผีก็ออกมาจากประตูนั่นส่งไอ้นี่ให้ฉัน แล้วผีก็เข้าประตูหายไป”

“ท่านผู้นั้นไม่ใช่ผีดั่งที่ท่านเข้าใจ ท่านผู้นั้นคือเทพต่างหาก” เจ้าหญิงจันทราบอก

“เทพเหรอ!?” ปรียากับตะวันอุทานพร้อมกัน

เจ้าหญิงจันทราพยักหน้า “ใช่ เทพท่านนั้นมาส่งสาส์นเทพให้กับท่าน สาส์นเทพจากน้องของท่าน”

ทุกคนหันไปมองเจ้าหญิงจันทราเป็นตาเดียว

“มิน่า! ถึงได้โคตรหล่อขนาดนั้น” อารยะพึมพำ

“ข้าคิดว่าคงเป็นเทพีจันทรา แต่ในสาส์นกล่าวถึงสิงโต เช่นนั้นก็ไม่ใช่เทพีจันทราเพราะสิงโตไม่ใช่ร่างจำแลงของเทพีจันทราแต่เป็นร่างจำแลงของเทพสุริยะ” เจ้าหญิงจันทราบอก พลัน! นางก็คิดถึงถ้อยคำในสาส์น นางตะลึงงัน! ภาพความทรงจำอันโหดร้ายผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง นางลุกพรวดวิ่งขึ้นบันไดไป

“คุณ!” ตะวันหน้าเหรอหรา ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้ลุกไปแบบนี้

ปรียากับอารยะมองตามอย่างงงๆ

“เธอเป็นอะไรเหรอคะ?” ปรียาถามลอยๆ

“นั่นซิไอ้วันคุณเจ้าหญิงเป็นอะไรเหรอ?” อารยะถามเพื่อนอย่างงงๆ

ตะวันส่ายหน้า “ไม่รู้ซิ”

ส่วนเจ้าหญิงจันทราพอเข้าห้องแล้วก็ร้องไห้กัดริมฝีปากกลั้นเสียงสะอื้น ช็อคกับเหตุการณ์นั้น ไม่คิดเลยว่าท่านพ่อจะอำมหิตถึงขนาดฆ่าน้องฆ่าหลานตัวเองได้ลงคอ ภาพท่านพ่อที่ใจดีแตกสลายซ้ำแล้วซ้ำเล่าในห้วงความคิดของนาง

ตะวันมองสาส์นเทพในมือเพื่อนแล้วบอกว่า “ไอ้ยะแกเปิดสาส์นเทพนั่นอีกทีซิ”

อารยะทำตาม สาส์นเทพเปิดออก ภาพทิวาปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ทั้งสามจ้องมองภาพนั้นอย่างอึ้งๆ จนกระทั่งสาส์นเทพปิดลง

“นี่ถ้าไม่ได้เห็นกับตา ปรีไม่เชื่อเด็ดขาดว่าจะมีสิ่งอัศจรรย์พันลึกแบบนี้” ปรียาพูดลอยๆ

“นั่นซินะ ถ้าไม่ได้เจอกับตัวเอง ผมก็คงคิดว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อเหลวไหลเหมือนกันครับ” ตะวันบอกมือก็ลูบสร้อยที่คอเพื่อตอกย้ำว่าสิ่งที่เขาเห็นในความฝันนั่นเป็นความจริง

“แล้วนี่คุณเจ้าหญิงอาการเป็นไงมั่งล่ะไอ้วัน?” อารยะถามอย่างอยากรู้ เพราะถึงไม่ใช่น้องแต่อายุหน้าตาก็เหมือนกับยัยวา ถือซะว่าเป็นน้องสาวอีกคนก็แล้วกัน

“ก็ดี แผลหายเกือบหมดแล้วล่ะ เหลือแค่รอยแผลจางๆ ส่วนสภาพจิตใจก็ดีกว่าแต่ก่อนเยอะ นี่เธอเริ่มยิ้มบ้างแล้วล่ะ” ตะวันบอก

อารยะพยักหน้ารับรู้ “เออ ดีแล้วล่ะ”

“คุณคนนั้นเป็นอะไรเหรอคะ?” ปรียาถามแทรก

ตะวันหันไปมองปรียาแล้วก็มองเพื่อนเหมือนยกให้เพื่อนตัดสินใจเองว่าจะเล่าให้เธอฟังรึเปล่า

อารยะรับรู้สายตาของเพื่อนก็บอกปรียาว่า “คือเธอถูกทำร้ายน่ะครับ ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกันครับ พวกเรานึกว่าเธอคือยัยวาก็เลยพาส่งโรงพยาบาล หลังจากนั้นพวกเราถึงได้รู้ว่าเธอไม่ใช่ยัยวาน้องของผม แล้วต่อจากนั้นพวกเราก็เจอเรื่องแปลกๆ เหมือนที่ผมเคยเล่าให้คุณฟังนั้นแหละครับ”

ปรียาพยักหน้ารับรู้ “อ๋อค่ะ”

ตะวันยื่นมือไป “ไอ้ยะฉันขอดูสาส์นเทพนั่นหน่อยซิ”

อารยะส่งสาส์นเทพให้เพื่อน ตะวันรับมาพลิกดูไปมา “หนักๆ แฮะ”

“ทองคำแท้ๆ ค่ะ” ปรียาพูดแทรก

ตะวันอึ้ง! มองปรียาขวับ “อะไรนะครับคุณปรียา?”

ปรียาชี้ที่สาส์นเทพ “ก็นั่นน่ะค่ะ เป็นทองคำแท้ๆ ค่ะ ฉันดูแล้วตอนที่อยู่สนามบินน่ะค่ะ”

ตะวันก้มมองสาส์นเทพในมืออย่างอึ้งๆ “ไอ้เนี่ยนะ ทองแท้ๆ!”

เขาเดาะมือกะน้ำหนัก “น่าจะหนักหลายบาทอยู่นะนี่”

“ก็ถ้าตีราคาตามราคาทองก็น่าจะราวๆหกหรือเจ็ดแสนล่ะมั่ง เพราะเท่าที่ฉันกะน้ำหนักดูน่าจะหนักเกินครึ่งกิโลนะคะ” ปรียาบอกอย่างเชี่ยวชาญ

ตะวันกับอารยะอึ้งไป

เสียงโทรศัพท์ของปรียาดังขึ้น เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาดู “ขอตัวสักครู่นะคะ”

แล้วเธอก็ลุกไปคุยโทรศัพท์ อารยะกับตะวันมองตามแล้วก็หันไปมองหน้ากันเอง

“นี่แกสนิทกับคุณปรียามากเลยเหรอ?” ตะวันถามเพื่อน

“จะว่าสนิทก็คงได้มั้ง ก็ดูๆแล้วก็นิสัยดีน่าคบ นี่ฉันก็เพิ่งรู้นะนี่ว่าแกรู้จักเธอด้วย” อารยะบอก

“จะไม่รู้จักได้ไง ก็คุณปรียาเป็นเจ้าของร้านไดมอนด์แกรนด์ไง พ่อแม่เธอก็รู้จักกับครอบครัวฉัน” ตะวันเล่าตาก็เหลือบมองคนที่กำลังพูดถึง

“อ๋อ สาวไฮโซว่างั้น” อารยะพยักหน้ารับรู้

“เออ” ตะวันพยักหน้า “ได้ข่าวว่านายภาสกรนั่นกำลังตามจีบอยู่นี่”

“แกคงจะหมายถึงผู้ชายตี๋ๆ นั่นใช่ไหม” อารยะเหลือบมองปรียา

ตะวันพยักหน้า “เออ แกก็ระวังตัวหน่อยล่ะกัน ดันไปขวางถังข้าวสารของนายภาสกรแบบนี้มันคงแค้นน่าดู”

“เออๆ ขอบใจที่บอก” อารยะยิ้มให้เพื่อน

พอปรียาเดินมาทั้งสองก็เปลี่ยนเรื่องคุย

“ปรีคงต้องขอตัวกลับก่อนล่ะค่ะ พอดีมีงานนิดหน่อยน่ะค่ะ” ปรียาบอก

“เชิญครับ” ตะวันยิ้มให้เธอในฐานะที่คุ้นเคยกัน

อารยะลุกขึ้นเดินไปส่งแขก “ขอบคุณนะครับที่มาส่งผม ไว้โอกาสหน้าผมจะเลี้ยงข้าวตอบแทนครับ”

ปรียายิ้ม “ขอบคุณค่ะ”

เธอจะก้าวเดินไปแล้วก็ชะงักหันไปบอกว่า “แล้วพบกันใหม่นะคะ”

อารยะพยักหน้า “ยินดีเสมอครับ”

ปรียายิ้มแล้วก็เดินไปขึ้นรถ

อารยะมองตามจนรถของเธอลับสายตาไป เขาเดินเข้าบ้านไปนั่งคุยกับเพื่อนต่อ ทั้งสองคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น

อ้อย แม่บ้านเดินเข้ามา “คุณตะวันคะ จะให้ป้าตั้งโต๊ะ…”

เธอชะงักไปเมื่อเห็นว่าเจ้านายมีแขก “อุ๊ย ขอโทษค่ะ”

ตะวันกับอารยะหันไปมอง

“เข้ามาซิป้าอ้อย นี่ไอ้ยะเจ้าของบ้านไง” ตะวันบอกพร้อมกับแนะนำตัว

อ้อยรีบวางของยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ”

อารยะรีบไหว้กลับ

“ไอ้ยะนี่ป้าอ้อยแม่บ้านที่ฉันจ้างมาดูแลคุณจันไง” ตะวันแนะนำ

อารยะพยักหน้า

“ป้าอ้อยจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ” ตะวันบอก

อ้อยหยิบถุงหิ้วขึ้นมาแล้วก็เดินเข้าไปในครัว

“ไอ้วัน ไปนั่งใต้ต้นมะม่วงเถอะ ตรงนั้นเย็นดี” อารยะบุ้ยปากให้ตะวันออกไปคุยกันหน้าบ้านเพราะไม่อยากให้แม่บ้านได้ยินเรื่องที่คุยกัน

ตะวันพยักหน้าเข้าใจ เขาส่งสาส์นเทพคืนให้เพื่อนแล้วก็เดินไปนั่งที่โต๊ะหินใต้ต้นมะม่วง

อารยะเก็บสาส์นเทพใส่กระเป๋าแล้วก็ตามไปนั่งคุยกันต่อ

“แล้วนี่พวกเราจะทำยังไงกันล่ะ? จู่ๆก็เจอเรื่องพิลึกกึกกือขนาดนี้น่ะ” ตะวันถามหน้าเครียด

“ยังไม่รู้เลยว่ะ ฉันก็มืดไปหมด รู้งี้ฉันไม่น่าพายัยวาไปเที่ยวนครวัดนั่นหรอก” อารยะส่ายหน้าอย่างกลุ้มใจ

เสียงโทรศัพท์ของตะวันดังเตือน เขาหยิบมาดูแล้วก็บอกว่า “เฮ้ยฉันต้องไปแล้วว่ะ นัดลูกค้าเอาไว้น่ะ แกก็ดูแลคุณจันด้วยล่ะ มีไรก็รีบโทรหาฉันได้ทันที”

“เออไปเถอะ” อารยะพยักหน้า

ตะวันลุกไปหยิบกุญแจรถแล้วก็ขึ้นรถขับออกไป

อารยะเดินไปปิดประตูรั้วแล้วก็เดินเข้าบ้านหยิบกระเป๋าไปเก็บในห้อง พอเก็บกระเป๋าแล้วเขาก็เดินลงไปข้างล่างหาอะไรกินซะหน่อย แต่พอเดินผ่านห้องน้องสาวเขาก็ได้ยินเสียงร้องไห้ เขาชะงัก! ผลักประตูดู

เจ้าหญิงจันทรากำลังนั่งร้องไห้อยู่บนเตียง

อารยะเดินเข้าไปหาอย่างเป็นห่วง “คุณเป็นอะไรเหรอครับ?”

เจ้าหญิงจันทราสะดุ้ง! เงยหน้ามองพอเห็นว่าเป็นใครก็หันหลังให้รีบปาดน้ำตา

อารยะหันไปดึงเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานมานั่ง “ถ้าคุณไม่สบายก็บอกผมได้นะ เดี๋ยวผมพาไปหาหมอนะครับ”

เจ้าหญิงจันทราเงียบ มีแต่เสียงสะอื้นซึ่งเจ้าตัวพยายามกลั้นเอาไว้

“ถ้าคุณมีเรื่องอะไรทุกข์ใจก็คุยให้ผมฟังได้นะ ถึงผมจะไม่ใช่หมอจิตเวชแต่การได้ระบายออกมาบ้างก็ทำให้คนเราสบายใจขึ้นได้นะครับ” อารยะบอกอย่างเป็นห่วง

เจ้าหญิงจันทราก็ยังเงียบอยู่อย่างเดิม

อารยะลุกขึ้นเดินอ้อมเตียงไปนั่งตรงหน้าเธอ เอื้อมมือไปจับมือเรียวบาง บอกอย่างเป็นห่วงว่า “ผมจะนั่งอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนนะ คุณอยากร้องไห้ก็ร้องไปเถอะ ร้องดังๆเลยก็ได้คุณจะได้สบายใจขึ้นไง”

เขายิ้มให้อย่างอบอุ่นเหมือนที่ยิ้มให้น้องสาว

เจ้าหญิงจันทราเหลือบมองจะดึงมือออก แต่พอเห็นรอยยิ้มเป็นมิตรก็ชะงัก! จากที่พยายามกลั้นเสียงสะอื้นก็เผลอตัวร้องไห้เสียงดัง “ฮือๆๆๆ…”

อ้อยได้ยินเสียงร้องไห้ก็ตกใจรีบวิ่งขึ้นไปดู “เป็นอะไรคะคุณจัน?”

อารยะรีบบอก “ไม่มีอะไรหรอกป้า ป้าไปทำงานเถอะ”

“ค่ะคุณ” อ้อยพยักหน้าแล้วก็เดินออกไป ก่อนจะไปก็ยังแอบมองอย่างเป็นห่วง แต่เห็นคุณยะอยู่ด้วยคงไม่เป็นไรหรอกก็พี่น้องกันนี่น่า คงเป็นเรื่องของพี่น้องล่ะมั้ง เธอคิดแล้วก็เดินลงไปข้างล่าง

เจ้าหญิงจันทราร้องไห้เต็มที่ ความอัดอั้นตันใจทั้งหลายถล่มทลายดั่งเขื่อนแตก

อารยะนั่งจับมืออยู่อย่างนั้น นี่ถ้าเป็นยัยวาเขาคงกอดแล้วก็ลูบหลังบอกว่า ไม่เป็นไรๆๆๆ ไปแล้วล่ะ

เจ้าหญิงจันทราร้องไห้อยู่นาน ความทุกข์ทรมานใจค่อยคลายหายไป

อารยะหยิบผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้ เจ้าหญิงจันทราผงะออก แต่พอสบตากับแววตาอบอุ่นก็ดึงผ้ามาเช็ดน้ำตาเอง

“สบายใจขึ้นไหมครับ?” อารยะถามอย่างเป็นห่วง

เจ้าหญิงจันทราพยักหน้า

“ถ้างั้นผมว่าเราไปหาอะไรกินกันดีกว่า ผมหิวแล้ว” อารยะชวน ไม่อยากให้เธอเอาแต่จมอยู่ในความทุกข์ เพราะเท่าที่ไลน์คุยกับเพื่อนดูเหมือนเธอจะเป็นคนเก็บกดอารมณ์อย่างมาก เขาดึงมือเธอให้ลุกขึ้น “มาซิครับ”

เจ้าหญิงจันทราลุกออกจากเตียงเดินตามเขาไปอย่างเงียบๆ

อารยะพาเธอลงไปข้างล่าง เจออ้อยกำลังออกมาจากในครัวพอดี

“ป้าอ้อยเดี๋ยวผมออกไปข้างนอกนะ ป้าปิดประตูล็อกกุญแจด้วยล่ะ” เขาสั่งแล้วก็จูงมือเจ้าหญิงจันทราเดินไปหยิบกุญแจรถที่แขวนไว้บนผนัง

“ไปหาอะไรอร่อยๆกินกันนอกบ้านนะครับ” เขาบอกพร้อมกับยิ้มให้

เจ้าหญิงจันทราพยักหน้า

อ้อยรีบเดินไปเปิดประตูรั้วรอ

อารยะเดินไปเปิดประตูรถให้เธอ “เชิญครับ”

เจ้าหญิงจันทราเข้าไปนั่งในรถอย่างเริ่มคุ้นเคยเพราะตอนออกจากโรงพยาบาลก็ต้องนั่งรถมา แล้วก็ถูกพามาที่บ้านหลังนี้ หลังจากนั้นตะวันก็ยังเคยพานั่งรถไปซื้อของไปกินข้าวนอกบ้านด้วย

อารยะปิดประตูรถแล้วก็เดินอ้อมไปนั่งตำแหน่งคนขับ จากนั้นเขาก็ขับรถออกจากบ้าน

อ้อยปิดประตูรั้วล็อคกุญแจ แล้วก็เดินเข้าบ้านไปทำงานต่อ

อารยะขับรถขึ้นทางด่วนออกไปย่านชานเมือง เขาพาเธอไปร้านอาหารซึ่งเคยไปกับน้องสาวบ่อยๆ

เจ้าหญิงจันทรานั่งรถไปก็เริ่มรู้สึกเวียนหัวนิดๆ

อารยะเหลือบมองเห็นท่าทางเธอสีหน้าไม่ค่อยดีนักก็ถามอย่างเป็นห่วงว่า “เป็นอะไรรึเปล่าครับ?”

“ปวดหัว” เจ้าหญิงจันทราตอบเสียงเบาแม้จะไม่มีคำลงท้ายแต่น้ำเสียงก็ฟังรื่นหู นางยกมือปิดปากเพราะรู้สึกเหมือนอยากอาเจียน “อุ๊บ!”

“สงสัยคงจะเมารถมั้งครับ” อารยะเดาจากท่าทางรีบเปิดไฟเลี้ยวแล้วก็เปลี่ยนเลนไปซ้ายสุด อยากจะจอดริมทางแต่ก็ทำไม่ได้เพราะยังอยู่บนทางด่วนเขากลัวรถคันอื่นไม่ระวังจะขับมาชนท้ายเอา เขาได้แต่ชะลอความเร็วขับให้ช้าลง “ทนนิดนึงนะครับเดี๋ยวก็ถึงแล้วครับ”

เจ้าหญิงจันทรามองเขา พยายามฝืนตัวเองไว้ไม่ให้อาเจียนออกมา ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันทำไมถึงรู้สึกว่าคนๆนี้ไว้ใจได้ กับตะวันก็เช่นเดียวกัน

พอลงจากทางด่วนได้อารยะก็รีบเลี้ยวรถเข้าไปในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าที่อยู่แถวๆ นั้นพอดี พอจอดรถได้เขาก็รีบเปิดที่เก็บของใต้คอนโซลหยิบถุงพลาสติกออกมา เขาสะบัดถุงคลี่ออกแล้วก็ส่งให้เธอ “ถ้าคุณจะอ๊วกก็อ๊วกใส่ถุงนี่นะครับ”

เจ้าหญิงจันทรารับมาถือไว้ พยายามฝืนไม่ให้อาเจียนสุดฤทธิ์ แต่ก็สุดจะฝืนได้ “อุ๊บ!” นางก้มลงอาเจียนใส่ถุง

อารยะรีบลูบหลังให้

Chapter 5

พาน้องต่างโลกไปกินข้าว

เจ้าหญิงจันทรารับรู้ถึงสัมผัสอันอบอุ่น พออาเจียนเสร็จก็เหลือบมองเขาด้วยสายตาระวังตัว

อารยะชะงักหดมือกลับเพราะลืมตัวเผลอคิดว่าเป็นน้องสาว “เป็นไงดีขึ้นไหม?”

เจ้าหญิงจันทราพยักหน้ารู้สึกอายที่อาเจียนต่อหน้าคนอื่น

อารยะหันไปดึงกระดาษทิสชู่ส่งให้ “ทิสชู่ครับ”

เจ้าหญิงจันทรามองอย่างงงๆ

“เอาเช็ดปากครับ” อารยะยัดทิสชู่ใส่มือแล้วก็หันไปหยิบขวดน้ำส่งให้ “น้ำครับ”

เจ้าหญิงจันทราใช้กระดาษเช็ดปากแล้วก็รับขวดน้ำไปเปิดดื่ม

อารยะคว้าถุงจากมือเธอไป “ผมเอาไปทิ้งให้นะครับ”

“เดี๋ยว” เจ้าหญิงจันทราตกใจ ไม่คิดว่าเขาจะกล้าถือไป

“เดี๋ยวผมมา รอแป๊บเดียว” อารยะบอกแล้วเปิดประตูรถเดินไปทิ้งขยะ พอทิ้งเสร็จเขาก็เดินกลับไปที่รถเปิดประตูฝั่งคนนั่ง

เจ้าหญิงจันทราไม่กล้าสบตากับเขาเพราะนึกอายที่อาเจียนต่อหน้าเช่นนี้

“ดีขึ้นแล้วใช่ไหมครับ?” อารยะถามอย่างเป็นห่วง ยิ้มให้เหมือนที่เคยทำกับน้องสาว

เจ้าหญิงจันทราพยักหน้า

“ถ้างั้นผมว่าเราหาอะไรกินที่ห้างนี้ล่ะกัน” อารยะบอกแล้วก็เปิดประตูกว้างขึ้นพร้อมกับถอยไป

เจ้าหญิงจันทรามองเขาด้วยสายตานิ่งเฉย นางก้าวลงจากรถอย่างรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด

อารยะผายมือ “เชิญครับ”

แล้วเขาก็หันไปเดินนำ

เจ้าหญิงจันทราเดินตามไป อารยะเดินนำพาเธอไปที่ร้านอาหารในห้างฯ เขามองร้านอาหารหลายร้านอย่างใช้ความคิด แล้วก็เลือกได้ร้านนึง

“ร้านนี้ล่ะกัน” เขาหันไปพูดกับเธอ

เจ้าหญิงจันทราพยักหน้าไม่ได้พูดอะไร

อารยะพยักหน้าแล้วก็เดินนำเข้าไปในร้าน

“สวัสดีค่ะ” พนักงานต้อนรับหน้าร้านไหว้พร้อมรอยยิ้ม “กี่ท่านคะ?”

“สองคนครับ” อารยะตอบแล้วก็มองไปรอบๆ

“เชิญทางนี้ค่ะ” พนักงานเดินนำไปที่โต๊ะ ภายในร้านไม่ค่อยมีลูกค้ามากนักเพราะเป็นช่วงบ่าย แต่ถ้าเป็นช่วงเย็นลูกค้าจะแน่นร้านจนต้องรอคิว

“เชิญค่ะ” พนักงานเลือกโต๊ะริมกระจกให้

อารยะพยักหน้า “ขอบคุณครับ”

เขาหันไปพูดกับเจ้าหญิงคนงามว่า “เชิญครับ”

เจ้าหญิงจันทรานั่งลง ตาก็มองไปรอบๆอย่างสำรวจ

อารยะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม พนักงานยื่นเมนูให้ “เมนูค่ะ”

อารยะรับไปเปิดดูแล้วก็ถามเจ้าหญิงว่า “คุณอยากทานอะไรครับ?”

เจ้าหญิงจันทราเปิดดูเมนูแล้วก็ส่ายหน้าเพราะอ่านไม่ออก “ท่านเลือกเถอะ”

อารยะสะอึกกับคำว่า…ท่าน

พนักงานก็เหลือบมองอย่างเกรงๆเพราะคิดว่าคงเป็นคนใหญ่คนโตไฮโซไฮซ้อมาใช้บริการแหงๆ

อารยะก้มมองเมนูปราดๆแล้วก็สั่งอาหาร “เอาทีโบนสุกกลางๆกับขนมปังกระเทียม แล้วก็สเต็กปลาแซลมอน ส่วนเครื่องดื่มขอเป็นน้ำส้มกับน้ำเปล่าครับ”

“ค่ะ” พนักงานจิ้มหน้าจอสั่งอาหารแล้วก็เดินไปรอรับเครื่องดื่มหน้าห้องครัว

อารยะรีบพูดกับเจ้าหญิงว่า “คุณอย่าเรียกผมว่าท่านอีกนะ เดี๋ยวใครได้ยินเข้าเขาจะคิดว่าผมเป็นพวกไฮโซ”

เจ้าหญิงจันทราทำหน้างง “ทำไมเรียกท่านว่าท่านไม่ได้ล่ะ? แล้วไฮโซคืออะไรหรือ?”

อารยะเกาหัวแกรกๆ ไม่รู้จะอธิบายยังไง เขาตัดบทว่า “เอางี้ล่ะกันคุณเรียกผมว่าพี่ยะล่ะกัน ห้ามเรียกว่าท่านเด็ดขาดเข้าใจนะ”

เจ้าหญิงจันทราพยักหน้าอย่างงงๆ

พนักงานถือเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ “น้ำส้มค่ะ”

อารยะผายมือไปฝั่งตรงข้าม

พนักงานเสิร์ฟน้ำส้มให้ลูกค้าสาว ส่วนน้ำเปล่าก็เสิร์ฟให้ลูกค้าชาย

“ขอบคุณครับ” อารยะบอกตามมารยาท

พนักงานยิ้มก้มหัวให้แล้วก็เดินไป

อารยะจิบน้ำเปล่า ตามองคนตรงข้ามอย่างนึกสงสาร ไม่รู้ว่าเธอเจอเรื่องร้ายๆอะไรมาบ้าง ช่างแตกต่างจากยัยวาจริงๆ คนนึงร่าเริง อีกคนเงียบเศร้า มิน่าไอ้วันถึงได้ไลน์เล่าอาการของเธอตลอด สภาพจิตใจคงย่ำแย่มากแน่ๆ

เจ้าหญิงจันทรายกแก้วน้ำส้มดื่มอย่างคุ้นเคยเพราะป้าอ้อยทำให้กินประจำ รสชาติสู้ที่ป้าอ้อยทำไม่ได้แต่ก็พอดื่มได้

พนักงานยกอาหารมาเสิร์ฟ “ทีโบนค่ะ”

อารยะชี้ตรงหน้าตัวเอง

พนักงานวางจานสเต็กแล้วก็หันไปเสิร์ฟสเต็กปลาให้ลูกค้าสาว “สเต็กปลาแซลมอนค่ะ”

เจ้าหญิงจันทรามองอาหารตรงหน้าสายตาเรียบเฉย แต่ในใจนึกสงสัยในอาหาร ปลาสีส้มกลิ่นหอมเชียว

“ขอบคุณครับ” อารยะยิ้มให้พนักงาน

พนักงานยิ้มตอบแล้วก็เดินไปดูแลลูกค้าคนอื่น

“เชิญครับ” อารยะบอกแล้วก็ลงมือทานสเต็กอย่างรู้สึกหิว

เจ้าหญิงจันทรามองอีกฝ่ายแล้วหยิบส้อมกับมีดเลียนแบบเขา นางลองตัดเนื้อปลาชิมดู เพียงคำแรกก็รู้สึกว่าอร่อย

ไม่นานนักทีโบนชิ้นใหญ่ก็เหลือเพียงกระดูก อารยะเงยหน้ามองคนตรงข้ามเห็นเธอค่อยๆ กินสเต็กปลาอย่างอร่อยก็เบาใจ

เจ้าหญิงจันทราทานสเต็กปลาได้มากกว่าปกติ พออิ่มก็วางมีดกับส้อม

“ดีจังที่คุณทานได้เยอะ” อารยะยิ้ม “ไอ้วันมันเป็นห่วงอยู่ว่าคุณไม่ค่อยกินอะไรเลย”

เจ้าหญิงจันทรามองเขาสายตานิ่งเฉยเช่นเดิม

“คุณจะยิ้มก็ได้นะไม่มีใครว่าหรอก” อารยะยิ้มเหมือนที่เคยยิ้มให้น้อง

เจ้าหญิงจันทราเหลือบตามองสีหน้านิ่งเช่นเดิม

“คุณอยากทานอะไรอีกไหม? ของหวานหรือผลไม้ดี” อารยะถามพลางจิบน้ำเปล่า

เจ้าหญิงจันทราส่ายหน้า

อารยะลอบถอนหายใจ ดูท่าทางว่าอีกนานล่ะมั้งกว่าเธอจะร่าเริงได้ซักครึ่งนึงของยัยวา “ถ้างั้นผมเช็กบิลนะครับ?”

เจ้าหญิงจันทราพยักหน้า พยายามจดจำคำแปลกๆ ใหม่ๆ เอาไว้

อารยะหันไปเรียกพนักงานพร้อมกับทำมือเช็กบิล

ครู่ต่อมาพนักงานก็ถือแท็บเล็ตมาบริการเคลียร์บิล “1290 บาทค่ะ”

อารยะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาหยิบเงินให้พนักงานไป 1300 “ขอบคุณครับ”

“ขอบคุณค่ะ” พนักงานรับเงินแล้วก็เอาไปส่งให้แคชเชียร์

อารยะพยักหน้า “ไปกันเถอะครับ”

แล้วเขาก็ลุกขึ้น

เจ้าหญิงจันทราลุกตาม

แล้วอารยะก็เดินนำกลับไปที่รถ เขาเปิดประตูรถรอ “เชิญครับ”

เจ้าหญิงจันทราก้าวเข้าไปนั่งในรถสีหน้าเรียบเฉย

อารยะมองแล้วก็ลอบถอนหายใจ เขาปิดประตูรถให้แล้วก็เดินอ้อมไปนั่งหลังพวงมาลัย จากนั้นเขาก็ขับรถกลับบ้าน ขากลับเขาพยายามขับช้าๆ เพราะกลัวเธอจะเมารถอีก

เจ้าหญิงจันทรามองไปรอบๆอย่างสำรวจเส้นทาง

พอถึงบ้าน แม่บ้านก็วิ่งมาเปิดประตูรั้วให้

จากนั้นเจ้าหญิงจันทราก็ลงจากรถเดินขึ้นห้องนอนไป

ส่วนอารยะก็เข้าห้องไปรื้อกระเป๋าจัดของให้เข้าที่เข้าทาง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อารยะหยิบออกมาดูพอเห็นว่าเป็นตะวันโทรมาก็กดรับสาย “คุยงานเสร็จแล้วเหรอ?”

“เออ เสร็จแล้ว รถติดโคตรเลยว่ะ” ตะวันบอก ตาก็มองเส้นทาง

“ถ้ารถไม่ติดซิแปลก” อารยะแซว “แล้วตอนนี้แกอยู่ไหนล่ะ?”

“เกือบจะถึงคอนโดแล้ว เดี๋ยวฉันเอารถจอดไว้ที่คอนโดแล้วก็จะนั่งรถไฟฟ้าไปบ้านแก เตรียมกับแกล้มไว้รอด้วยล่ะ” ตะวันสั่งอย่างอารมณ์ดี

“หิ้วลาเต้มาฝากด้วยล่ะ แล้วแกจะเอาอะไรมั่งล่ะฉันจะได้โทรสั่ง?” อารยะถาม มือก็รื้อของออกจากกระเป๋าไปด้วย

“แกจะโทรสั่งให้เปลืองตังทำไมฟร่ะ ก็มีแม่บ้านอยู่ทั้งคนก็ใช้ให้ทำกับข้าวเข้าซิ” ตะวันบอก

“เออจริง ลืมไปเลยว่าตอนนี้มีแม่บ้านแล้วนี่น่า แล้วแกจะกินอะไรล่ะ? ฉันจะได้บอกป้าให้ทำไว้รอ” อารยะปิดกระเป๋า

“เอาต้มยำร้อนๆ ซักชาม ลูกชิ้นปลาลวกแล้วก็เม็ดมะม่วงล่ะกัน” ตะวันสั่ง

อารยะนึกหมั่นไส้ “แหมสั่งยังกะบ้านฉันเป็นร้านอาหารเลยนะไอ้วัน”

“อ้าว ก็บ้านแกมีของในตู้เย็นให้ทำแค่นั้นแหละ” ตะวันบอกอย่างจำได้

“โห ดูเหมือนว่าแกจะรู้ดีกว่าเจ้าของบ้านอีกนะไอ้วัน ขนาดฉันยังไม่รู้เลยว่าในตู้เย็นเหลืออะไรมั่ง” อารยะแซว

ตะวันยักไหล่ “ช่วยไม่ได้ก็เจ้าของบ้านเสือกไม่อยู่นี่หว่า แขกอย่างฉันเลยต้องจัดการซื้อของเข้าตู้เย็นเอง”

“เออๆ รีบมาล่ะกัน” อารยะตัดบทแล้วก็กดตัดสาย

ตะวันยิ้มขำถอดหูฟังออก จากนั้นก็ขับรถตรงไปที่คอนโด

อารยะเก็บโทรศัพท์แล้วก็หิ้วกระเป๋าไปเก็บไว้ในตู้ แล้วเขาก็เดินลงไปข้างล่างสั่งแม่บ้านให้ทำกับข้าวไว้รอเพื่อนรัก พอสั่งเสร็จเขาก็เดินเข้าห้องทำงานไปเปิดคอมดูตารางหุ้น ส่วนเรื่องงานวันมะรืนเขาถึงจะเข้าไปที่ออฟฟิต ก็หวังว่าที่ออฟฟิตคงไม่ยุ่งมากนะ แต่เชื่อได้อย่างนึงเลยว่างานคงกองเต็มโต๊ะแน่

ณ บ้านของอารยะ ตะวันยืนกดกริ่งอยู่หน้าประตู อารยะลุกขึ้นมอง เมื่อเห็นว่าเป็นเพื่อนรักก็รีบเดินไปเปิดประตูให้

ตะวันส่งของให้ “อ่ะ กาแฟของแก”

“ขอบใจว่ะ” อารยะรับของมายิ้มให้ “เข้ามาซิ ปิดประตูด้วยล่ะ”

ตะวันแกล้งบ่น “แหมๆๆๆๆ ใช้แขกเชียวนะไอ้ยะ”

“อย่างแกเขาไม่เรียกว่าแขกหรอกไอ้วัน แขกมันต้องโพกผ้าด้วยซิ” อารยะสวนทันควัน

“หนอยแน่ะ! เดี๋ยวก็เจอแข้งซะหรอก” ตะวันทำท่าเตะ

“กลัวที่ไหน มาเลย มาๆๆๆ” อารยะชูกำปั้นท้า

ตะวันปรี่เข้าไปจะเขกหัวเพื่อน แต่พอมองไปที่หน้าต่างชั้นบนเขาก็ชะงัก! เมื่อเห็นว่าเจ้าหญิงจันทรายืนมองอยู่ตรงหน้าต่าง หน้าหล่อรีบฉีกยิ้มกว้างส่งให้หญิงสาวข้างบน “สวัสดีครับคุณจัน”

เจ้าหญิงจันทราเก้อเขินปั้นหน้าไม่ถูก เพราะไม่เคยมีใครทำเช่นนี้มาก่อน “เอ่อ…”

อารยะมองตามเพื่อน

“ลงมาทานขนมด้วยกันเร็วยัยวา” เขาเผลอเรียกอย่างเคยชิน พอนึกขึ้นได้ก็รีบเปลี่ยนว่า “เอ่อ…คุณจัน”

เจ้าหญิงจันทราพยักหน้ารับ ผละจากหน้าต่างที่ยืนมอง

ตะวันหันไปมองเพื่อน “แล้วคุณจันเป็นไงมั่งว่ะ?”

“เงียบๆไม่ค่อยพูดว่ะ เหมือนเด็กเก็บกด” อารยะบอก “นี่ถ้าช่างพูดได้ซักครึ่งนึงของยัยวาก็คงจะดีกว่านี้เยอะ”

“งั้นเหรอ?” ตะวันนิ่งคิด

“ไปๆ เข้าไปคุยในบ้านดีกว่า ข้างนอกร้อนจะตาย” อารยะบอกแล้วก็เดินนำหน้าเข้าบ้าน

ตะวันเดินตามไป

เมื่อเข้าไปในห้องรับแขก เจ้าหญิงจันทราก็เดินลงมาจากบันไดพอดี

ตะวันรีบเดินไปหา “เชิญครับ มาทานขนมด้วยกันครับ”

เจ้าหญิงจันทรายิ้มให้ตะวันอย่างเริ่มคุ้นเคย นึกดีใจที่เขามา

“คุยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวเอาขนมไปใส่จานก่อน รอแป๊บ” อารยะบอกแล้วก็เดินเข้าครัวไป

ทั้งสองมองตามอารยะไปแล้วก็หันมามองหน้ากัน เจ้าหญิงจันทราก้าวลงบันได พลัน! ก็ก้าวพลาด “ว๊าย!”

เธอเซรีบคว้าเกาะราวบันได

ตะวันถลาเข้าไปประคองตามสัญชาตญาณของนักกีฬารักบี้เก่า ร่างบางอ้อนแอ้นอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่ม ดวงตาสีดำคมเข้มจ้องมองดวงตาคู่งามอย่างเป็นห่วง

วินาทีนั้นทั้งสองต่างจ้องตากันเหมือนมีพลังบางอย่างดึงดูดซึ่งกันและกัน

อารยะได้ยินเสียงร้องก็ชะโงกมอง “มี…”

แต่พอเห็นช็อตเด็ดคำพูดก็กลืนหายไป เขามองทั้งสองอย่างอึ้งๆ แล้วก็รีบหดหัวกลับเข้าครัวไป เพราะไม่อยากขัดจังหวะ

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” ตะวันถาม

“ข้าไม่เป็นไร” เจ้าหญิงจันทราตอบ พอตั้งสติได้เธอก็ดันเขาออก

ร่างสูงถอยห่างอย่างสุภาพ พลางมองสำรวจร่างเล็กบอบบางอย่างเป็นห่วง “แน่ใจนะครับว่าไม่เป็นอะไร?”

เจ้าหญิงจันทราส่ายหน้าหลุบตามองพื้นไม่กล้าสบตาด้วยความเขินอาย

มือใหญ่ผายมือไปที่โซฟา “เชิญครับ”

เจ้าหญิงจันทราเดินไปนั่งที่โซฟาหน้าแดงระเรื่อ

ตะวันเดินตามไปนั่งฝั่งตรงข้าม

เจ้าหญิงคนงามลอบมองเขาแล้วก็เอื้อมมือไปหยิบนิตยสารท่องเที่ยวที่วางอยู่บนโต๊ะมาเปิดดู แม้จะอ่านไม่ออกแต่ภาพสวยๆ ก็ทำให้เธอนั่งมองอย่างถูกใจ “งามนัก”

ตะวันชะเง้อมอง เมื่อเห็นเธอสนใจรูปนั้นเขาก็ถามว่า “ชอบภาพนั้นเหรอครับ?”

เจ้าหญิงเงยหน้ามองเขาแล้วพยักหน้ารับ

“เอาไว้วันหยุดผมจะพาคุณไปเที่ยวที่นั่นดีไหมครับ?”

ดวงตางามเป็นประกายขึ้นมาทันที “ท่านจะพาข้าไปที่แห่งนี้จริงหรือ?”

ตะวันส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “ผมบอกแล้วไงครับว่าอย่าเรียกผมว่าท่าน”

เจ้าหญิงทำหน้าจ๋อย “ข้า…”

Chapter 6

ถ้างั้นปรีไปส่งค่ะ

“ฉัน” ตะวันขัด พยายามสอนให้เธอพูดเหมือนคนทั่วไป

“ฉันขออภัย” เจ้าหญิงพยายามหัดพูดตามที่เขาสอน

“ฉันขอโทษค่ะ” ตะวันสอนอย่างใจเย็น

“ฉันขอโทษค่ะ” เจ้าหญิงพูดตามแล้วก้มลงมองภาพในหนังสือ นิ้วเรียวชี้ที่ภาพเงยหน้ามองเขา “ท่าน…เอ่อ…คุณ คุณจะพา…ฉันไปที่แห่งนี้จริงหรือ?”

นางพยายามพูดตามแบบที่เขาสอน

ตะวันพยักหน้า “จริงซิครับ เดี๋ยววันอาทิตย์นี้ผมหยุดผมจะมารับคุณไปเที่ยวที่นั้นนะครับ”

เจ้าหญิงยิ้มรับประกายตาวิบวับดั่งเด็กหญิงได้ของเล่นถูกใจ

ตะวันมองใบหน้างามอย่างเพลิดเพลิน คิดในใจว่ารอยยิ้มแบบนี้แหละจึงจะเหมาะกับเธอ

“ใครจะไปเที่ยวไหนกันเหรอคะ?” เสียงหวานถามดังขึ้นตรงหน้าประตู

ทั้งสองหันไปมองก็เห็นปรียายืนอยู่หน้าประตูบ้าน สาวสวยแต่งกายด้วยชุดสูทเรียบหรูเก๋ไก๋ตามประสาสาวนักธุรกิจ

“อ้าว คุณปรียา” ตะวันทักอย่างคุ้นเคย

“ขอโทษนะคะที่ถือวิสาสะเข้ามาเองน่ะค่ะ พอดีเห็นประตูไม่ได้ล็อคน่ะค่ะ แล้วปรีก็เห็นคุณวันอยู่ตรงนี้พอดีน่ะค่ะ” ปรียาออกตัว “แล้วนี่คุณยะล่ะคะ?”

ตะวันทำหน้างงนิดๆ ที่ดูท่าทางหญิงสาวจะสนิทสนมกับเจ้าของบ้านได้รวดเร็วถึงขนาดนี้ เหมือนดั่งว่าเจ้าเธอสนิทสนมกับเพื่อนของเขามานานนับปีไม่ใช่ไม่กี่วันอย่างที่รับรู้มา “เอ่อ…ไอ้ยะอยู่ในครัวครับ”

“อ๋อค่ะ พอดีเลยปรีซื้อของอร่อยๆ มาฝาก งั้นปรีเอาไปใส่จานก่อนนะคะ” สาวสวยมาดมั่นบอกแล้วก็เดินผ่านสองหนุ่มสาวไปทางด้านหลัง เธอชะงักไปเมื่อเห็นทางไป 2 ทาง ทางซ้ายกับทางขวา

“ประตูทางซ้ายครับคุณปรี ขวาเป็นห้องน้ำครับ” ตะวันบอกเมื่อเห็นท่าทางที่ไม่รู้ทางของสาวไฮโซคนสวย

“ขอบคุณค่ะ” ปรียาบอกแล้วก็หันไปผลักประตูทางซ้ายเปิดออก พร้อมๆ กับอารยะเปิดประตูห้องครัวออกมาพอดี สาวสวยหมุนตัวเดินไปข้างหน้าจึงชนกับเจ้าของบ้านหนุ่ม พลั่ก!

“อุ๊ย!” เสียงหวานอุทาน ร่างเพรียวชนกับร่างล่ำสัน

“อุ๊บ!” อารยะคว้าร่างเพรียวไว้ไม่ให้ล้ม พอเห็นหน้าคนในวงแขนชัดๆ ก็ทักว่า “คุณปรี!”

เสียงทุ้มงุนงงที่สาวสวยมาอยู่นี่ได้ยังไง?

วงหน้ามาดมั่นออกอาการเขินเมื่อตกอยู่ในวงแขนชายหนุ่ม

“ขอโทษค่ะ” คำพูดติดปากหลุดออกมาตามสัญชาตญาณ

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” เขาถาม ตามองสำรวจคนในวงแขน “แล้วนี่คุณปรีมาได้ไงครับ?”

ปรียาดันตัวออกเมื่อเห็นว่าแม่บ้านมองมาด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น “ขอบคุณค่ะ ปรีไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ”

อารยะปล่อยร่างในอ้อมแขนให้ยืนทรงตัวด้วยท่าทางสุภาพ แต่พอเห็นว่าเสื้อผ้าที่ใส่เป็นคนละชุดกับตอนเช้าก็งงนิดหน่อย

ปรียามองตามสายตาเขา “อ๋อ คือปรีไปประชุมมาน่ะค่ะ แล้วพอดีน้านาจบอกว่าคุณลืมของไว้ในรถน่ะค่ะ ปรีก็เลยเอามาคืนค่ะ”

มือเรียวขาวชูผ้าผืนยาวสีเหลืองอ่อนให้เขาดู “ปรีจำได้ว่าเป็นของคุณน่ะค่ะก็เลยเอามาคืน”

อารยะมองผ้าผืนยาวเอื้อมมือไปรับคืนมาสีหน้าเศร้าเมื่อคิดถึงผู้เป็นเจ้าของ

“ยัยวา…” เสียงทุ้มเศร้าบาดลึก

ปรียาเห็นท่าไม่ค่อยดีก็รีบเปลี่ยนเรื่อง “ดูซิคะคุณยะ ปรีซื้อของอร่อยๆมาฝากด้วยค่ะ”

เธอชูถุงใส่อาหารให้ดู

“ขอบคุณครับ” อารยะรับคำเนือยๆแล้วก็คว้าถุงจากมือหญิงสาวหันไปส่งให้แม่บ้าน “ป้าอ้อยช่วยเอาของพวกนี้ใส่จานให้ด้วยนะครับ”

“ค่ะ” อ้อยเดินเข้าไปรับของจากเจ้านายแล้วก็หันไปทำหน้าที่ของตัวเอง ตาก็แอบมองหญิงสาวสวยมาดมั่นอย่างใคร่รู้

“เชิญข้างนอกดีกว่าครับคุณปรี” อารยะบอกแล้วก็เดินนำหน้าแขกสาวสวยไป

ปรียาเดินตามไปติดๆ

ตะวันมองเพื่อนกับสาวไฮโซด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจอยากรู้เรื่องของทั้งสองคนเต็มแก่

ส่วนเจ้าหญิงคนงามพอเห็นผืนผ้าในมืออารยะก็ทักอย่างจดจำได้ “เอ๊ะ! นั่นมันผ้าผูกเอวของข้านี่?”

สายตาทุกคู่หันไปจ้องมองผ้าผืนน้อยในมืออารยะเป็นตาเดียว

“นี่ของคุณเหรอครับ?” อารยะถาม “แต่ว่าผมได้มาตอนที่ผมฝันเห็นยัยวานะครับ”

“ของข้า ข้าจำได้เพราะว่าชุดนั้นท่านพ่อเพิ่งจะสั่งตัดให้ข้าเสร็จก่อนที่ราชาภากรจะบุกนครจันทราเพียงวันเดียวเท่านั้น” เจ้าหญิงบอกแล้วก็ถามว่า “ท่านได้มาอย่างไรหรือ? เล่าให้ข้าฟังเถิด”

อารยะเดินไปนั่งข้างเพื่อนรัก

ส่วนปรียาก็นั่งเยื้องกับเขา

จากนั้นชายหนุ่มก็เล่าเรื่องราวในความฝันให้ทุกคนฟัง

พอเล่าจบ ตะวันกับปรียาก็ทำหน้าเหลือเชื่อ

ส่วนเจ้าหญิงจันทราก็บอกว่า “คงเกิดจากพลังของเทพสุริยะที่นำพาน้องสาวของท่านมาพบท่านในห้วงนิมิต ส่วนผ้านั่นคงเป็นเพราะบริวารของข้านำมาให้นางสวมใส่เหมือนเช่นที่พวกท่านนำผ้าพวกนี้มาให้ข้าสวมใส่เช่นกันกระมัง”

“คุณคะ ขนมมาแล้วค่ะ” เสียงอ้อยดังนำหน้ามาก่อนตัว ทำให้การสนทนาหยุดชะงัก

ปรียารีบลุกไปช่วยอย่างไม่ถือตัว “มาค่ะป้าหนูช่วยค่ะ”

“ขอบคุณค่ะ คุณส๊วย…สวย แล้วยังใจดีอีกด้วยนะคะ” อ้อยชม

ปรียาเขินเล็กน้อยยิ้มรับคำชม มือก็ช่วยลำเลียงจานของว่างในถาดวางลงบนโต๊ะ

“เดี๋ยวป้าไปเอาน้ำมาให้นะคะ” อ้อยบอกแล้วก็วางถาดไว้ให้แขกสาวสวยช่วยจัดการ

อ้อยหายไปครู่เดียวก็ออกมาพร้อมกับแก้วน้ำครบจำนวนคน “น้ำมาแล้วค่ะ”

เธอเสิร์ฟน้ำแล้วก็เก็บถาดออกไปอย่างรู้งาน

ปรียานั่งลงยกน้ำขึ้นจิบหันไปมองหน้าทุกคน “นี่ถ้าไม่ได้เห็นกับตา ปรีไม่เชื่อเด็ดขาดว่าจะมีเรื่องเหลือเชื่อเหลือจินตนาการแบบนี้แน่ๆค่ะ”

สองหนุ่มนิ่งเงียบไปเพราะเจอมากับตัวเองจากที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ

“เท่าที่ฟังดูแล้ว ดูเหมือนว่าเทพสุริยะคงจะพึงพอใจน้องสาวท่านอยู่ไม่น้อยทีเดียว” เจ้าหญิงพูดตามความคิด “หากเป็นเช่นนั้นนางคงได้รับการปกป้องจากเทพสุริยะ ราชาภากรก็คงไม่อาจจะทำอะไรนางได้แน่”

ทุกคนทำหน้างง

“เอ่อ…คือเรื่องราวมันเป็นยังไงมายังไงเหรอคะ? คือปรีฟังแล้วก็งงๆอ่ะค่ะ เทพสุริยะ ราชาภากรนี่คือใครคะ?” ปรียาถามสีหน้างุนงง

“ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องเริ่มเล่าตั้งแต่ที่ราชาภากรยกทัพมายึดนครของข้ากระมัง” เจ้าหญิงคนงามมองหน้าทุกคน

ทุกคนมองเจ้าหญิงเป็นตาเดียว รอฟังเรื่องราวอย่างอยากรู้

เจ้าหญิงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทุกคนฟังด้วยสีหน้าขมขื่น ความทรงจำอันเลวร้ายหวนคืนมาในห้วงความคิดอย่างเจ็บปวด ร่างบอบบางสั่นสะท้านทุกครั้งที่เล่าถึงการกระทำอันโหดร้ายของราชาภากร

ตะวันขบกรามแน่น ภาพที่เคยเห็นในความฝันหวนคืนมาในความทรงจำจนทนไม่ไหว เขาลุกพรวดเข้าไปกอดเจ้าหญิงคนงาม “หยุดเถอะ! พอเถอะครับ ไม่ต้องเล่าแล้วครับ”

เจ้าหญิงตกใจที่ถูกกอด คำพูดขาดหายไป

อารยะกับปรียามองเจ้าหญิงอย่างเห็นใจและเจ็บปวดกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

เจ้าหญิงพยายามผละออกจากอ้อมแขนชายหนุ่ม

“ผมขอโทษที่ทำให้คุณนึกถึงเรื่องเลวร้ายพวกนั้น ผมขอโทษจริงๆ” ตะวันพูดอย่างรู้สึกผิดและสงสาร เขากอดแน่นอย่างต้องการให้กำลังใจ “ขอบคุณเทพพระจันทร์ที่ส่งคุณมาที่นี่ แต่ผมก็ไม่เข้าใจทำไมเทพพระจันทร์ต้องเอาทิวาไปด้วย!?”

ประโยคหลังพูดอย่างโกรธเคืองเทพสาวที่พาน้องสาวร่วมโลกไป

เจ้าหญิงจันทรานิ่งงันไปเมื่อได้รับรู้ถึงความอบอุ่นในจิตใจของชายหนุ่ม จากที่พยายามกล่ำกลืนความเจ็บปวดไว้ น้ำตาค่อยๆไหลรินอาบแก้ม เสียงสะอื้นเริ่มดังขึ้นอย่างกลั้นไม่อยู่

ปรียารีบหยิบทิสชู่ส่งให้ พร้อมกับขยับเข้าไปจับมือเรียวนุ่มนิ่มให้กำลังใจ “ร้องออกมาเลยค่ะ ร้องซะให้พอค่ะ มันจะช่วยทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นค่ะ”

เธอเหลือบมองตะวันแล้วก็บอกว่า “จริงๆค่ะ นี่เป็นวิธีที่จิตแพทย์แนะนำมาค่ะเวลาที่เราเครียดเรากลุ้มเราเจ็บปวดกับเรื่องอะไรมากๆ หมอเขาบอกว่าการร้องไห้มันจะช่วยทำให้เรารู้สึกดีขึ้นหลังจากที่ได้ร้องไห้ออกมาค่ะ”

เจ้าหญิงจันทรากุมมือหญิงสาวไว้แน่น หันหน้าซุกอกอุ่นร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิม

ตะวันรีบลูบหลังคนในอ้อมกอดปลอบประโลม “ไม่เป็นไรนะครับ ที่นี่ปลอดภัย ไม่มีใครมาทำอะไรคุณได้ทั้งนั้น ผมจะปกป้องคุณเอง”

คำท้ายหนักแน่นดั่งให้สัญญา

อารยะได้ยินก็จ้องหน้าเพื่อนรักคล้ายจะแซวอยู่ในที

ตะวันเหลือบมองเพื่อนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วก้มลงพูดปลอบคนในอ้อมกอด “ไม่เป็นไรนะครับๆ”

อ้อยได้ยินเสียงคนร้องไห้ก็รีบออกไปดู “อ้าว…คุณจันร้องไห้อีกแล้ว”

แต่เมื่อเห็นว่าบรรดาเจ้านายนั่งปลอบอยู่ก็เดินกลับเข้าไปทำงานตามเดิม

“ไม่รู้คุณจันร้องไห้เพราะอะไร สงสัยโดนแฟนซ้อมมาแหงๆถึงได้หนีมาอยู่ที่นี่ แฟนคุณจันก็โหดเกิ๊นนนนน…ดูซิผู้หญิงตัวเล็กๆแบบนั้นมันยังซ้อมได้ลงคอ เป็นผัวกูหน่อยไม่ได้กูจะเอาอีโต้สับซะให้! แมร่ง! อย่าให้กูเจอเชียวไอ้ผู้ชายหน้าตัวเมียแบบนี้น่ะ กูจะสับๆๆๆๆๆ ให้เละเลยเชียว! ฮึ่ม!” เธอพูดไปก็จัดจานชามวางใส่ถาดตามแรงอารมณ์

เสียงสะอื้นค่อยๆ แผ่วลงๆ จนเงียบหายไป ร่างบางค่อยๆดันตัวออกจากอ้อมกอด ปาดน้ำตาอย่างอายๆทุกคน

ปรียาเห็นท่าทางหญิงสาวก็มองอย่างเข้าใจจึงชวนว่า “ไปล้างหน้าดีกว่าค่ะ”

เจ้าหญิงจันทราพยักหน้ารับ ก้มหน้าหลบสายตาสองหนุ่มด้วยความอาย

ปรียาลุกขึ้น ดึงฉุดเจ้าหญิงให้ลุกไปด้วยกัน “มาค่ะ”

เจ้าหญิงจันทราเดินตามไปด้วยความอายที่แสดงความอ่อนแอให้คนอื่นเห็น

สองหนุ่มมองตามสองสาวไป ตะวันขยับไปนั่งข้างเพื่อนรักสีหน้าเคร่งเครียด ได้แต่ภาวนาในใจว่าขออย่าให้ทิวาต้องเจออย่างเธอเลย เขาได้แต่ภาวนาอยู่ในใจอย่างนั้นไม่กล้าพูดให้เพื่อนรักไม่สบายใจไปอีกคน

พลัน! เขาก็ได้ยินเสียงว่า “ไม่ต้องห่วงนางหรอกเจ้าหนุ่ม พี่ข้าคอยพิทักษ์นางอยู่”

เขาหันขวับ! “เมื่อกี้แกว่าอะไรนะ?”

อารยะทำหน้างง “อะไร ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย”

“ข้า…เทพีจันทรา เจ้าเท่านั้นที่ได้ยินเสียงของข้า”

ตะวันทำหน้าตื่น

“เจ้าไม่ต้องห่วงนางผู้นั้นหรอก พี่ข้าพิทักษ์นางไม่ให้ราชาหนุ่มน้อยรังแกได้หรอก” สิ้นเสียงหวานก็ตามด้วยเสียงหัวเราะแผ่วๆ แล้วจางหายไป

ตะวันนั่งแคะหูตัวเองทั้งสองข้างแถมตบเบาๆ

จนอารยะได้แต่มองอย่างสงสัย “แมงเข้าหูเหรอ?”

ตะวันส่ายหน้า “เปล่า”

แล้วเขาก็เลิกตบหูตัวเอง

ปรียาจูงมือเจ้าหญิงจันทราออกมาพอดี เธอพาเจ้าหญิงคนงามไปนั่งที่เดิมแล้วก็หันไปถามอารยะว่า “แล้วนี่คุณจะไปทำงานวันไหนคะ? อ่อ แล้วคุณทำงานอะไรเหรอ? หรือว่าคุณทำงานกับคุณวันคะ?”

อารยะอึ้งไปที่จู่ๆ ก็เจอคำถามเป็นชุด

“คือไอ้ยะมันเป็นพนักงานไอทีของบริษัทไอบีเอ็มน่ะครับ ที่ทำงานมันอยู่แถวพญาไทนี่เอง” ตะวันตอบแทนเพื่อนรัก แล้วเขาก็หันไปถามเพื่อนรักว่า “พรุ่งนี้แกก็ต้องเข้าไปเคลียร์งานที่ออฟฟิตใช่ป่ะ?”

“เออ” อารยะพยักหน้ารับ

“ถ้างั้นพรุ่งนี้ตอนกลางวันคุณไปทานข้าวเป็นเพื่อนปรีด้วยนะคะ” ปรียาบอกแบบบังคับ

อารยะทำหน้างง “พรุ่งนี้ผมไม่แน่ใจว่าจะว่างรึเปล่า”

“ไม่ว่างก็ต้องว่างแหละค่ะ ก็ไหนคุณบอกว่าจะเป็นไม้กันหมาให้ไง” สาวมาดมั่นยกคำพูดเขามาอ้าง

อารยะเกาหัวแกรกๆ ทำหน้าไม่ถูกที่คำพูดที่เคยพูดไว้ถูกยกมาบังคับกันหน้าตาเฉย

“ถ้างั้นคุณปรียาก็ไปทานมื้อกลางวันใกล้ๆ กับที่ทำงานไอ้ยะพรุ่งนี้ซิครับ อย่างคุณไปได้สบายอยู่แล้วนี่ครับ” ตะวันเสนอทางออกให้เพื่อน

“งั้นก็ตกลงตามนี้นะคะ” ปรียาตกลงเสร็จสรรพ หันไปขยิบตาให้ตะวันอย่างขอบคุณ

อ้อยเดินเข้ามา “คุณๆ คะ อาหารตั้งโต๊ะแล้วค่ะ”

ตะวันพยักหน้า “ขอบคุณครับป้า” แล้วก็หันไปพูดกับเจ้าหญิงจันทราว่า “เชิญที่โต๊ะเลยครับ เชิญคุณปรียาด้วยนะครับ”

เขาออกตัวเชิญแทนเจ้าของบ้านซึ่งกำลังนั่งงงที่จู่ๆ ก็โดนมัดมือชกมีนัดทานข้าวขึ้นมาปุ๊บปั๊บซะงั้น

“ไปซิไอ้ยะ พาคุณปรียาไปที่โต๊ะซิว่ะ” ตะวันตบไหล่เพื่อนบุ้ยปากไปทางสาวไฮโซ

“อ่อ…เชิญครับคุณปรียา” อารยะลุกขึ้นยืนท่าทางเงอะงะนิดหน่อยเพราะยังงงๆ ไม่หาย

“ขอบคุณค่ะ” ปรียายิ้มให้แล้วก็หันไปจับมือเจ้าหญิงคนงามให้ลุกไปด้วยกัน

“ไปค่ะ ไปทานข้าวกันดีกว่าค่ะ” เธอบอกอย่างถือสนิท

เจ้าหญิงจันทราลุกตามแรงฉุดอย่างงงๆที่จู่ๆ หญิงสาวผู้นี้ก็ทำท่าสนิทสนมด้วยเหมือนดั่งว่ารู้จักมักจี่กันมาตั้งแต่วัยเยาว์

ทั้งสี่เดินไปที่โต๊ะอาหารโดยไม่ได้รู้เลยว่าตรงนอกรั้วมีสายตาคู่หนึ่งแอบมองอยู่

ภาสกรหรี่ตามองอย่างสงสัย “นั่นมันไอ้ตะวันนี่น่า แล้วผู้หญิงอีกคนเป็นใครกันวะ?”

หนุ่มหล่อมาดเนี้ยบยืนแอบมองอยู่อย่างนั้นจนกระทั้งคนทั้งสี่เดินไปด้านหลังบ้าน

เขาเดินกลับไปที่รถ แล้วนั่งคิดหนัก “อย่าบอกนะว่าไอ้ตะวันมันกำลังคิดจะคั่วคุณปรี กูไม่ยอมแน่!”

หน้าหล่อถมึงทึงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วก็นั่งรออยู่อย่างนั้น

สี่หนุ่มสาวนั่งทานอาหารกันไปคุยกันไป

ยกเว้นเจ้าหญิงคนงามที่ได้แต่นั่งฟังคนอื่นคุยกันเพราะไม่รู้จะคุยอะไรกับพวกเขา

หลังทานอาหารเสร็จแล้วเจ้าหญิงจันทราก็แยกตัวเข้าห้องไป ตะวันกับปรียาจึงลาเจ้าของบ้าน

อารยะเดินไปส่งแขกหน้าบ้าน “ขับรถกลับดีๆนะครับคุณปรี”

ปรียาพยักหน้ารับแล้วก็มองตะวัน “อ้าว…แล้วนี่คุณกลับยังไงคะ”

“ผมก็เดินไปขึ้นรถไฟฟ้าซิครับ แค่นี้เอง” ตะวันบอกแล้วก็จะเดินไป

ปรียารีบเรียก “เดี๋ยวค่ะคุณตะวัน ถ้างั้นปรีไปส่งค่ะ”

“ไม่ล่ะครับ เกรงใจ” ตะวันบอกแล้วก็หันหน้าไป

Chapter 7

ร้ายนักนะคุณ

“เกรงใจอะไรล่ะคะ คนกันเองแท้ๆ เชิญค่ะ” ปรียาบอกแล้วก็แกล้งพูดว่า “เอ…นี่ถ้าคุณแม่คุณรู้ว่าคุณมาทานข้าวกับสาว ท่านจะว่ายังไงบ้างน้า”

ตะวันหันขวับ! “คุณปรียา”

เขาทำตาดุใส่เธอ

ปรียาหัวเราะคิก เธอเปิดประตูรถให้เขา “เชิญค่ะ”

ตะวันเดินไปที่รถฝั่งคนขับ “ถ้างั้นผมขับเอง”

ปรียายิ้ม “ได้ค่ะ”

เธอส่งกุญแจรถให้เขา

ตะวันรับกุญแจมาแล้วก็เปิดประตูเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย

ปรียาเข้าไปนั่งในรถ ปิดประตูแล้วลดกระจกลงโบกมือให้อารยะ “ไปก่อนนะคะ พรุ่งนี้เจอกันค่ะ”

“ครับคุณปรี” อารยะโบกมือตอบ

ตะวันโบกมือให้เพื่อนแล้วก็ขับรถออกไป

ภาสกรทิ้งระยะนิดนึงแล้วก็ขับรถตามไป

อารยะเดินเข้าบ้านปิดประตูล็อคกุญแจ แล้วก็เดินเข้าห้องนอนตัวเอง

ก่อนเข้าห้องนอนเขาก็เดินไปที่หน้าห้องน้องสาวแล้วพูดว่า “ถ้ามีอะไรก็เรียกผมได้ตลอดนะครับ ไม่ต้องเกรงใจครับ”

เงียบ ไร้ซึ่งเสียงตอบ อารยะจึงเดินเข้าห้องนอนตัวเองไป

เจ้าหญิงจันทรานั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียงนอน

ภายในรถหรูของสาวมาดมั่น เจ้าของรถก็ยิงคำถามทันที “เพื่อนคุณเกิดวันไหน? ชอบกินอะไร? ชอบดูกีฬาอะไรเหรอคะ?”

ตะวันเหลือบมองนิดนึง “นี่อย่าบอกนะว่าคุณชอบไอ้ยะเพื่อนผมน่ะ”

ปรียาพยักหน้ารับ “ก็ชอบ ถึงได้ถามอยู่นี่ไงล่ะ” เธอยอมรับตรงๆ

ตะวันผิวปากหวือ “วี๊ว…แหมสมกับเป็นสาวยุคใหม่จริงๆนะคุณเนี่ย”

เขาเหลือบมองสาวไฮโซ “ชอบเพื่อนผมจริงๆอ่ะ หรือว่าแค่ต้องการเอามันไว้เป็นไม้กันหมากันแน่ครับ?”

“ก็ทั้งสองอย่างแหละ” เธอตอบด้วยท่าทางมาดมั่น หันไปมองเขา “แล้วคุณจะบอกข้อมูลเพื่อนคุณได้รึยังล่ะคะ?”

“อย่าทำให้เพื่อนผมชีช้ำกระหล่ำปลีนะคุณ ไม่งั้นล่ะก็ผมจะยุให้คุณแม่ไปซื้อเพชรร้านอื่นเลยเชียว” เขาแกล้งขู่ไปงั้นแหละ

“ต๊าย! ทำยังกับว่าเพื่อนคุณยังจิ้นไม่เคยมีแฟนงั้นล่ะ”

“เพื่อนผมมันคนจริงจัง คบใครคบจริงนะคุณ มันไม่คบเล่นๆอย่างพวกผู้ชายที่คุณเคยผ่านมาหรอก” ชายหนุ่มบอกน้ำเสียงจริงจัง

ปรียาแอบสะดุ้งในใจ เพราะเอาเข้าจริงๆ เธอก็ยังไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายมาก่อน ได้แต่ควงผู้ชายไปมาเป็นไม้กันหมาเพื่อกันคนที่พ่อแม่อยากให้แต่งงานด้วยเท่านั้นเอง “แล้วใครว่าปรีคบเล่นๆ ล่ะ”

“อ๊าว! ก็เห็นคุณควงแล้วทิ้งๆๆๆๆๆ มาตั้งไม่รู้กี่คนแล้วนี่” เสียงทุ้มสูงอย่างไม่สบอารมณ์ที่หญิงสาวข้างๆ ทำเหมือนผู้ชายเป็นดอกไม้ข้างทาง “ไอ้ยะเพื่อนผมมันไม่ได้เป็นผู้ชายขายบริการอย่างที่คุณเคยใช้บริการหรอกนะครับ”

“คุณตะวัน!” เสียงหวานสูงปรี๊ดอย่างเคืองจัด

“อย่าคิดว่าผมจะตกข่าวนะคุณ หนุ่มๆ พวกนั้นคุณนึกจะเรียกมาเมื่อไหร่ก็เรียกได้ พอเบื่อก็ทิ้งไป แต่เพื่อนผมมันไม่ใช่แบบนั้นนะคุณ ถ้าคุณไม่คิดจะจริงจังกับมันผมขอเตือนว่าคุณอย่าไปยุ่งกับมันจะดีกว่านะครับ”

“ฮึ!” ปรียาสะบัดหน้าอย่างไม่พอใจ แต่พอหันไปมองถนนเธอก็เอะใจ “เอ๊ะ! นี่คุณจะขับไปไหน?”

ดวงตาคู่เฉี่ยวมองเขาอย่างหวาดระแวง

ชายหนุ่มหันไปมองเธอแว๊บนึง “ก็ขับไปส่งคุณซิครับ อย่ามองผมแบบนั้นซิ ผมรู้สึกเหมือนเป็นโจรที่กำลังจะพาสาวไปข่มขืนยังไงก็ไม่รู้ ถึงผมจะไม่ใช่สุภาพบุรุษ 100% แต่ผมก็คงจะปล่อยให้คุณขับรถกลับบ้านคนเดียวไม่ได้หรอก เกิดคุณโดนใครฉุดไปฆ่าปาดคอ คุณแม่ผมก็คงต้องเปลี่ยนร้านไปซื้อเพชรร้านอื่นกันพอดี”

เขาพูดไปตาก็มองกระจกหลังไปด้วย ด้วยความที่เป็นหนุ่มไฮโซเช่นกันจึงทำให้เขาต้องคอยระวังตัวจากคนที่ไม่ประสงค์ดีอยู่เป็นประจำ ทีแรกก็ตั้งใจว่าจะขับรถไปที่คอนโดของตัวเอง แต่เผอิญตาดันเหลือบไปเห็นรถคันนึงขับตามมาตั้งแต่ออกจากซอยบ้านเพื่อนรักมาแล้ว สัญชาตญาณในการระวังตัวจึงเตือนให้ชายหนุ่มแกล้งเลี้ยวรถเปลี่ยนเส้นทางไปมา แต่รถคันนั้นก็ยังขับตามมาอยู่ ด้วยความเป็นห่วงหญิงสาวเขาจึงตัดสินใจขับรถไปส่งเธอที่บ้าน

“แหม เพิ่งจะรู้นะคะนี่ว่าลูกชายคุณพรรณนาปากคอเราะร้ายใช่ย่อย” ปรียาพูดแดกดันแถมค้อนให้ทีนึง

“งั้นคุณก็ช่วยหันไปดูรถบีเอ็มสีน้ำเงินข้างหลังให้หน่อยซิว่ารถใคร? ผมเห็นขับตามพวกเรามาตั้งนานแล้ว”

ปรียาหันไปมองทันควัน

“ถัดจากรถเราไปสามคัน คุณคอยดูให้ดีล่ะกันเดี๋ยวผมจะเลี้ยวซ้าย” ตะวันบอกตาก็มองกระจกหลังไปด้วย

พอรถเลี้ยวซ้ายบีเอ็มคันนั้นก็เลี้ยวตาม หญิงสาวพอได้เห็นรถก็หน้างออย่างไม่สบอารมณ์ “รถอีตาภาสกรน่ะ”

ตะวันพยักหน้ารับรู้ “อ๋อ รถว่าที่สามีในอนาคตของคุณนี่เอง”

“ไม่ใช่ย่ะ!” หน้าสวยบึ้งตึง ฟาดมือตีแขนเขาดังเพี๊ยะ!

“เฮ้ยคุณ! ผมเจ็บนะครับ” หนุ่มหล่อได้ทีก็รีบกระเซ้าว่า “จะไม่ใช่ว่าที่สามีได้ไงก็เห็นคุณพ่อคุณแม่คุณบอกใครๆ ว่าใกล้จะแจกการ์ดแล้วนี่น่า”

“แจกบ้าแจกบออะไรล่ะ! ฉันไม่มีทางแต่งกะอีตานั้นเด็ดขาด!” เสียงหวานสูงปรี๊ดอย่างอารมณ์เสีย

“ผมเคยเห็นเขา ดูๆ แล้วก็หล่อพอใช้ได้อยู่นะคุณ ฐานะการเงินก็มั่นคงพอประมาณ ก็ไม่เห็นข้อเสียตรงไหนเลยนี่น่า แต่งๆ ตามใจคุณพ่อคุณแม่คุณไปเหอะน่า เพื่อนผมจะได้ไม่ต้องชีช้ำ” ตะวันแกล้งเย้า

“เฮอะ! เพื่อนคุณหล่อกว่าเยอะ” ปรียาหลุดปาก พอนึกได้ก็หน้าแดงนิดๆ

“วี๊ว!” ตะวันผิวปากหวือ ยิ้มขำ

“ฮึ!” ปรียาค้อนขวับ! แล้วก็รีบหันไปมองวิวข้างทาง ไม่อยากให้เขาเห็นว่าเธอรู้สึกเช่นไร

ตะวันพยายามกลั้นหัวเราะเต็มที่ ไม่คิดเลยว่าอยู่ดีๆ เพื่อนเขาก็มีราชรถมาเกยถึงตัว เท่าที่คุยกัน ดูท่าทางคุณเธอน่าจะชอบเพื่อนเขาอยู่บ้าง หลังจากหยุดขำแล้วเขาก็พูดลอยๆว่า “เพื่อนผมเกิดวันที่ 26 มกรา ชอบกินอาหารไทยเป็นที่สุด อาหารจีนก็ชอบ ฝรั่งก็ดี อินเดียก็ได้ กีฬาก็ทั่วๆไป สีที่ชอบคือสีเขียว ส่วนสาวในสเปคก็ต้องสวยๆ ไม่แต่งตัวหวือหวา แต่งหน้าจัดๆ แต่งตัวโป๊ๆ มันเซย์โนทันที”

ปรียาค้อนอีกทีไม่พูดอะไร แต่สมองเก็บข้อมูลทุกคำพูด

จนกระทั่งถึงบ้านปรียา ตะวันก็จอดรถหน้าประตูรั้ว “ถึงแล้วครับ ขอบคุณนะครับที่ให้ผมขับรถมาส่ง”

ปรียาค้อนให้อีกที

คนใช้เดินมาเปิดประตูรั้ว

ตะวันเปิดประตูก้าวลงจากรถ

“แล้วคุณจะกลับยังไงคะ?” ปรียาถามอย่างมีน้ำใจ

“ผมก็นั่งแท็กซี่กลับซิครับ” ตะวันบอกแล้วโบกเรียกแท็กซี่

ปรียาลงจากรถแล้วก็เดินไปนั่งประจำที่คนขับ ลดกระจกลงพร้อมกับชะโงกหน้าออกไป “เดี๋ยวค่ะคุณตะวัน”

“ครับ มีอะไรเหรอครับ?” ตะวันหันไปถาม

ปรียากวักมือ ตะวันก้มลงไป มือเรียวนุ่มนิ่มก็เอื้อมมาดึงเน็คไทเขาเข้าหาตัวเอง

“เฮ้ยคุณ!” ตะวันโวยวายพยายามขืนตัว แต่ก็สู้แรงกระชากของอีกฝ่ายไม่ไหว ใบหน้าหล่อก้มลงไปจนเกือบจะชนกับวงหน้าสวย

“ขอบคุณค่ะ” เสียงหวานกระซิบเบาๆข้างหูเขาแล้วก็ปล่อยมือจากเน็คไท สายตามาดมั่นเหลือบไปมองรถที่ตามมาแล้วยิ้มอย่างสะใจ

ตะวันมองตามอย่างงงๆ ครู่เดียว แล้วก็เข้าใจในท่าทีของปรียา เธอต้องการให้ผู้ชายคนนั้นเห็นว่าเขาจูบกับเธอแหงแซะ

พอปรียาหันมาเขาก็กระซิบว่า “ร้ายนักนะคุณ”

ปรียาเชิดหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์แล้วก็ขับรถเข้าบ้าน

ตะวันถอยห่างหันไปมองหารถแท็กซี่

รถบีเอ็มขับไปเฉียดข้างตะวันพร้อมกับกระจกฝั่งคนขับเลื่อนลง ภาสกรมองตะวันอย่างไม่พอใจ

ตะวันมองตอบ ยิ้มให้ตามมารยาท

ภาสกรชูนิ้วกลางให้แล้วก็ขับรถเข้าไปในบ้าน

ตะวันนึกฉุนทันควัน อ้าว…ไอ้เวรนี่!

เขาเห็นปรียายืนมองมาก็ทำท่าส่งจูบให้เธอแก้เผ็ดไอ้คนไร้มารยาท

ปรียาเห็นตะวันส่งจูบให้ก็ส่งจูบตอบกลับไปพร้อมกับโบกมือให้ จากนั้นเธอก็รีบเข้าบ้านพร้อมกับสั่งคนใช้ว่า “ฉันปวดหัว ห้ามใครรบกวนทั้งนั้น”

“ค่ะคุณปรี” สาวใช้รับคำแล้วก็เดินเข้าบ้านไปอย่างรู้งาน คุณปรีหาเรื่องหลบคุณภาสอีกแล้ว…

ภาสกรจอดรถแล้วก็รีบลงไปยืนมองหนุ่มไฮโซซึ่งกำลังขึ้นแท็กซี่

“หน๊อย! จูบกันไม่พอ ยังส่งจูบข้ามหัวกูอีกนะมึง!” เสียงทุ้มต่ำคำรามรอดไรฟันอย่างโมโห แล้วก็รีบเดินตามปรียาเข้าไปในบ้าน

ปรียารีบขึ้นห้องนอนโดยไม่เข้าไปหาพ่อแม่ เพราะขี้เกียจเจอหน้าคนที่ตัวเองไม่ชอบ

ภาสกรเห็นปรียาขึ้นบันไดไปแล้วก็เปลี่ยนทิศไปทางห้องรับแขกแทน เจ้าของบ้านทั้งสองกำลังนั่งคุยกันอยู่ เขาก็รีบเข้าไปประจบ

ณ ประเทศไทย วันคืนผ่านไปอย่างสงบ เจ้าหญิงจันทราพักรักษาตัวจนบาดแผลหายสนิท หลงเหลือรอยแผลจางๆ เท่านั้น สภาพจิตใจก็ดีขึ้นมาก เช้านี้เธอลุกขึ้นมาทอดเบคอน ไข่ดาว ปิ้งขนมปัง ชงกาแฟให้อารยะ เธออยากทำอะไรตอบแทนน้ำใจเขาบ้างที่เขาดูแลเธออย่างดีประดุจดังเธอเป็นน้องสาวของเขาจริงๆ

“พี่ยะ อาหารเสร็จแล้วค่ะ” เจ้าหญิงจันทราเดินไปเคาะประตูห้องบอก

“คร้าบๆ” อาระยะส่งเสียงตอบออกมา เขามองดูเงาตัวเองในกระจก เห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วก็เปิดประตูห้องออกไป ก็เจอเจ้าหญิงจันทรากำลังก้าวเท้าเดินลงบันไดไป เขายิ้มให้เธอ พูดว่า “ขอบคุณครับ”

เจ้าหญิงจันทรายิ้มรับแล้วก็เดินลงบันไดไป

อารยะก็สะพายกระเป๋าโน๊ตบุ๊คเดินตามลงไป ตั้งแต่มีแม่บ้าน เขาเลยพลอยได้กินอาหารเช้าทุกวัน ไม่งั้นเขาก็คงต้องไปหาซื้อของกินแถวที่ทำงานอีกเช่นเคย

อ้อยเดินออกมาจากห้อง สีหน้าอิดโรย ครั้นเห็นว่ามีอาหารตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้วก็รู้สึกแปลกใจ “เอ๋? ใครทำ?”

เจ้าหญิงจันทราเดินมาถึงโต๊ะเห็นอ้อยยืนมองอย่างแปลกใจก็บอกว่า “จันทำเองค่ะ”

“หู้ย! คุณจัน! คราวหน้าไม่ต้องนะคะ เดี๋ยวป้าทำเองค่ะ” อ้อยรีบบอก

“ไม่เป็นไรค่ะ ก็จันเห็นว่าป้าไม่ค่อยสบาย แล้วนี่ดีขึ้นหรือยังคะ?” เจ้าหญิงจันทราถาม นับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เธอก็เรียนรู้วัฒนธรรมของที่นี่ไปไม่น้อย อีกทั้งยังมีตะวันคอยบอกคอยสอนสิ่งต่างๆ ให้รับรู้ จากที่ไม่เคยพูดขอบคุณคนอื่น เธอก็เรียนรู้ที่จะพูดขอบคุณและขอโทษได้โดยไม่ติดขัดแล้ว โดยนิสัยแล้วเธอก็ไม่ได้เป็นคนเย็นชาไร้ใจ เพียงแต่ไม่เคยมีใครสอนสิ่งเหล่านี้ให้เธอเลย ซึ่งตะวันยังคอยกำชับเธออีกว่าเรื่องราวจากโลกเดิมของเธอรวมทั้งพลังที่เธอมีติดตัวห้ามให้คนอื่นรู้เด็ดขาด ไม่งั้นเธออาจจะถูกจับไปทดลองประหลาดๆ จากกลุ่มคนชั่วก็ได้

อีกทั้งเธอยังได้เรียนรู้ท่าทางการวางตัวจากปรียามาไม่น้อย สตรีที่ดูมีความ…เรียกอะไรดีล่ะ?…อืม…ความเป็นผู้นำเต็มเปี่ยมคนนั้น ทำให้เธออยากจะมีความเป็นผู้นำเต็มเปี่ยมเหมือนสตรีนางนั้น เธอรู้สึกคล้ายกับว่าปรียาเป็นเหมือนพี่สาวอย่างไรอย่างนั้น เธอได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากขึ้น ได้รับรู้ว่าดินแดนแห่งนี้ไม่เหมือนกับดินแดนของเธอ ผู้คนที่นี่ก็ล้วนมากเล่ห์ยิ่งนัก…

“นั่งซิน้องจัน” อารยะบอกพลางวางกระเป๋าไว้ที่เก้าอี้ข้างๆ

ทำให้ความคิดของเจ้าหญิงจันทราสะดุดลง เธอกะพริบตาแล้วก็นั่งลงตรงข้ามกับเขา แล้วก็หันไปพูดกับอ้อยว่า “ของป้าอ้อย จันก็ทำไว้ให้นะคะ อยู่ในครัวค่ะ”

“อุ้ย ขอบคุณค่ะ คุณจันช่างใจดีจริงๆ งั้นเดี๋ยวป้าไปดูเก็บล้างในครัวก่อนค่ะ เชิญคุณๆเลยค่ะ” อ้อยพูดแล้วก็เดินเข้าครัวไป

“ขอบคุณนะครับ” อารยะพูดกับเจ้าหญิงอีกครั้ง แล้วก็ลงมือทานอาหารอย่างรวดเร็ว มองนาฬิกาแล้วก็รีบกินคำโต

เจ้าหญิงจันทราก็ค่อยๆกินอย่างไม่รีบไม่ร้อน เพราะวันๆ  นึงเธอก็ไม่ต้องทำอะไรมาก นอกจากอยู่บ้านนั่งๆ นอนๆ เดินรดน้ำต้นไม้รอบๆ บ้านเท่านั้น ซึ่งรดน้ำต้นไม้ก็แค่เปิดวาล์วน้ำเปิดระบบสปริงเกอร์เท่านั้นเอง

ครั้นกินเสร็จ อารยะก็รีบเช็ดปาก แล้วก็บอกว่า “พี่ต้องรีบไปล่ะ อยู่บ้านก็ห้ามเปิดประตูให้ใครเข้ามารู้ไหม ใครมาหาก็ให้ป้าอ้อยไปดู”

เขาไม่วายกำชับเหมือนเช่นทุกวัน เพราะเธอไร้เล่ห์เหลี่ยมโดยสิ้นเชิง จนเขานึกสงสัยว่าโลกของเธอมีความเป็นอยู่เช่นไร จึงได้ทำให้เธอช่างไร้เล่ห์เหลี่ยม จิตใจบริสุทธิ์ราวเด็กเล็กเช่นนี้ได้

“ค่ะ” เจ้าหญิงจันทรารับคำ แล้วก็ยิ้มให้เขา

อารยะก็รีบคว้ากระเป๋าเดินออกจากบ้านไป เขาออกไปก็ล็อคประตูรั้วให้ดี แล้วก็โบกมือเรียกวินมอเตอร์ไซต์ให้ไปส่งที่สถานีรถไฟฟ้า

เจ้าหญิงจันทรากินเสร็จแล้วก็ยกจานไปเก็บในครัว จากนั้นก็หยิบหนังสือหัดอ่านตัวอักษรที่ตะวันซื้อมาให้ เอาไปนั่งอ่านนั่งเรียนอยู่ในห้อง รอเวลาให้ครูสอนภาษาที่ตะวันจ้างมาสอนมาตอนช่วงสายกับช่วงบ่าย เธอพยายามเรียนรู้สิ่งต่างๆ อย่างขยันขันแข็ง เธอเรียนรู้จดจำได้เร็วมาก จนตอนนี้เธอเริ่มอ่านตัวอักษรภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้เทียบเท่ากับเด็กระดับประถมแล้ว ไม่เพียงแค่อ่านเท่านั้นเธอยังหมั่นฝึกฝนคัดตัวอักษรจนลายมือสวยงามราวกับตัวพิมพ์เลยทีเดียว

ตอนเย็น อารยะเลิกงานแล้วก็ออกจากที่ทำงาน แต่เมื่อออกมาหน้าบริษัทก็เจอรถสปอร์ตหรูคันหนึ่งจอดอยู่ด้านหน้า ดึงดูดสายตาผู้คนไม่น้อย เมื่อปรียาเห็นอารยะเดินออกมาก็รีบเปิดประตูรถลงไปร้องเรียก “คุณยะ—–”

อารยะได้ยินเสียงเรียกคุ้นหูก็หันไปมอง พอเห็นว่าเป็นปรียา สาวไฮโซผู้มาดมั่นเอาแต่ใจ เขาก็ยิ้มให้เธอ แล้วเดินเข้าไปหาเธอ “คุณมาทำอะไรแถวนี้?”

“ก็มารับคุณไง” ปรียาตอบแล้วก็หลิ่วตาบอก ‘ขึ้นรถ’

อารยะมองแล้วก็เหลือบเห็นสายตาของคนร่วมบริษัทมองมาที่เขากับเธอเป็นตาเดียว เขาไม่อยากเป็นจุดสนใจมากเกินไปจึงเดินไปเปิดประตูรถแล้วก้าวเข้าไปนั่งอย่างรวดเร็ว

ปรียาก็เข้าไปนั่งในรถแล้วก็ขับออกไป ผู้คนก็ซุบซิบนินทากันทันที

“นั่นใครน่ะ?”

“หู้ย! นั่นแฟนคุณอารยะเหรอ? ท่าทางรวยน่าดู”

“ฮู้ อยากออกรถหรูๆ รอถูกหวยรางวัลที่ 1 ก่อนเถอะ พ่อจะไปถอยมาซิ่งให้สะใจ”

ภายในรถ อารยะก็ถามว่า “คุณรู้ได้ไงว่าผมทำงานที่นี่?”

“คุณวันบอก” ปรียาตอบอย่างมาดมั่น

อารยะแอบด่าเพื่อนรักในใจ ไม่รู้ว่าตะวันเอาเขาไปขายกับปรียามากน้อยเท่าไหร่ “แล้วคุณมาหาผมมีธุระอะไรเหรอ?”

“ผ่านมา เห็นว่าได้เวลาเลิกงานพอดี ก็เลยแวะรับคุณน่ะ ไหนๆ ปรีก็กำลังจะไปบ้านคุณอยู่แล้วนี่นา”

“ผมไม่ใช่ทางผ่านนะคุณ” อารยะเอ่ยน้ำเสียงสงบ

“ค้า ไม่ใช่ทางผ่าน แต่คุณรับปากแล้วว่าจะเป็นไม้กันหมานี่นา”

อารยะรู้สึกปวดหัวตะหงิดๆ จนต้องยกมือนวดขมับ นี่เขาคิดผิดหรือเปล่าที่ไปรับปากคุณเธอแบบนั้น…เฮ้อ…

ปรียาอมยิ้ม คนอยากเป็นแฟนเธอมีมากมาย แต่ผู้ชายคนนี้กลับไม่คิดจะกระโจนเข้ามาเป็นแฟนเธอสักนิด แต่กลับยอมให้เธอใช้ประโยชน์ เพียงเพราะห่วงว่าเธอจะถูกคนอื่นล่อลวงเอา เขาช่างไม่รู้เลยว่า มีแต่เธอที่ล่อลวงคนอื่น นับตั้งแต่เธอได้เขาเป็นไม้กันหมา เธอก็ไม่เคยโทรเรียกหนุ่มๆ ในสังกัดเลย ซึ่งหนุ่มๆ พวกนี้ก็เป็นพวกดารานายแบบหน้าใหม่ที่รับจ๊อบเอนทั้งนั้น ซึ่งเธอก็ใช้บริการแค่ไปนั่งกินข้าว แล้วก็ควงขึ้นห้องเท่านั้น หลังจากขึ้นห้องไปแล้วเธอก็วางกฎกับพวกเขาชัดเจนว่า ต้องแกล้งทำเป็นแฟนแค่นั้น ซึ่งคนพวกนี้ก็ยอมรับข้อเสนอโดยดี ใครบ้างจะโง่ไม่รับเล่า ได้ควงไฮโซสาวสวย แล้วยังได้เงินอีก ได้ใช้สถานะแฟนปลอมๆ ทั้งๆ ที่อยากจะเป็นแฟนตัวจริงแทบตาย แต่เมื่อหนุ่มคนไหนคิดจะงาบเธอขึ้นมา เธอก็เลิกใช้บริการทันที

อารยะมองออกไปนอกรถ แล้วก็เอนตัวหลับตา วันนี้เขานั่งจ้องจอทั้งวันจนเมื่อยตาไปหมด

Chapter 8

ปรียาควงสองหนุ่มออกงาน

ปรียาเหลือบเห็นเขาหลับก็ไม่คิดจะชวนคุยอะไรต่อ ขับรถไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงบ้านของเขา เธอจึงได้ปลุกเขา “คุณยะ ถึงบ้านแล้วค่ะ”

อ้อยเห็นรถคุณปรียามาจอดหน้าบ้านก็รีบเดินไปไขกุญแจเปิดประตูรั้วให้

เมื่อประตูเปิดออก ปรียาก็ขับรถเข้าไปจอดข้างใน แล้วก็ก้าวลงจากรถ เดินไปเปิดที่เก็บของ ร้องบอกแม่บ้านว่า “ป้าอ้อย วันนี้ปรีซื้อกุ้งแม่น้ำมา ป้าช่วยเอาไปทำเมนูเด็ดๆ นะคะ”

“ค้าคุณปรี” อ้อยรับคำแล้วก็เดินไปยกถุงใส่กุ้งออกมาจากรถหรู แล้วก็รีบเข้าครัวไปจัดการทำอาหาร

อารยะลงจากรถแล้วก็หันไปพูดกับปรียาว่า “เชิญครับ”

ปรียายิ้มให้เขา แล้วก็เดินเข้าไปในบ้านอย่างคุ้นเคย เธอมาที่นี่บ่อยจนกลายเป็นแขกขาประจำไปแล้ว พอๆ กับตะวันที่มักจะมาขลุกอยู่ที่นี่เช่นกัน คิดถึงตะวันยังไม่ทันไร ก็ได้ยินเสียงของตะวันร้องเรียกอยู่หน้าบ้านแล้ว “ไอ้ยะ มาช่วยหิ้วของเร็ว”

อารยะได้ยินเสียงเพื่อนรักก็หันไปมองเห็นรถเพื่อนมาจอดขวางอยู่หน้าบ้านแล้ว

ส่วนตะวันก็ลงมาเปิดที่เก็บของท้ายรถ หิ้วถุงใส่ของหลายใบทีเดียว

อารยะจึงเดินไปช่วยถือ ถามว่า “ซื้อไรมาเยอะแยะ?”

“หนังสือคุณจันน่ะซิ” ตะวันตอบพลางส่งถุงให้เพื่อน

อารยะก็รับมา เขารู้สึกว่าเพื่อนใส่ใจคุณเจ้าหญิงจากต่างโลกเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากแซวอะไร

แล้วคนทั้งสามก็เดินเข้าไปในบ้านซึ่งเปิดแอร์เย็นๆ ไว้แล้ว

เบื้องนอกมีมอเตอร์ไซต์คันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง คนขี่ก็โทรศัพท์รายงานว่า “คุณปรีมาที่บ้านนายอารยะอีกแล้วครับคุณภาส”

ภาสกรได้ฟังก็ขบกรามแน่น สั่งว่า “จับตาดูต่อไป”

“ครับ” คนขี่มอเตอร์ไซต์รับคำสั่งแล้วก็ทำทีไปจอดดักซุ่มอยู่มุมหนึ่ง

ส่วนภาสกรก็กำลังแต่งตัวเตรียมไปงานแต่งงานของไฮโซหนุ่มคนหนึ่งที่จัดงานอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ณ โรงแรมหรูแห่งหนึ่ง ซึ่งงานนี้เขาได้ข่าวว่าปรียาก็จะไปด้วย จึงคิดจะไปดักเจอในงาน วันนี้แหละเขาจะต้องหาทางรวบหัวรวบหางยัยไฮโซนี่ให้ได้ ยิ่งปล่อยเวลาเนิ่นนานไป เกิดพลาดขึ้นมา ไอ้ที่อุตส่าห์ลงทุนลงแรงตามจีบไปก็สูญเปล่าแล้ว อีกทั้งเจ้าหนี้ก็ตามทวงยิกๆ แล้ว อย่างน้อยเขาต้องได้ไถเงินแม่นี่มาบ้างก็ยังดี

ภายในบ้าน 4 หนุ่มสาวนั่งคุยกันไปสารพัดสารพัน

อ้อยก็ทำอาหารยกไปเสิร์ฟเป็นระยะๆ

จนกระทั่งตะวันหยิบโทรศัพท์ซึ่งส่งเสียงแจ้งเตือนขึ้นมา เขาเห็นว่าเป็นแจ้งเตือนงานแต่งงานของเพื่อนไฮโซที่รู้จักกันคนหนึ่งก็หันไปมองปรียาแล้วถามว่า “ค่ำนี้มีงานแต่งของไอ้พอลกับคุณดาราที่ชื่อมิรันตรีนี่ บ้านคุณก็ได้รับเชิญไม่ใช่เหรอ?”

“ค่ะ” ปรียาพยักหน้า ตอบว่า “ปรีก็ต้องไปงานนี้เหมือนกัน”

แล้วเธอก็มองตะวันด้วยสายตามาดหมาย

ตะวันรีบโบ้ยไปทางอารยะทันที “คุณเอาไอ้ยะไปควงออกงานเลยนะ ไม่ต้องคิดมาควงผมออกงานเด็ดขาด ขืนคุณกับผมควงออกงานด้วยกัน มีหวังพวกแม่ๆ ของเราได้ไปมิตติ้งคุยกันเรื่องสินสอดแน่”

ปรียาก็เบนสายตาไปทางอารยะทันที ทำสายตาขอร้อง เอ่ยว่า “ยอมให้ควงออกงานเสียดีๆ นะคะ”

อารยะปากอ้าค้าง “ง่ะ!”

ไหงหวยมาตกใส่หัวเขาล่ะ!?

ตะวันก็ตบๆ ไหล่ เอ่ยว่า “ไปเถอะ”

สายตาก็มองประมาณว่า ‘นายไม่รอดหรอก เหอะๆๆๆ ไม่ต้องคิดปฏิเสธเลยไอ้ยะ’

อารยะถอนหายใจอย่างจำยอม พยักหน้ารับ “เอาๆ จะลากไปลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ที่ไหนก็ตามแต่ใจคุณแล้ว”

“น่ารัก” ปรียาชม ยิ้มแย้มให้ แล้วก็หันไปถามตะวันว่า “แล้วนี่คุณจะไปชุดนี้เหรอ?”

“ผมมีสูทอยู่ในรถแล้ว เดี๋ยวแต่งตัวแล้วก็ไปได้เลยครับ” ตะวันตอบพลางยกไวน์ขึ้นจิบ

“ปรีก็มีเสื้อผ้าอยู่ในรถ” ปรียาบอกแล้วเบนสายตาไปทางอารยะ “คงต้องขอยืมห้องน้ำบ้านคุณอาบน้ำแต่งตัวแล้วล่ะ”

“ครับ” อารยะพยักหน้า จิ้มกุ้งเผาใส่ปาก

“ถ้างั้นผมว่าคุณปรีไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ กว่าจะแต่งตัวเสร็จจะได้ไม่ไปงานสายเกินไป” ตะวันแนะนำพลางมองนาฬิกา

“ค่ะ” ปรียาพยักหน้ารับ แล้วก็หันไปพูดกับอารยะว่า “ขอรบกวนหน่อยนะคะ”

“ครับ” อารยะพยักหน้า ปรียาก็ลุกไปที่รถ หยิบชุดที่จะใส่ไปงานออกมาพร้อมกับกระเป๋าเครื่องสำอาง เธอหิ้วของเข้ามาในบ้าน

อารยะก็ลุกขึ้นผายมือเชิญ “งั้นคุณขึ้นไปใช้ห้องผมล่ะกัน”

ปรียาก็พยักหน้าตกลงอย่างไม่เรื่องมาก

แล้วอารยะก็เดินนำปรียาขึ้นไปข้างบน

ตะวันก็ชวนเจ้าหญิงจันทราคุยนั่นนู้นนี่ไปเรื่อย

เจ้าหญิงจันทราก็คุยกับตะวันอย่างคุ้นเคย ความรู้สึกดีๆบางอย่างก่อเกิดขึ้นในหัวใจ รู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้พูดคุยกับเขา

ส่งปรียาเข้าห้องไปแล้วอารยะก็เดินลงมานั่งดื่มกินต่อ 3 คนก็คุยกันไปเรื่อยๆ

จนกระทั่งปรียาแต่งตัวเสร็จแล้ว หิ้วเสื้อผ้าชุดเดิมกับกระเป๋าเครื่องสำอางลงมา

ทั้งสามคนก็มองปรียาเป็นตาเดียว

ตะวันก็ยกนิ้วโป้งให้ ชมว่า “สวยครับ”

ปรียายิ้มรับอย่างมาดมั่น แล้วก็บอกว่า “คุณสองคนก็ไปแต่งตัวเถอะ จะได้ไปกันเสียที”

“ครับผม” ตะวันรับคำแหมือนทหารรับคำสั่งผู้บังคับบัญชา แล้วก็เดินไปที่รถตัวเอง หยิบชุดสูทออกมาแล้วก็กลับเข้ามาอีกครั้ง เขาเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนเพื่อนรักอย่างถือสนิท

อารยะก็เดินตามไปด้วย เพราะไม่อยากให้ปรียาต้องรอนาน

เมื่อสองสาวอยู่กันตามลำพัง ก็คุยกันประสาหญิงสาว ส่วนใหญ่เป็นปรียาพูดๆ เล่าๆ

เจ้าหญิงจันทราก็ฟังพลางหัวเราะอย่างขบขันไปด้วย

จนกระทั่งสองหนุ่มเดินลงมา

ปรียาก็กวาดตามองทั้งสอง ยกนิ้วโป้งให้ ชมว่า “อืม หล่อเลิศ น่าควงแพ็กคู่จริงๆ”

“คุณควงไอ้ยะน่ะดีแล้ว ไม่ต้องหาเหามาใส่หัวผมเลย” ตะวันบอกอย่างตัดรอน

ปรียาตวัดค้อนให้ทีหนึ่ง “เฮอะ”

เจ้าหญิงจันทรามองตะวัน รู้สึกว่าเขาดูสง่างามยิ่งกว่าวันอื่นๆ

“เอาล่ะ ไหนๆ ก็พร้อมแล้ว งั้นก็ไปกันเถอะค่ะ ไปแล้ว อวยพรแล้วก็รีบชิ่ง” ปรียากล่าวอย่างติดตลก

ตะวันพยักหน้าแล้วก็หันไปร่ำลาเจ้าหญิงจันทรา “ผมกลับก่อนครับ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมาใหม่”

“ค่ะ” เจ้าหญิงจันทราพยักหน้ารับ

ปรียาก็โบกมือให้ “บ๊ายบายค่ะ”

เจ้าหญิงจันทราโบกมือตอบ ยิ้มแย้มให้ทั้งสาม

แล้วปรียาก็เดินนำไปที่รถ

ตะวันก็เดินตามออกไป อารยะหันมาพูดกับเจ้าหญิงจันทราว่า “นอนก่อนได้เลยนะครับ พี่คงกลับดึก ดูปิดประตูปิดหน้าต่างให้ดีๆ ล่ะ สมัยนี้โจรขโมยมันเยอะ”

“ค่ะ” เจ้าหญิงจันทราพยักหน้ารับ

แล้วอารยะก็เดินออกไป เขาเดินไปหาปรียาแล้วก็แบมือ “กุญแจรถ”

ปรียาก็ส่งกุญแจให้ แล้วอารยะก็เดินไปเปิดประตูรถให้ตามประสาสุภาพบุรุษ เมื่อปรียาขึ้นรถแล้วเขาก็ปิดประตูรถแล้วเดินมานั่งประจำที่คนขับ จากนั้นก็ถอยรถออกไป

อ้อยก็เดินไปปิดประตูรั้วแล้วล็อคกุญแจให้ดี

ส่วนตะวันก็ขับรถนำหน้าไปก่อนแล้ว

คนขี่มอเตอร์ไซต์ซึ่งซุ่มดูอยู่ก็โทรรายงานภาสกรว่า “คุณปรีออกมาแล้วครับ”

ภาสกรรับรู้แล้วก็ตัดสาย เขาตบกระเป๋ากางเกงซึ่งมีขวดยาเสียสาวอยู่ แล้วก็เปิดไฟเลี้ยว ค่อยๆ เลี้ยวรถเข้าไปในโรงแรมที่จัดงาน

ภายในรถ ปรียาก็มองใบหน้าด้านข้างของอารยะ แอบชมในใจว่า หล่อกว่าพวกดารานายแบบที่เคยควงเสียอีก งานดีขนาดนี้ยังโสดอยู่ได้ไง? หรือว่าเป็นเก้งกวาง?

“จ้องหน้าผม มีอะไรติดหน้าผมเหรอ?” อารยะถาม ตาก็มองการจราจรบนท้องถนน

ปรียาอดปากไม่ไหวก็ถามว่า “คุณหล่อขนาดนี้ ทำไมยังโสด? หรือว่าเป็นเก้งกวาง?”

อารยะเหลือบมองเธอทีหนึ่ง แล้วก็ตอบว่า “ผมน่ะแมนเต็มร้อย ไอ้ที่ยังโสดนี่ก็เพราะผมยังไม่เจอผู้หญิงที่ผมรักน่ะซิ”

“อ่อ” ปรียาพยักหน้ารับรู้ “งั้นก็ต้องมีผู้หญิงที่คบๆ บ้างซินะ ปรีควงคุณออกงานอย่างนี้หวังว่าคงไม่ทำให้ผู้หญิงของคุณเข้าใจผิดนะ”

“คนคบก็ยังไม่มี คุณสบายใจได้”

“หึ๊ย! จะเป็นไปได้ยังไง? โกหกล่ะ”

“ไม่โกหก วันๆ ผมทำแต่งาน กับคอยดูแลน้องจะเอาเวลาที่ไหนไปคบใครล่ะ อีกอย่างผู้หญิงส่วนมากเขาชอบสายเปย์ ไอ้ผมมันไม่มีเปย์ให้เขาหรอก ใครเขาจะอยากคบด้วยล่ะ”

“อ่อ สายงกนี่เอง” ปรียาพยักหน้าเข้าอกเข้าใจ แต่พอมาคิดๆ ดูแล้ว เขาก็ไม่ได้งกเสียหน่อย ทุกครั้งที่เธอนัดกินข้าวกับเขา เขาก็เป็นคนจ่ายตลอดไม่ยอมให้เธอได้จ่ายเลย ไม่ว่าจะร้านหรูขนาดไหนเขาก็ไม่เคยอิดออด แล้วจะว่า ‘งก’ ได้ยังไง เท่าที่รู้มาตำแหน่งหน้าที่การงานเขาก็ใหญ่โตพอสมควร ชุดสูทที่เขาใส่แม้ไม่ใช่แบรนด์หรู แต่ก็ดูออกว่าเป็นสูทสั่งตัด ฝีมือประณีต

“อ่อ ลืมถาม งานจัดที่ไหนเหรอ?” อารยะถาม สายตาก็มองรถของตะวันซึ่งขับนำหน้าอยู่ลิบๆ

“โรงแรมเซ็นทาร่าแกรนด์”

“อ่อ” อารยะพยักหน้ารับรู้ แล้วก็ขับรถมุ่งหน้าไปยังโรงแรม

“ขับรถสปอร์ตคล่องเชียว” ปรียาพูดขึ้นมา มองดูเขาขับรถด้วยท่าทีคล่องแคล่วไม่มีติดขัดสักนิด ราวกับว่าขับมานับไม่ถ้วนแล้ว

“เมื่อก่อนผมเคยเป็นเด็กรับรถในโรงแรม กับเคยอยู่ทีมซ่อมรถแข่งน่ะ” อารยะตอบอย่างไม่ปิดบัง

ปรียาก็พยักหน้ารับรู้แล้วก็เงียบไป

อารยะก็คิดว่าเธอคงจะนึกรังเกียจเขาแล้วมั้ง หลังจากนี้เธอคงตีตัวออกห่างแน่ๆ

ปรียาก็กำลังจำข้อมูลของเขาเอาไว้ อืม เคยเป็นเด็กรับรถ เคยอยู่ทีมซ่อมรถแข่ง นี่เขาทำงานอะไรมาบ้างนะ?

จนกระทั่งถึงโรงแรม อารยะก็จอดรถที่ลานจอด แล้วก็เดินไปเปิดประตูให้ปรียา

ปรียาก็ส่งมือให้เขาออกจากรถมายืนเคียงข้างเขา เธอหยิบกระเป๋าใบน้อยมาแล้วพยักหน้าให้เขาทำนองว่า ‘พร้อมแล้ว’

อารยะจึงปิดประตูรถแล้วกดล็อค จากนั้นทั้งสองก็เดินตรงไปยังห้องจัดงานเลี้ยง

ตะวันก็ยืนรออยู่ตรงทางเข้าโรงแรม

พอเห็นตะวัน ปรียาก็ยื่นมือไปคล้องแขนเขาอย่างถือสนิท “มาให้เจ้ควงซะดีๆ สุดหล่อ”

ตะวันกลอกตามองบน หมดคำจะพูด ยอมให้ปรียาควงแขนเขากับอารยะเดินไปยังห้องจัดเลี้ยง

หน้าห้องจัดเลี้ยง เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็กำลังยืนถ่ายรูปกับแขกเหรื่อ

ปรียาก็ควงสองหนุ่มสุดหล่อไปเขียนคำอวยพรในสมุด

ตะวันขยับไปเขียนในสมุดอีกเล่ม ปล่อยให้ปรียาควงอารยะไป จากนั้นก็ไปทักทายเจ้าบ่าวเจ้าสาวกล่าวคำอวยพรตามมารยาทแล้วก็ถ่ายรูปร่วมกับเจ้าบ่าวเจ้าสาว ขณะที่ชัตเตอร์ดังอยู่นั้น จู่ๆ ปรียาก็คล้ายกับมองเห็นภาพตัวเองสวมใส่ชุดเจ้าสาวสีขาวยืนเคียงคู่กับอารยะ เธอกะพริบตา ภาพนั้นความรู้สึกนั้นก็หายวับไป

“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากๆ ค่ะ เชิญเข้างานก่อนนะคะ” เสียงเจ้าสาวทำให้ปรียาดึงสติกลับมา

ตะวันเดินนำหน้าไปก่อนแล้ว

ปรียาจึงควงอารยะเดินเข้างานไป

ภาสกรซึ่งเห็นปรียาเดินเข้างานมาพร้อมกับผู้ชายคนนั้นก็แอบกัดฟันกรอดๆ

ทำให้เพื่อนสนิทซึ่งยืนอยู่ข้างๆ มองตามไป เมื่อเห็นสาวสวยที่เพื่อนคั่วอยู่ควงหนุ่มมาออกงานก็กระซิบว่า “ใครวะ?”

ภาสกรยิ่งกัดฟันกรอดๆ มองก้างชิ้นใหญ่อย่างโมโห แล้วก็กระซิบกับเพื่อนว่า “มึงช่วยกูเผด็จศึกมันทีซิ”

“มึงจะรวบหัวรวบหางมันคืนนี้?” เพื่อนกระซิบถาม

ภาสกรก็พยักหน้ารับ

เพื่อนก็กระซิบว่า “ได้ๆ เดี๋ยวกูช่วยมึงเอง อีนี่มันก็ควงคนนั้นทีคนนี้ทีอยู่แล้วนี่ เพิ่มมึงเป็นผัวมันอีกซักคนจะเป็นไรไป”

“มึงไปเปิดห้องให้กูที เดี๋ยวยาเริ่มออกฤทธิ์แล้วกูจะรีบพามันขึ้นห้องเลย” ภาสกรกระซิบสั่ง “กูจะคอยหาจังหวะใส่ยา มึงเปิดห้องแล้วก็มาช่วยกูกันท่าไอ้สองตัวนั่นที”

“อืมๆ ได้ๆ” เพื่อนพยักหน้ารับแล้วก็แยกตัวเดินออกไปจากห้องจัดเลี้ยง

ภาสกรก็ปั้นสีหน้ายิ้มแย้มเดินเข้าไปทักทายปรียา “คุณปรี จะมางานนี้ทำไมไม่บอกผมล่ะ ผมจะได้ไปรับ”

ปรียาตัวแข็งเกร็งขึ้นมาทันที เธอไม่ชอบสายตาของภาสกรเลย สายตาที่มองเธอเหมือนเขาเป็นหมาป่าแล้วมองเธอเป็นเหยื่ออันโอชะ เธอมองตอบเขาสายตาเย็นชา พูดว่า “ขอบคุณ แต่ไม่เป็นไรค่ะ ฉันมากับแฟนแล้วค่ะ”

คำว่า ‘แฟน’ ทำให้สายตาของผู้คนแถวนั้นตกไปอยู่ที่ตัวชายหนุ่มหล่อเหลาข้างกายไฮโซสาวทันที หลายๆ คนก็คิดว่า หนุ่มหล่อคนนี้งานดีกว่าทุกคนที่เคยเห็นไฮโซสาวควงซะอีก อืม…หล่อกว่านายภาสกรมากนัก หากยืนเทียบกันแล้ว ราวกับเพชรเม็ดงามกับก้อนกรวดเลยทีเดียว

ส่วนภาสกรก็ลอบกัดฟันกรอดๆ หันไปมองชายหนุ่มข้างกายปรียาเขม็ง แย้มยิ้มขึ้นยื่นมือไปแนะนำตัวเองว่า “ผมภาสกรครับ”

“ผมจำได้ เราเคยเจอกันที่นครวัดครั้งนึง” อารยะตอบแล้วก็ยื่นมือไปเช็คแฮนด์ด้วย แต่ก็ไม่ได้แนะนำตัวเองแต่อย่างใด

ตะวันเห็นบรรยากาศอึมครึมก็ปราดเข้าไปพูดกับปรียาว่า “คุณปรี เราไปดูอาหารกันดีกว่า”

“ค่ะ” ปรียาพยักหน้าแล้วก็ยื่นมือไปควงแขนตะวัน หันไปพูดกับภาสกรว่า “ขอตัวก่อนนะคะ”

ภาสกรพยักหน้ารับ

แล้วปรียาก็ควงสองหนุ่มหล่อเดินไปทางโต๊ะอาหาร ผู้คนก็มองดูสาวไฮโซควงสองหนุ่มแล้วก็แอบซุบซิบกันว่า “อุ้ย ชีช่างมั่นหน้า ควงสองเลยอ่ะ”

“นั่นมันลูกชายคุณหญิงพรรณนานี่นา ต๊าย! ไปสนิทสนมกับแม่คนนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“หู้ย อยากควงสองมั่งอ่ะ”

“นี่ๆก่อนจะควงสอง ถามสามีคุณที่ยืนหัวโด่ตรงนี้ว่าอนุญาตยัง”

“คริๆ” ฯลฯ

ปรียาควงสองหนุ่มไปที่โต๊ะอาหารแล้วก็จะเอื้อมมือไปหยิบจานมา

อารยะก็หยิบจานส่งให้

ปรียาจึงรับมาถือไว้ “ขอบคุณค่ะ”

แล้วก็เดินไปเลือกอาหาร เธอเลือกผลไม้กับของหวานนิดหน่อย เพราะกินอิ่มมาจากบ้านอารยะแล้ว

ส่วนอารยะก็ถือจานตักๆ ผลไม้ที่ชอบใส่จาน

ส่วนตะวันก็ขยับไปดูอาหาร แล้วเขาก็เลือกตักอาหารใส่จาน จากนั้นก็หันไปพยักเพยิดกับคนทั้งสอง เหล่ตาไปยังโต๊ะที่อยู่ห่างออกไปซึ่งว่างอยู่ไม่มีคนนั่ง

ผู้คนในงานบางคนก็แอบถ่ายรูปตะวันกับปรียาและหนุ่มหล่ออีกคนเอาไว้ แล้วส่งรูปให้นักข่าวเอาไปเขียนข่าวซุบซิบ

Chapter 9

วางยาพาขึ้นห้อง

ภาสกรมองทั้งสาม ขบกรามกรอดๆ อุตส่าห์ลงทุนลงแรงตามจีบมาตั้งนาน แต่ปรียากลับเอาแต่หลบเลี่ยงแสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่คิดจะคบหาด้วย เหยื่อที่ดูว่าง่ายกลับกลายเป็นยากขึ้นมา ทำให้เขายิ่งอยากเอาชนะ อยากทำให้สาวสวยสยบอยู่ใต้ร่างตัวเองจริงๆ ฮึ่ม! คืนนี้แหละกูจะฟันมึงให้ได้อีปรียา!

ผู้คนในงานก็โฉบเข้าไปทักทายตะวันกับปรียาเป็นระยะๆ แต่สายตากลับมองหนุ่มหล่อข้างกายปรียา จนอารยะรู้สึกอึดอัดไม่น้อย ปรียาก็แนะนำหนุ่มข้างกายว่า “อ่อ นี่คุณอารยะค่ะ เป็นแฟนปรีเอง ทำงานอยู่ที่ IBM เป็นรองผู้จัดการฝ่ายเทคนิคค่ะ”

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

สองสามีภรรยากล่าวพลางยื่นมือไปเช็คแฮนด์ด้วย

อารยะก็ยื่นมือเช็คแฮนด์ ยิ้มแย้มให้ กล่าวทักทายตามมารยาท “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

หลังจากนั้นสองสามีภรรยาก็ขอตัวไปทักทายคนอื่นๆ พอเดินห่างคนทั้งสามไปหน่อยก็แอบซุบซิบกันว่า “ต๊ายคุณ ไม่คิดเลยว่ายัยปรียาจะซุ่มคบหนุ่มนอกวงการ”

“นั่นซิ แบบนี้พวกเด็กเอนพวกนั้นไม่อกหักแย่เหรอ”

“ข่าวนี้ต้องขยาย!”

จากนั้นสองสามีภรรยาขาเม้าก็โฉบไปคุยกับคนอื่นๆ ต่อ

อารยะก็หันไปมองปรียาเขม็ง กระซิบว่า “นี่คุณ ไหงแนะนำแบบนั้นล่ะ ผมเสียหายหลายล้านนะคุณ”

“อ๋อ เหรอคะ” ปรียายานคางกระซิบตอบ ตาแพรวระยับอย่างสนุก “งั้นปรีรับผิดชอบ เดี๋ยวให้แม่ไปขอดีไหม?”

“ฮื้อ! คุณนี่ยังจะพูดเล่นอีก” อารยะกระซิบดุ แล้วก็หันไปหยิบผลไม้ใส่ปากแก้โมโหคนข้างๆ

ปรียาหัวเราะคิกคักที่แกล้งเขาได้

เพื่อนสนิทของภาสกรเดินกลับเข้ามา กระซิบว่า “กูเปิดห้องให้มึงเตรียมเชือดแล้ว นี่คีย์การ์ด”

เขาเอาคีย์การ์ดยัดใส่มือเพื่อน

ภาสกรก็เหลือบมองเลขห้อง กระซิบว่า “ขอบใจว่ะ”

แล้วก็เก็บคีย์การ์ดใส่กระเป๋าเสื้อ กระซิบกับเพื่อนว่า “เดี๋ยวมึงช่วยกูกันท่าไอ้สองตัวนั่น”

“เออ กูรู้แล้ว มึงไม่ต้องพูดมาก แค่หลอกหญิงไปเชือดกูเซียนกว่ามึงเยอะ ว่าแต่ยามึงมีแล้วยัง ถ้ายังไม่มีมึงเอาของกูก่อนก็ได้” เพื่อนกระซิบเสียงเบา

ภาสกรพยักหน้า “กูมี”

แล้วเพื่อนก็พยักหน้าอย่างมาดร้าย “มึงเชือดมันแล้ว แบ่งให้กูมั่งล่ะ หรือจะให้กูไปช่วยถ่ายคลิปเอาไว้รีดก็บอก กูไม่ได้ดูหนังสดมานานล่ะ”

“เอามันขึ้นห้องให้ได้ก่อนเถอะ หลังจากนั้นกูกะมึงค่อยสนุกกะมัน” ภาสกรกระซิบตอบ

แล้วทั้งสองก็ส่งสายตาให้กันอย่างเข้าขา

อารยะนั่งดื่มกินไปสักพักก็กระซิบกับปรียาว่า “ผมขอไปทำธุระแป๊บ”

“ค่ะ” ปรียาพยักหน้ารับรู้

อารยะก็ลุกออกไป เดินออกไปจากห้องจัดเลี้ยงไปยังห้องน้ำ

เมื่อเห็นหนุ่มที่ปรียาแนะนำว่าเป็นแฟนลุกไป ภาสกรก็ส่งสายตากับเพื่อนสนิท

เพื่อนสนิทก็มองตอบอย่างรู้ความหมาย รอจนตะวันลุกไปตักอาหาร เพื่อนสนิทของภาสกรก็ปราดไปคุยกับตะวันทันที “สวัสดีครับคุณตะวัน”

“สวัสดีครับ” ตะวันตอบตามมารยาท

“เอ่อ…คุณตะวันพอจะมีเวลาให้ผมสักหน่อยไหมครับ คือพอดีว่าผมปิ๊งผู้จัดการแผนกประชาสัมพันธ์ที่บริษัทคุณน่ะครับ เลยอยากรู้ว่าเธอคบหาใครบ้าง หรือว่าแต่งงานแล้วน่ะครับ คุณตะวันช่วยผมหน่อยนะครับ”

ตะวันมองอย่างไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไหร่แต่ก็เก็บความไม่พอใจเอาไว้ ตอบตามมารยาทว่า “เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของเธอครับ ผมก็ไม่รู้หรอกครับ คุณควรจะไปถามเธอเองดีกว่านะครับ”

ขณะที่ตะวันกำลังถูกดึงตัวไว้ ภาสกรก็รีบโฉบไปนั่งข้างปรียาทันที ชวนคุยว่า “ผู้ชายคนนั้น อยู่โมไหนเหรอ?”

“อยู่โม IBM ค่ะ” ปรียาตอบแบบเกทับ

จังหวะนั้นเองคุณหญิงสิริลักษณ์ก็ปราดเข้ามาทักทายปรียา “แหม หนูปรีมานั่งอยู่ตรงนี้เอง น้าขอนั่งด้วยคนนะ”

คุณหญิงสิริลักษณ์พูดแล้วก็นั่งลงตรงเก้าอี้ที่อารยะนั่ง

ปรียาหันไปมองแล้วก็ยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะคุณหญิง”

คุณหญิงสิริลักษณ์ก็ยื่นมือไปตรงหน้าปรียา เอ่ยว่า “หนูปรีช่วยดูแหวนเพชรวงใหม่นี่ให้น้าทีซิ ราคาควรจะซักเท่าไหร่ พอดีว่าคุณนายฉายจะเอามาจำนำกับน้าน่ะ นี่ถ้าไม่เจอหนู น้าก็กะว่าพรุ่งนี้จะเข้าไปที่ร้านนั่นแหละ”

ปรียามองแหวนเพชรในมือคุณหญิงแล้วก็หยิบมาพิศดู

ภาสกรก็แอบฉวยโอกาสตอนที่ทั้งสองคนคุยกัน แอบเทยาเสียสาวใส่แก้วไวน์ของปรียา

ในขณะที่ตะวันกำลังจะขอตัวกับเพื่อนสนิทของภาสกร ก็มีชายสูงวัยเดินเข้าไปทักทายกับตะวัน “สวัสดีหลานตะวัน”

“สวัสดีครับ คุณอากิมเอง” ตะวันยกมือไหว้

แล้วกิมเองก็ชวนตะวันคุย

เพื่อนสนิทของภาสกรก็หันไปทำทีตักอาหาร เหลือบไปมองภาสกร เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องก็พอจะเดาได้ว่า คงจะแอบใส่ยาไปแล้ว

ปรียาพิศดูแหวนครู่หนึ่ง แล้วก็บอกว่า “ราคาคร่าวๆก็ 3 แสนค่ะคุณน้า”

แล้วก็ส่งแหวนคืนให้คุณหญิงสิริลักษณ์

คุณหญิงสิริลักษณ์พูดคุยกับปรียา

ระหว่างที่คุย ปรียาก็หยิบแก้วไวน์ขึ้นจิบไปด้วย เธอไม่ได้เฉลียวใจเลยสักนิดว่า ภาสกรจะกล้าวางยาลงในแก้วไวน์

คุณหญิงสิริลักษณ์พูดคุยกับปรียาอย่างออกรสอยู่พักใหญ่ แล้วก็ขอตัวไปคุยกับคนอื่นต่อ

ปรียาก็ยกมือไหว้อีกฝ่ายตามมารยาท

แล้วคุณหญิงก็ลุกไป

ปรียายกไวน์ขึ้นจิบจนหมดแก้ว

ส่วนอารยะ หลังจากออกจากห้องน้ำแล้ว เขาก็เดินไปหาที่นั่งคุยโทรศัพท์กับเพื่อนร่วมงานที่โทรมาปรึกษาเคสด่วน ทำให้เขาไม่อาจกลับเข้าไปในงานได้เร็วนัก

ส่วนตะวันก็ติดคุยกับกิมเองอยู่ ช่างเป็นโอกาสเหมาะเหม็งสำหรับภาสกรจริงๆ

ปรียารู้สึกมึนๆ หัวขึ้นมา คิดว่า สงสัยคงดื่มไวน์มากไปหน่อย เธอจึงหันไปพูดกับภาสกรว่า “ขอตัวค่ะ”

ภาสกรพยักหน้า ซ่อนรอยยิ้มสมใจไว้มิดชิด

แล้วปรียาก็ลุกขึ้นคว้ากระเป๋าถือเดินออกจากห้องจัดเลี้ยงไป เธอคิดว่าถ้าไปปลดทุกข์เบาในห้องน้ำสักครู่แล้วดื่มน้ำตามสักขวดคงจะทำให้อาการดีขึ้นมั้ง

ภาสกรก็เดินตามไป ผู้คนในงานก็ไม่ได้เอะใจอะไรเลย เพราะเห็นเป็นเรื่องปกติแล้วที่จะเห็นภาสกรตามตื้อไฮโซสาวแบบนี้

ส่วนเพื่อนสนิทของภาสกร พอเห็นปรียาเดินออกไป มีภาสกรตามไป เขาก็รีบปลีกตัวเดินออกไปจากงานทันที

ปรียาเดินมึนๆ หัวออกไป เธอตรงไปยังห้องน้ำทันที

ภาสกรก็ตามหลังไปด้วยท่าทางสงบ

ปรียาเดินเซๆ จนต้องขยับไปเกาะผนัง

ภาสกรก็รีบเข้าไปประคอง พูดว่า “คุณคงจะเมาแล้ว งั้นเดี๋ยวผมพาไปนั่งนะครับ”

ปรียาหันไปมอง ยื่นมือผลักเขาออก แต่จู่ๆ เธอก็รู้สึกวิงเวียนมึนหัวจนยืนทรงตัวไม่อยู่ เซวูบเข้าไปในอ้อมอกของภาสกรที่รอท่าพอดิบพอดี แล้วภาสกรก็ประคองปรียาเดินไป

ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาก็ไม่ได้เอะใจอะไร คิดว่าคนเมาธรรมดาเท่านั้น ก็มีงานเลี้ยงที่บริการเครื่องดื่มเลิศรสแบบไม่อั้นอย่างนี้ จะมีคนเมาให้เห็นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

แล้วภาสกรก็ประคองปรียาไปขึ้นลิฟท์

ขณะที่ทั้งสองเข้าไปในลิฟท์ เผอิญเพื่อนของตะวันยืนอยู่ตรงหน้าลิฟท์พอดี เขาทันเห็นหมายเลขห้องบนซองใส่คีย์การ์ดที่ภาสกรหยิบออกมาใช้ปลดล็อคลิฟท์ให้ทำงาน อีกทั้งท่าทางของปรียาก็ดูผิดปกติ เขาจำได้ว่าปรียาเป็นคนระมัดระวังตัว ไม่เคยที่จะดื่มจนเมาขนาดนี้ แล้วตอนที่ตะวันเข้างานมาก็มาพร้อมกับปรียากับอารยะ แล้วไหงจู่ๆ ถึงได้มากับภาสกรได้ล่ะ?

ข้อสงสัยเหล่านี้ทำให้เขารีบเดินกลับเข้าไปในงาน พอเจอตะวัน เขาก็รีบเข้าไปกระซิบบอก

ตะวันซึ่งยืนคุยกับกิมเองอยู่ฟังแล้วก็รีบขอตัวกับกิมเองว่า “เอ่อ…คุณอาครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ”

“อื้มๆ ไปเถอะ” กิมเองพยักหน้าแล้วก็หมุนตัวไปคุยกับคนอื่นต่อ

ในเวลาเดียวกันอารยะก็คุยกับเพื่อนร่วมงานเสร็จแล้ว เขาก็เดินกลับเข้ามาในงาน เจอกับตะวันตรงประตูพอดี

ตะวันเห็นเพื่อนรักมาก็คว้าแขนอารยะเดินออกไปนอกห้องจัดเลี้ยง แล้วกระซิบบอกว่า “นายภาสกรนั่นพาคุณปรีขึ้นลิฟท์ไปแล้ว ดูเหมือนว่าคุณปรีจะเมามากด้วย”

อารยะเบิกตากว้าง เข้าใจความหมายคำพูดของตะวันทันที

จากนั้น 3 หนุ่มก็รีบมุ่งตรงไปยังลิฟท์ทันที ตะวันล้วงคีย์การ์ดออกมาจากกระเป๋าสตาง เขามีคีย์การ์ดของโรงแรมนี้ก็เพราะว่าเขาเป็นลูกค้า VIP ของร้านอาหารซึ่งอยู่ชั้นบนของโรงแรมแห่งนี้ ทางร้านจึงมอบคีย์การ์ดให้เขาเอาไว้ จะได้สะดวกเวลามาใช้บริการที่ร้าน

เมื่อลิฟท์ถึงชั้นที่เปิดห้องเอาไว้ ภาสกรก็ประคองปรียาเดินออกจากลิฟท์ พาเดินไปยังห้องที่เปิดเอาไว้ ในใจกระหยิ่มยิ้มย่อง วันนี้แหละกูจะฟันมึงให้ห**แหกเลยอีปรี! เล่นตัวดีนักนะมึง! เดี๋ยวกูจะจับมึงถ่ายคลิปทุกซอกทุกหลืบเอาไว้รีดให้หมดตัวเลยอีเวร!

เมื่อถึงห้อง เขาก็เปิดประตูเข้าไป แล้วพาปรียาไปนอนบนเตียง

ปรียาพยายามลืมตาขึ้นอย่างมึนงง รู้สึกว่าเนื้อตัวร้อนจนเหงื่อซึม “น้ำ…หิวน้ำ…”

เธอพยายามยันตัวขึ้นมา

ภาสกรก็มองดูอย่างย่ามใจ “หิวน้ำหรือจ๊ะอีปรี วันนี้กูจะให้มึงกินน้ำคว**กูจนอิ่มเลย”

ปรียารู้ตัวว่าเสียท่าแล้วก็พยายามจะลุกหนี แต่เธอวิงเวียนมึนงงจนแขนขาเหมือนไม่ใช่ของตัวเอง แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังพยายามยันตัวลุกขึ้นมา

เสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้น ภาสกรคิดว่าเป็นเพื่อนสนิทก็เดินไปเปิดประตู บ่นว่า “มึงจะกดกริ่งทำเหี้…”

พูดยังไม่ทันจบ กำปั้นหนักๆ ก็พุ่งมากระแทกหน้าแล้ว “โอ๊ย!”

เขาเซถอยหลังไป ก็รู้สึกเจ็บที่ท้องจนเซล้มลง ทันเห็นเท้าหนึ่งที่ถีบมา

อารยะถีบแล้วก็ขยับไปเหยียบอกกดเอาไว้

ตะวันกับเพื่อนอีกคนก็รีบกรูเข้าไปในห้อง เห็นปรียานอนอยู่บนเตียง พวกเขาจึงช่วยประคองเธอขึ้นมา สองหนุ่มปรึกษากัน “เอาไงดี? จับมันส่งตำรวจเลยไหม?”

“ก็ส่งตำรวจเลยซิ จะเอามันไว้ทำไม คนเลวๆ พรรค์นี้ ปล่อยไว้ก็ดีแต่จะไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นอีก” ตะวันพูดแล้วก็ตบแก้มปรียาเบาๆ “คุณปรีๆ คุณเป็นไงมั่ง?”

ปรียาพยายามฝืนลืมตามอง เห็นว่าเป็นตะวันก็รีบบอกเสียงระโหยอ่อนแรงว่า “คุณวัน ช่วยปรีด้วย ปรีร้อน”

มือก็ปัดป่ายพยายามที่จะถอดเสื้อออก

“พวกมึง!” ภาสกรคำรามเสียงต่ำคำหนึ่ง

อารยะมองอย่างเหี้ยมเกรียม แล้วก็เตะเสยคางพลั๊ก!

“โอ๊ะ!” ภาสกรร้องออกมาคำเดียวแล้วก็สลบไป แล้วอารยะก็มองหาอะไรที่จะมามัดมือภาสกร เขาเห็นเสื้อคลุมอาบน้ำแขวนอยู่ในตู้ก็ยื่นมือไปกระตุกเชือกผูกเอวของเสื้อคลุมออกมา แล้วจัดแจงมัดภาสกรเอาไว้ เมื่อมัดเสร็จแล้วเขาก็เดินเข้าไปในห้อง พร้อมกับปิดประตูห้องด้วย พอเห็นสภาพปรียาเขาก็ถลันเข้าไปหาอย่างเป็นห่วง “คุณปรี! คุณเป็นยังไงมั่ง?”

“ร้อน” ปรียาตอบอย่างไร้สติ มือก็พยายามถอดเสื้อ

สองหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ต้องช่วยกันจับแขนยื้อยุดเอาไว้

เพื่อนสนิทของตะวันก็พูดว่า “อาการแบบนี้คงโดนยาเสียสาวเข้าไปว่ะ ผมว่าพาเธอส่งโรงบาลก่อนเถอะเกิดช็อคยาไปจะแย่นะ”

“ไอ้ยะ แกพาคุณปรีไปส่งโรงบาลก่อน ส่วนทางนี้เดี๋ยวฉันจัดการเอง” ตะวันบอก

อารยะยังไม่ทันขยับตัว พลัน! ประตูห้องก็มีเสียงปลดล็อคดังขึ้น

3 หนุ่มหันไปมองหน้ามองตากัน

แล้วอารยะก็รีบพุ่งไปยืนอยู่ข้างบานประตูทันที

เมื่อประตูเปิดออก เพื่อนสนิทของภาสกรก็ก้าวเข้ามาในห้องก้าวหนึ่ง แต่พอสายตาเห็นภาสกรนอนอยู่ที่พื้น มือถูกมัดเอาไว้ เขาก็ชะงักกึก ชักขาก้าวถอยหลังทันที

อารยะก็ยื่นมือไปจิกผมลากคนเข้ามา “จะไปไหน!”

“โอ๊ยๆ ปล่อยผมๆ” เพื่อนสนิทของภาสกรร้องลั่น โวยวายว่า “คุณปล่อยผม ผมเข้าห้องผิด ปล่อยผมนะ”

อารยะดึงคีย์การ์ดที่เสียบคาอยู่ที่ประตูมา แล้วดันบานประตูปิด

เสียงล็อคประตูดังกริ๊กทำให้ชายที่ถูกจิกผมสะดุ้งเฮือก

อารยะมองคีย์การ์ดแล้วพูดว่า “เข้าห้องผิดงั้นรึ! มึงโกหกไม่เนียนเลยว่ะ”

“ผมเข้าห้องผิดจริงๆ ปล่อยผมไปเถอะคร้าบ ผมไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ปล่อยผมไปเถอะคร้าบ” เพื่อนสนิทของภาสกรร้องพลางพยายามแกะมือที่ขยุ้มผมตัวเองจิกเอาไว้ เจ็บจนหนังหัวชาหนึบไปหมด

อารยะกระชากคนลากไปเหวี่ยงตรงพื้นระหว่างเตียงนอนกับทีวี

“โอ๊ย!” ชายคนนั้นร้องแล้วก็ถอยกรูดไป

อารยะตามไปเหยียบขาเอาไว้ข้างหนึ่ง

“โอ๊ยๆ เจ็บๆๆๆ” ชายคนนั้นก็ร้องลั่น สายตาเหลือบไปเห็นตะวันก็รีบพูดว่า “คุณตะวันช่วยผมด้วย ผมไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยนะ ปล่อยผมไปเถอะ”

“ปล่อยงั้นรึ!” ตะวันแค่นเสียงเหี้ยมเกรียม “ปล่อยมึงเข้าคุกไง มึงอย่าคิดนะว่ากูไม่รู้ว่ามึงกับมันรวมหัวกันคิดจะข่มขืนคุณปรีน่ะ”

“เปล๊า! ผมเปล่านะ ผมเข้าห้องผิดจริงๆ สาบานให้ฟ้าผ่าเลยก็ได้” ชายคนนั้นชูนิ้วขึ้นมา พลัน! เบื้องนอกก็มีแสงสว่างวาบขึ้นนอกหน้าต่าง ตามมาด้วยเสียงดังเปรี้ยง! ชายคนนั้นรีบลดนิ้วลงทันที หัวหดกลัวจนฉี่แทบราด

“ไอ้ยะ แกพาคุณปรีไปโรงบาลก่อน ทางนี้ฉันจัดการเอง” ตะวันบอก

อารยะก็พยักหน้ารับ “อืม” แล้วเขาก็เดินไปอุ้มปรียาขึ้นมา

ปรียาก็กอดคอหมับ เอาหัวซบถูไถราวกับว่าทำเช่นนี้แล้วจะช่วยบรรเทาอาการร้อนรุ่มในร่างกายลงไปได้

อารยะกัดฟันแน่น แล้วก็รีบพาปรียาไป

ตะวันก็เดินไปเปิดประตูห้องให้ จากนั้นเขาก็ปิดประตูแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรเรียกตำรวจที่รู้จักคุ้นเคยให้มาทำคดี

ส่วนเพื่อนสนิทของตะวันก็หันไปยืนเฝ้าชายคนนั้นเอาไว้ กันไม่ให้คนพรวดพราดหนีไปได้

ปรียาอยู่ในอ้อมแขนอารยะ จู่ๆ ก็เผยอตัวจูบปากเขา

อารยะจะปัดป้องก็ทำไม่ได้ เขาจึงได้แต่พยายามหันหน้าหนี

ปรียาก็จับศีรษะเขาเอาไว้แน่น แล้วจูบอย่างรุนแรง

อารยะก็พยายามหันหน้าหนี แต่เขาจะหนีไปไหนได้ ถูกรุกหนักเข้า เขาก็จูบตอบ

กว่าปรียาจะสงบลงก็ราว 10 นาทีได้

Chapter 10

ยังซิง!!!

เมื่อปรียาถอนปากออก อารยะก็บอกว่า “คุณอดทนหน่อย ผมกำลังจะพาคุณไปโรงบาล”

“ร้อน ปรีร้อน” ปรียาตอบอย่างไร้สติ

อารยะก็รีบพาปรียาไปกดลิฟต์ เมื่อลิฟท์เปิดออกเขาก็รีบก้าวเข้าไป โชคดีที่ไม่มีใครในลิฟท์เลย ไม่งั้นคนคงเอาไปลือกันสนุกปากแน่

ครั้นลิฟท์เปิดออกอีกที อารยะก็รีบพาปรียาไปที่รถ เขาปล่อยเธอลงยืนแล้วล้วงกุญแจออกมากดปลดล็อค จากนั้นก็เปิดประตูรถแล้วจับปรียาเข้าไปนั่ง จัดแจงคาดเบลท์ให้ เสร็จสรรพแล้วเขาก็รีบเดินไปนั่งประจำที่คนขับ รีบขับรถออกไป

ปรียาก็นอนระทดระทวยอยู่บนเบาะ มือปัดป่ายดึงเสื้อตัวเองไปมา พยายามจะถอดเสื้อออก

อารยะมองเห็นผิวเนื้อขาวๆโผล่ออกมาก็กลืนน้ำลายเอือก รีบปาดซ้ายปาดขวามุ่งหน้าไปโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน จนรถคันอื่นๆร้องตะโกนด่าตามหลังกันขรม

เมื่อถึงโรงพยาบาล อารยะก็พุ่งรถเข้าไปจอดหน้าตึก ER แล้วเขาก็รีบลงไปเปิดประตูฝั่งปรียา

บุรุษพยาบาลก็กรูกันมาอออยู่ข้างรถ

อารยะรีบแกะเบลท์ออก ถอดสูทตัวนอกคลุมตัวให้ปรียา แล้วอุ้มเธอออกมาส่งให้บุรุษพยาบาล บอกว่า “เธอถูกวางยาเสียสาว”

บุรุษพยาบาลอ้าปากค้างไปครู่หนึ่ง แล้วก็พยักหน้าหงึกๆ

อารยะก็วางปรียาลงบนเตียงที่บุรุษพยาบาลเข็นมาเทียบอยู่ข้างรถ

“เดี๋ยวผมเอารถไปจอดก่อน ฝากคุณดูแลเธอด้วย เดี๋ยวผมมา” เขาบอกแล้วก็รีบก้าวไปขับรถไปจอดในที่จอดรถ แล้วก็รีบวิ่งไปที่ตึก ER

บุรุษพยาบาลก็เข็นคนไข้เข้าไปในห้อง ER

พยาบาลในห้องก็ถามว่า “คนไข้เป็นอะไรมา? ญาติคนไข้ล่ะ?”

“ญาติเอารถไปจอด เดี๋ยวมา เห็นบอกว่าคนไข้ถูกวางยาเสียสาวน่ะ” บุรุษพยาบาลตอบ

พยาบาลก็ปากอ้าค้างไปชั่วครู่ พอตั้งสติได้ก็หันไปดูอาการคนไข้ซึ่งมีอาการกระสับกระส่าย พยายามที่จะถอดเสื้อออก

“ร้อน ร้อน…ร้อนจัง น้ำ…หิวน้ำ…”

หมอก็รีบมาดูคนไข้

พยาบาลก็รายงานไปตามคำบอกของบุรุษพยาบาล

อารยะเดินเข้าไปในห้อง ER พุ่งไปยืนข้างเตียงปรียา บอกเล่าเหตุการณ์ให้หมอรับรู้

หมอก็พยักหน้าหงึกๆ แล้วก็สั่งตรวจเลือด

พยาบาลก็จัดแจงเจาะเลือดไปตรวจ พร้อมกับช่วยกันมัดแขนขาคนไข้เอาไว้ก่อน กันไม่ให้คนไข้ดึงทึ้งเสื้อผ้าออก แล้วพยาบาลก็บอกว่า “เชิญญาติคนไข้ไปติดต่อห้องบัตรก่อนนะคะ”

อารยะก็พยักหน้าแล้วรีบไปจัดการเรื่องราวต่างๆ

ส่วนตะวันก็รอตำรวจอยู่ในห้อง

เมื่อตำรวจมาถึงเขาก็จัดแจงส่งตัวคนร้ายให้ตำรวจไปจัดการ

ภาสกรกับเพื่อนสนิทก็ถูกตำรวจพาตัวไป

ตะวันก็บอกกับตำรวจว่า “อย่าให้เป็นข่าวเด็ดขาด”

ตำรวจก็พยักหน้ารับรู้ เขาทำคดีของพวกไฮโซไฮซ้อมาเยอะแล้ว แค่ปิดข่าวไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากฝ่ายคนร้ายเป็นคนแพร่ข่าวก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ยากจะจัดการได้

หลังจากจัดการเรื่องราวแล้ว ตะวันก็โทรถามอารยะว่าอยู่โรงพยาบาลไหน

อารยะตอบแล้วตะวันก็วางสาย

จากนั้นก็โทรหาพ่อของปรียา บอกกล่าวเรื่องที่ปรียาอยู่โรงพยาบาลให้เขารับรู้

พ่อของปรียาพอรู้เรื่องก็ตกใจมาก รีบบอกต่อภรรยาว่าลูกสาวอยู่โรงพยาบาล จากนั้นทั้งสองก็เร่งรีบไปโรงพยาบาลทันที

ตะวันตัดสายแล้วก็หันไปพยักเพยิดกับเพื่อนสนิท “ไปโรงบาลกัน”

“อืม” เพื่อนสนิทของตะวันพยักหน้ารับ อย่างพอจะคาดเดาได้ว่าตัวเองต้องไปให้ปากคำกับตำรวจในฐานะที่เป็นพยานด้วยหนึ่งคน แต่เขาก็ดีใจที่สามารถช่วยเหลือปรียาได้ทันการณ์ ก่อนที่ไอ้เลวพวกนั้นจะลงมือข่มขืนปรียา เขาไม่อยากคิดเลยว่า หากตัวเองไม่พบเจอเข้า ปรียาจะเป็นเช่นไร

หลังจากนั้นทั้งสองต่างก็ขับรถของตัวเองไปโรงพยาบาลทันที

อารยะก็นั่งอยู่ข้างเตียงปรียา คอยเฝ้าจนกว่าตะวันจะมาถึง โรงพยาบาลที่เขาพามาส่งเป็นโรงพยาบาลเอกชน แต่เขาก็รู้ดีว่าครอบครัวปรียาจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้แน่นอน เรื่องนี้เขาจึงไม่กังวลเลยสักนิด

ตะวันกับเพื่อนไปถึงโรงพยาบาลในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งสองจอดรถใกล้ๆ กัน แล้วก็พากันเดินไปที่ตึก ER พวกเขาเข้าไปในห้อง ER กวาดตามองครู่เดียวก็เห็นอารยะนั่งอยู่ ตะวันก็บอกว่า “ฉันโทรบอกคุณอาแล้ว อีกสักพักพวกท่านก็คงมาถึง”

“อืม” อารยะพยักหน้า แล้วหันไปมองปรียาอย่างเป็นห่วง เขาหันไปถามตะวันว่า “ไอ้พวกนั้น?”

“ส่งให้ตำรวจไปแล้ว” ตะวันบอก “เดี๋ยวรอให้คุณอาทั้งสองมา แล้วคงต้องให้คุณอาไปแจ้งข้อหาพวกมันน่ะ”

“เลวจริงๆ” อารยะเค้นคำเสียงต่ำ คิดแล้วตอนนั้นเขาน่าจะกระทืบพวกมันให้หนักๆ กว่านั้นอีกก็คงดี

ตะวันกำลังจะอ้าปากพูด พลัน! ชายหญิงคู่หนึ่งก็พุ่งเข้ามาหาเขา “หลานตะวัน”

ตะวันหันไปมองก็เห็นว่าเป็นพ่อแม่ของปรียา เขาก็ยกมือไหว้ทั้งสอง “คุณอาทรงยศ คุณอาอันธิกา”

ทั้งสองมองเลยตะวันไป พอเห็นลูกสาวนอนอยู่บนเตียง ถูกมัดแขนมัดขาไว้ก็ตกอกตกใจ “ตายแล้วลูกปรียา!”

ทั้งสองถลันเข้าไปข้างเตียงทันที มองลูกสาวแล้วก็หันไปซักไซ้ตะวันว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะหลานตะวัน? ทำไมลูกปรียาของอาถึงเป็นแบบนี้? แล้วทำไมต้องมัดเอาไว้ด้วยล่ะ?”

ตะวันยังไม่ทันตอบ หมอก็เดินเข้ามาถามว่า “พวกคุณเป็นอะไรกับคนไข้ครับ?”

“ดิฉันเป็นแม่ค่ะ ส่วนนี่เป็นพ่อค่ะ เกิดอะไรขึ้นกับลูกดิฉันเหรอคะ?” อันธิกาขยับไปถามหมออย่างร้อนใจ

“ผลตรวจเลือดออกมาแล้วนะครับ พบว่าในเลือดของคนไข้มีสาร GHB(Gamma hydroxybutyrate) กับเคตามีนอยู่ในกระแสเลือดครับ”

“เอ่อ หมอช่วยพูดภาษาชาวบ้านๆ หน่อยได้ไหมครับ?” ทรงยศบอก หน้าตาเหรอหรากับศัพท์ที่หมอใช้

“คือคนไข้ได้รับยาเสียสาวเข้าไปน่ะครับ” หมออธิบายตามประสาชาวบ้าน

ทรงยศกับอันธิกาอ้าปากค้าง “อะไรนะ!?”

หมอหันไปมองคนอื่นๆ แล้วถามว่า “คนไข้ได้รับยาเข้าไปยังไงครับ?”

แต่พอเห็นคนไข้คนอื่นกับญาติคนไข้เตียงอื่นมองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น หมอจึงบอกญาติคนไข้เตียงนี้ว่า “เชิญไปคุยกันที่ห้องพักหมอดีกว่าครับ”

“ครับ” ตะวันก็หันไปพยักเพยิดกับเพื่อน แล้วก็เดินตามหมอไป

เพื่อนอีกคนก็ตามไปด้วย เพราะเขาก็รู้จักกับทรงยศและอันธิกาพอประมาณ เพราะคุณย่าของเขาก็เป็นลูกค้าขาประจำร้านเพชรของทั้งสองเช่นกัน

อันธิกาก็จับแขนสามีเดินตามหมอไป

ส่วนอารยะไม่ได้ตามไป เขายังคงนั่งเฝ้าปรียาอย่างเป็นห่วงเป็นใย คอยเอาผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้

ปรียาก็กระสับกระส่ายเป็นบางครั้ง บ้างก็เคลิ้มๆไป ปากก็คอยพร่ำพูดว่า “ร้อน…ร้อน…ถอดเสื้อหน่อย ร้อน…”

เมื่อถึงห้องพักหมอ หมอก็ผายมือไปที่โซฟารับแขก “เชิญนั่งครับ”

ทรงยศกับอันธิกานั่งลง

ตะวันกับเพื่อนนั่งลงอีกฝั่ง

ส่วนหมอนั่งตรงโซฟาเดี่ยว

แล้วตะวันก็เริ่มเล่าว่า “คือผมไปงานแต่งงานที่โรงแรมพร้อมกับคุณปรีแล้วก็ไอ้ยะเพื่อนผมอีกคนน่ะครับ ผมมัวคุยอยู่กับอากิมเอง แล้วไอ้กะทิก็เห็นนายภาสกรประคองคุณปรีขึ้นลิฟท์ไป”

เขาชี้มือไปที่เพื่อนข้างๆ

กะทิก็รีบรับช่วงต่อเล่าว่า “ผมเห็นว่าคุณปรียามีท่าทางแปลกๆ ก็เลยรีบไปบอกไอ้วัน แล้วพวกเรา 3 คนก็ตามไปถึงห้องที่ไอ้เลวนั่นพาคุณปรียาไป แล้วพวกเราก็ช่วยคุณปรียาออกมาก่อนที่เธอจะถูกมันข่มขืนน่ะครับ มีเพื่อนไอ้เลวนั่นอีกคน คิดว่าพวกมันคงรวมหัวกันคิดรุมโทรมเธอน่ะครับ ผมเห็นว่าท่าทางเธอดูแย่มากก็เลยให้พาคุณปรียามาส่งโรงบาลก่อนครับ แล้วผมสองคนกับไอ้วันก็รอตำรวจมาจับตัวพวกมันไปครับ แล้วเราก็รีบมาที่โรงบาลนี่แหละครับ”

ทรงยศกับอันธิกามองหน้าคนเล่า แล้วอันธิกาก็ถามว่า “เอ…คุณนี่ใช่หลานคุณหญิงนลินีใช่ไหมคะ?”

“ใช่ครับ คุณย่าผมเป็นลูกค้าประจำร้านคุณอานั่นแหละครับ”

อันธิกามองหลานชายคุณหญิงนลินีแล้วก็คิดว่าคนอย่างเขาคงไม่กุเรื่องขึ้นแน่ คุณหญิงนลินีเป็นใคร ร่ำรวยขนาดไหนใครๆ ก็รู้

“ไม่อยากเชื่อเลยว่าภาสกรจะทำแบบนี้” ทรงยศกล่าว มือกำแน่นแล้วก็ทุบที่วางแขนโซฟาทีหนึ่ง

“เอ่อ…อย่าหาว่าผมสอดเลยนะครับ” กะทิเอ่ยขึ้นมา “คือว่าจริงๆ แล้วไอ้เลวภาสกรนี่ก็ไม่ใช่คนดีอะไรหรอกครับ มันน่ะเป็นตัวเลวร้ายเลยล่ะครับ มันชอบมอมยาสาวๆไฮโซ ผู้หญิงร่ำรวยทั้งหลาย พาไปข่มขืนแล้วก็ถ่ายคลิปไว้แบล็คเมล์น่ะครับ คุณอาทั้งสองคงไม่ทราบ แต่ที่มันยังลอยนวลอยู่ก็เพราะผู้เสียหายไม่กล้าไปแจ้งความเพราะกลัวคลิปหลุดน่ะครับ”

“หา!” ทรงยศกับอันธิกาตกใจจนอ้าปากค้าง

“เป็นความจริงหรือครับ?” ทรงยศถามย้ำ

ส่วนอันธิกาก็หน้าซีดเผือด หากว่าเป็นอย่างที่หลานชายคุณหญิงนลินีพูดมา นี่ถ้าหากลูกสาวตัวเองถูกข่มขืน ถ่ายคลิปจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้

กว่าทั้งสองจะตั้งสติได้ก็ผ่านไปครู่ใหญ่ แล้วอันธิกาก็หันไปพูดกับคุณหมอว่า “คุณหมอช่วยตรวจร่างกายลูกปรียาให้ละเอียดๆ เลยนะคะ ถ้าลูกสาวดิฉันถูกข่มขืนก็ช่วยเก็บหลักฐานให้ละเอียดเลยค่ะ ดิฉันจะได้เอาหลักฐานไปยื่นฟ้องพวกมันเอาให้ถึงที่สุดเลยค่ะ”

อันธิกาบอกในฐานะที่เคยเป็นทนายความมาก่อน ก่อนจะมาแต่งงานกับทรงยศเจ้าของร้านเพชร

“ครับๆ เดี๋ยวผมจะตรวจให้ละเอียดเลยครับ” หมอรับคำแล้วก็ลุกออกไป

ทรงยศก็หันไปพูดกับชายหนุ่มทั้งสองว่า “ขอบคุณหลานชายทั้งสองมากที่ช่วยลูกสาวอาไว้ ขอบคุณจริงๆ”

เขายกมือไหว้ชายหนุ่มทั้งสอง

ทำให้ทั้งสองรีบยกมือห้าม “อ่ะ คุณอาอย่าไหว้พวกผมครับ เดี๋ยวพวกผมอายุสั้น”

“สั้นเสิ้นอะไรกัน บุญคุณที่ช่วยลูกอาไว้ ต่อให้กราบก็ยังนับว่าสมควรแล้ว” ทรงยศเอ่ยอย่างจริงจัง

“อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลยครับ เอาเป็นว่าครั้งหน้าถ้าคุณแม่ผมไปซื้อเพชรก็ช่วยลดให้หน่อยดีกว่าครับ” ตะวันกล่าวทีเล่นทีจริง

“แหม ลูกชายคุณพรรณนานี่ช่างเจรจาจริงนะคะ” อันธิกาเย้า ทำให้บรรยากาศเคร่งเครียดจางหายไป

“อ่อ แล้วหนุ่มที่นั่งเฝ้าลูกสาวอาอยู่นั่น ใครกันล่ะ?” ทรงยศถามสองหนุ่ม

ตะวันก็ตอบว่า “ชื่ออารยะครับ เป็นเพื่อนผมเอง เป็นรองผู้จัดการฝ่ายเทคนิคบริษัท IBM ครับ”

พอได้ยินว่าเป็นเพื่อนกับตะวัน อีกทั้งหน้าที่การงานก็ไม่เลว ทรงยศกับอันธิกาจึงเบาใจ

แล้วอันธิกาก็เอ่ยว่า “ถ้างั้นอาไปดูลูกปรียาก่อนนะคะ”

“ครับคุณอา” ตะวันบอก

อันธิกาก็จับมือสามีลุกขึ้น พากันเดินกลับไปที่ห้อง ER

ตะวันกับกะทิก็ตามไป

ทั้ง 4 เห็นเตียงที่ปรียานอนอยู่ถูกดึงม่านมาปิดไว้

ส่วนอารยะก็ยืนรออยู่นอกม่าน สายตาก็คอยจ้องผ้าม่านอย่างเป็นห่วงคนข้างใน

ทั้ง 4 จึงเดินไปรออยู่ใกล้ๆ กับอารยะ

สองหนุ่มก็เดินไปขนาบข้างอารยะ มองอย่างให้กำลังใจ

สักพักหมอก็เดินออกมาจากผ้าม่าน เห็นพ่อแม่คนไข้ก็ บอกว่า “ผมตรวจเบื้องต้นแล้ว คุณทั้งสองสบายใจได้ คนไข้ไม่ได้ถูกข่มขืนครับ”

แล้วหมอก็ลดเสียงลงแทบจะกระซิบว่า “คือคนไข้ยังมีเยื่อพรหมจรรย์อยู่ครับ”

คำพูดของหมอทำให้ทรงยศกับอันธิกาหันไปมองหน้ากันตาปริบๆ แล้วก็หันไปจ้องหมอเหมือนเห็นเอเลี่ยนอย่างไรอย่างนั้น

ทรงยศก็ขยับไปกระซิบกับหมอว่า “จะเป็นไปได้ยังไง? ก็ลูกสาวผมน่ะ เอ่อ…คือ…เอ่อ…ผมเห็นเขาควงหนุ่มไม่ซ้ำหน้าเลยนะ”

“จริงๆ ครับ อันนี้หมอยืนยันได้ คนไข้ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อนครับ เธอยังมีเยื่อพรหมจรรย์อยู่ครับ” หมอกระซิบบอก

ทรงยศหันไปมองภรรยา เหมือนกำลังถามว่า ‘นี่ผมหูฝาดไปรึเปล่า?’

ส่วนอันธิกาก็ทำหน้าเหมือนพระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกงั้นแหละ

ส่วน 3 หนุ่มก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้นขึ้นมาทันที แต่ในใจแต่ละคนกลับตกอกตกใจไม่น้อย

‘ยังซิง!!!’

“พระเจ้าช่วย กล้วยทอดไหม้!!!”

“มหกรรมต้มคนมโหฬารแล้ว งั้นไอ้ที่เธอควงหนุ่มไปควงหนุ่มมานั่นก็คือไม่มีอะไรในกอไผ่งั้นรึ!!!”

อันธิกากะพริบตาปริบๆ แล้วก็ทำท่าเหมือนขาจะอ่อนขึ้นมาจนต้องเกาะสามีเอาไว้ “โอย…จะเป็นลม”

“โอย…ผมปวดหัว” ทรงยศเอ่ยขึ้นมาแล้วก็หันไปถามหมอว่า “หมอครับ ขอพาราให้ผมซัก 2 เม็ดได้ไหมครับ?”

หมอพยักหน้าแล้วก็เดินไปหยิบยาพารามาส่งให้ญาติคนไข้แผงนึง

ทรงยศก็รับมาฉีกซองแกะยาออกมา 2 เม็ด

อันธิกาก็คว้ายาจากมือสามีหมับ

หมอก็ยื่นแก้วน้ำดื่มแจกให้ญาติคนไข้คนละแก้วพร้อมหลอด

อันธิกาก็ฉวยหมับ แล้วเอาหลอดเจาะแก้ว จากนั้นก็เอายาพารา 2 เม็ดใส่ปากแล้วก็ดูดน้ำตามไป

ทรงยศก็ฉีกซองยา แกะยาออกมา 2 เม็ดแล้วก็เอาใส่ปากตัวเอง แล้วดูดน้ำตาม เขาหันไปมอง 3 หนุ่ม ยื่นซองยาพาราให้

ตะวันก็โบกมือปฏิเสธ

กะทิก็เช่นกัน

อารยะก็โบกมือปฏิเสธเหมือนกัน

เสียงโทรศัพท์ของตะวันดังขึ้น ตะวันก็รีบเดินออกไปจากห้อง ER ทันที เขารับโทรศัพท์ คุยอยู่ครู่ใหญ่แล้วก็เดินกลับเข้าไปในห้อง ER พูดกับทรงยศและอันธิกาว่า “ตำรวจโทรมาบอกว่า ถ้ายังไม่มีใครไปแจ้งความก็จะต้องปล่อยไอ้เลวสองคนนั่นครับ”

อันธิกากับทรงยศตาวาววับทันที แล้วทรงยศก็พูดว่า “ไปคุณ ไปแจ้งความกัน จะต้องเอามันเข้าคุกให้ได้!”

“ผมไปด้วยครับคุณอา ผมสนิทกับท่านรองครับ” ตะวันเสนอตัว

ทรงยศกับอันธิกาก็พยักหน้า แต่แล้วอันธิกาก็ละล้าละลังขึ้นมา “แล้วใครจะอยู่เป็นเพื่อนลูกปรียาล่ะ?”

“ผมอยู่เองครับ” อารยะอาสา

ทรงยศมองชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่มีตำแหน่งรองผู้จัดการครู่หนึ่ง

ตะวันก็รีบพูดว่า “คือคุณปรีสนิทกับไอ้ยะมากน่ะครับ คุณอาอาจจะยังไม่ทราบ แต่ตอนอยู่ในงานเลี้ยงคุณปรีถึงขนาดบอกว่าไอ้ยะเป็นแฟนเชียวนะครับ”

“แฟน!?” ทรงยศกับอันธิกาตกใจอุทานออกมาแล้วก็จ้องมองหนุ่มหล่อราวกับจะสแกนให้เห็นตับใตไส้พุงเลยทีเดียว

อารยะถูกจ้องมองมากๆ ก็รู้สึกขัดเขินขึ้นมา เขายกมือลูบๆ ท้ายทอยตัวเอง

อันธิกาก็ขยับไปกระซิบกับสามีว่า “ลูกปรีไม่เคยบอกว่าใครเป็นแฟนเลยนะพ่อ มีแต่บอกว่าเป็นเพื่อน ไหงจู่ๆ บอกว่าพ่อคนนี้เป็นแฟนได้ล่ะ?”

“อืมๆ นั่นซิ” ทรงยศพยักเพยิด แล้วสองสามีภรรยาก็จ้องมองอารยะอีกครั้ง

Chapter 11

(18+)โทรเรียกเด็กมาแก้ขัด

“เอ่อ…ผมว่าเดี๋ยวเราค่อยกลับมาคุยเรื่องนี้กันต่อดีกว่าไหมครับ พวกคุณอาต้องไปแจ้งความก่อนนะครับ” ตะวันเตือนเสียงเบา

แล้วอันธิกาก็ขยับไปกระซิบถามตะวันว่า “เพื่อนหลานคนนี้ ไว้ใจได้ขนาดไหน?”

“ล้านเปอร์เซ็นต์เลยครับ” ตะวันยืนยันเสียงหนักแน่น

อันธิกาจึงหันไปพูดกับอารยะว่า “ฝากคุณช่วยดูแลลูกปรียาก่อนก็ได้ แต่ถ้าคุณคิดไม่ดีกับลูกปรียาล่ะก็…”

อันธิกาเลื่อนสายตาไปมองตรงกลางลำตัวของอารยะ แล้วก็ยกนิ้วทำท่ากรรไกรตัดฉับๆ

อารยะก็มองตอบด้วยสายตาราบเรียบ ไร้อาการสะดุ้งสะเทือน

“ฮื้อ! คุณก็ ไปขู่เด็กอย่างนั้นได้ยังไง แค่ตัดไอ้นั่นจะไปพออะไร ต้องตัดแขนตัดขาเหลือแต่ตัวกุดๆ ซิ” ทรงยศเสริมขึ้นมา

อารยะยกมือนวดขมับหยับๆ คิดในใจว่า ผัวเมียคู่นี้ช่างเข้าขากันจริง…จริ๊ง!!!

แล้วอันธิกาก็จับแขนสามี พูดว่า “ไปคุณ ไปโรงพัก”

ทรงยศก็เดินตามไปโดยดี

ตะวันกับกะทิก็ตามทั้งสองไป

อารยะถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

พยาบาลก็ดึงม่านเปิดออก

อารยะจึงเดินไปนั่งข้างเตียง มองดูปรียาอย่างเป็นห่วงเป็นใย

เมื่อเดินออกไปนอกห้อง ER แล้วทรงยศก็หันไปพูดกับตะวันและกะทิว่า “คุณสองคนไปรถอาเถอะ จะได้ไม่ต้องคอยขับตามกันไปตามกันมา”

“ครับ” ตะวันกับกะทิ พยักหน้ารับ จากนั้นทรงยศก็หยิบโทรศัพท์มาโทรเรียกคนขับรถให้เอารถมารับหน้าตึก ER

เมื่อรถมาถึง ทั้ง 4 คนก็ขึ้นรถไป แล้วตะวันก็บอกคนขับรถให้ไปโรงพัก

ครั้นไปถึงโรงพัก ตะวันก็เดินนำทุกคนไปพบรองผู้กำกับซึ่งเป็นผู้ทำคดี

รองผู้กำกับยืนรอต้อนรับอยู่ในห้อง

พอตะวันเดินเข้าไป ตะวันก็ยกมือไหว้ทักทาย “พี่ก้อง ผมพาคุณอาทั้งสองมาแจ้งความครับ”

“เชิญนั่งครับ” รองฯก้องเกียรติผายมือเชิญ เขาก็พอจะคุ้นหน้าคุ้นตากับทรงยศและอันธิกาอยู่บ้าง เพราะร้านสาขาของทั้งสองอยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของโรงพักของตัวเอง

“สวัสดีครับท่านรองฯ”

“สวัสดีค่ะ”

ทรงยศกับอันธิกาไหว้ทักทายตามมารยาท แล้วก็เดินไปนั่งที่โซฟารับแขก

ตะวันกับกะทิก็เดินไปนั่งอีกฝั่ง

รองฯก้องเกียรตินั่งลง

อันธิกาก็เปิดฉากพูดว่า “ดิฉันต้องการแจ้งความนายภาสกรกับพวกข้อหามอมยา ล่อลวง กักขังหน่วงเหนี่ยวโดยมีประสงค์จะข่มขืนลูกสาวดิฉันค่ะ”

“ครับๆ เดี๋ยวผมจะให้ร้อยเวรมาบันทึกประจำวันให้ครับ แต่ทางผู้ต้องหาก็ได้ตามทนายความแล้ว ผมคิดว่าที่ต้องการปิดข่าว คงไม่ง่ายแล้วล่ะครับ” ประโยคหลังเขาหันไปพูดกับตะวัน

“เป็นข่าวก็เป็นข่าวค่ะ ดิฉันกับสามียอมให้เรื่องมันอื้อฉาวดีกว่าจะยอมปล่อยพวกมันให้ลอยนวลค่ะ” อันธิกาบอกหนักแน่น แล้วหันไปมองสามีแว๊บหนึ่ง

ทรงยศก็จับมือภรรยาเหมือนจะต้องการยืนยันความคิดที่เหมือนกัน

คำพูดของพ่อแม่ผู้เสียหาย ทำให้รองฯก้องเกียรติเบาใจขึ้นเยอะ “ผมคิดว่าหลังจากมีข่าวออกไป น่าจะมีผู้เสียหายมาแจ้งความเพิ่มขึ้น เพราะเท่าที่ผมทราบ นายภาสกรคนนี้มีพฤติกรรม ล่อลวงผู้หญิงร่ำรวยไปร่วมหลับนอนแล้วถ่ายคลิปไว้แบล็คเมล์ครับ แต่เพราะที่ผ่านมาไม่มีผู้เสียหายมาแจ้งความ ทางเราก็ไม่สามารถดำเนินการอะไรได้ครับ”

อันธิกากับทรงยศหันไปมองหน้ากัน แล้วก็หันไปพูดกับรองฯก้องเกียรติว่า “พวกเราไม่รู้เลยว่านายคนนี้จะเลวแบบนี้ เพราะเท่าที่เรารู้มาก็ดูประวัติใสสะอาด ท่าทางจริงใจ…”

“คร้าบ…คร้าบ ใสม๊าก! ใสจนดำสนิทเลยล่ะครับคุณอา ทั้งแบล็คเมล์ ทั้งเล่นพนัน ทำตัวเป็นกาฝากของกลุ่มคนมีเงิน มีเอี่ยวกับพ่อค้ายาด้วยนะครับ” กะทิพูดแทรกขึ้นอย่างอดปากไม่อยู่

อันธิกากับทรงยศปากอ้าค้าง อย่างไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนที่ดูจริงใจ ไร้เล่ห์เหลี่ยมเช่นนั้นจะซ่อนความสกปรกดำมืดไว้ได้ขนาดนี้

“ที่ผมรู้นี่ก็เพราะลูกพี่ลูกน้องของผมคนนึงก็ถูกไอ้เลวนี่ล่อลวงไปข่มขืนมาแล้วครับ ถูกมันแบล็คเมล์หมดเงินไปเป็นล้านทีเดียว กว่าคุณน้าผู้ชายกับคุณน้าผู้หญิงจะรู้เรื่องก็จนลูกพี่ลูกน้องผมแอบซื้อยาขับเลือดมากินเพื่อจะกำจัดเจ้ามารหัวขนที่ติดท้องมาครับ เธอตกเลือดจนต้องเข้าโรงพยาบาล ความก็เลยแตกขึ้นมา คุณน้าทั้งสองก็ไม่กล้าแจ้งความเอาเรื่องก็เพราะกลัวเรื่องจะอื้อฉาวนี่แหละครับ” กะทิเล่าอย่างแค้นใจ

อันธิกากับทรงยศปากยิ่งอ้าค้างมากขึ้น แล้วอันธิกาก็ถามว่า “ลูกพี่ลูกน้องที่คุณพูดถึงนี่ใช่น้องน้ำตาล…”

“ใช่ครับ” กะทิพยักหน้ารับโดยที่อันธิกายังพูดไม่ทันจบ

“งั้นที่จู่ๆ ก็ได้ข่าวว่าน้องน้ำตาลไปเรียนต่อเมืองนอกก็เพราะสาเหตุนี้ซินะคะ” อันธิกาซักต่ออีก

“ครับ” กะทิพยักหน้ารับแววตาเจ็บปวด

อันธิกากับทรงยศหันไปมองตากันอย่างแน่วแน่ “ต้องเอามันเข้าคุกให้ได้!”

รองฯก้องเกียรติเห็นว่า ผู้เสียหายยืนยันที่จะแจ้งความจึงเดินไปเปิดประตูเรียกร้อยเวรให้มาลงบันทึกประจำวัน

เมื่อร้อยเวรเข้ามา อันธิกาก็แจ้งข้อหาละเอียดยิบสมกับที่เป็นทนายความ

หลังจากแจ้งความแล้ว อันธิกากับทรงยศก็กลับไปพร้อมกับตะวันและกะทิ

ซึ่งเรื่องการขอดูภาพจากกล้องวงจรปิดที่โรงแรมก็ปล่อยให้เป็นเรื่องที่ตำรวจต้องไปตามเก็บหลักฐานต่างๆ

ทางด้านกะทิก็โทรคุยกับคุณน้าทั้งสองให้มาแจ้งความเอาผิดภาสกร เขาพยายามกล่อมคุณน้าอยู่นานกว่าที่คุณน้าจะตัดสินใจตกลงว่าจะมาแจ้งความ ซึ่งหลักฐานต่างๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคดีนั้นกะทิได้เก็บรวบรวมหลักฐานไว้นานแล้ว แม้กระทั่งซากก้อนเลือดที่เกิดจากการทำแท้งในคราวนั้นเขาก็แอบเก็บเอาไว้เช่นกัน เพราะนั่นคือหลักฐานที่มี DNA ของนายภาสกรอยู่ด้วย เขายิ่งต้องเก็บเอาไว้เป็นหลักฐานอย่างดีเลยทีเดียว

เมื่อถึงโรงพยาบาล คนทั้งหมดก็กรูกันเข้าไปในห้อง ER เห็นปรียานอนสงบอยู่บนเตียง ไม่มีอาการกระสับกระส่ายแล้ว

อันธิกากับทรงยศก็โล่งใจ ทรงยศหันไปพูดกับอารยะว่า “ขอบคุณคุณมากที่ช่วยอยู่เป็นเพื่อนลูกปรียา”

“ไม่เป็นไรครับ เธอเป็นเพื่อนผม เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนครับ” อารยะกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ

“เอาล่ะกลับกันเถอะไอ้ยะ พรุ่งนี้แกต้องไปทำงานแต่เช้านี่นา” ตะวันพูดขึ้น แล้วก็หันไปพูดกับทรงยศและอันธิกาว่า “คุณอาครับ พวกผมคงต้องกลับล่ะครับ พรุ่งนี้ผมมีประชุมตอนเช้าครับ”

“อ่อๆ เชิญค่ะๆ ขอบคุณหลานๆมากค่ะที่ช่วยเหลือ” อัญธิกาพูด มอง 3 หนุ่มอย่างซาบซึ้งใจ

3 หนุ่มก็ยกมือไหว้ลาผู้ใหญ่ทั้งสอง แล้วก็พากันเดินออกจากห้อง ER ก่อนจะกลับอารยะก็ล้วงกุญแจรถมาส่งให้ทรงยศ บอกว่า “กุญแจรถคุณปรีครับ รถจอดอยู่ลาน A ช่อง 1 ครับ”

“อ่อๆ ขอบคุณมากหลานชาย แล้วเดี๋ยวอาจะโทรไปชวนกินข้าวนะ” ทรงยศบอกพลางรับกุญแจไป

แล้วอารยะก็ยกมือไหว้ทั้งสองอีกครั้งแล้วก็รีบตามเพื่อนไป

อันธิกามองตามไปแล้วก็เอ่ยว่า “อืม ท่าทางดูดี หน้าตาก็หล่อดีนะพ่อ”

“ไอ้ท่าทางดูดี หน้าตาดีนี่แหละต้องระวังให้มากๆ แล้ว ดูอย่างนายภาสกรนั่นซิ ท่าทางดูดี หน้าตาดีแล้วไง ประวัติเหมือนจะใสสะอาด แต่ที่ไหนได้เลวชั่วช้าซะไม่มี” ทรงยศกล่าวอย่างแค้นใจ ในหัวเขาก็คิดแผนการบางอย่างที่จะจัดการกับนายภาสกรไว้แล้ว คนเลวๆ พรรค์นั้นกล้าคิดร้ายกับลูกสาวของเขา เขาไม่เอามันไว้เด็ดขาด! ฮึ่ม!

เมื่ออารยะเดินตามมา ตะวันก็พยักเพยิดกับกะทิว่า “แกกลับไปได้เลย เดี๋ยวฉันไปส่งไอ้ยะที่บ้านเอง”

“อืม” กะทิพยักหน้ารับแล้วก็เดินแยกตัวไป

ตะวันก็หันไปพูดกับอารยะว่า “ไปๆ ฉันไปส่งแกที่บ้านก่อน”

“อืม ขอบใจว่ะ” อารยะพยักหน้า

จากนั้น 2 หนุ่มก็เดินไปที่ลานจอดรถ แล้วตะวันก็ขับรถไปส่งอารยะที่บ้าน

ครั้นส่งอารยะแล้วตะวันก็ขับรถกลับคอนโด

ส่วนทางด้านภาสกรกับเพื่อนก็มีทนายมายื่นประกันตัวออกไป

ทนายก็ขับรถพาภาสกรและเพื่อนไปส่งที่คอนโด

ทั้งสองคนเมื่อเข้าไปในห้องแล้ว ภาสกรก็เตะหมอนอิงบนโซฟาอย่างอารมณ์เสีย “แม่งเอ้ย! พวกมันตามมาถูกได้ไงว่ะ? กูเกือบจะได้ฟันอีนั่นอยู่แล้วเชียว เวรเอ้ย!”

แล้วเขาก็หันไปตวาดเพื่อนว่า “มึงกันท่าเหี้**อะไรวะ!”

“กูจะไปรู้รึล่ะว่าพวกมันตามมึงไปน่ะ กูเห็นมึงพาอีนั่นออกไป กูก็รีบไปที่รถเอายาเพิ่ม กะว่าจะได้ฟันมันทั้งวันทั้งคืนซะหน่อย ใครจะรู้ล่ะว่าพวกมันตามมึงไปถูกน่ะ กูถูกไอ้เวรนั่นจิกหัวจนผมแทบหลุด แม่ง มันยังกระทืบขากูอีก กูไม่ปล่อยมันไว้แน่ ฮึ่ม!” วิทยาพูดอย่างแค้นใจ

“แค้นนี้กูต้องเอาคืนแน่ ยิ่งไอ้เวรนั่นกูต้องลากมันมากระทืบๆ แล้วค่อยฆ่ามันทิ้งให้ได้!” ภาสกรพูดอย่างโมโห ตาวาววาบอย่างแค้นจัด

“แล้วเรื่องคดีจะเอาไง?” วิทยาถาม ภาสกรก็ตอบว่า “จะเอาไงเหรอ? ตำรวจจะทำอะไรได้ ในเมื่อภาพจากกล้องก็แค่เห็นกูประคองอีนั่นขึ้นห้องเท่านั้น กูก็อ้างได้ว่าเห็นมันเมาเลยพาไปนอน ตำรวจจะมีหลักฐานอะไรเอาผิดพวกเราได้ล่ะ”

“อืม” วิทยาพยักหน้า

“รอให้เรื่องซาก่อนเถอะ กูจะหาทางลากอีเวรนั่นมาฟันให้ห**แหกเลยมึง!” ภาสกรพูดอย่างอาฆาต กัดฟันกรอดๆ อย่างแค้นใจ

“กูก็อยากฟันมันชิ**หาย แม่งหุ่นมันน่าขย่มขนาดนั้นกูล่ะโคตรเสียดาย พูดแล้วเงี่**ว่ะ!” วิทยาพูดพลางมองเป้ากางเกงตัวเองที่เริ่มนูนตุงขึ้นมา “มึงโทรตามเด็กมาซัก 2 คนซิ กูเงี่**”

“เออ มึงรอแป๊บ” ภาสกรบอกแล้วก็หยิบโทรศัพท์มากดโทรหาเหยื่อคนก่อนๆ ทันที

ปลายสายพอเห็นว่าเป็นเบอร์ภาสกรโทรมาก็สะดุ้งลืมตาตื่นเต็มที่ สีหน้าหวาดผวา รีบรับโทรศัพท์เสียงสั่น “พะ…พี่…พะ…ภาส”

“มึงรีบมาหากูที่คอนโดเร็วๆ กูเงี่**” ภาสกรบอกแล้วก็วางสาย

สาวสวยปลายสายฟังเสียงโทรศัพท์ที่เงียบไปอย่างหวาดผวา เธอรีบลุกขึ้นแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าปกปิดมิดชิด สวมเสื้อมีฮู้ดทับ แล้วก็รีบคว้ากระเป๋าใส่รองเท้าเดินออกจากห้อง แล้วรีบขับรถไปหาภาสกรตามคำสั่ง

แล้วภาสกรก็โทรหาผู้หญิงอีกคนหนึ่ง

ปลายสายก็รับสายด้วยอาการหวาดผวาเช่นกัน “คะ…คุณ…”

“มึงรีบมาหากูที่คอนโดเร็วๆ ถ้ามึงไม่รีบมา คลิบหลุดไปกูไม่รู้ด้วยนะ” ภาสกรข่มขู่แล้วก็วางสาย จากนั้นก็เดินไปเปิดตู้เย็นหยิบเบียร์ออกมาดื่ม พลางโยนเบียร์ให้เพื่อนกระป๋องหนึ่ง

วิทยาก็รับหมับแล้วเปิดดื่มอย่างอารมณ์ดี

สาวสวยปลายสายกรี๊ดขึ้นมาคำหนึ่ง “ไอ้ภาส!”

กำโทรศัพท์แน่นราวกับจะบีบให้แหลกคามือ แต่เมื่อคิดถึงคำขู่นั่น เธอก็รีบแต่งตัวออกจากห้อง ขับรถไปยังคอนโดของภาสกรทันที

เมื่อหญิงสาวคนแรก ชื่อกรกนกไปถึงห้องของภาสกรก็กดกริ่ง

ประตูเปิดออก ภาสกรยืนอยู่ด้านหลังประตูกวาดตามองกรกนกรอบหนึ่งแล้วก็ชะเง้อออกไปมองที่ทางเดินรอบหนึ่ง เห็นว่าไม่มีใครตามมาก็เปิดทางให้กรกนกเข้าห้อง

กรกนกเดินเข้าไปอย่างสั่นสะท้าน

ภาสกรปิดประตูแล้วมองตามเรือนร่างกรกนกอย่างหื่นกระหาย ก้าวไปวางมือบนก้นงามงอนแล้วก็บีบขยำ

“อ่ะ!” กรกนกสะดุ้งร้องออกมา

ภาสกรก็ด่าว่า “มึงจะร้องทำเหี้**อะไร ทำยังกะไม่เคยไปได้”

กรกนกก้มหน้าลงเม้มปากแน่น มือกำกระเป๋าเอาไว้แน่น

ภาสกรก็โอบพลางขยำก้นไปด้วย พากรกนกเดินเข้าไปข้างใน เขาคว้ากระเป๋าถือของกรกนก สั่งว่า “เอามา”

กรกนกยอมปล่อยกระเป๋า

ภาสกรก็เอาไปวางไว้บนชั้นข้างทางเดิน แล้วก็โอบกรกนกเข้าห้องห้องหนึ่ง

ภายในห้องวิทยากำลังตั้งกล้องอยู่ปลายเตียงซึ่งตกแต่งราวกับสตูดิโอถ่ายภาพ เขาหันไปมองสาวสวยที่ภาสกรพาเข้ามา แล้วก็จุ๊ปาก “จุ๊ๆ อีคนนี้เด็ดไม่เบาเลยว่ะไอ้ภาส”

เขากวาดตามองเสื้อผ้าที่กรกนกใส่อย่างไม่ค่อยชอบใจ สั่งว่า “มึงรีบถอดเสื้อผ้าออกเร็วๆ”

พร้อมกับหันกล้องมาถ่ายกรกนก

กรกนกยืนนิ่ง ไม่อยากทำเลย

ภาสกรก็บีบก้นอย่างแรง ตวาดว่า “พี่เขาบอกให้มึงทำมึงก็รีบทำซิอีนี่! มึงจะลีลาหาพ่อมึงรึไง!”

แล้วเขาก็ข่มขู่ว่า “หรือมึงอยากให้คลิปหลุด!?”

กรกนกผวาเฮือก กัดปากแน่น ค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าออกอย่างจำยอม

ภาสกรก็ถอยไปยืนข้างๆ วิทยา มองดูกรกนกถอดเสื้อผ้าออกด้วยสายตาหื่นกระหาย แลบลิ้นเลียริมฝีปาก

“น้านๆ ค่อยๆ ถอดอย่างงั้น ทำหน้าให้มันเซ็กซี่ๆ หน่อย” วิทยามองดูภาพในจอกล้อง แล้วก็หันไปสั่งภาสกรว่า “มึงไปเอาชุดเซ็กซี่มาให้มันใส่ซิ”

ภาสกรก็ขยับไปเปิดลิ้นชักข้างผนัง หยิบชุดชั้นในมา 2 ชิ้น ซึ่งเล็กจิ๋วจนไม่อาจจะปกปิดของสงวนอะไรได้เลย โยนไปตรงหน้ากรกนก สั่งว่า “ใส่ซะ”

กรกนกถอดเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็ก้มลงมองชุดชั้นใจตัวจิ๋วที่ถูกโยนมาตรงเท้า ก้มลงหยิบขึ้นมาอย่างอดสูใจ ตัวเสื้อชั้นในมีแค่สายเส้นเล็กจิ๋วกับผืนผ้ากลมๆที่ใหญ่เท่าเครดิตการ์ดเท่านั้น เพียงพอแค่ปกปิดหัวนมเท่านั้นเอง เธอมองคนเลวทั้งสองอย่างแค้นใจ

วิทยาก็ตะคอกว่า “ทำหน้าให้มันดีๆ เดี๋ยวกูก็ตบเลย! อีห่**นี่!”

กรกนกสะดุ้งทีหนึ่ง หยิบเสื้อชั้นในเล็กจิ๋วสวมลงไปบนเรือนร่าง แล้วก็หยิบจีสตริงตัวจิ๋วขึ้นมาใส่

“เอ้า ใส่เสร็จแล้ว ทีนี้มึงก็ไปยืนเกาะประตูนั่น ทำท่าเซ็กซี่ๆ ให้กูดูเร็วๆ” วิทยาสั่ง ชี้นิ้วบอก

กรกนกก็เดินไปยืนข้างประตูอย่างจำยอม

พลัน! เสียงกริ่งก็ดังขึ้น

ภาสกรก็หันไปพยักเพยิดกับวิทยา

วิทยาก็เดินมาคว้าแขนกรกนก ลากเข้าไปในห้องน้ำ ปิดประตูห้องน้ำล็อคเอาไว้

แล้วภาสกรก็เดินออกจากห้องไปเปิดประตูดู เห็นเหยื่อสาวยืนอยู่หน้าประตู เขาก็ชะโงกหน้าไปมองที่ทางเดินรอบหนึ่ง แล้วก็เปิดทางให้เหยื่อสาวเดินเข้าไปในห้อง

เมื่อมธุรดาก้าวเข้าไปในห้อง

ภาสกรก็ปิดประตู ล็อคอย่างแน่นหนา เขาเอากุญแจคล้องล็อคไว้อีกชั้นหนึ่ง แล้วก็ยื่นมือไปหามธุรดา สั่งว่า “ส่งกระเป๋ามา”

มธุรดายื่นกระเป๋าให้อย่างจำยอม

ภาสกรก็เอากระเป๋าไปวางบนชั้น ข้างๆ กระเป๋าของกรกนก แล้วก็เดินโอบมธุรดาพาไปยังห้องที่วิทยารออยู่ เขาเปิดประตูเข้าไป แล้วก็ดันตัวมธุรดาเข้าไปในห้อง

มธุรดากวาดตามองไปรอบๆ ห้องอย่างตื่นตระหนก “นี่!”

ภาสกรขยับเข้าไปข้างหลังมธุรดา ก้มลงพูดข้างหูว่า “ไม่อยากให้คลิปหลุดก็ทำตามที่กูสั่ง!”

“ไม่เอา ไม่เอาแบบนี้” มธุรดาพูดพลางหันไปมองภาสกรอย่างอ้อนวอน

วิทยาก็เดินเข้าไปยืนด้านหน้ามธุรดา ข่มขู่ว่า “ทำตามที่กูสั่งซะดีๆ ไม่งั้นมึงได้เป็นข่าวฉาวแน่ อยากขึ้นหน้าหนึ่งรึไง”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version