เริ่มเขียนวันที่ 23 กันยายน 2566
อาจารย์เย็นชากับศิษย์ชั่วช้า
นิยายเรื่องนี้ เป็นภาคต่อของเรื่อง เสนาบดีเจ้าจะหนีไปไหน ภาคนี้เป็นการผจญภัยในแดนเซียนค่ะ อยากฟินสุดๆ แบบไม่ค้างคาเชิญอ่านเรื่อง เสนาบดีเจ้าจะหนีไปไหน ก่อนนะคะ
ความเดิมจาก Chapter 114
เวลาผ่านไปอีกร้อยปี มีเซียนคนหนึ่งเดินทางผ่านเขตภูเขาไฟซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงซินหยางในอดีตกาล เขายืนอยู่บนกระบี่กำลังบินผ่านภูเขาไฟ พลัน! เขาก็หยุดชะงักกลางอากาศ “หือ?”
เขารู้สึกถึงกลิ่นอายบางอย่างที่ผิดแผกไป เขาจึงร่อนกระบี่ลงไปในเขตภูเขาไฟนั้น หมอกพิษทำให้เขาต้องรีบล้วงเอาโอสถแก้พิษออกมากินไปเม็ดหนึ่ง จากนั้นก็ร่อนกระบี่ไปตามกลิ่นอายที่ผิดแผกนั้น เขาร่อนกระบี่บินวนไปรอบๆ เขตภูเขาไฟนั้นสองสามรอบแล้วก็หยุดตรงปากปล่องภูเขาไฟลูกหนึ่ง เขาร่อนกระบี่เข้าไปในปากปล่องภูเขาไฟลูกนั้น ไอร้อนทำให้เขารู้สึกร้อนจนแทบมอดไหม้เลยทีเดียว เขาจึงรีบล้วงเอาโอสถเหมันต์ออกมาแล้วรีบกินลงไป เมื่อโอสถเหมันต์เข้าไปในลำคอก็ค่อยๆ แผ่ไอเย็นออกมาทำให้รอบๆ ตัวเขาไม่ร้อนระอุอีกต่อไป
เขาร่อนกระบี่ลงไปในปล่องภูเขาไฟต่อ ค่อยๆ ลึกลงไปเรื่อยๆ กลิ่นอายที่ผิดแผกนั้นยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ “ในนี้ต้องมีของวิเศษแน่”
เขามองหาของวิเศษที่แผ่กลิ่นอายประหลาดนั้น จนกระทั่งเขาเห็นหินสีแดงฉานลูกหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ รอบๆ หินก้อนนั้นมีเปลวเพลิงหมุนวนอยู่รอบๆ หินก้อนนั้นลอยอยู่เหนือลาวาร้อนด้านล่างราวๆ สองสามเมตร ทีแรกเขาแทบมองไม่ออกเลยเพราะสีของหินก้อนนั้นกับลาวาข้างล่างเหมือนกันยิ่งนัก เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาก็เบิกตาโต “โอ! นี่ต้องเป็นเพลิงปฐพีแน่นอน”
“ฮ่าๆๆๆ…ข้าโชคดีจริงๆ ที่มาเจอเพลิงปฐพีที่นี่” เซียนคนนั้นหัวเราะอย่างดีใจ เขาพุ่งไปหา ‘เพลิงปฐพี’ ทันที เขาเอาถุงฟ้าดินออกมาแล้วเก็บเพลิงปฐพีเข้าไปในถุงฟ้าดิน แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามดูดเพลิงปฐพีอย่างไร เพลิงปฐพีนั้นก็ไม่มีท่าทีจะขยับเขยื้อนเลย ทำเขาประหลาดใจมาก “หือ?”
ถุงฟ้าดินใบนี้ของเขาเก็บธาตุได้ทุกธาตุ ไม่ว่าจะเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ไม้ ทอง ก็เก็บได้หมด อย่าว่าแต่เพลิงปฐพีแค่นี้เลย แม้แต่ภูเขาไฟทั้งลูกก็ยังใส่เข้าไปได้ เขาจึงยื่นมือไปจับเพลิงปฐพีก้อนนั้น พลัน! เขาก็เจ็บแปล๊บจนต้องรีบหดมือกลับมา “โอ๊ย!”
มือของเขาไหม้ดำไปทั้งมือเลยทีเดียว เขามองมือตัวเองแล้วมองเพลิงปฐพีก้อนนั้นเขม็ง “หรือว่ามันมีจิตวิญญาณ?”
เขาสะกดข่มความเจ็บที่มือไว้ก่อนแล้วแผ่พลังออกไปโอบล้อมเพลิงปฐพีก้อนนั้น พลัน! พลังของเขาก็ถูกดูดหายไป ทำเขาตกใจมาก “หือ?”
อีกทั้งยังมีแรงดึงดูดแผ่ออกมาดูดพลังของเขาเข้าไป ทำให้เขารีบถอยห่างจากเพลิงปฐพีก้อนนั้นทันที เมื่อถอยห่างไปราว 20 เมตร แรงดึงดูดนั้นก็หายไป เขามองเพลิงปฐพีก้อนนั้นอย่างไม่ยอมแพ้ เขาจะต้องเอามันกลับไปให้ได้!
ขณะนั้นเอง จิตวิญญาณของไพลินวิญญาณก็ลืมตาขึ้น มันถูกพลังเซียนปลุกให้ตื่น มันมองเห็นเซียนคนหนึ่งขี่กระบี่บินวนอยู่รอบๆ ตัวมัน มันเบิกตาโตอย่างดีใจ {โอ! อาหาร!ๆ}
เซียนคนนั้นร่อนกระบี่บินวนรอบๆ เพลิงปฐพีก้อนนั้น พอเขาบินไปใกล้ๆ มันก็มีแรงดึงดูดออกมาดูดพลังของเขาไปอีก ทำให้เขาต้องรีบถอยห่างจากมันทันที เขาคิดๆ หาวิธีเอามันกลับไป คิดไปคิดมาเขาก็นึกได้ว่าตัวเองมีระฆังเซียน เขาจึงเอาระฆังเซียนออกมาจากถุงฟ้าดิน จับปากระฆังเซียนไปทางเพลิงปฐพีก้อนนั้น ไพลินวิญญาณรู้สึกถึงแรงดึงดูด มันจึงไม่ต่อต้าน ปล่อยให้ตัวเองลอยเข้าไปในระฆังใบนั้น
“ฮ่าๆๆๆ เก็บมันได้แล้ว!” เซียนคนนั้นร้องตะโกนอย่างดีใจแล้วรีบเก็บระฆังเซียนเข้าไปในถุงฟ้าดิน จากนั้นก็รีบขี่กระบี่ออกจากปล่องภูเขาไฟที่ร้อนระอุ เพราะฤทธิ์โอสถเหมันต์กำลังจะหมดลงแล้ว ตัวเขาเต็มไปด้วยเหงื่อจนอาภรณ์สีดำชุ่มโชกเลยทีเดียว
ไพลินวิญญาณก็ดูดกลืนพลังจากระฆังเซียนอย่างเอร็ดอร่อยมาก มันดูดกลืนพลังอย่างตะกละตะกลาม เซียนชุดดำก็ขี่กระบี่ออกจากเขตภูเขาไฟแล้วมุ่งหน้ากลับแดนเซียนไป เขาอยากรีบกลับบ้านไปหลอมเพลิงปฐพีก้อนนี้เต็มแก่ หากหลอมสำเร็จขั้นพลังของเขาย่อมทะลวงสูงขึ้นไปอีกแน่นอน
ในขณะเดียวกันไพลินวิญญาณก็ดูดกลืนพลังจากระฆังเซียนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งระฆังเซียนหายไป มันเลียริมฝีปากแล้วมองไปรอบๆ ตัว มันเห็นอาวุธเซียนหลายชิ้น มันจึงตรงไปหาอาวุธเซียนเหล่านั้นแล้วดูดกลืนพลังเข้าไปอย่างตะกละตะกลาม มันโชคดีแล้ว! ฮ่าๆๆๆ…
Chapter 1
กลายเป็นเซียน
เซียนชุดดำไม่รู้เลยว่าของวิเศษในถุงฟ้าดินของตัวเองกำลังถูกดูดกลืนไปทีละอย่าง…ทีละอย่าง หากเขารู้ แน่นอนว่าเขาต้องหาทางยับยั้งอย่างสุดกำลัง
ไพลินวิญญาณดูดกลืนพลังเซียนจากอาวุธเซียนในถุงฟ้าดินไปเรื่อยๆ ตั้งแต่กระบี่เซียน ดาบเซียน หอกเซียน…เรียกว่ามันดูดกลืนพลังเซียนจากอาวุธทุกอย่างในถุงฟ้าดินจนหมดเกลี้ยงเลยทีเดียว กว่ามันจะดูดกลืนจนหมด เซียนชุดดำคนนั้นก็ร่อนกระบี่เข้าสู่แดนเซียนแล้ว
แดนเซียนนี้เป็นโลกที่เชื่อมต่อกับโลกมนุษย์ มีพลังอาคมขวางกั้นไม่ให้มนุษย์ธรรมดาเข้ามาได้ ซึ่งมนุษย์ธรรมดาทั่วไปจะมองไม่เห็นแดนเซียน มีเพียงมนุษย์ที่ฝึกฝนจนเกิดพลังเซียนแล้วถึงจะสามารถมองเห็นแดนเซียนได้
ช่วงเวลาร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ไพลินวิญญาณดูดกลืนพลังเพลิงจากภูเขาไฟเข้าไปไม่น้อยทำให้มันเกือบจะตื่นขึ้นมาได้ หากปล่อยให้มันอยู่ตรงนั้นไปอีกสักสี่ห้าปีมันก็คงตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ แต่เพราะพลังเซียนของเซียนชุดดำปลุกให้มันตื่นก่อนเวลา และตื่นขึ้นมาอย่างระแวดระวัง เพราะพลังของเซียนผู้นี้มีกลิ่นอายชั่วร้ายแฝงอยู่ กลิ่นอายแห่งความโลภ กลิ่นอายประเภทนี้หากใครมีอยู่ในตัวก็จะทำให้คนผู้นั้นเป็นคนที่มีนิสัยโลภโมโทสัน เกิดความคิดชั่วร้ายได้ง่ายมาก
ไพลินวิญญาณรู้สึกว่าเซียนคนนี้มีความคิดชั่วร้ายกับมัน ดังนั้นมันจึงยอมให้ดูดเข้าไปในระฆังเซียน แล้วมันก็ดูดกลืนพลังจากระฆังเซียนมาเป็นของมันเอง ในเมื่อคิดร้ายกับมัน มันก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจอะไรอีก หึๆๆๆ
มันดูดกลืนพลังอาวุธทุกอย่างในถุงฟ้าดินหมดแล้ว มันจึงดูดกลืนพลังจากถุงฟ้าดินต่อ ถุงฟ้าดินถูกดูดกลืนพลังก็ค่อยๆ จางหายไปทีละน้อย…ทีละน้อย จนกระทั่งถุงฟ้าดินหายไปทั้งใบ ลูกแสงสีแดงฉานก็ตกลงไปเบื้องล่างโดยที่เซียนชุดดำไม่ทันสังเกตเห็น เขายังคงขี่กระบี่มุ่งหน้าตรงไปยังถ้ำเซียนของเขาอย่างดีอกดีใจ
ลูกแสงสีแดงฉานตกลงไปในป่าทึบเบื้องล่าง ลอยละลิ่วลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพุ่งผ่านยอดไม้ลงไป ตกลงไปในทะเลสาบ เมื่อลูกแสงสีแดงฉานสัมผัสกับน้ำในทะเลสาบก็ทำให้น้ำบริเวณนั้นเดือดพล่านขึ้นมาทันที ฝูงปลาที่อยู่บริเวณนั้นรู้สึกถึงภยันตรายก็รีบแหวกว่ายหนีไปอย่างเร็วรี่ ลูกแสงสีแดงฉานตกลึกลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงพื้นทรายใต้ทะเลสาบ มันก็หยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น น้ำรอบๆ เดือดพล่านปุดๆ ไอร้อนแผ่กระจายออกไป คล้ายกับโยนแท่งเหล็กร้อนๆ ลงในน้ำนั่นแหละ
สักพักใหญ่ไอร้อนก็ค่อยๆ คลายไป ลูกแสงสีแดงก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากสีแดงฉานเป็นสีส้ม สีเหลือง แล้วก็กลายเป็นสีฟ้าคราม จากนั้นก็กลับเป็นสีน้ำเงินดังเดิม
ไพลินวิญญาณรู้สึกว่าในน้ำนี้มีพลังฟ้าดินไม่น้อยเลย มันจึงดูดพลังฟ้าดินจากในน้ำเข้าไป บาดแผลของเฉินมู่อิ๋งหายไปนานแล้ว เพียงแต่พลังฟ้าดินในร่างยังมีน้อยเกินไป ยังไม่ก่อเกิดเป็นกระดูกเซียน ไพลินวิญญาณจึงพยายามดูดพลังวิญญาณทุกอย่างเข้าไปเพื่อแปรเปลี่ยนกระดูกของเจ้านายมันให้เป็นกระดูกเซียน
มันดูดพลังฟ้าดินจากในน้ำเข้าไปเรื่อยๆ ทำให้น้ำในทะเลสาบค่อยๆ เหือดแห้งลงไปทีละนิด…ทีละนิด
เซียนชุดดำขี่กระบี่ถึงถ้ำเซียนตัวเองก็ร่อนลงหน้าถ้ำแล้วเก็บกระบี่ใส่ถุงฟ้าดิน แต่พอคลำที่เอวตัวเองกลับไม่เจอถุงฟ้าดิน ทำให้เขาคลำไปรอบๆ เอวตัวเองเลยทีเดียว “หือ? ถุงฟ้าดินของข้าล่ะ?”
เขาคลำจนทั่วแต่ก็ไม่เจอถุงฟ้าดิน สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนไป “หรือว่าข้าทำตก?”
เขาคิดๆ แล้วใช้พลังโลหิตของตัวเองที่เชื่อมต่อกับถุงฟ้าดินค้นหา แต่ก็ไม่เจอแรงตอบสนองอะไรเลย ต่อให้ทำตกไว้ที่ไหนอย่างน้อยก็จะรู้สึกถึงแรงตอบสนองจากถุงฟ้าดินได้จางๆ แต่นี่เหมือนกับถุงฟ้าดินของเขาถูกคนอื่นลบพลังโลหิตออกไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น “หรือว่าข้าทำตกไว้แล้วมีคนเก็บได้ จากนั้นมันก็ลบพลังโลหิตของข้าออกไปงั้นรึ! บัดซบ!”
เขารีบขี่กระบี่ย้อนกลับไปตามทางเดินมาบินผ่านมาทันที สายตากวาดมองหาเซียนคนอื่นๆ ในเส้นทางนั้น คนที่ลบพลังโลหิตบนถุงฟ้าดินของเขาได้ย่อมมีขั้นพลังเทียบเท่ากับเขาหรือไม่ก็สูงกว่า หากเป็นคนที่มีขั้นพลังต่ำกว่าย่อมทำไม่ได้อย่างแน่นอน เขามองหาไปอย่างระมัดระวังตัวยิ่งนัก เพราะหากคนๆ นั้นมีขั้นพลังสูงกว่า การจะปรี่เข้าไปทวงถุงฟ้าดินคืนย่อมเป็นการรนหาที่ตายให้ตัวเองแน่แท้
เขาย้อนกลับไปจนกระทั่งถึงภูเขาไฟจุดที่เขาเจอเพลิงปฐพี เขาวนๆ หาถุงฟ้าดินของตัวเอง วนหาหลายรอบแล้วก็ไม่เจอจึงย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิม เขาขี่กระบี่ไปอย่างเชื่องช้า ตาก็กวาดมองไปทั่วๆ หวังจะเจอถุงฟ้าดินของตัวเองตกอยู่ที่ไหนสักแห่ง
แต่จนกระทั่งเขากลับถึงถ้ำเซียนก็ยังไม่เจอถุงฟ้าดินของตัวเองเลย นี่ทำให้เขาถึงกับกัดฟันกรอดๆ เลยทีเดียว ในถุงฟ้าดินของเขามีอาวุธเซียนที่เขาเก็บสะสมไว้ตั้งมากมาย อาวุธเหล่านั้นเขาไปเก็บมาจากตามสนามรบบ้าง แย่งชิงมาจากคนที่อ่อนแอกว่า ของพวกนั้นถือเป็นสมบัติของเขา แต่บัดนี้เขาสูญเสียสมบัติทั้งหมดไปจะไม่ให้โมโหได้อย่างไร อีกทั้งในนั้นยังมีเพลิงปฐพีที่เขาเก็บมาด้วย เพลิงปฐพีนี้เป็นของล้ำค่า นานๆ ทีถึงจะเจอสักก้อน หากเอาไปประมูลขายต้องได้หินปราณฟ้าดินไม่น้อยแน่นอน
เขาโมโหจนใช้กระบี่ฟาดฟันต้นไม้รอบๆ ถ้ำเซียนอย่างหาที่ระบายอารมณ์ หากไม่ได้ระบายออกไปเขาคงโมโหจนกระอักเลือดแน่ ต้นไม้รอบๆ ถ้ำเซียนล้มครืนๆ ไปหลายต้นเขาถึงได้หยุดมือแล้วนั่งลงอย่างเหนื่อยหอบ จากนั้นก็เดินเข้าถ้ำเซียนไป
ณ ใต้ทะเลสาบ ไพลินวิญญาณก็ดูดกลืนพลังฟ้าดินจากในน้ำเข้าไปเรื่อยๆ ยิ่งมันดูดเข้าไปมากเท่าไหร่ ร่างกายเจ้านายมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากกระดูกมนุษย์ธรรมดาเป็นกระดูกเซียน มันเฝ้ามองนางอย่างมีความหวังมากขึ้นเรื่อยๆ กระดูกของนางค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกระดูกเซียนทีละนิด…ทีละนิด เริ่มจากกระดูกนิ้วโป้งเท้าทั้งสองข้าง ตามด้วยนิ้วชี้เท้าทั้งสองข้าง นิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อย จากนั้นก็ไล่ขึ้นมาทีละข้อกระดูก มันเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของเจ้านายไปเรื่อยๆ
ใบหน้านางไม่ขาวซีดอีกแล้วแต่กำลังเปล่งปลั่งผิวเป็นสีขาวอมชมพู ตลอดเวลาที่ผ่านมารูปร่างหน้าตาของนางยังคงเหมือนกับตอนก่อนบาดเจ็บไม่มีผิด ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาเลยสักนิด เพราะว่านางอยู่ในลูกแสงสีน้ำเงินที่กาลเวลาไม่อาจผ่านเข้าไปได้ จึงทำให้รูปร่างของนางเหมือนกับถูกหยุดเวลาเอาไว้ ไม่ได้เติบโตไปตามกาลเวลา
วันเวลาค่อยๆ ผ่านไป เหนือทะเลสาบมีเซียนขี่กระบี่บินผ่านไปมาเป็นครั้งคราว บ้างมาคนเดียว บ้างมาเป็นกลุ่ม ทุกคนล้วนผ่านไปตามปกติ ไม่ได้เอะใจสงสัยเลยว่าใต้ทะเลสาบมีของวิเศษบางอย่างอยู่
น้ำในทะเลสาบค่อยๆ เหือดแห้งไปทีละน้อย…ทีละน้อย หากไม่สังเกตมากนักก็มองไม่เห็นความแตกต่างนี้เลย คนก็คงจะคิดกันว่าที่น้ำลดลงเป็นเพราะเปลี่ยนไปตามฤดูกาลนั่นเอง
เวลาผ่านไปราว 10 ปี นับตั้งแต่ที่ลูกแสงไพลินวิญญาณตกลงไปในทะเลสาบ น้ำในทะเลสาบหายไปถึง 2 ส่วน 3 เลยทีเดียว ความผิดปกตินี้ทำให้เซียนหลายคนมาดูที่ทะเลสาบเพื่อหาสาเหตุ แต่จนแล้วจนรอดพวกเขาก็หาสาเหตุไม่เจอจึงได้จากไป
คืนหนึ่ง ในขณะที่ท้องฟ้ามืดมิดมีเพียงแสงดาว เฉินมู่อิ๋งที่หลับใหลมานานพลันลืมตาขึ้น กระดูกทั้งร่างของนางกลายเป็นกระดูกเซียนเกือบทั้งหมด ยกเว้นกระดูกหน้าผาก ปกติแล้วเซียนทั่วๆ ไป จะเปลี่ยนกระดูกสันหลังในร่างกลายเป็นกระดูกเซียนได้เท่านั้น เมื่อกระดูกสันหลังทุกข้อกลายเป็นกระดูกเซียนก็จะมีพลังขั้นสูงสุดของเซียน แต่กระดูกของเฉินมู่อิ๋งกลับต่างจากเซียนคนอื่นๆ มันกลายเป็นกระดูกเซียนตั้งแต่นิ้วโป้งเท้าทั้งสองข้าง แล้วค่อยๆ ไล่ขึ้นไปจนถึงกระดูกกะโหลกศีรษะ ไพลินวิญญาณดีใจยิ่งนักที่เจ้านายของมันลืมตาตื่นเสียที {เจ้านายๆ เจ้าตื่นแล้ว!}
“หือ?” เฉินมู่อิ๋งส่งเสียงคำหนึ่งอย่างงุนงง ได้ยินเสียงไพลินวิญญาณในหัวก็ถามว่า “ข้าหลับไปนานเท่าไหร่?”
{เจ้าหลับไปประมาณ 230 กว่าปีแล้ว} ไพลินวิญญาณตอบ เฉินมู่อิ๋งเบิกตาโต “เจ้าหลอกข้าแล้ว!”
{จริงๆ เจ้าหลับไป 230 กว่าปีจริงๆ ข้าจะหลอกเจ้าทำไมล่ะ} ไพลินวิญญาณบอก เฉินมู่อิ๋งแย้ง “จะเป็นไปได้อย่างไร?”
{หึ! เจ้าจำได้หรือไม่? ตอนนั้นเจ้าบาดเจ็บหนักเจียนตาย เหลือแค่ลมหายใจสุดท้าย ข้าพยายามช่วยเจ้าถึงได้สละร่างตัวเองปกป้องเจ้าเอาไว้ ไม่เช่นนั้นป่านนี้เจ้าก็ตายไปแล้ว} ไพลินวิญญาณบอกคล้ายกับทวงบุญคุณ เฉินมู่อิ๋งไม่สนใจมันนัก นางก้มมองร่างกายตัวเองที่ปรากฎทรวดทรงองค์เอวของสตรี อาภรณ์ยังมีคราบเลือดเปื้อนอยู่ คราบเลือดยังดูสดใหม่ นางจึงส่ายหน้า “เจ้าหลอกข้า หากข้าหลับไป 230 กว่าปีจริงๆ คราบเลือดพวกนี้จะยังสดเช่นนี้ได้อย่างไร”
{ข้าไม่ได้หลอกเจ้านะ หากเจ้าไม่เชื่อก็มองออกไปข้างนอกซิ} ไพลินวิญญาณบอก เฉินมู่อิ๋งมองออกไป นางเห็นม่านแสงสีน้ำเงินล้อมรอบตัวเองอยู่ เบื้องนอกม่านแสงสีน้ำเงินเป็นความดำมืด ในความดำมืดนั้นมีบางอย่างเคลื่อนไหวคล้ายระลอกน้ำกระเพื่อมไปมา “ข้าอยู่ที่ไหน?”
{อยู่ใต้ทะเลสาบในแดนเซียน} ไพลินวิญญาณบอก เฉินมู่อิ๋งเลิกคิ้ว “แดนเซียน?”
{เมื่อ 10 กว่าปีก่อนมีเซียนคนหนึ่งพาข้ามาถึงแดนเซียนแล้วข้าก็ตกลงมาในทะเลสาบแห่งนี้ ข้าใช้พลังของข้าดูดกลืนพลังฟ้าดินแล้วส่งต่อให้เจ้าหลอมร่างกายจนกลายเป็นเซียน ไม่เช่นนั้นป่านนี้เจ้าตายไปแล้ว} ไพลินวิญญาณบอก เฉินมู่อิ๋งงงๆ “หลอมร่างกาย? เป็นเซียน?”
{เจ้าตื่นมาก็ดีแล้ว ข้าจะได้พักเสียที ข้าเหนื่อยเหลือเกิน} ไพลินวิญญาณบอกแล้วมันก็หลับไปทันที มันฝืนทนมาตั้งนานเพียงเพื่อรอให้เจ้านายตื่นขึ้นมาแล้วจะได้บอกเรื่องราวคร่าวๆ ให้นางรับรู้เสียก่อน เมื่อนางตื่นแล้วและมันก็ได้บอกเรื่องราวที่ควรจะบอกมันจึงไม่ต้องฝืนอีกต่อไปแล้ว
“เฮ้!ๆ ไพลินวิญญาณๆ” เฉินมู่อิ๋งเรียก แต่ก็ไม่มีเสียงตอบในหัวของนางแม้แต่น้อย นางจึงมองไปรอบๆ อย่างพิจารณา ลักษณะของด้านนอกนั้นบ่งบอกว่าอยู่ในน้ำ นางจึงคิดจะขึ้นจากน้ำ พลัน! ลูกแสงสีน้ำเงินก็ลอยขึ้นทันที ทำให้นางเบิกตาโตอย่างตกใจ “โอ้!”
ลูกแสงสีน้ำเงินลอยขึ้นไป ขณะเดียวกันนางก็รู้สึกถึงพลังบางอย่างของลูกแสงสีน้ำเงินนั้นที่เชื่อมกับนาง ราวกับว่าพลังนี้เป็นเหมือนกับแขนขาของนางเอง นางอยากไปทางซ้ายมันก็ไปทางซ้าย นางอยากไปทางขวามันก็ไปทางขวา นางให้มันลอยขึ้นไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งโผล่พ้นน้ำ นางมองความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นอย่างอึ้งๆ หากไม่ใช่เพราะในชีวิตนี้นางเห็นความอัศจรรย์มามากเกรงว่านี่คงทำให้นางตกใจตายแล้วแน่นอน ตั้งแต่เล็กๆ นางก็เจอเรื่องอัศจรรย์พันลึกมาไม่น้อยเลย ไม่ว่าจะเป็นผู้เฝ้ามองคนนั้นที่เปรียบเสมือนอาจารย์คนแรกของนาง อาจารย์กู่เสียนฟางที่เป็นเทพ อาจารย์เฟยเทียนที่เป็นมาร แล้วก็พี่สาวมังกร แล้วยังมียมทูต เฮยอู๋ฉาง ไป๋อู๋ฉาง เหยียนหลัวหวาง
นางมองเห็นแสงวิบวับเป็นละอองเล็กๆ อยู่รอบๆ ตัว แสงนั้นนางไม่รู้ว่ามันคืออะไร หากไพลินวิญญาณตื่นอยู่มันคงตอบนางแล้วว่า ‘นั่นคือพลังฟ้าดิน’ แต่นี่มันหลับไปแล้วนางจึงไม่รู้คำตอบ ทั้งในบริเวณนี้ก็มีเพียงนางคนเดียวกับผืนน้ำแล้วก็ผืนฟ้า ต้นไม้ไกลๆ ที่ดูเป็นผืนป่าผืนหนึ่ง นางรู้สึกว่าแสงวิบวับนั้นสวยงามดีนางจึงยื่นมือออกไปนอกลูกแสงสีน้ำเงิน นางคิดอยากจับแสงวิบวับนั้น พลัน! นางก็รู้สึกว่าตัวนางมีพลังดึงดูดชนิดหนึ่งที่ดูดแสงนั้นมารวมกันอยู่บนมือนาง แสงนั้นให้ความรู้สึกเย็นสบายอย่างแปลกประหลาด มันหายเข้าไปในมือนาง นางมองอย่างงงๆ “หือ?”
นางดูดแสงเหล่านั้นเข้ามาอีก แล้วมันก็หายเข้าไปในมือนางอีกครั้ง นางสงสัยจึงลุกขึ้นยืนอยู่ในลูกแสงสีน้ำเงินนั้น ยื่นมือออกไปทั้งสองข้าง เท้าเหยียบยืนตั้งท่าให้มั่นคง แล้วลองดูดแสงวิบวับเข้ามาอีก คราวนี้แสงวิบวับนั้นพุ่งมารวมตัวกันที่มือทั้งสองข้างของนางแล้วหายไปในฝ่ามือทั้งสองข้าง ความสงสัยใคร่รู้ทำให้นางลองดูดแสงวิบวับอีกครั้ง คราวนี้แสงวิบวับเหล่านั้นพุ่งมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วหายไปบนฝ่ามือทั้งสองข้างของนาง นางรู้สึกถึงความเย็นสบายไหลจากฝ่ามือ ไปที่แขน ไหล่ แล้วไหลไปรวมกันที่ท้อง จากนั้นก็แผ่ไปตามร่างกายของนาง เป็นความรู้สึกสบายราวกับอยู่กลางปุยเมฆอย่างไรอย่างนั้น
ความรู้สึกนี้ทำให้นางหลับตาลง แล้วดูดแสงวิบวับเหล่านั้นเข้ามาอีก เพราะนางหลับตาลงจึงไม่เห็นว่าแสงวิบวับเหล่านั้นพุ่งมาเป็นสายเหมือนลมพายุโหมกระหน่ำ เข้าสู่มือและเท้าของนาง แม้แต่ทวารทั้ง 7 ก็ดูดแสงวิบวับเหล่านี้เข้าไปเช่นกัน หากเซียนทั้งหลายได้มาเห็นภาพนี้คงตกตะลึงปากอ้าตาค้างแน่นอน เพราะการจะดูดพลังฟ้าดินเข้าไปในร่างกายได้ช่างยากเย็นยิ่งนัก เซียนระดับสูงที่ฝึกฝนมานานยังไม่อาจดูดพลังฟ้าดินได้อย่างนางเลย พวกเขาดูดกลืนผ่านทางจมูก ปาก เท่านั้น
เฉินมู่อิ๋งไม่รู้ว่าตัวเองดูดพลังฟ้าดินอยู่นานเพียงใด นางไม่รู้ว่าเลือดเนื้อในร่างกายนางเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง แทบทุกอนุในร่างล้วนกลายเป็นเซียนทั้งหมด ยกเว้นกระดูกหน้าผากที่ยังไม่เปลี่ยนเป็นกระดูกเซียนเสียที
ตอนที่เฉินมู่อิ๋งลืมตาขึ้น นางก็ตกใจยิ่งนัก เพราะว่าทะเลสาบแห้งเหือดไปหมดแล้ว ต้นไม้ที่เห็นอยู่ไกลๆ เหล่านั้นก็กลายเป็นต้นไม้แห้งมีแต่กิ่งก้านราวกับต้นไม้ในฤดูใบไม้ร่วงอย่างไรอย่างนั้น นางไม่รู้ว่ามันเป็นเช่นนี้อยู่ก่อนแล้วหรือไม่ ก็น่าจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้วนั่นแหละ
นางไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับเซียนมากนัก คนที่พอจะตอบคำถามของนางได้เท่าที่นางคิดออกในตอนนี้ก็คืออาจารย์เฟยเทียน นางหยิบหยกที่อาจารย์เฟยเทียนเคยให้ไว้ออกมาจากแหวนคุนเฉียน นางมองม่านแสงสีน้ำเงินที่อยู่รอบๆ ตัว เพียงแค่คิดเก็บ แสงเหล่านั้นก็หายไปทันที ทำให้ตัวนางร่วงหล่นลงไปทันที “เหวอ—”
โคร้ม! นางตกลงไปบนพื้นทรายก้นทะเลสาบที่เหือดแห้งแห่งนั้น นางยันตัวลุกขึ้นมา ปัดๆ อาภรณ์ แล้วลองกางม่านแสงสีน้ำเงิน ม่านแสงสีน้ำเงินก็พลันโอบล้อมรอบตัวนางอีกครั้ง “โอ๋?”
นางคิดเก็บ ม่านแสงสีน้ำเงินก็หายไปทันที นางตาวาวอย่างดีใจ จากนั้นก็บีบหยกในมือจนแตก ใต้เท้าพลันมีวงแหวนอาคมเกิดขึ้น มีแสงพุ่งขึ้นมา นางหลับตาลง จนกระทั่งได้ยินเสียงดังแว่ว “หือ?”
เฉินมู่อิ๋งลืมตาขึ้น เห็นอาจารย์เฟยเทียนอยู่ตรงหน้า เฟยเทียนก็มองเฉินมู่อิ๋งเช่นกัน นางมองอย่างอึ้งๆ แล้วขมวดคิ้วคิดๆ
“เจ้าคือนังหนูมู่อิ๋ง?” นางถามอย่างไม่แน่ใจนัก เพราะเวลาก็ผ่านไป 200 กว่าปีแล้ว นังหนูมู่อิ๋งเป็นมนุษย์ก็น่าจะตายไปนานแล้วนี่นา
“อาจารย์” เฉินมู่อิ๋งกุมมือคารวะ เฟยเทียนลุกจากโต๊ะหิน เดินเข้าไปหาสตรีที่มีใบหน้าเหมือนนังหนูเฉินมู่อิ๋ง ศิษย์คนที่ 2 ของนางที่นางเคยรับเป็นศิษย์เมื่อ 200 กว่าปีก่อน นางจับคางเด็กสาวนางนั้นแล้วพึมพำ “หรือว่าจะเป็นหลานของนังหนู?”
“อาจารย์ ข้าคือเฉินมู่อิ๋งเจ้าค่ะ” เฉินมู่อิ๋งบอก เฟยเทียนตกตะลึง “เป็นไปได้อย่างไร? จากตอนนั้นมันก็ผ่านมา 200 กว่าปีแล้วนะ”
“ข้าก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเจ้าค่ะ รู้แต่ว่าไพลินวิญญาณช่วยข้าให้กลายเป็นเซียนเจ้าค่ะ” เฉินมู่อิ๋งตอบ เฟยเทียนเบิกตาโต “เซียน!?”
“อาจารย์กู่ล่ะเจ้าคะ?” เฉินมู่อิ๋งถาม เฟยเทียนตอบ “ลงเขาไปซื้อของในเมืองน่ะ”
“อ่อ” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้ารับรู้ เฟยเทียนจับมือเฉินมู่อิ๋งแล้วแผ่พลังมารเข้าไปตรวจดู นางตรวจอยู่ครู่หนึ่งก็พบว่าร่างกายของเฉินมู่อิ๋งเปลี่ยนเป็นเซียนแล้วจริงๆ ไม่ใช่ร่างมนุษย์อ่อนแออีกต่อไป อีกทั้งร่างกายนี้ยังเปลี่ยนเป็นเซียนเกือบทั้งหมดยกเว้นกระดูกหน้าผากที่ยังคงเป็นกระดูกมนุษย์อยู่ นางปล่อยมือแล้วบอกว่า “ดูเหมือนเจ้าจะได้โชควาสนาบางอย่างทำให้ร่างกายเจ้ากลายเป็นเซียนเกือบทั้งหมด ไหน เจ้าลองใช้พลังของตัวเองทำให้ก้อนหินนั่นลอยขึ้นซิ”
“เจ้าค่ะ” เฉินมู่อิ๋งมองก้อนหินที่อาจารย์ชี้แล้วชี้นิ้วไป พลันมีพลังสายหนึ่งพุ่งออกจากปลายนิ้วเข้าใส่หินก้อนนั้น ตู้ม!
Chapter 2
สำนักเซียน
เฟยเทียนเห็นก้อนหินระเบิดออกก็ตกตะลึงไป เฉินมู่อิ๋งยิ้มแหยๆ “เอ่อ…อาจารย์ ข้าไม่ได้ตั้งใจทำมันแตกนะเจ้าคะ”
“เอาเถอะๆ ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย” เฟยเทียนโบกๆ มือ “ขั้นพลังเจ้ายังไม่เสถียร ถ้าจะให้ดีเจ้าควรเข้าสำนักเซียนฝึกฝนพลังในร่างก่อน”
“เข้าสำนัก?” เฉินมู่อิ๋งเลิกคิ้วขึ้น เฟยเทียนเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะหินแล้วกวักมือ “มาๆ เจ้ามานั่งนี่ก่อน”
“เจ้าค่ะ” เฉินมู่อิ๋งรับคำ เดินไปนั่งตรงข้ามอาจารย์ นางยื่นมือไปยกกาน้ำชา รินชาให้อาจารย์ “น้ำชาเจ้าค่ะ”
“อืม” เฟยเทียนยกชาขึ้นจิบ “เจ้านี่ช่างเอาอกเอาใจคล้ายเฟยเหยานัก”
“จริงซิ พี่สาวเฟยเหยาล่ะเจ้าคะ” เฉินมู่อิ๋งถาม เฟยเทียนวางถ้วยชาลงแล้วตอบ “เฟยเหยาตายไปตั้งแต่ 200 กว่าปีก่อนแล้ว นางเกิดใหม่เป็นเชื้อสายเทพมาร ตอนนี้กำลังเก็บตัวฝึกฝนอยู่ตรงชายแดนเทพมารน่ะ”
“เชื้อสายเทพมาร?” เฉินมู่อิ๋งเลิกคิ้วขึ้น เฟยเทียนจึงอธิบายว่า “เดิมทีนางเป็นเชื้อสายระหว่างเทพกับมารน่ะ จิตของนางผ่านการเกิดตายมาหลายครั้งแล้ว จนกระทั่งชาติที่แล้วนางได้เกิดในครรภ์เทพที่มาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อผ่านด่านเคราะห์น่ะ เรื่องนี้ยิ่งพูดยิ่งยาว เอาเป็นว่าเจ้ารู้แค่ว่านางเป็นเชื้อสายเทพมารก็พอ”
(อยากรู้เรื่องของเฟยเหยา อ่านเรื่องราวของนางได้ในเรื่อง หงส์คืนแค้น นะคะ)
“อ่า…เจ้าค่ะ” เฉินมู่อิ๋งก็ไม่ถามอะไรต่อ เพราะสิ่งที่นางสนใจคือสำนักเซียนมากกว่า เฟยเทียนจึงพูดต่อว่า “มาพูดเรื่องสำนักเซียนเถอะ”
เฉินมู่อิ๋งพยักหน้าหงึกๆ เฟยเทียนจึงบอกว่า “สำนักเซียน ก็คือสำนักที่ก่อตั้งโดยเซียนที่มีพลังขั้นสูง ที่โลกนี้มีสำนักเซียนราวๆ ห้าสิบหกสิบสำนักกระมัง แต่สำนักใหญ่ๆ มีแค่ 3 สำนัก ก็มี สำนักหมื่นดารา สำนักเทียนเต๋า แล้วก็สำนักซ่อนจันทร์”
นางหยุดพูดแล้วยกชาขึ้นจิบ จากนั้นก็พูดต่อ “สำนักซ่อนจันทร์ เจ้าห้ามเข้าเด็ดขาด”
“อ้าว” เฉินมู่อิ๋งอ้าปากค้างอย่างสงสัย เฟยเทียนจึงบอก “สำนักนี้รับแต่ศิษย์หญิง แต่เจ้าสำนักเป็นบุรุษ ข้าได้ยินว่าศิษย์สำนักนี้ต้องบำเพ็ญคู่กับเจ้าสำนัก เพราะงั้น เจ้าห้ามเข้าสำนักนี้เป็นอันขาด”
“บำเพ็ญคู่กับเจ้าสำนัก?” เฉินมู่อิ๋งขมวดคิ้ว เฟยเทียนโบกๆ มือ “เจ้าก็อย่าไปอยากรู้นักเลย”
เฉินมู่อิ๋งเห็นอาจารย์ไม่อยากเล่าก็ไม่ถามต่อ แม้จะยังไม่รู้ว่าคำว่า ‘บำเพ็ญคู่’ คืออะไร? เป็นวิชาแบบไหนกัน?
“สำนักเทียนเต๋า ก็เน้นการฝึกเต๋าอย่างเดียว สำนักนี้ข้าคิดว่าไม่ค่อยเหมาะกับเจ้าเท่าไหร่ เช่นนั้นเจ้าก็เข้าสำนักหมื่นดาราดีที่สุด สำนักนี้ข้าได้ยินว่าฝึกฝนพลังหลากหลาย มีวิชาเซียนมากมายนัก” เฟยเทียนบอก เฉินมู่อิ๋งกะพริบตาปริบๆ “แล้วอาจารย์สอนข้าไม่ได้หรือ?”
“พลังเซียนกับพลังเทพมารต่างกัน ข้าเป็นเชื้อสายเทพมารรู้แต่วิธีการฝึกพลังเทพมาร เรื่องนี้ข้าสอนเจ้าไม่ได้จริงๆ แต่ข้ามีตำราหลอมโอสถเซียนอยู่นะ ในเมื่อเจ้าเป็นเซียนก็เอาตำรานี้ไปศึกษาเถอะ อ่อ ตำราหลอมอาวุธเซียนข้าก็มี” เฟยเทียนบอกพลางเอาตำรา 2 ม้วนออกมาจากกำไลคุนเฉียน ตำรา 2 ม้วนพลันปรากฏอยู่ในมือนาง นางยื่นให้เฉินมู่อิ๋ง “เอ้า”
เฉินมู่อิ๋งรับตำรา 2 ม้วนนั้นมาเปิดอ่าน นางเปิดดูตำราโอสถเซียนก่อน เปิดดูได้นิดหนึ่งก็ปิดไป แล้วเปิดตำราหลอมอาวุธเซียนดู นางดูนิดหนึ่งแล้วก็เก็บตำราทั้งสองม้วนไว้ในแหวนคุนเฉียน จากนั้นก็กุมมือ “ขอบคุณเจ้าค่ะ บุญคุณนี้ข้าจะไม่ลืมไปชั่วชีวิตเลยเจ้าค่ะ”
“โอ้! พูดถึงสำนักหมื่นดารา ข้าได้ยินว่าอีก 5 วัน สำนักนี้จะเปิดรับศิษย์ในรอบ 3 ปีนี่นา เจ้าจะมัวช้าอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว”
เฟยเทียนพูดขึ้นมา “สำนักนี้เปิดรับศิษย์ 3 ปี 1 ครั้ง หากเจ้าพลาดโอกาสนี้ไปต้องรออีก 3 ปีเชียวนะ ไปๆ ข้าจะไปส่งเจ้าที่ชายแดนเซียน”
นางบอกแล้วก็ลุกขึ้นยืน เฉินมู่อิ๋งรีบลุกตาม เฟยเทียนเอากระบี่ราชันมารออกมา กระบี่สีดำเลื่อมพลันขยายใหญ่ขึ้นจนคนสามารถขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนกระบี่ได้เลย นางก้าวขึ้นไปนั่งบนกระบี่ เฉินมู่อิ๋งก็รีบขึ้นไปนั่งด้วย จากนั้นเฟยเทียนก็บังคับกระบี่ให้บินออกไป ฟิ้ว!
เสียงกระบี่แหวกอากาศออกไปราวกับลูกธนูถูกยิงออกจากคันศร เฉินมู่อิ๋งไม่รู้ว่าเร็วขนาดไหน นางรู้แต่ว่าทิวทัศน์รอบด้านกลายเป็นมองไม่ชัด ทุกอย่างรอบด้านผ่านไปไวยิ่งราวกับดาวตกอย่างไรอย่างนั้น รอบๆ ตัวมีหมอกดำล้อมรอบ นางยื่นมือไปคิดจะยื่นออกไปนอกหมอกดำ เฟยเทียนที่นั่งอยู่ข้างหน้ารีบหันไปดุ “นังหนู! อย่ายื่นมือออกไปซี้ซั้ว ไม่งั้นมือเจ้าได้กุดแน่”
“อ่า…” เฉินมู่อิ๋งหดมือกลับมาทันที เฟยเทียนหันหน้าไปบังคับกระบี่ให้พุ่งไปอย่างเร่งรีบ หนึ่งศิษย์หนึ่งอาจารย์นั่งอยู่บนกระบี่เงียบๆ
ตอนที่กระบี่ราชันมารเพิ่งพุ่งจากไป บนยอดเขาก็มีชายคนหนึ่งกับเด็กชายคนหนึ่งเพิ่งจะเดินขึ้นมาบนยอดเขา เด็กชายชี้มือไป “ท่านพ่อ นั่นท่านแม่ไปไหนรึขอรับ?”
“ไม่รู้ซิ” เทพกู่เสียนฟางส่ายหน้าแล้วจูงลูกชายเข้าบ้าน “ไปๆ เอาของไปเก็บก่อน เดี๋ยวพ่อจะทำเกี้ยวต้มที่เจ้าชอบให้กิน”
“เย้ๆ” เด็กชายดีใจรีบวิ่งเข้าบ้านไปทันที เทพกู่เสียนฟางเดินตามไป ในกระบุงบนหลังของเขายังมีเด็กทารกอีกคนหนึ่งนอนอยู่ในนั้น นี่คือลูกคนที่ 2 ของเขานั่นเอง เขาอยากให้ฮูหยินของเขาได้พักผ่อนบ้างจึงอาสาพาลูกไปซื้อของในเมืองด้วยกัน
กระบี่ราชันมารพุ่งแหวกอากาศไปดูเหมือนช้าแต่ความจริงแล้วเร็วมาก ด้วยสายตาธรรมดาของมนุษย์ทั่วไปไม่อาจมองทัน หากพวกเขาเงยหน้ามองท้องฟ้าก็จะเห็นเพียงเงาดำผ่านฟ้าไปจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งในพริบตาเดียว จนกระทั่งกระบี่หยุดกึกตรงชายแดนเซียน มันร่อนลงไปบนพื้นดิน เฟยเทียนก็หยิบหยก 2 ชิ้นออกมายื่นให้เฉินมู่อิ๋ง “นังหนู ก้อนนี้เป็นหยกอาคมเคลื่อนย้าย ส่วนก้อนนี้มีแผนที่แดนเซียนอยู่ เจ้ากำไว้ในมือก็จะเห็นแผนที่ทั้งหมดของแดนเซียน เอาล่ะ ข้าส่งเจ้าได้เท่านี้แหละ หากข้าไปส่งเจ้าถึงสำนักเกรงว่าจะทำให้อาคมแดนเซียนพังซะก่อน ข้าส่งเจ้าตรงนี้แหละ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เฉินมู่อิ๋งรับหยก 2 ก้อนนั้นมาแล้วเก็บไว้ในแหวนคุนเฉียน แล้วนางก็กุมมือคารวะอาจารย์อีกครั้ง “อาจารย์เจ้าคะ ขอบคุณท่านมากจริงๆ”
“ช่างเถอะๆ อา…จริงซิ รูปโฉมเจ้าอย่าลืมปกปิดล่ะ ไม่เช่นนั้นรูปโฉมเช่นนี้จะนำภัยมาให้เจ้า” เฟยเทียนเตือนอย่างหวังดี เฉินมู่อิ๋งยิ้มรับอย่างซาบซึ้งใจ “เจ้าค่ะ”
“เอาล่ะ เจ้ารีบไปเถอะ หากช้าเกินไปต้องรออีก 3 ปีเชียวนะ” เฟยเทียนบอก เฉินมู่อิ๋งลุกขึ้นก้าวออกจากกระบี่ แล้วกุมมือคารวะอาจารย์อย่างซาบซึ้งใจยิ่ง เฟยเทียนมองพลางยิ้มให้แล้วบังคับกระบี่ให้ลอยขึ้น จากนั้นก็พุ่งหายลับไปในพริบตา เฉินมู่อิ๋งมองตามอย่างตะลึง ความเร็วของกระบี่นั่นเร็วมากจริงๆ พริบตาเดียวก็ไม่เห็นกระบี่ดำนั่นอีกแล้ว พลังแข็งแกร่งเช่นนั้นทำให้นางเกิดความรู้สึกฮึกเหิมอยากแข็งแกร่งเหมือนอาจารย์เฟยเทียนขึ้นมา นางคิดๆ แล้วก้าวเดินเข้าไปในแดนเซียน
เมื่อเข้าไปในแดนเซียนแล้วนางก็เอาหยกแผนที่ออกมากำไว้ในมือ พลัน! ในหัวเกิดภาพขนาดใหญ่มหึมาขึ้น นางดูภาพทีละส่วน…ทีละส่วน บนภาพมีจุดสีดำจุดหนึ่ง จุดนั้นเป็นเงาคนๆ หนึ่ง นางยื่นมือไป เงานั้นก็ยื่นมือออกไปเช่นกัน นางยื่นมือไปข้างหลัง เงานั้นก็ยื่นมือไปข้างหลังเช่นกัน ทำให้นางรู้ว่าเงาดำบนภาพก็คือตัวนางเอง เงานั้นแทนตัวนางบนแผนที่ใหญ่มหึมานั้น บนแผนที่มีชื่อบอกสถานที่ต่างๆ อย่างคร่าวๆ ส่วนใหญ่เป็นสถานที่ใหญ่ๆ เช่นทะเลสาบต้าเทียน ป่าปีศาจ สำนักซ่อนจันทร์ สำนักเทียนเต๋า สำนักหมื่นดารา แล้วก็สำนักใหญ่อันดับสองและสามอีกหลายๆ สำนัก ฯลฯ
นางมองแผนที่นั้นแล้วมองตำแหน่งของสำนักหมื่นดาราที่อยู่ติดกับทะเลสาบต้าเทียน ระยะทางดูแล้วน่าจะห่างไกลมากทีเดียวจากจุดที่นางอยู่ นางคลายมือออกภาพแผนที่ก็หายไป “คงต้องรีบไปแล้ว อาจารย์บอกว่า 5 วัน”
นางเก็บหยกแผนที่ไปแล้วรีบแปลงโฉมใบหน้าตัวเองให้กลายเป็นใบหน้าบุรุษธรรมดาๆ ทันที จากนั้นก็ใช้มายาลวงตาทำให้รูปลักษณ์ที่คนอื่นมองเห็นกลายเป็นบุรุษ ซึ่งนางก็ไม่รู้ว่านางใช้มายาลวงตาเองได้อย่างไร มันเป็นความรู้สึกที่แค่คิดมายาลวงตาก็คลุมร่างนางแล้ว ก่อนหน้านี้นางใช้มายาลวงตาต้องใช้ผ่านไพลินวิญญาณ แต่ตอนนี้คล้ายกับว่าความสามารถของไพลินวิญญาณกลายเป็นของนางไปแล้ว นางเอากระจกมาส่องๆ ดูความเรียบร้อยของการปลอมรูปโฉม เห็นว่าเงาสะท้อนในกระจกเป็นบุรุษคนหนึ่งหน้าตาสามัญก็ยิ้มอย่างพอใจ เห็นคราบเลือดบนอาภรณ์ก็ส่ายๆ หน้า “อา…ข้ายังไม่ได้เปลี่ยนอาภรณ์เลยนี่นา”
เขาหยิบอาภรณ์ชุดใหม่ออกมาจากแหวนคุนเฉียนแล้วรีบเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่อย่างไวยิ่ง ส่วนอาภรณ์ชุดเก่าก็เก็บใส่แหวนคุนเฉียนไป เขามองดูเงาตัวเองในกระจกอีกครั้งแล้วเก็บของต่างๆ จากนั้นก็เร่งเดินทาง
ขณะเดียวกัน มีเซียนกลุ่มหนึ่งบินเข้าใกล้ทะเลสาบกังเยว่ พวกเขาถึงกับประหลาดใจที่เห็นต้นไม้ในบริเวณนั้นมีแต่กิ่งก้าน ต้นโกร๋นไร้ใบ จนดูคล้ายต้นไม้ในฤดูใบไม้ร่วงไม่มีผิด “หือ?”
เซียนคนหนึ่งหยุดชะงักกึก กระบี่ลอยอยู่กลางอากาศ เขามองต้นไม้โกร๋นๆ เหล่านั้นอย่างประหลาดใจ “เหตุใดต้นไม้ถึงเป็นเช่นนั้นเล่า?”
“ศิษย์พี่ มีอะไร…” เซียนอีกคนเอ่ยปากถามยังไม่ทันจบก็ชะงักไปเมื่อเห็นต้นไม้โกร๋นๆ เบื้องล่าง “หือ?”
เซียนคนแรกร่อนกระบี่ลงไป เซียนคนที่สองก็ตามลงไป เซียนคนอื่นๆ ที่ตามหลังมาล้วนประหลาดใจมาก พวกเขาตามศิษย์พี่ใหญ่ไป “ศิษย์พี่ เหตุใดที่นี่ถึงกลายเป็นเช่นนี้ล่ะ?”
ศิษย์พี่คนนั้นยืนมองต้นไม้ที่ใบร่วงหมดต้นอย่างงุนงง ศิษย์น้องก็มองๆ เช่นกัน พวกเขาจำได้ว่าเมื่อวานตอนผ่านไปบริเวณนี้ยังไม่เป็นเช่นนี้เลยนี่นา ศิษย์น้องคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “เมื่อวานนี้ข้ายังเห็นว่ามันยังเขียวๆ อยู่เลย เหตุใดวันนี้ถึงกลายเป็นเช่นนี้แล้วล่ะ?”
“นั่นซิศิษย์พี่ เมื่อวานพวกเราผ่านไปมันก็ยังไม่เป็นเช่นนี้เลยนี่” ศิษย์น้องอีกคนพูดขึ้นบ้าง ศิษย์พี่มองๆ แล้วยื่นมือไปจับต้นไม้ต้นหนึ่ง พลัน! ต้นไม้ต้นนั้นก็แตกสลายกลายเป็นฝุ่นผงลงมาทันที
“เหวอ!” พวกเขาร้องตกใจแล้วรีบขี่กระบี่บินขึ้นฟ้าทันที เมื่อลอยอยู่กลางอากาศพวกเขาก็มองลงไปเบื้องล่างที่ฝุ่นฟุ้งกระจาย “นี่มัน!”
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น?”
“เหมือนกับว่ามันถูกดูดพลังชีวิตหายไปจนตายอย่างนั้นแหละ” ศิษย์พี่พูดขึ้นมา พวกศิษย์น้องหน้าเปลี่ยนสีกันเลยทีเดียว “ใครกันที่ทำเช่นนี้ได้?”
ศิษย์พี่มองอย่างครุ่นคิดแล้วขี่กระบี่บินไปเบื้องหน้า พวกศิษย์น้องก็ขี่กระบี่บินตามไป จนพวกเขาลอยอยู่เหนือทะเลสาบกังเยว่ พวกเขาตกใจจนหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง “น้ำแห้งหมดแล้ว!”
ศิษย์พี่ร่อนกระบี่ลงไปก้นทะเลสาบที่ไม่มีน้ำสักหยด เหลือแต่พื้นทรายแห้งผากราวกับทะเลทรายอย่างไรอย่างนั้น พวกศิษย์น้องก็ร่อนกระบี่ตามลงไป ศิษย์น้องคนหนึ่งใช้มือกอบทรายขึ้นมา เม็ดทรายไหลผ่านมือเขาไป ไม่มีความชุ่มชื้นหลงเหลือแม้แต่น้อย มันแห้งผากราวกับทรายในทะเลทราย “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ล่ะ? เมื่อวานข้ายังจำได้ว่ามีน้ำอยู่เลย”
ศิษย์พี่ส่ายหน้า เขาก็ไม่รู้เช่นกัน เรื่องนี้เกินกว่าปัญญาของเขาจะขบคิดได้ เขามองๆ แล้วชวนว่า “รีบกลับสำนักไปรายงานอาจารย์เถอะ”
“อื้ม” พวกศิษย์น้องพยักหน้าคนละทีสองที พวกเขารู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ จู่ๆ สถานที่ก็เปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน จากป่าทึบกลายเป็นป่าแห้งตาย ทะเลสาบกลายเป็นทะเลทราย นี่มันช่างน่าหวาดหวั่นจริงๆ พวกเขารีบขี่กระบี่บินขึ้นแล้วมุ่งหน้ากลับสำนักอย่างเร่งรีบ ทะเลสาบกังเยว่เกิดการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่เจ็ดแปดปีก่อนแล้ว น้ำในทะเลสาบลดลงเรื่อยๆ ทุกปีๆ มาคราวนี้น้ำเหือดแห้งไปหมด ป่ารอบๆ ก็แห้งตาย
พวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ก็มีหลายสำนักส่งคนมาตรวจสอบเรื่องนี้แต่ก็หาสาเหตุไม่ได้ มาตอนนี้ทะเลสาบกังเยว่เปลี่ยนไปเช่นนั้นย่อมสร้างความแตกตื่นไปทั่วแน่นอน
เฉินมู่อิ๋งเร่งเดินทางอย่างเร่งรีบ ขณะเดียวกันก็คิดถึงครอบครัวด้วย แต่เวลาผ่านไป 200 กว่าปีแล้ว แน่นอนว่าท่านพ่อ น้องชาย ย่อมไม่มีชีวิตอยู่แล้ว คนอื่นๆ ก็ด้วย ดังนั้นสิ่งที่เขาควรทำก็คือเข้าสำนักเซียนฝึกฝนพลังก่อน แล้วค่อยกลับไปดูที่แคว้นซินหยางทีหลังก็ได้ บางทีที่นั่นอาจจะเหลือลูกหลานตระกูลเฉินอยู่ก็ได้ แต่ถึงจะเหลืออยู่เขาก็ไม่รู้สึกผูกพันสักเท่าไหร่ สิ่งที่เขาสนใจตอนนี้คือ หลังจากท่านแม่ท่านพ่อตายไปแล้วจะไปเกิดใหม่อย่างไร? ความคิดนี้ติดอยู่ในใจเขาจนเขาอยากหาคำตอบให้ได้ วัฏจักรเกิดตายนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ทำไมต้องเกิด? ทำไมต้องตาย? มันเป็นคำถามที่เขาอยากหาคำตอบยิ่งนัก บางทีสำนักเซียนอาจมีคำตอบให้เขาก็ได้
หลังจากสำนักเซียนรู้ข่าวทะเลสาบกังเยว่ก็ส่งคนไปตรวจสอบ คนจากหลายๆ สำนักพากันไปที่ทะเลสาบกังเยว่เป็นกลุ่มๆ พวกเขาเห็นทะเลสาบแห้งผาก เห็นป่ารอบๆ ทะเลสาบที่เปลี่ยนไปราวกับกลายเป็นป่าผีสิง ก็มึนงงจนขบคิดอย่างไรก็ขบคิดไม่ออกว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? รู้แต่ว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทะเลสาบกังเยว่เปลี่ยนไปน่าจะมีคนหรืออะไรสักอย่างดูดกลืนพลังชีวิตจากทะเลสาบไป พวกเขาสรุปออกมาเช่นนี้ ทำให้เซียนทั้งหลายรู้สึกหวาดหวั่นยิ่งนัก หากเป็นคน คนๆ นั้นเป็นใคร? มีพลังสูงส่งขนาดไหน? หากเป็นของวิเศษ จะต้องเป็นของวิเศษที่พลิกฟ้าพลิกดินได้เลยทีเดียว
ส่วนต้นตอที่ทำให้ทะเลสาบกังเยว่เปลี่ยนไปเช่นนั้นยังคงวิ่งอยู่ในป่ามุ่งหน้าไปสำนักหมื่นดาราอย่างเร่งรีบ เฉินมู่อิ๋งแทบไม่หยุดพักเลย เขาวิ่งๆๆ หยุดพักกินเสบียงแห้งที่เก็บไว้ในแหวนคุนเฉียนเป็นระยะๆ กินเสร็จก็รีบออกวิ่งต่อ เขาเคยลองใช้ม่านแสงสีน้ำเงินช่วยเดินทางแล้ว แต่กลับรู้สึกว่ามันลอยไปช้ากว่าที่เขาวิ่งไปเองเสียอีก ดังนั้นเขาจึงไม่ใช้มันอีก อาศัย 2 ขาของตัวเองวิ่งไปดีกว่า
เฉินมู่อิ๋งวิ่งอยู่ในป่าทึบ ผ่านที่ราบทุ่งหญ้า ผ่านภูเขาสูงชัน บางคราวมีสัตว์ร้ายไล่ตามเขา แต่เขาก็ไม่อยากเสียเวลากับมันจึงตัดสินใจวิ่งหนีมันให้เร็วที่สุด จนสลัดพวกมันหลุดไปได้ พวกมันวิ่งตามจนเหนื่อยหอบวิ่งไม่ไหวอีกก็นอนหมอบหอบลิ้นห้อยแฮ่กๆ ได้แต่มองเหยื่ออันโอชะหนีไปไกลลิบ เฉินมู่อิ๋งวิ่งมา 4 วันติดๆ แล้ว เขาหยุดพักชั่วขณะแล้วเอาหยกแผนที่ออกมาดู เห็นว่าจุดที่ตัวเองอยู่กับสำนักหมื่นดาราอยู่ห่างกันไม่มากแล้ว แต่เทียบจากระยะทางที่ผ่านมาแล้วคาดว่าหากยังวิ่งสุดกำลังเช่นนี้ต่อไปอีก คงไปถึงสำนักในอีก 2 วันกระมัง เขาไม่รู้ว่าสำนักหมื่นดาราเปิดรับศิษย์กี่วัน อาจจะเป็นวันเดียวก็ได้ “เช่นนั้นข้าต้องรีบแล้ว”
เขาเก็บหยกแผนที่ไปแล้วเอาเสบียงแห้งยัดใส่ปากเคี้ยวเร็วๆ จากนั้นก็ดื่มน้ำตามแล้วก็ออกวิ่งอีกครั้ง ขณะที่เขาวิ่งจากจุดที่หยุดพักเมื่อกี้ ก็มีหมาป่าตัวใหญ่กระโจนลงตรงที่เขายืนเมื่อกี้ เขาได้ยินเสียงตุบ! จึงหันไปมองดู เห็นหมาป่าตัวหนึ่งขนเป็นสีเทา ตัวมันใหญ่กว่าหมาป่าทั่วไปสัก 3 เท่าได้ มันมองมาที่เขาราวกับมองเหยื่อ ทำให้เขาหันหน้ากลับไปแล้วรีบวิ่งหนีทันที หมาป่าตัวนั้นก็พุ่งตามไปทันทีเช่นกัน เฉินมู่อิ๋งวิ่งสุดกำลังเลยทีเดียว เขาไม่อยากเสียเวลากับหมาป่าตัวนี้ เวลาของเขายิ่งมีจำกัดอยู่นะ!
หมาป่าวิ่งไล่กวดไป มันมองเหยื่ออย่างหิวโหย มันไม่เชื่อหรอกว่าเหยื่อของมันจะวิ่งหนีมันไปได้ “แฮ่—”
เฉินมู่อิ๋งวิ่งหนี หมาป่าวิ่งไล่ หากใครได้เห็นภาพนี้คงตกตะลึงจนตาค้างแน่ นั่นคือหมาป่าวายุเชียวนะ ฝีเท้ามันไวราวกับลมพายุ ขนาดเซียนระดับสูงยังวิ่งหนีมันไม่ทันเลย แต่เฉินมู่อิ๋งกลับวิ่งหนีมันได้ อีกทั้งระยะห่างยิ่งทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ เขารู้สึกว่ายิ่งวิ่งฝีเท้าตัวเองก็ยิ่งเร็วขึ้นอีก เร็วขึ้นเรื่อยๆ หากเทียบกับเมื่อ 4 วันก่อน ความเร็วของเขาคงเพิ่มเป็น 3 เท่าตัวเลยกระมัง อีกทั้งก็ไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเท่าไหร่ เขาวิ่งฉิวไปเรื่อยๆ ทิ้งห่างหมาป่าตัวใหญ่นั่นไปเรื่อยๆ หมาป่าวายุวิ่งตามไปจนกระทั่งถึงชายขอบเขตที่อยู่ของมัน มันก็ไม่กล้าวิ่งตามอีก ได้แต่มองเหยื่อหนีไปจนหายลับไป มันเงยหน้าหอนอย่างแค้นใจ “โบร๋ววววว—”
เฉินมู่อิ๋งหันไปมองแวบหนึ่งเห็นมันไม่วิ่งไล่แล้วเขาก็โล่งใจ แต่ฝีเท้าก็ไม่ได้ลดความเร็วลงเลย ยังคงวิ่งต่อไปอีก เพราะเวลากระชั้นชิดยิ่งนัก เขาไม่อยากพลาดโอกาสแล้วต้องรอไปอีก 3 ปีหรอกนะ! ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะต้องเข้าสำนักหมื่นดาราให้ได้!
ในที่สุดเฉินมู่อิ๋งก็วิ่งมาถึงตีนเขาของสำนักหมื่นดารา ตรงตีนเขาของสำนักเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่ง เมืองนี้มีชื่อว่าซ่อนดารา เฉินมู่อิ๋งมองป้ายหินแกะสลักตรงข้างประตูเมืองแล้วมองเข้าไปในเมืองซ่อนดารา เขาเห็นผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ไปมา เขามองๆ แล้วเดินเข้าไป
“หยุด!” ทหารหน้าประตูยื่นทวนยาวมาขวางทาง เฉินมู่อิ๋งชะงักกึก หันไปมองทหารคนนั้น ทหารแบมือ บอกน้ำเสียงดุดันว่า “จะเข้าเมืองก็ต้องจ่ายค่าผ่านทาง”
“อ่อ” เฉินมู่อิ๋งจึงล้วงอกเสื้อหยิบถุงเงินออกมาพลางถามว่า “ค่าผ่านทางเท่าไหร่หรือพี่ชาย?”
“5 หยก” ทหารกางนิ้วตรงหน้าเฉินมู่อิ๋ง เฉินมู่อิ๋งขมวดคิ้ว “5 หยก?”
เขาเก็บถุงเงินใส่อกเสื้อแล้วล้วงเอาหยกเขียวออกมาจากแหวนคุนเฉียน เมื่อเขาดึงมือออกมาจากอกเสื้อก็มีหยกเขียว 5 ชิ้นอยู่ในมือ ทหารมองหยกเขียวเหล่านั้นแล้วบอกว่า “ไม่ใช่หยกจากแดนมนุษย์ แต่เป็นหยกปราณฟ้าดิน”
เฉินมู่อิ๋งขมวดคิ้ว ขณะนั้นเองก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินผ่านไป หนึ่งในคนกลุ่มนั้นยื่นถุงผ้าให้ทหารอีกคน ทหารคนนั้นรับถุงผ้าแล้วเทของข้างในออกมานับ เฉินมู่อิ๋งเห็นหินสีขาวมีแสงวิบวับๆ อยู่ข้างใน จึงเข้าใจแล้วว่า หินสีขาวมีแสงวิบวับนั่นก็คือ ‘หยกปราณฟ้าดิน’ นั่นเอง เขาจึงส่ายหน้าบอกทหารที่อยู่ตรงหน้าว่า “ข้าไม่มีหยกปราณฟ้าดินหรอกพี่ชาย”
“ไม่มีหยกก็เข้าเมืองไม่ได้” ทหารบอกน้ำเสียงดุดัน เฉินมู่อิ๋งจึงถอยไป เขาถอยไปด้านข้างแล้วมองกำแพงเมืองสูงใหญ่ เหนือกำแพงเมืองขึ้นไปเขาเห็นคล้ายอากาศเคลื่อนไหวเหมือนม่านโปร่งบาง เขาไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเรียกว่า ‘อาคม’ เขาเห็นแค่มันมีแสงวิบวับๆ กระเพื่อมไปมา เขาเบนสายตากลับมามองกลุ่มคนที่กำลังเข้าเมือง เห็นทหารนับๆ หยกปราณฟ้าดินแล้วก็ปล่อยให้คนกลุ่มนั้นเข้าไป
“นี่น้องชาย หากเจ้าไม่มีหยก แต่ถ้าเจ้ามีโอสถหรืออาวุธเซียนก็เอามาขายให้ข้าได้นะ ข้าจะรับซื้อราคาสูงที่สุดเลย” ทหารบอกเสียงเบา เฉินมู่อิ๋งคิดๆ อันที่จริงเขาก็มีอาวุธเซียนอยู่อย่างหนึ่งนะ ตอนที่ผ่านภูเขาสูงชันเขาเจอกับโครงกระดูกร่างหนึ่งนั่งพิงอยู่กับต้นไม้ โครงกระดูกร่างนั้นถูกรากไม้ชอนไชจนแทบจะรวมเป็นส่วนหนึ่งกับต้นไม้เลยทีเดียว ในมือโครงกระดูกมีกระบี่เซียนอยู่เล่มหนึ่ง เขาจึงเก็บกระบี่เซียนเล่มนั้นมา ก็คนตายไปแล้วส่วนกระบี่ปล่อยไว้อย่างนั้นก็เสียของน่ะซิ เขาจึงเก็บมาเผื่อใช้ประโยชน์ได้ แล้วตอนนี้ก็น่าจะมีประโยชน์ขึ้นมาแล้ว
เขาล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อแล้วหยิบกระบี่เล่มนั้นออกมาจากแหวนคุนเฉียน ตอนที่เขาดึงมือออกมาจากอกเสื้อจึงกลายเป็นเหมือนดึงกระบี่ออกมาจากอกเสื้อ หากเป็นในโลกมนุษย์ผู้คนเห็นเช่นนี้จะต้องแตกตื่นแน่นอน แต่ที่นี่เป็นแดนเซียนที่มีของวิเศษอย่างถุงฟ้าดิน ซึ่งข้างในถุงฟ้าดินมีพื้นที่ให้เก็บสิ่งของได้ ดังนั้นทหารเห็นภาพเช่นนั้นก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร คิดว่าเจ้าหนุ่มคนนี้เก็บถุงฟ้าดินไว้ในอกเสื้อนั่นเอง เขามองจ้องกระบี่ที่ถูกดึงออกมา กระบี่เก่าๆ มีพลังเซียนอ่อนจาง เฉินมู่อิ๋งส่งกระบี่เล่มนั้นให้ทหาร “อ่ะ พี่ชาย ท่านจะให้ราคาเท่าไหร่รึ?”
ทหารรับกระบี่ไปดู เขาพลิกไปพลิกมาแล้วถอนหายใจ “มันแทบจะเหมือนเศษเหล็กแล้ว ข้าให้มากสุดหยก 6 ก้อน”
“เพิ่มให้ข้าอีกสักหน่อยไม่ได้รึพี่ชาย?” เฉินมู่อิ๋งต่อรอง ทหารคนนั้นส่ายหน้าแล้วยื่นกระบี่คืนให้ “จะเอารึไม่เอา? ถ้าไม่เอาก็เอากระบี่เจ้าคืนไปเถอะ 6 ก้อนนี่ก็ถือว่าข้าให้ราคาสูงสุดเพราะเห็นใจเจ้าแล้วนะ”
“ได้ ข้าขายให้ท่าน” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้ารับ ทหารคนนั้นจึงล้วงหยกปราณฟ้าดินให้เจ้าหนุ่มคนนี้ก้อนนึง ส่วนอีก 5 ก้อนก็หักเป็นค่าผ่านทางเข้าเมือง เฉินมู่อิ๋งรับหยก 1 ก้อนนั้นมาแล้วเดินเข้าเมืองไป เมื่อเดินผ่านประตูเมืองเข้าไปแล้วเฉินมู่อิ๋งก็มองไปมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น ภายในเมืองมีบ้านเรือนไม่ต่างจากแดนมนุษย์สักเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าไม้ที่ใช้ทำบ้านเรือนล้วนแผ่พลังเซียนออกมาจางๆ สองข้างทางมีแผงขายของเรียงรายยาวสุดสายตา เฉินมู่อิ๋งไม่ได้สนใจดูของสักเท่าไหร่ เขาอยากรีบไปให้ถึงสำนักหมื่นดารามากกว่า
เขาเห็นผู้คนเดินมุ่งหน้าไปทางภูเขาสูง คาดว่าคนพวกนั้นน่าจะเป็นคนที่มาสมัครเป็นศิษย์ของสำนักหมื่นดาราเหมือนกับเขากระมัง เดินไปยังไม่ทันไร เขาก็ได้ยินเสียงดังกังวานว่า “คนที่จะสมัครเป็นศิษย์สำนักหมื่นดาราในปีนี้ให้ไปรวมตัวกันที่บันไดทางขึ้นสำนัก”
ผู้คนได้ยินเช่นนั้นก็รีบสาวเท้าเดินไปเบื้องหน้าเร็วขึ้นทันที เฉินมู่อิ๋งก็เดินตามผู้คนไป มีคนข้างหลังเขาเร่งฝีเท้าจนแทบจะวิ่งไป ทำให้คนอื่นๆ พลอยวิ่งตามไปด้วย เฉินมู่อิ๋งไม่ได้วิ่งตามไป เขายังคงเดินไปเรื่อยๆ ตาก็มองสำรวจดูซ้ายขวาไปพลาง เขาก้าวเดินเหมือนช้าแต่ความเร็วกลับตามคนที่วิ่งไปไม่ทิ้งห่างมากนัก จนกระทั่งไปถึงจุดที่มีคนยืนอออยู่ข้างหน้าเป็นพันๆ คนเลยกระมัง เขามองดูผู้คนเบื้องหน้าแล้วตื่นตาตื่นใจเล็กน้อย ผู้คนเบื้องหน้าดูแล้วคล้ายๆ กับบัณฑิตทั้งหลายที่มาออรอสมัครสอบขุนนางอย่างไรอย่างนั้น
Chapter 3
เจ้าหนู เจ้าเป็นศิษย์ข้าแล้ว
มีเสียงพูดคุยกันอื้ออึง เฉินมู่อิ๋งยืนฟังอยู่เงียบๆ
“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าต้องเข้าสำนักหมื่นดาราได้แน่นอนขอรับ”
“พี่สาว พวกเราจะเข้าสำนักหมื่นดาราได้เหรอ ข้าได้ยินว่าการทดสอบเข้าสำนักยากมากเลยนะ”
“ท่านปู่ ข้าจะต้องเข้าสำนักหมื่นดาราให้ได้ขอรับ”
“หลีกไปๆ พวกเจ้าถอยให้ห่างจากองค์หญิงของข้าหน่อย”
ฯลฯ เสียงพูดคุยกันดังอื้ออึงอยู่รอบๆ เฉินมู่อิ๋งมองไปมองมา เขาถอนหายใจในใจทีหนึ่ง นี่ไม่ค่อยต่างจากโลกมนุษย์สักเท่าไหร่เลย
จนกระทั่งมีเซียนคนหนึ่งขี่กระบี่ออกมาจากทางสำนักหมื่นดารา เขาสวมอาภรณ์สีฟ้าคราม ลอยอยู่กลางอากาศ ยืนอยู่บนกระบี่เอามือไพล่หลังท่าทางสูงส่ง เขามองฝูงชนเบื้องล่างแล้วพูดว่า “ผู้ที่จะเข้าเป็นศิษย์ของสำนักหมื่นดาราให้พวกเจ้าเดินขึ้นบันไดสำนักไปเดี๋ยวนี้”
เสียงเขาก้องกังวานไปทั่ว เมื่อพูดจบแล้วเขาก็ขี่กระบี่กลับเข้าสำนักไป ผู้คนที่อออยู่ในบริเวณนั้นต่างก็รีบเดินขึ้นบันไดไปทันที คนแรกที่เดินไปถึงบันได ยิ้มอย่างเย่อหยิ่งแล้วพูดว่า “ข้าจะต้องไปถึงเป็นคนแรก!”
เขาก้าวเหยียบบันได พลันหน้าเปลี่ยนสีไปทันที เพราะมีแรงกดถาโถมลงมาบนตัวเขาทำให้เขาเข่าทรุดลงไปข้างหนึ่ง ปึก!
คนอื่นๆ ที่มองดูบุรุษคนนั้นต่างจ้องมองเขาเป็นตาเดียว บุรุษผู้นั้นพยายามยันตัวลุกขึ้นมา หลังเขาโค้งลงเหมือนแบกอะไรสักอย่างที่หนักมากๆ เอาไว้ เขากัดฟันก้าวขาอีกข้างลงบนขั้นบันไดที่สองต่อไป เขารู้สึกถึงแรงถาโถมลงมาบนตัวเขาราวกับแบกขุนเขาอย่างไรอย่างนั้น เขามีดวงตามุ่งมั่นก้าวขาขึ้นบันไดไปทีละขั้น…ทีละขั้น อย่างยากลำบากยิ่ง
คนอื่นๆ เห็นเช่นนั้นก็กลืนน้ำลายทีหนึ่ง แล้วมองบันไดที่ทอดยาวขึ้นไปไม่เห็นปลายทางอย่างมุ่งมั่น พวกเขาก้าวเท้าเหยียบขั้นบันไดขั้นแรก พลันรู้สึกถึงแรงกดถาโถมลงบนร่างทำให้เข่าทรุดลงปึก!
พวกเขายันกายขึ้นอย่างยากลำบาก แล้วค่อยๆ ก้าวเดินต่อไปอย่างเชื่องช้าราวกับเต่าคลาน บางคนหันไปมองครอบครัวที่มาส่ง แล้วยิ้มให้คนในครอบครัว จากนั้นก็หันหน้าไปพยายามก้าวเท้าขึ้นบันไดไปทีละขั้น…ทีละขั้น อย่างไม่ย่อท้อ ผู้คนทยอยขึ้นบันไดไปทีละคนสองคน ทันทีที่พวกเขาก้าวเหยียบบันไดขั้นแรก ทุกคนต่างไม่กล้าพูดจาอวดเบ่งอีกเลย
จนกระทั่งเฉินมู่อิ๋งก้าวเท้าขึ้นบันไดเป็นคนสุดท้าย เขารู้สึกถึงแรงกดถาโถมลงบนร่างกายประดุจขุนเขาใหญ่ยักษ์ที่คล้ายกับจะกดทับเขาไว้อยู่ตรงนั้นไม่ให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้เลย แรงกดนี้ทำให้เขากัดฟันกรอดๆ เขาไม่รู้หรอกว่ายิ่งมีกระดูกเซียนมากเท่าไหร่แรงกดดันนี้ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น สำหรับคนที่มีกระดูกเซียน 1 ข้ออาจจะรู้สึกเหมือนแรงกดดันนี้เท่ากับข้าวสาร 1 กระสอบ เช่นนั้นคนที่มีกระดูกเซียน 2 ข้อก็จะทวีคูณขึ้นไปอีก 1 เท่าตัว แต่สำหรับเฉินมู่อิ๋งแล้วนี่ไม่ใช่การทวีคูณธรรมดาๆ เพราะร่างกายของเขากระดูกแทบทั้งตัวกลายเป็นกระดูกเซียน เลือดเนื้อก็กลายเป็นเซียนไปหมดแล้ว เขาเข่าทรุดลงไปทั้งสองข้าง ปึก! ปึก!
คนอื่นๆ ที่ชมดูอยู่ล้วนมองอย่างเยาะหยัน “โถๆ เจ้าหนูนั่นจะไหวรึ”
“ดูหน้าเขาซิ เหมือนจะไม่ไหวจริงๆ”
“ผอมแห้งเช่นนั้นจะไปไหวได้อย่างไร”
ฯลฯ ผู้คนพูดกันไป พวกเขามองเด็กหนุ่มร่างผอมแห้งไร้เรี่ยวแรงอย่างดูแคลน เฉินมู่อิ๋งไม่ได้สนใจเสียงของคนอื่น เขาทำเพียงแค่พยายามยันขาขึ้นมาอย่างสุดกำลังแล้วก้าวเท้าเหยียบขั้นบันไดขั้นที่ 2 สภาพของเขาแทบไม่ต่างจากคลานขึ้นบันไดสักเท่าไหร่
คนอื่นๆ ที่เดินอยู่บนขั้นบันไดหันไปมองคนอื่น ครั้นเห็นมีคนที่สภาพย่ำแย่กว่าตัวเองก็รู้สึกลำพองใจขึ้นมา พลางมองคนที่สภาพแย่กว่าอย่างดูแคลน
ศิษย์ของสำนักหมื่นดาราก็ชมดูการทดสอบนี้อย่างสนอกสนใจ ตรงหน้าพวกเขามีวงแหวนอาคมขนาดใหญ่อยู่กลางลาน ภายในวงแหวนอาคมนั้นปรากฏภาพผู้คนที่กำลังเดินขึ้นบันไดมาอย่างเชื่องช้า พวกเขาชี้มือชี้ไม้คุยกัน
“ดูคนแรกนั่นซิ ท่าทางแข็งแรงกำยำเชียว”
“ดูนั่น คนนั้นค่อยๆ แซงคนอื่นขึ้นมาแล้ว”
“ดูคนสุดท้ายนั่นซิ เขาจะไหวรึ?”
ฯลฯ เสียงพูดคุยดังอื้ออึงไปทั่ว บรรดาอาจารย์ทั้งหลายก็มองดูภาพในวงแหวนอาคมเช่นกัน พวกเขาสนใจคนที่ก้าวขาไม่ค่อยออกมากหน่อยเพราะนั่นหมายความว่าคนๆ นั้นมีกระดูกเซียนในร่างมาก แต่พอพวกเขาดูเด็กหนุ่มคนสุดท้ายที่ค่อยๆ คืบคลานขึ้นบันไดมาพวกเขาก็คิดเหมือนๆ กันว่า เด็กหนุ่มคนนั้นไม่ได้มีกระดูกเซียนมากหรอก เขาเพียงแค่ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเดินขึ้นมาต่างหาก ผิวพรรณขาวผ่องราวกับคุณหนูในห้องหับเช่นนั้น น่าจะเป็นคุณชายของบ้านใดสักแห่งที่พ่อแม่ประคบประหงมไม่เคยต้องตรากตรำทำงานหนักมากกว่า ดังนั้นเด็กหนุ่มไม่ค่อยมีแรงเดินเช่นนี้จึงไม่ค่อยน่าสนใจนัก
เวลาผ่านไปเนิ่นนานมาก ในที่สุดก็มีคนแรกคลานขึ้นไปถึงลานด้านบน เขาคลานไปนอนแผ่อยู่บนพื้นหินอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง หอบหายใจจนอกกระเพื่อมๆ
“โอ! มีคนขึ้นมาถึงลานชั้นแรกแล้ว”
เมื่อมีคนแรก ย่อมมีคนที่ 2 คนที่สองเป็นสตรีคนหนึ่ง นางคลานไปนอนหมอบอยู่บนพื้นอย่างไม่สนใจแล้วว่าอาภรณ์จะเปรอะเปื้อนอย่างไร ทั้งแขนเสื้อทั้งขากางเกงล้วนมีรอยเปื้อนเต็มไปหมดอันเกิดจากการคลานขึ้นบันได
“โอ! คนที่สองแล้ว”
ตามด้วยคนที่ 3 ที่ 4 และที่ 5… แต่ละคนคลานไปถึงลานด้านบนได้ก็รู้สึกว่าแรงกดดันที่ถาโถมใส่ร่างหายวับไปในทันที พวกเขาคลานไปนอนหอบหายใจกระเพื่อมๆ อย่างหมดเรี่ยวแรง สภาพแต่ละคนล้วนอาภรณ์เปรอะเปื้อนไม่ต่างกัน เหงื่อชุ่มไปทั้งตัวราวกับตากน้ำฝนมาอย่างไรอย่างนั้น เมื่อมีคนขึ้นมาได้สำเร็จก็ย่อมมีคนล้มเลิกกลางคัน บางคนขึ้นไปต่อไม่ไหว พอถอยลงไปก็ไม่รู้สึกถึงแรงกดดันแล้ว ทำให้คนเหล่านั้นยอมถอยลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพ้นบันไดไป
เฉินมู่อิ๋งมองคนที่ถอยลงไปผ่านเขาไปทีละคนสองคน เขาไม่สนใจคนเหล่านั้น เขาสนใจแค่เขาจะต้องเข้าสำนักหมื่นดาราให้ได้ เขาอยากเป็นผู้แข็งแกร่ง อยากแข็งแกร่งจนกระทั่งวันนึงเทียบเท่ากับอาจารย์เฟยเทียนหรือไม่ก็พี่สาวมังกร ทั้งสองคนนั้นเปรียบเหมือนแรงจูงใจที่ทำให้เขายังไม่ยอมแพ้ ยังคงมุ่งมั่นคลานต่อไป
เวลาผ่านไปอีกเนิ่นนานมาก จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกลับฟ้าไปแล้ว ยังมีคนค้างอยู่บนขั้นบันได พวกเขาหยุดพักเป็นระยะๆ พอหายเหนื่อยก็คลานขึ้นไปต่อ เฉินมู่อิ๋งก็เช่นกัน เขาค่อยๆ คลานขึ้นไปทีละขั้น…ทีละขั้นอย่างเชื่องช้า เขาก็อยากไปให้ไวกว่านี้แต่มันทำไม่ได้จริงๆ แรงกดดันบนตัวเขามันเหมือนภูเขาใหญ่ยักษ์กดลงมาจนเขาแทบขยับตัวไม่ได้เลย
มีคนจำนวนไม่น้อยล้มเลิกความตั้งใจ ถอยลงไปเรื่อยๆ เมื่อพวกเขาไปถึงพื้นด้านล่างแล้วก็ถอนหายใจอย่างยอมแพ้ การจะเข้าสำนักหมื่นดารายากจริงๆ
จนพระอาทิตย์ขึ้น แสงสว่างสาดส่องอีกครั้ง เฉินมู่อิ๋งยังคงคลานขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างเชื่องช้า เขาหยุดพักเพียงชั่วครู่เท่านั้น ทั้งคืนเขาไม่หลับไม่นอนยังคงคลานขึ้นบันไดไปทีละขั้น…ทีละขั้นอย่างไม่ย่อท้อ ความมุ่งมั่นนี้ทำให้อาจารย์ทั้งหลายเห็นแล้วอดชื่นชมไม่ได้
อืม มีความมุ่งมั่นดี เพียงแต่ยังต้องดูขั้นพลังอีกว่าจะอยู่ในระดับใด หากอยู่ในระดับแรกเริ่มก็ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ เพราะยังมีคนอื่นที่โดดเด่นกว่าเจ้าหนูผอมแห้งคนนั้นมากนัก การจะรับศิษย์เพื่อเสียเวลาสั่งสอนก็ต้องคัดเลือกศิษย์ที่มากความสามารถซิ มีแต่ความมุ่งมั่นอย่างเดียวมันไม่พอหรอก
มีคนขึ้นไปถึงลานด้านบนมากขึ้นเรื่อยๆ และก็มีคนถอยลงไปข้างล่างมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน หากเปรียบกันแล้วคนที่ขึ้นไปสำเร็จมีราวๆ 1 ส่วนร้อยนั่นเอง หมายความว่าในร้อยคน มีคนขึ้นไปสำเร็จเพียงแค่ 1 คน ส่วนอีก 99 คนล้มเลิกยอมแพ้ไปก่อน
เวลาผ่านไปจนถึงตอนเย็น เฉินมู่อิ๋งก็คลานขึ้นไปถึงลานด้านบนสำเร็จ เขาคลานไปนอนหมอบอยู่บนพื้นหิน เหนื่อยหอบจนแทบกระดิกกระเดี้ยตัวไม่ได้เลย เมื่อก่อนเขาฝึกวรยุทธ์หนักแล้วแต่ก็ยังไม่เคยต้องเหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนี้เลย เขาเหยียดมุมปาก หึ! บันไดงั้นรึ ต่อให้ยากกว่านี้ข้าก็ไม่ยอมแพ้หรอก
เมื่อเขาขึ้นไปถึงเป็นคนสุดท้ายการทดสอบขั้นแรกก็สิ้นสุดลงเพราะบนบันไดไม่เหลือใครอีกแล้ว คนส่วนใหญ่ยอมแพ้แล้วถอยลงไปจนหมดตั้งแต่ตอนเที่ยงวันแล้ว เหลือแค่เฉินมู่อิ๋งคนเดียวที่ยังคงคลานอยู่อย่างไม่ยอมแพ้
“เอาล่ะ คืนนี้พวกเจ้าก็พักอยู่ที่นี่ก่อน รอพรุ่งนี้เช้าค่อยเริ่มทดสอบขั้นที่ 2” เซียนคนเดิมที่ขี่กระบี่ประกาศในตอนแรกเดินมาพูดประกาศอย่างเฉยชาแล้วก็เดินจากไป ผู้คนจึงถอนหายใจโล่งอกที่ได้พัก 1 คืน พวกเขาจึงนอนหลับกันต่อราวกับหมาตาย เฉินมู่อิ๋งก็นอนหลับไปเช่นกัน เขาเหนื่อยจนไม่สนใจแล้วว่านอนอยู่บนพื้นหินแข็งๆ เขารู้สึกแค่ว่าร่างกายของเขาเหนื่อยล้าเกินไปจนเขาอยากจะหลับยาวๆ สักหลายๆ วันเลยทีเดียว
เช้าตรู่ ผู้คนตื่นขึ้นมา เซียนชุดสีฟ้าครามก็เดินมาประกาศอีกครั้ง “เอาล่ะ พวกเจ้าเตรียมตัวทดสอบรอบที่ 2 ได้ ให้พวกเจ้าข้ามหุบเหวไป ใครผ่านไปได้ถือว่าผ่านการทดสอบรอบที่ 2 ใครใจเสาะก็ลงบันไดกลับไปเสีย อ่อ ข้าเตือนไว้ก่อนนะ หุบเหวนั่นลึกมาก ตกลงไปมีแต่ตายอย่างเดียว”
ผู้คนมองตามมือของเซียนคนนั้น เห็นโซ่เส้นหนึ่งขึงอยู่กับเสา 2 ต้นระหว่างปากเหวลึก โซ่เส้นนั้นมีขนาดใหญ่เท่าฝ่าเท้าพอให้คนขึ้นไปเดินได้ แต่ก็มีเพียงเส้นเดียว พวกเขาเห็นเช่นนั้นก็กลืนน้ำลายเอือก ระยะทางจากฝั่งนี้ไปถึงฝั่งนู้นน่าจะประมาณ 100 เมตรกว่าๆ ระยะทางร้อยเมตรกว่าๆ นี้กับเหวลึกที่มองไม่เห็นก้นเหวช่างเป็นบททดสอบที่วัดใจยิ่งนัก คำพูดของเซียนคนนั้นก้องอยู่ในหูพวกเขาทุกคน ‘ตกลงไปมีแต่ตายอย่างเดียว’ ทำให้พวกเขาที่เดินไปมองก้นเหวหลายๆ คนถึงกับเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาทันที
บุรุษคนแรกที่เดินขึ้นบันไดสำเร็จ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเดินไปที่โซ่เส้นนั้น เขาจับโซ่แล้วเริ่มเดินยองๆ ไต่ไปบนโซ่ทีละก้าว…ทีละก้าว ความกล้าของบุรุษคนนั้นทำให้ศิษย์ที่มองดูการทดสอบอยู่เกิดความชื่นชม “โอ ใจกล้าดีนี่”
“ดี” อาจารย์บางคนเอ่ยปากชม อาจารย์คนอื่นๆ ก็พยักเพยิดหน้ายิ้มชื่นชมไปด้วย
มีบางคนเอากระบี่ออกมาคิดจะบินผ่านไป แต่กลับไม่สามารถขี่กระบี่บินข้ามหุบเหวไปได้ ทำให้คนเหล่านั้นมีสีหน้าไม่น่าดูนัก พวกเขาเก็บกระบี่ไปแล้วมองโซ่เส้นนั้นอย่างชั่งใจ จนกระทั่งบุรุษคนแรกข้ามผ่านไปได้สำเร็จ คนอื่นๆ ที่อยู่ฝั่งนี้ก็ตบมือเกรียวกราว “เยี่ยมๆ”
คนที่ 2 ก็รีบเดินไปที่โซ่เส้นนั้นแล้วค่อยๆ เกาะ นั่งยองๆ ไต่ไปอย่างช้าๆ เหมือนกับที่คนแรกทำ โซ่แกว่งไกวน้อยๆ ทำให้เขาต้องเกาะโซ่ไว้แน่นเลยทีเดียว บุรุษคนนั้นค่อยๆ ไต่ไปอย่างช้าๆ จนในที่สุดก็ไปถึงอีกฝั่งสำเร็จ เรียกเสียงเกรียวกราวขึ้นทันที “เยี่ยมๆ”
เมื่อมี 2 คนไต่ไปสำเร็จทำให้หลายๆ คนเกิดความฮึกเหิมขึ้นมา คนที่ 3 รีบปรี่เข้าไปคว้าโซ่แล้วไต่ไป เขาไต่ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเกือบถึงกึ่งกลางก็พลัดตกจากโซ่ “เหวอ—”
มือเกาะโซ่ตัวห้อยต่องแต่ง “ช่วยด้วยๆ”
“โอ้!” ผู้คนตกใจร้องกันลั่น บางคนตะโกนบอก “เจ้าอยู่นิ่งๆ ก่อน ข้าจะไปช่วยเดี๋ยวนี้แหละ”
“เกาะไว้แน่นๆ นะ”
มีผู้กล้าคนหนึ่งไต่โซ่ไป อยากจะไปช่วยผู้ชายคนนั้น คนที่ตกโซ่ตัวห้อยอยู่กลางอากาศก็กลัวจนแทบเสียสติแล้ว “ช่วยข้าด้วยๆ”
เขาปวดแขนจนไม่อาจฝืนทนเกาะไหว มือค่อยๆ ลื่นหลุดจากโซ่ทีละข้าง…ทีละข้าง แล้วก็ร่วงหล่นลงไป “อ้า!—”
“โอ้!” ผู้คนตกใจ เห็นบุรุษคนนั้นร่วงละลิ่วลงไปกับตาตัวเองผ่านม่านหมอกในหุบเหวหายลับไป เสียงร้องโหยหวนก็จางหายไปเช่นกัน ทำให้ผู้คนที่อยู่ด้านบนหน้าเปลี่ยนสี
“เขาต้องตายแล้วแน่ๆ ไม่เอาแล้ว ข้าไม่อยากตาย” บางคนร้องอย่างหวาดกลัวแล้วก็วิ่งลงบันไดไป เมื่อมีคนหนึ่งก็ย่อมมีคนต่อไป ทำให้มีหลายๆ คนวิ่งลงบันไดไปอย่างยอมแพ้
“หึ!” เหล่าอาจารย์มองภาพคนยอมแพ้ที่วิ่งลงบันไดไปอย่างดูแคลน ซึ่งจริงๆ แล้วในหุบเหวมีตาข่ายขึงอยู่ถึงสามสี่ชั้นเลยทีเดียว คนที่ตกลงไป ย่อมถูกตาข่ายดักเอาไว้ ทำให้รอดชีวิตไปได้ แต่เมื่อตกลงไปก็ถือว่าไม่ผ่านการทดสอบ คนเหล่านี้จะถูกคัดไว้เป็นศิษย์เตรียมฝึก หากอีกหน่อยฝึกฝนจนผ่านบททดสอบก็จะได้กลายเป็นศิษย์ฝึกหัดของสำนัก
คนอื่นๆ ที่ยืนอยู่บนลานล้วนมีความคิดต่างกัน บางคนก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะข้ามหุบเหวไปให้ได้ บางคนก็เกิดกลัวๆ ขึ้นมา แต่ก็ไม่กล้ายอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม เฉินมู่อิ๋งมองดูเฉยๆ เขายืนอยู่หลังสุด รอเป็นคนสุดท้ายที่จะข้ามหุบเหวไป คนที่ไต่ไปช่วยคนที่ตกลงไปขณะนี้อยู่บนโซ่ที่แกว่งไกวไปมา เขาเกาะโซ่แน่นมาก รอจนกระทั่งโซ่หยุดแกว่งแล้วจึงตัดสินใจไต่ข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง เมื่อข้ามไปถึงแล้วเขาก็ถอนหายใจพรู “เฮ้อ…”
“เยี่ยมๆ” คนฝั่งนี้ก็ตบมือเกรียวกราวขึ้นมาทันที จากนั้นคนอื่นๆ ก็เริ่มไต่โซ่ไปทีละคน…ทีละคน
“เหวอ—” มีบางคนตกลงไป คนที่เหลืออยู่ไม่เห็นว่าทางสำนักจะส่งคนไปช่วยเหลือคนที่ตกลงไปเลยก็เกิดความลังเลขึ้นมาแล้ว พวกเขาควรจะเอาชีวิตไปเสี่ยงจริงๆ หรือ?
“ไม่เอาแล้ว ข้าไม่เข้าสำนักแล้ว สำนักใจดำเช่นนี้ข้าไม่อยากเข้าแล้ว” บางคนพูดขึ้นมาแล้วเดินลงบันไดไปอย่างยอมแพ้
มีคนยอมแพ้ไปไม่น้อยเลยทีเดียว คนที่เหลืออยู่ก็พยายามไต่โซ่ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเหลือเพียงเฉินมู่อิ๋งที่อยู่ฝั่งนี้คนเดียว เขานั่งดูคนอื่นๆ อยู่นานแล้วจึงลุกขึ้นขยับตัวยืดเส้นยืดสาย แล้วปีนขึ้นไปบนเสาที่ขึงโซ่ฝั่งนี้ ผู้คนมองดูเด็กหนุ่มผอมแห้งที่จู่ๆ ก็ปีนขึ้นไปบนเสาอย่างงงงวยสงสัย “นั่นเขาจะทำอะไรน่ะ?”
“หือ? เจ้าหนูนั่นจะทำอะไร?” บรรดาอาจารย์มองภาพในวงแหวนอาคมอย่างสงสัยใคร่รู้
เฉินมู่อิ๋งปีนเสาสลักลายมังกรขึ้นไปจนกระทั่งขึ้นไปยืนอยู่บนยอดเสา เขามองเสาอีกต้นฝั่งตรงข้ามอย่างมีแผนการแล้วเอาธนูออกมา กับเชือกเส้นยาวขนาดเท่านิ้วหัวแม่โป้งออกมาม้วนหนึ่ง เขามัดเชือกกับลูกธนูแล้วยิงธนูออกไปที่เสาฝั่งตรงข้าม ฟิ้ว!
ฉึก! ลูกธนูพุ่งไปปักที่เสาฝั่งตรงข้ามอย่างแม่นยำ เฉินมู่อิ๋งดึงๆ เชือกจนแน่ใจว่าลูกธนูจะไม่ถอนออกมา จากนั้นเขาก็จัดแจงเอาห่วงเหล็กร้อยกับปลายเชือกด้านนี้แล้วมัดเชือกกับหัวเสาฝั่งนี้ เขามัดเป็นปมเฉพาะของตัวเอง ไม่ใช่เงื่อนตายแบบทั่วไป เมื่อมัดแน่นดีแล้วเขาก็ยิ้มบางๆ อย่างพอใจ เชือกด้านนี้อยู่สูงกว่าด้านนู้นมากนักทำให้เชือกเอียงลาดลงไป คนอื่นๆ ก็มองอย่างงุนงงไม่เข้าใจ “นั่นเขาจะทำอะไรรึ?”
“เจ้าหนูนั่นคิดจะทำอะไร?” พวกอาจารย์มองดูอย่างสงสัยใคร่รู้ เฉินมู่อิ๋งจับห่วงเหล็กที่ร้อยเชือกแน่นแล้วทะยานตัวกระโดดลงไป วูบ!
“อ้า!” ผู้คนร้องอย่างตกอกตกใจ ปากอ้าตาค้างกันไปหมด พวกอาจารย์ถึงกับลุกขึ้นยืนมองภาพนั้นกันเลยทีเดียว พวกเขาเห็นเด็กหนุ่มผอมแห้งโหนเชือกเส้นนั้นไหลลงไปหาเสาอีกฝั่งหนึ่ง เมื่อเฉินมู่อิ๋งไปถึงเสาอีกฝั่งก็ใช้เท้าถีบยันกับเสาเอาไว้แล้วหาที่เกาะบนเสาสลักลายมังกร
เขาจับเสายึดเอาไว้แน่นแล้วดึงๆ เชือก ทำให้เชือกที่ผูกอยู่ที่เสาอีกต้นพลันหลุดออกร่วงลงไป จากนั้นเขาก็แกะเชือกออกจากปลายธนูแล้วกระโจนลงพื้น ฟิ้ว! พริบตาต่อมาเขาก็ลงสู่พื้น ตุบ! เขาจัดแจงเก็บเชือกไปแล้วเดินไปรวมกลุ่มกับคนที่ผ่านการทดสอบ คนเหล่านั้นยังคงปากอ้าตาค้างตกตะลึงไม่ได้สติ พวกเขามองบุรุษผอมแห้งคนนั้นเหมือนมองสัตว์ประหลาดอย่างไรอย่างนั้น เพราะวิธีการที่เขาใช้ข้ามหุบเหวช่างรวดเร็วและไม่เหมือนใครจริงๆ คนอื่นๆ พยายามไต่โซ่อย่างอกสั่นขวัญแขวน แต่เจ้าหนูนี่กลับโหนเชือกข้ามมาในพริบตาเดียว!
“โอ! ปัญญาเจ้าหนูนั่นล้ำเลิศยิ่งนัก” อาจารย์บางคนตั้งสติได้แล้วก็เอ่ยชม ทำให้อาจารย์คนอื่นๆ ทยอยได้สติกัน พวกเขายอมรับว่าเด็กหนุ่มคนนั้นมีปัญญาล้ำเลิศจริงๆ การทดสอบนี้ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องไต่โซ่เพียงอย่างเดียว จะขี่กระบี่บินข้ามไปก็ได้หากว่ามีปัญญาทำลายอาคมรอบๆ หุบเหว หรือจะใช้วิธีอื่นก็ได้ อย่างเช่นวิธีของเจ้าหนูนั่นที่ข้ามหุบเหวในชั่วพริบตาเดียว เซียนชุดสีฟ้าครามเดินมาอีกครั้ง เขาประกาศว่า “เอาล่ะ พวกเจ้าได้เป็นศิษย์ฝึกหัดของสำนักแล้ว พวกเจ้าตามข้ามา ไปกราบอาจารย์”
“เฮ้!” บรรดาศิษย์ฝึกหัดหมาดๆ เหล่านั้นพากันร้องดีใจตะโกนลั่น พวกเขารีบเดินตามเซียนชุดสีครามไปทันที เฉินมู่อิ๋งเดินตามอยู่หลังสุด จนกระทั่งไปถึงลานกว้างใหญ่ มีศิษย์หลายร้อยคนยืนอยู่รอบๆ ลานนั้น ตรงริมลานด้านหนึ่ง มีบรรดาอาจารย์ทั้งหลายนั่งเรียงกัน ตรงหน้าพวกเขามีโต๊ะตั้งคนละตัว
“เอาล่ะ พวกเจ้าอยากกราบอาจารย์ท่านใดเป็นอาจารย์ของพวกเจ้าก็ไปรับการทดสอบจากอาจารย์ท่านนั้นเสียซิ” เซียนชุดสีครามบอกพลางผายมือไปทางบรรดาอาจารย์ที่นั่งเรียงๆ กันอยู่ ศิษย์ฝึกหัดเหล่านั้นมองๆ แล้วซุบซิบคุยกันเอง
“นั่นอาจารย์หานเจิ้นตง (韩振冬) สอนวิชาหลอมอาวุธ ส่วนนั่นอาจารย์หรงเจ๋อ (蓉泽) สอนวิชากระบี่ นั่นอาจารย์เจิ้งหงหลิน (郑鸿铃) สอนวิชาเครื่องหอม……..อาจารย์จงฮ่วน (宗焕) สอนวิชาหลอมโอสถ ส่วนคนสุดท้ายคืออาจารย์หยางซีหยุน (杨曦云) สอนวิชาเดินหมาก” เซียนชุดสีครามผายมือไปทางอาจารย์แต่ละท่านที่นั่งอยู่แล้วแนะนำทีละคน…ทีละคน จนครบ
อาจารย์ทุกท่านที่นั่งอยู่มองศิษย์ฝึกหัดเหล่านั้นอย่างหมายมั่น มีเพียงอาจารย์หยางซีหยุนคนเดียวที่ไม่มองศิษย์เหล่านั้นเลย เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ อ้าปากหาวอย่างเบื่อๆ
“เอาล่ะ พวกเจ้าไปรับการทดสอบจากอาจารย์เสียซิ” เซียนชุดสีครามบอกกับศิษย์ฝึกหัดเหล่านั้น ศิษย์ฝึกหัดจึงมองๆ อาจารย์แล้วพากันเดินไปหาอาจารย์แต่ละท่านที่พวกเขาสนใจ เหล่าศิษย์ฝึกหัดที่เป็นหญิงล้วนมองอาจารย์หยางซีหยุนเป็นตาเดียว เพราะอาจารย์ท่านนั้นรูปลักษณ์หล่อเหลายิ่งนัก พวกนางจึงพากันไปยืนตรงหน้าโต๊ะของอาจารย์หยางซีหยุน
“อาจารย์เจ้าขา ข้ามารับการทดสอบเจ้าค่ะ” ศิษย์ฝึกหัดคนหนึ่งเอ่ยปากบอก ตาก็มองอาจารย์หยางซีหยุนอย่างหลงใหล หยางซีหยุนมองศิษย์เหล่านั้นแล้วบอกว่า “เอาชนะหมากบนกระดานได้ก็จะได้เป็นศิษย์ข้า”
เหล่าศิษย์ฝึกหัดมองกระดานหมากขาวดำบนโต๊ะแล้วหน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะหมากขาวดำบนโต๊ะไม่ว่าจะเป็นสีดำหรือสีขาวก็ล้วนเป็นหมากตาย ไม่มีทางแก้เลย พวกนางมองอย่างครุ่นคิดอยู่นานมาก ศิษย์คนอื่นๆ ก็พากันไปรับการทดสอบจากอาจารย์ที่ตัวเองสนใจ บางคนผ่านการทดสอบก็ได้เป็นศิษย์ของอาจารย์ท่านนั้น บางคนไม่ผ่านก็พากันไปต่อแถวเข้ารับการทดสอบกับอาจารย์คนอื่นๆ พวกเขาเดินวนเวียนไปมาอยู่อย่างนั้น มีศิษย์ฝึกหัดชายบางคนไปยืนมองกระดานหมากของอาจารย์หยางซีหยุน มองๆ อยู่ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้าแล้วถอยออกไป เพราะไม่อาจแก้หมากกระดานนั้นได้ เฉินมู่อิ๋งไม่ได้รีบร้อนเข้าไปทดสอบ เขารอจนคนอื่นๆ เข้าไปทดสอบให้หมดก่อนแล้วค่อยเข้าไปทีหลังก็ได้ เขาไม่ชอบเข้าไปเบียดเสียดกับคนอื่น เขามองดูการทดสอบของอาจารย์แต่ละคนไปเรื่อยๆ
ศิษย์หญิงเหล่านั้นมองดูกระดานหมากอย่างยอมแพ้ พวกนางถอยไปอย่างสิ้นหวัง พวกนางพากันไปเข้ารับการทดสอบกับอาจารย์ท่านอื่นๆ แทน เฉินมู่อิ๋งเห็นว่าที่โต๊ะของอาจารย์สอนเดินหมาก ไม่มีใครไปต่อแถวแล้วเขาจึงเดินไปดู เห็นกระดานหมากขาวดำตั้งอยู่ เขามองหมากกระดานนั้นครู่หนึ่งแล้วหยิบเม็ดหมากสีขาวขึ้นมาเม็ดหนึ่ง การกระทำของเขาทำให้หยางซีหยุนมองจ้องเลยทีเดียว แล้วพูดว่า “เจ้าหนู เจ้าเป็นศิษย์ข้าแล้ว”
Chapter 4
ศิษย์ดื้อรั้นต้องสั่งสอน
บรรดาอาจารย์คนอื่นๆ กับศิษย์คนอื่นๆ ถึงกับตกตะลึงปากอ้าตาค้างกันไปหมด มีคนผ่านการทดสอบของอาจารย์หยางซีหยุนด้วยหรือ!?
“หา!” เฉินมู่อิ๋งอ้าปากค้าง มองอาจารย์หยางซีหยุนกะพริบตาปริบๆ “ข้าเป็นศิษย์ท่าน?”
“อืม” หยางซีหยุนพยักหน้า สีหน้าเฉยชา ถามน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
“ข้า เฉินมู่อิ๋งขอรับ” เฉินมู่อิ๋งบอก หยางซีหยุนชี้นิ้วลง “คุกเข่า คารวะข้า”
“เอ่อ…ข้ามีคำถามขอรับ” เฉินมู่อิ๋งพูด หยางซีหยุนเลิกคิ้วขึ้น ในดวงตาปรากฎกลิ่นอายเย็นเยียบและคมกริบราวกับจะผ่าแยกสรรพสิ่งตรงหน้าออกเป็น 2 ซีกอย่างไรอย่างนั้น เฉินมู่อิ๋งไม่สนใจความเย็นเยียบและคมกริบนั้น เขาถามคำถามออกไป “ถ้ากราบอาจารย์แล้ว ข้าสามารถกราบอาจารย์คนอื่นได้อีกหรือไม่ขอรับ?”
“เจ้าอยากจะกราบใครเป็นอาจารย์อีกรึ?” หยางซีหยุนถามน้ำเสียงเย็นเยียบ เฉินมู่อิ๋งตอบ “อาจารย์หานเจิ้นตง อาจารย์จงฮ่วน อาจารย์………แล้วก็อาจารย์หงหลินขอรับ”
บรรดาอาจารย์ที่ถูกเอ่ยชื่อล้วนร้อนรนขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นอาจารย์หยางซีหยุนปรายตามองมาที่พวกเขา
“อะแฮ่มๆ เจ้าหนู ข้าเป็นอาจารย์ให้เจ้าไม่ได้หรอก” อาจารย์หานเจิ้นตงรีบบอก อาจารย์หงหลินก็รีบพูดเช่นกัน “เจ้าหนู ข้ารับแต่ศิษย์หญิง”
ใช่ นางรับแต่ศิษย์หญิงจริงๆ ศาสตร์เครื่องหอมนี้มีเพียงสตรีเท่านั้นที่เรียนได้ดีมีประสิทธิภาพที่สุด ส่วนบุรุษนั้นน้อยคนที่จะเรียนได้เพราะศาสตร์เครื่องหอมต้องใช้ความละเอียดยิ่งนักถึงจะปรุงเครื่องหอมออกมาได้
“อ่า…ข้ารับเจ้าไม่ได้หรอก” อาจารย์คนอื่นๆ รีบปฏิเสธ ทำให้เฉินมู่อิ๋งหันไปมองอาจารย์หยางซีหยุน เขาเห็นนะว่าอาจารย์หยางผู้นี้ส่งสายตากดดันอาจารย์คนอื่นๆ น่ะ! เขาจึงรู้สึกไม่ชอบอาจารย์หยางคนนี้ขึ้นมาทันที เขาจ้องอาจารย์หยางซีหยุนแล้วบอกว่า “ข้าไม่กราบท่านเป็นอาจารย์ขอรับ ข้าอยากกราบอาจารย์หานเจิ้นตงเป็นอาจารย์ขอรับ”
คนอื่นๆ ได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่มคนนั้นถึงกับปากอ้าตาค้างกันไปเลย “โอ!”
“ไอหยา!” พวกอาจารย์ร้องคนละคำ โดยเฉพาะอาจารย์หานเจิ้นตงที่รู้สึกเหมือนตกลงไปในโพรงน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น มีความคิดหนึ่งดังในหัวเขาว่า ‘เจ้าหนูนั่น หาเรื่องให้ข้าเสียแล้ว!’
อาจารย์หยางซีหยุนไม่เคยรับศิษย์สักคน เพราะยังไม่เคยมีใครแก้หมากของเขาได้ แม้แต่อาจารย์ด้วยกันเองก็ยังไม่อาจแก้หมากของอาจารย์หยางซีหยุนได้เลย จู่ๆ เจ้าเด็กนั่นทำให้อาจารย์หยางซีหยุนอยากรับเป็นศิษย์ขึ้นมา แล้วพวกเขาจะกล้าแย่งศิษย์กับอาจารย์หยางซีหยุนรึ! ไม่กล้า! ไม่กล้าแม้แต่นิดเดียว! ไม่กล้าเด็ดขาด เจ้าเด็กนั่นถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องเป็นศิษย์อาจารย์หยางซีหยุนเท่านั้น!
“หึ! วิชาหลอมอาวุธ ข้าเก่งกว่าเขา” หยางซีหยุนแค่นเสียงพูดอย่างเย็นชา เย่อหยิ่ง อาจารย์หานเจิ้นตงรีบพยักเพยิด “ใช่ๆ อาจารย์หยางเก่งกว่าข้าจริงๆ เจ้าหนู เจ้าโชคดีแล้วรู้ไหม เจ้ารีบกราบอาจารย์หยางเสียซิ”
“เก่งกว่าท่าน?” เฉินมู่อิ๋งมองอาจารย์หานเจิ้นตงแล้วมองอาจารย์หยางซีหยุน อาจารย์หานเจิ้นตงรีบพยักเพยิด “ใช่ๆ เรื่องหลอมอาวุธ อาจารย์หยางเก่งกว่าข้าจริงๆ เจ้าน่ะโชคดีแล้วที่ได้กราบอาจารย์หยางเป็นอาจารย์”
“แต่ข้าไม่อยากกราบอาจารย์หยางเป็นอาจารย์นี่” เฉินมู่อิ๋งบอก คนอื่นๆ ฟังแล้วหน้าเปลี่ยนสีกันแล้ว พวกเขามองอาจารย์หยางซีหยุนเป็นตาเดียว หยางซีหยุนลุกขึ้นยืนเก็บกระดานหมากไปแล้วพูดว่า “ศิษย์ดื้อรั้นต้องสั่งสอน”
เขาพูดจบแล้วก็พุ่งเข้าไปคว้าคอเสื้อเจ้าเด็กดื้อรั้นทันที เฉินมู่อิ๋งเบี่ยงตัวหลบวูบ ทำให้มืออาจารย์หยางพลาดจากอาภรณ์ไปเพียงนิดเดียว เฉินมู่อิ๋งก้าวถอยไปหลายก้าวทันที หยางซีหยุนคว้าพลาดก็หยุดอยู่ตรงนั้น มองเด็กหนุ่มด้วยแววตามาดหมาย “มีฝีมือนี่”
คนอื่นๆ ปากอ้าตาค้างกันถ้วนหน้า พวกเขารู้ดีว่าอาจารย์หยางโกรธขึ้นมาแล้ว พวกอาจารย์ทั้งหลายมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก หานเจิ้นตงรีบพูด “เจ้าหนู เจ้ากราบอาจารย์หยางเป็นอาจารย์เสียเถอะ อย่าทำให้อาจารย์หยางโกรธเลย เจ้าขึ้นเขามาก็ตั้งใจจะกราบอาจารย์มิใช่รึ บัดนี้อาจารย์ที่เก่งกาจอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว ทั่วทั้งสำนักเจ้าก็หาอาจารย์ที่เก่งกาจกว่าอาจารย์หยางไม่ได้อีกแล้ว เจ้ารีบกราบอาจารย์เสียเถอะ”
“ข้าไม่อยากกราบเขาเป็นอาจารย์” เฉินมู่อิ๋งพูดอย่างหนักแน่น คนอื่นๆ ตกตะลึงอีกรอบ คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนั่นจะดื้อรั้นถึงเพียงนี้ หยางซีหยุนเหยียดยิ้มเย็นชา รอยยิ้มนี้ทำให้พวกอาจารย์หัวใจหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มกันเลยทีเดียว หยางซีหยุนยกมือขึ้นวาดอักขระอาคมกลางอากาศ แล้วผลักอักขระอาคมนั้นไปใส่เด็กหนุ่มดื้อรั้นคนนั้น
เฉินมู่อิ๋งเห็นอาคมแปลกๆ กำลังพุ่งมาทางตัวเอง เขาจึงรีบก้าวหลบ แต่อาคมนั้นกลับตามติดเขาราวกับหมาล่าเนื้อ เขาวิ่งหนีมันไปรอบๆ ลาน ยิ่งวิ่งคล้ายกับว่าเรี่ยวแรงเขาค่อยๆ หดหายไปเรื่อยๆ เรื่องนี้ทำให้เขาขบริมฝีปากแน่นอย่างไม่ยอมแพ้ จนในที่สุดเขาก็หนีไม่พ้น อักขระอาคมนั้นพุ่งมาถึงตัวเขาแล้วผนึกเขาไว้ข้างใน เขารู้สึกตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที แม้จะกระดิกนิ้วยังทำไม่ได้เลย เขาอ้าปาก ก็พบว่าตัวเองอ้าปากไม่ขึ้น คล้ายกับร่างกายเขาเหมือนกลายเป็นหินไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น นี่มันคล้ายกับพิษศิลายิ่งนัก!
หยางซีหยุนก้าวเดินไปหาเฉินมู่อิ๋งแล้วคว้าคอเสื้ออย่างง่ายดาย จากนั้นเขาก็หิ้วเจ้าหนูดื้อรั้นคนนี้ขี่กระบี่กลับเขาไผ่ของเขา
“อา…” ผู้คนตกตะลึงกันอีกครั้ง มองดูอาจารย์หยางซีหยุนที่ลอยพุ่งจากไป พวกอาจารย์พากันถอนหายใจพรูออกมา “เฮ้อ…”
พวกเขาได้แต่หวังว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะยอมกราบอาจารย์ดีๆ เถอะ ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าอาจารย์หยางซีหยุนจะลงโทษเด็กคนนั้นอย่างไรบ้าง พวกศิษย์ฝึกหัดได้แต่มองดูอย่างงงๆ พวกเขายังไม่รู้กิตติศัพท์ของอาจารย์หยางซีหยุน พวกเขารู้แค่ว่าอาจารย์หยางผู้นั้นหล่อเหลาปานเทพเซียน ทำให้หัวใจของสตรีทั้งหลายเต้นตูมตามอยากจะเชยชมอาจารย์ท่านนั้นยิ่งนัก
กว่าผู้คนจะตั้งสติอีกครั้งได้ก็ผ่านไปพักใหญ่ พวกอาจารย์จึงบ้างตบมือ บ้างกระแอมไอ เรียกสติของศิษย์ทั้งหลายให้กลับคืนมา
แปะๆ “เอ้าๆ ทดสอบต่อๆ”
“อะแฮ่มๆ ทดสอบต่อเถอะ มาๆ เจ้าน่ะเข้ามา”
พวกศิษย์ฝึกหัดหันไปมองอาจารย์ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา แล้วตั้งสติให้ดีๆ จากนั้นก็ทำการทดสอบตามแต่ที่อาจารย์แต่ละคนกำหนดไว้
หยางซีหยุนหิ้วเฉินมู่อิ๋งกลับถึงเขาไผ่ของเขา ก็ยืนอยู่หน้าเรือนไผ่ เก็บกระบี่เซียนไปแล้วมองเฉินมู่อิ๋ง จากนั้นก็จับเฉินมู่อิ๋งมัดขากับต้นไผ่ต้นหนึ่ง ห้อยหัวลงมาเหมือนค้างคาวอย่างไรอย่างนั้น เฉินมู่อิ๋งมองจ้องอาจารย์หยางอย่างโกรธจัด เขาถูกมัดห้อยหัวอยู่กลางอากาศ ไม่อาจกระดุกกระดิกตัวได้เลย หน้าเขาค่อยๆ แดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ เพราะเลือดไหลลงหัว หยางซีหยุนมองเฉินมู่อิ๋งแล้วบอกว่า “เจ้าอยู่ตรงนี้คิดๆ ไปเถอะ กราบข้าเป็นอาจารย์เมื่อไหร่ข้าจะปล่อยเจ้าลงมา”
เฉินมู่อิ๋งมองจ้องอาจารย์หยางอย่างโมโหสุดขีด ตั้งแต่เกิดมาจำความได้ ไม่เคยมีใครทำให้เขาเสียเปรียบถึงเพียงนี้เลย อาจารย์แต่ละคนของเขาล้วนเป็นเขาเต็มใจกราบทั้งนั้น อีกทั้งอาจารย์ทั้งหลายก็มีเมตตาต่อเขามากยิ่งนัก อย่างเช่นผู้เฝ้ามองคนนั้นที่ดูเหมือนดุ แต่จริงๆ แล้วใจดีมาก ให้เขาดูชีวิตของคนตั้งมากมายจนเขาฉลาดเฉลียวอย่างทุกวันนี้ อย่างพี่สาวมังกร ก็ใจดีมากนัก อาจารย์เฟยเทียนก็ดีกับเขา ยิ่งอาจารย์กู่เสียนฟางยิ่งใจดีมากที่สุด เขาอยากตะโกนใส่หน้าอาจารย์หยางผู้นี้นักว่า ‘เจ้าไม่คู่ควรเป็นอาจารย์ข้า!’
แต่เขาก็ทำไม่ได้ ปากเขายังขยับไม่ได้เลย ตัวเขาแม้แต่จะกระดิกนิ้วก็ทำไม่ได้ เขาแค้นใจนัก แค้นใจจนตาแดงก่ำแล้ว
“อะไร แค่นี้ก็จะร้องไห้แล้วรึ” หยางซีหยุนพูดน้ำเสียงเย็นชา เฉินมู่อิ๋งอยากจะพูดยิ่งนักว่า ‘ข้าไม่ได้ร้องไห้!’ แต่เขาก็พูดไม่ได้ จึงได้แต่ถลึงตามองอาจารย์หยางอย่างโมโหสุดขีด คอยดูเถอะ เขาจะทำให้อาจารย์หยางผู้นี้ต้องเสียใจไปชั่วชีวิตเลยทีเดียว!
หยางซีหยุนนั่งลงบนเก้าอี้ เขาหยิบตำราหลายม้วนออกมาจากถุงฟ้าดินที่เอว เขากางตำราม้วนหนึ่งแล้วถือไปยืนตรงหน้าเฉินมู่อิ๋ง “เจ้าดูซิ ตำราหลอมอาวุธของข้าดีกว่าของหานเจิ้นตงเสียอีก”
เฉินมู่อิ๋งมองตำราม้วนนั้นแล้วเบนสายตาไปเหมือนไม่อยากมอง หยางซีหยุนเก็บตำราหลอมอาวุธแล้วหยิบตำราเครื่องหอมมาเปิดตรงหน้าเฉินมู่อิ๋ง “ดูตำราเครื่องหอมของข้าซิ ละเอียดกว่าตำราของหงหลินอีก”
เฉินมู่อิ๋งมองแล้วเบนสายตาไปอีก หยางซีหยุนเก็บตำราเครื่องหอมไปแล้วหยิบตำราหลอมโอสถมาเปิดตรงหน้าเฉินมู่อิ๋ง “ดูตำราหลอมโอสถนี่ซิ ดีกว่าของจงฮ่วนอีกนะ”
เฉินมู่อิ๋งมองแล้วเบนสายตาไปอีก หยางซีหยุนก็เก็บตำราไปแล้วหยิบตำราม้วนอื่นๆ มาเปิดตรงหน้าเฉินมู่อิ๋ง พลางพูดอวดตำราของตัวเองว่าดีกว่าของอาจารย์คนอื่นๆ เฉินมู่อิ๋งมองแล้วเบนสายตาไปไม่สนใจ หยางซีหยุนก็ยังคงเอาตำรามาเปิดให้เฉินมู่อิ๋งดูไม่น้อยเลย แต่เฉินมู่อิ๋งก็ไม่สนใจ จนกระทั่งหยางซีหยุนเอาตำราอาคมมาเปิดให้เฉินมู่อิ๋งดู “เจ้าดูตำราอาคมของข้าซิ ข้าบอกไว้ก่อนนะว่าอาจารย์คนอื่นๆ ไม่อาจสอนเจ้าได้แน่เพราะข้าเก่งเรื่องอาคมอย่างไรล่ะ อาคมในสำนักล้วนเป็นข้าสร้างทั้งหมด แม้แต่อาคมที่ผนึกเจ้าก็เป็นตำราของข้าเช่นกัน”
เฉินมู่อิ๋งมองตำราอาคมอย่างสนใจ หยางซีหยุนเห็นสายตาสนใจของเฉินมู่อิ๋งเขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาเก็บซ่อนความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ภายใต้สีหน้าเย็นชา แล้วพูดว่า “หึ! ข้ารึอยากจะรับเจ้าเป็นศิษย์ แต่เจ้าไม่อยากเป็นศิษย์ข้าก็ช่างเถอะ เจ้าลงเขาไปเสียเถอะ”
เขาพูดจบแล้วก็คลายอาคมผนึกออก เฉินมู่อิ๋งรู้สึกว่าร่างกายไม่แข็งทื่ออีกแล้ว เขาจึงเปิดปากพูด “โอย ปวดหัว”
เขาถูกมัดห้อยหัวมาตั้งนานจะไม่ปวดหัวได้อย่างไร เขาพยายามงอตัวขึ้นไปแกะเชือกที่ขาออก แต่แล้วเขาก็ทิ้งตัวลงมาเหมือนไม่มีแรง “โอย”
หยางซีหยุนใช้กระบี่เซียนตัดเชือกออก ฉับ!
ตุบ! เฉินมู่อิ๋งร่วงตกลงมา ต้นไผ่ก็ดีดผึงขึ้นไป ฟิ้ว!
“โอย” เฉินมู่อิ๋งกระแทกพื้นดิน เขาไม่เจ็บเท่าไหร่ แต่มึนๆ หัวมากกว่า เขานอนหมอบอยู่ตรงนั้น หยางซีหยุนถาม “จะกราบข้าเป็นอาจารย์ได้รึยัง?”
“ข้าปวดหัว” เฉินมู่อิ๋งคราง เอามือกุมหัวตัวเอง หยางซีหยุดหยิบโอสถเม็ดหนึ่งออกมาจากถุงฟ้าดิน เขาก้าวไปยืนข้างๆ เฉินมู่อิ๋งแล้วยอบตัวลงจับคางเรียวเล็กนั่นแล้วบีบให้อ้าปาก จากนั้นก็ยัดโอสถเม็ดนั้นเข้าไปจนถึงคอหอย เฉินมู่อิ๋งตาเหลือก “อ๊อกๆ”
จู่ๆ ถูกยัดโอสถเข้ามาในปากจนถึงคอหอยแบบนี้ทำเขารู้สึกจุกคอเลย หยางซีหยุนดึงมือออกแล้วปิดปากเฉินมู่อิ๋งเอาไว้ไม่ให้เขาคายโอสถออกมาได้ เฉินมู่อิ๋งดิ้นอึกอักๆ ครู่หนึ่งเม็ดโอสถก็ไหลลงคอไป เขารู้สึกเหมือนถูกกรรมตามสนองอย่างไรอย่างนั้น จำได้ว่าครั้งหรือสองครั้งเขาก็เคยกรอกโอสถใส่ปากองค์รัชทายาทเช่นนี้กระมัง
สักพักหยางซีหยุนก็ปล่อยมือแล้วลุกขึ้นถอยไปนั่งที่เก้าอี้ เขาเช็ดๆ นิ้วกับผ้าเช็ดหน้าอย่างรังเกียจเพราะเปื้อนน้ำลายตอนยัดโอสถให้เฉินมู่อิ๋ง เฉินมู่อิ๋งรู้สึกว่าในท้องร้อนวูบๆ สักพักอาการมึนหัวก็ค่อยๆ หายไป เขายังคงนอนอยู่ตรงนั้น หยางซีหยุนมองแล้วบอกอย่างเย็นชาว่า “จะกราบข้าเป็นอาจารย์ได้รึยัง? เจ้าเลิกเสแสร้งได้แล้ว”
เฉินมู่อิ๋งยันตัวลุกขึ้นมา พูดว่า “ถ้าท่านให้ตำราอาคมม้วนนั้น ข้าจะกราบท่านเป็นอาจารย์ก็ได้”
“หึ!” หยางซีหยุนแค่นเสียงเย็นชาคำหนึ่ง หยิบตำราอาคมม้วนนั้นโยนไปให้เฉินมู่อิ๋ง เฉินมู่อิ๋งรับมาแล้วเก็บใส่อกเสื้อทันที จากนั้นเขาก็นั่งคุกเข่ากราบอาจารย์ 3 ครั้ง หยางซีหยุนมองอย่างพอใจ แล้วชี้นิ้วไป “เจ้าไปหาที่อยู่เอาเอง จำไว้ว่าอยู่ห่างจากเรือนข้าอย่างน้อย 100 เมตร”
“ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งรับคำแล้วลุกขึ้นเดินออกไป หยางซีหยุนมองตามจนเฉินมู่อิ๋งเดินหายลับไปในป่าไผ่
ทางด้านอาจารย์ที่กำลังทดสอบศิษย์อยู่นั้น หลังจากทดสอบศิษย์และรับศิษย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ให้ศิษย์ฝึกหัดเหล่านั้นเข้าแถวรอทดสอบพลังกับหินวัดระดับพลังเซียน พวกศิษย์ฝึกหัดก็เข้าแถวเดินไปวางมือบนหินทดสอบพลังทีละคน…ทีละคน บางคนมีพลังระดับแรกเริ่ม บางคนมีพลังขั้นกลาง ซึ่งก็คือคนที่มีตำแหน่งเป็นองค์หญิงในโลกมนุษย์ แต่ไม่มีใครมีพลังขั้นสูงเลยสักคน ส่วนใหญ่แล้วมีพลังระดับแรกเริ่ม ขั้นพลังเซียนก็แบ่งออกเป็น 3 ระดับใหญ่ ขั้นแรกเริ่ม ขั้นกลาง ขั้นสูง แต่ละขั้นแบ่งเป็น 5 ขั้นย่อยอีก องค์หญิงฟางหรง (芳荣) ที่มีระดับพลังขั้นกลางแม้จะอยู่ในขั้นกลางแต่ก็ยังอยู่ในขั้นแรกของขั้นกลาง ทำให้นางรู้สึกลำพองใจยิ่งนัก
“อ่า เด็กคนนั้นยังไม่ได้วัดระดับพลังเลย” อาจารย์หานเจิ้นตงพูดขึ้นมา อาจารย์คนอื่นๆ รู้ว่าเขาหมายถึงเด็กคนไหนทันที แน่นอนว่าหมายถึงเฉินมู่อิ๋งที่ถูกอาจารย์หยางพาตัวไปก่อนนั่นเอง อาจารย์หรงเจ๋อจึงบอกว่า “ช่างเถอะๆ”
อาจารย์คนอื่นๆ ก็เห็นคล้อยตามทันที พวกเขาก็ไม่ค่อยอยากไปยุ่งกับศิษย์ของอาจารย์หยางหรอก เมื่อเห็นพ้องกันเช่นนั้นแล้วพวกเขาจึงบอกให้ศิษย์สายนอกพาศิษย์ฝึกหัดเหล่านี้ไปที่พัก พวกศิษย์สายนอกก็พาศิษย์ฝึกหัดไปที่พัก ศิษย์ฝึกหัดเดินตามศิษย์พี่ไปอย่างตื่นเต้น พวกอาจารย์ก็แยกย้ายกันไป ศิษย์คนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไปเช่นกัน
เฉินมู่อิ๋งเดินดูสถานที่บนเขาไผ่ไปทั่วๆ จนกระทั่งเจอสถานที่เหมาะๆ ซึ่งอยู่ตรงตีนเขาไผ่ มีธารน้ำร้อนไหลผ่าน ที่เขาเลือกสถานที่ตรงนี้ก็เพราะมันมีธารน้ำร้อนไหลผ่านนี่แหละ แม้ว่าธารน้ำร้อนจะเป็นเพียงธารน้ำสายเล็กๆ แคบๆ แต่ถ้าขุดบ่อกั้นผนังให้ดีมันก็จะกลายเป็นห้องอาบน้ำที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว เขาจึงมองๆ สถานที่แล้ววาดผังก่อสร้างไว้ในใจ เมื่อวาดผังเสร็จแล้วเขาก็มองต้นไผ่ที่มีอยู่เยอะมาก “ตัดไม้มาปลูกเป็นเรือนไผ่”
เขาเอาขวานออกมาจากแหวนคุนเฉียน แล้วตรงไปที่ต้นไผ่ เขาลงมือฟันขวานลงไป โป๊ก!
ขวานกระเด้งออกเหมือนฟันหินผาไม่มีผิด เขามองคมขวานที่บิ่นแตกออก ตัวขวานร้าวไปหมด เขามองต้นไผ่อย่างเหลือเชื่อ “แข็งเกินไปแล้ว!”
เขาทิ้งขวานลงพื้นแล้วยื่นมือไปดีดๆ ต้นไผ่ มีเสียงดังทึบๆ เหมือนเคาะหินภูเขาอย่างไรอย่างนั้น ทำให้เขารู้ว่าอาวุธธรรมดาๆ ของโลกมนุษย์ไม่อาจตัดไผ่นี้ได้แน่ “เช่นนั้นก็ต้องใช้อาวุธเซียนซินะ”
เขาคิดๆ แล้วค้นอาวุธในแหวนคุนเฉียน แต่ก็ไม่มีอาวุธเซียนซักชิ้น มีแต่อาวุธจากโลกมนุษย์แล้วก็อาวุธที่เก็บมาจากถ้ำในตอนเข้าทดสอบจ้าวตระกูลหวงในคราวนั้น เขาหยิบขวานสีดำอมม่วงออกมาเล่มหนึ่ง แล้วฟันต้นไผ่
ตู้ม! ต้นไผ่ระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้เฉินมู่อิ๋งตกใจจนถอยหลังกรูด เขามองต้นไผ่ต้นนั้นที่ระเบิดจนกลายเป็นเศษซากปลิวว่อนไปทั่วบริเวณอย่างตกตะลึง แล้วมองขวานสีดำอมม่วงในมือตัวเอง “นี่ก็แข็งแกร่งเกินไป”
ฟันทีเดียวทำให้ต้นไผ่ระเบิดได้เลย ขวานนี้แข็งแกร่งเกินไปจริงๆ อีกทั้งเพียงแค่ฟันไปทีเดียวเท่านั้นเขารู้สึกเหมือนไร้เรี่ยวแรงราวกับไปเดินขึ้นบันไดสำนักมาสักครึ่งทางอย่างไรอย่างนั้น “ขวานนี่สูบพลังข้ามากเกินไป”
เขารีบเก็บขวานไปทันที เสียงระเบิดดังขนาดนี้น่าจะทำให้อาจารย์หยางคนนั้นรีบมาดูแน่นอน แล้วก็เป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ หยางซีหยุนซึ่งกำลังนั่งจิบชาอยู่ได้ยินเสียงดังตูม เขาวางถ้วยชาลงทันทีแล้วพุ่งไปตามเสียงอย่างเร่งรีบ ไม่กี่อึดใจต่อมาเขาก็ยืนอยู่ตรงตีนเขา เห็นเฉินมู่อิ๋งยืนอยู่ตรงนั้นหน้าตาตื่นๆ เศษไผ่ปลิวว่อนไปในอากาศค่อยๆ ตกลงบนพื้น เขาก้าวเดินไปหาเฉินมู่อิ๋ง ถามน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าทำอะไร?”
“ข้าไม่ได้ทำอะไรนะขอรับ จู่ๆ ต้นไผ่ก็แตกเอง ฮู้! อาจารย์ นี่มันสถานที่บ้าอะไรกันเนี่ย!?” เฉินมู่อิ๋งวิ่งไปหาอาจารย์หยางอย่างตื่นกลัว ทำหน้าตาไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างแนบเนียนยิ่ง หยางซีหยุนมองๆ แล้วไม่เห็นความผิดปกติอะไร เขาจึงเดาว่า บางทีต้นไผ่อาจจะดูดซับพลังฟ้าดินมากเกินไปกระมังจึงได้ระเบิดออก แน่นอนว่าไผ่บนเขาถูกลงอาคมให้รวมพลังฟ้าดินเข้าไป เพื่อที่ลำไผ่จะได้แข็งแกร่งกว่าไผ่เซียนทั่วไป เมื่อหาสาเหตุแน่ชัดไม่ได้เขาก็คิดเช่นนี้ไปก่อน
เฉินมู่อิ๋งชี้ไปที่ขวานบิ่นๆ ร้าวๆ แล้วพูดว่า “ข้าแค่จะตัดต้นไผ่มาสร้างกระท่อม แต่ดูซิขอรับ ขวานข้าบิ่นหมดแล้ว”
“หึ! ขวานธรรมดาๆ จะตัดไผ่นี่ได้อย่างไร” หยางซีหยุนแค่นเสียงอย่างเย็นชา “ไผ่บนเขาข้าถูกลงอาคมให้ดูดซับพลังฟ้าดินเข้าไป มันย่อมแข็งแกร่งกว่าไผ่เซียนทั่วไป เจ้าเอาขวานของโลกมนุษย์มาตัดมันไม่ได้หรอก ต้องใช้อาวุธเซียนตัดมัน มันถึงจะขาด”
“อ่อ ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้าหงึกๆ หยางซีหยุนหยิบขวานเล่มหนึ่งออกมาจากถุงฟ้าดิน โยนลงพื้น “เอ้า”
แล้วเขาก็เดินจากไป เฉินมู่อิ๋งมองขวานเซียนเล่มนั้นแล้วมองตามอาจารย์ไป เขายิ้มบางๆ ฮี่ๆๆๆ…
เขาหยิบขวานขึ้นมาแล้วลงมือตัดต้นไผ่ เสียงตัดไม้ดังกังวานออกไป หยางซีหยุนฟังเสียงแล้วเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ในที่สุดเขาก็มีลูกศิษย์กับเขาเสียที แม้ว่าเจ้าศิษย์คนนี้จะดื้อรั้นมากไปหน่อยก็เถอะ ยังไงซะเป็นศิษย์เขาแล้ว เขาก็ตั้งใจว่าจะสั่งสอนให้ดีๆ เลยเชียว ศิษย์เขาจะต้องเก่งกาจเหนือกว่าใครๆ แน่นอน เขาวางแผนเคี่ยวกรำศิษย์อยู่ในใจ
เวลาผ่านไป 10 วัน ในที่สุดเฉินมู่อิ๋งก็สร้างกระท่อมเสร็จ เขาปาดเหงื่อออกจากไรผม ยืนมองกระท่อมหลังแรกที่สร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เมื่อก่อนเขามีบ่าวไพร่มากมาย จะทำอะไรก็ไม่ต้องลงมือทำเอง แต่ตอนนี้บ่าวไพร่แม้แต่คนเดียวยังไม่มี เขาต้องพึ่งพาตัวเองจริงๆ แล้ว เขาเก็บขวานไปแล้วเดินเข้าไปในกระท่อมปิดประตูแล้วถอดอาภรณ์ที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อออก จากนั้นก็เข้าไปในห้องอาบน้ำลงแช่ในบ่อน้ำร้อนที่เขาขุดเอาไว้ ความรู้สึกผ่อนคลายทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมากจริงๆ “โอ้! จริงซิ ข้ายังไม่ได้ซักผ้า”
เขานึกขึ้นได้แล้วก็รีบลุกไปหยิบอาภรณ์มาซัก ซักเสร็จก็ใส่ไว้ในกระบุงไม้ไผ่ที่เขาสานเอง ไม้ไผ่ยังเขียวสดอยู่เลย สีเขียวซีดจางไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซักผ้าเสร็จแล้วเขาก็นั่งแช่น้ำต่อ แช่จนพอใจแล้วก็ลุกขึ้นจัดแจงแต่งตัวแล้วเอาอาภรณ์ไปตากข้างห้องอาบน้ำ เขาไม่อาจเอาอาภรณ์ไปตากข้างนอกได้ ไม่เช่นนั้นหากคนอื่นเห็นเอี๊ยมย่อมต้องสงสัยแน่นอน บุรุษที่ไหนใส่เอี๊ยมกันล่ะ มีแต่สตรีเท่านั้นแหละที่ใส่เอี๊ยม
หลังจากตากผ้าแล้วเขาก็เปิดประตูเดินออกไป เขารู้สึกหิวมากจึงถือขวานเซียนอันนั้นไปหาขุดหน่อไม้ ครั้นได้หน่อไม้มาแล้วเขาก็เดินตรงไปยังธารน้ำปกติ ตรงธารน้ำนั้นมีปลาสีรุ้งเลื่อมพรายอยู่เป็นฝูงใหญ่ทีเดียว เขาตกปลามาตัวหนึ่งแล้วก็หิ้วกลับกระท่อมไป จัดแจงต้มปลากับหน่อไม้สดๆ หลังจากต้มเสร็จแล้วเขาก็ยกหม้อไปตั้งบนโต๊ะนั่งลงกินปลาต้มใส่หน่อไม้อย่างเอร็ดอร่อย หน่อไม้นี้หวานกรอบมาก อีกทั้งกินเข้าไปแล้วเขารู้สึกว่าพลังในตัวเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว ปลาสีรุ้งก็เช่นกัน เนื้อมันหวานอร่อยมาก เขาแค่ใส่เกลือลงไปเล็กน้อยรสชาติก็อร่อยล้ำแล้ว
10 วันมานี่เขากินปลาต้มใส่หน่อไม้มาตลอด ก็อาหารที่หาได้มีแค่ 2 อย่างนี้นี่นา จะให้เขากินเสบียงแห้งในแหวนคุนเฉียนไปเรื่อยๆ เขาก็รู้สึกเบื่อยิ่งนัก แต่ถึงเขาจะกินปลาต้มใส่หน่อไม้มาหลายมื้อแล้วเขาก็ยังไม่รู้สึกเบื่อเลย เขาคิดว่าคราวหน้าจะทำปลานึ่งกับหน่อไม้ดูบ้าง ถึงเขาจะทำกับข้าวไม่ค่อยเก่งแต่ก็เรียนรู้จากพวกสาวใช้มาหลายอย่างทีเดียว ต้ม ผัด แกง ทอด เขาก็ทำได้หลายอย่างอยู่นะ เขากินอิ่มแล้วก็เรอ “เอิ๊กกกก—”
หยางซีหยุนได้ยินเสียงเรอก็นิ่งฟัง แล้วเขาก็ร้องเรียก “เจ้าหนูๆ”
เฉินมู่อิ๋งได้ยินเสียงอาจารย์เรียกจึงลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู เขาเห็นอาจารย์หยางยืนอยู่ห่างจากกระท่อมราวๆ 20 เมตร เขาจึงกุมมือคารวะ “อาจารย์”
“สร้างเสร็จแล้วรึ” หยางซีหยุนมองกระท่อมแล้วบอกว่า “เจ้า…”
เขาชะงักไปเมื่อได้กลิ่นหอมๆ ลอยมากระทบจมูก “หือ?”
เขาขมวดคิ้วครู่หนึ่งแล้วเดินผ่านเฉินมู่อิ๋งเข้าไปในกระท่อมทันที เขามองหม้อที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะไม้ไผ่หยาบๆ ตัวนั้นแล้วใช้ตะเกียบคนๆ ในหม้อ เฉินมู่อิ๋งมองอาจารย์หยางอย่างงงๆ หรือว่าอาจารย์จะหิว?
หยางซีหยุนเห็นหัวปลาที่มีเกล็ดสีรุ้งติดอยู่ที่หัว เขาก็ตะโกนลั่น “ปลาไฉ่หง (彩虹=รุ้ง)ของข้า! เจ้า!”
Chapter 5
ลงโทษเจ้าให้เข็ดหลาบ
เฉินมู่อิ๋งเห็นสีหน้าเดือดดาลของอาจารย์หยางก็นึกรู้ทันทีว่า ตัวเองคงไปแตะต้องของหวงของอีกฝ่ายเข้าแล้วแน่ๆ เขารีบยิ้มแหยๆ “อาจารย์ คือข้าหิว ข้าก็เลยจับปลามากินขอรับ”
“เจ้าหิว! เจ้าก็เลยจับปลาไฉ่หงที่ข้าอุตส่าห์เลี้ยงมาตั้งร้อยกว่าปีกินเนี่ยนะ!” หยางซีหยุนตวาดอย่างโมโหเดือดดาล เขาทิ้งตะเกียบแล้วยื่นมือไป เฉินมู่อิ๋งเห็นเช่นนั้นก็วิ่งหนีทันที “อาจารย์! ข้าผิดไปแล้ว ท่านอภัยให้ข้าด้วยขอรับ”
“เจ้าเด็กเลว!” หยางซีหยุนตวาดพลางวาดอาคมผนึกแล้วปล่อยให้อาคมผนึกไล่ตามเจ้าศิษย์ตัวดีไป เฉินมู่อิ๋งวิ่งหนีสุดฝีเท้า เขายังไม่ได้ศึกษาตำราอาคมเลย เขาไม่มีทางแก้อาคมนี้ของอาจารย์หยางได้ เขาเห็นผนึกอาคมไล่กวดมา เขาจึงวิ่งหนีไปอย่างไร้ทิศทาง แต่หนีไปได้ราวๆ ครึ่งภูเขาเขาก็หนีไม่พ้นถูกอาคมผนึกเอาไว้จนตัวแข็งทื่ออีกครั้ง เขาได้แต่กัดฟันกรอดๆ ในใจ เห็นทีต้องรีบศึกษาอาคมนี้แล้ว!
“หนี! หนีอีกซิเจ้าเด็กเลว!” หยางซีหยุนตามมาถลึงตาใส่อย่างโมโหเดือดดาล เขาคว้าคอเสื้อเฉินมู่อิ๋งแล้วลากกลับไปที่เรือนไผ่ของเขา จับขาเฉินมู่อิ๋งมัดห้อยหัวกับต้นไผ่ เฉินมู่อิ๋งมองอย่างสำนึกผิด เขาส่งสายตาขอโทษ แต่อาจารย์หยางก็ไม่สนใจเลย นั่งลงมองดูเฉินมู่อิ๋งถูกมัดห้อยหัวเหมือนค้างคาวอย่างสะใจ “ปลาไฉ่หงของข้าตัวนึงมีค่ามหาศาล เจ้ากลับเอาไปกินเสียนี่ ข้าต้องลงโทษเจ้าให้เข็ดหลาบ”
เฉินมู่อิ๋งอยากบอกยิ่งนักว่า ‘ก็ข้าไม่รู้นี่นา ถ้าท่านบอกข้าก่อนข้าจะไปจับมันมากินเรอะ!’ แต่เขาก็พูดไม่ได้เพราะถูกอาคมผนึกเอาไว้จนอ้าปากไม่ได้ คราวนี้เป็นเขาผิดเองที่ไปจับปลานั่นมากิน เขาจึงยอมรับการลงโทษครั้งนี้อย่างไม่ต่อต้าน ได้แต่หวังว่าอาจารย์จะไม่ลงโทษเขานานนักเท่านั้นเอง
“หึ!” หยางซีหยุนแค่นเสียงเย็นชาคำหนึ่ง เขานั่งมองพลางรินชาแล้วยกขึ้นจิบ พลันมีผีเสื้อแสงบินมา เขาแบมือรับผีเสื้อแสงตัวนั้น ผีเสื้อแสงเกาะที่มีของเขาแล้วกลายเป็นตัวอักษรลอยอยู่บนฝ่ามือของเขา เขาอ่านตัวอักษรพวกนั้นแล้วลุกขึ้นเอากระบี่เซียนออกมา ขี่กระบี่เซียนบินออกจากเขาไผ่ มุ่งหน้าตรงไปยังยอดเขาหลักของสำนัก
เฉินมู่อิ๋งได้แต่มองอาจารย์หยางที่หายลับไปจากสายตาอย่างอึ้งๆ เขาต้องถูกแขวนห้อยหัวเช่นนี้นานเท่าไหร่เนี่ย? แล้วอาจารย์หยางจะกลับมาตอนไหน? เพราะบนยอดเขาไผ่นี้มีเพียงเขากับอาจารย์หยางอาศัยอยู่แค่ 2 คน คนอื่นก็ไม่กล้าขึ้นเขามาเพราะกลัวอาจารย์หยางกันทั้งนั้น
ณ ยอดเขาหลัก เมื่อหยางซีหยุนไปถึง หรงเจ๋อก็รีบบอกว่า “อาจารย์หยาง สำนักเทียนเต๋าขอให้ท่านไปช่วยผนึกเหวอเวจี…”
“โอ!” หยางซีหยุนอุทานเลิกคิ้วขึ้นในดวงตามีความเคร่งเครียดปรากฏขึ้น จากนั้นเขาก็รีบขี่กระบี่บินไปสำนักเทียนเต๋าทันที หรงเจ๋อรีบขี่กระบี่บินตามไป เขารู้ความสำคัญของผนึกเหวอเวจีเช่นกัน หากผนึกพังทลายพลังชั่วร้ายที่อยู่ในเหวอเวจีคงออกมาสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านแน่นอน
กว่าหยางซีหยุนจะผนึกเหวอเวจีสำเร็จเวลาก็ผ่านไปถึง 10 วันเลยทีเดียว เขากับหรงเจ๋อขี่กระบี่บินกลับสำนักอย่างอ่อนล้ายิ่งนัก เมื่อถึงสำนักหรงเจ๋อก็รีบกลับยอดเขาของตัวเองไปพักผ่อนทันที หยางซีหยุนก็กลับเขาไผ่เช่นกัน เมื่อไปถึงเรือนไผ่ของเขา เขาเห็นเฉินมู่อิ๋งถูกมัดห้อยหัวอยู่เขาก็เบิกตากว้าง! เขาลืมเรื่องศิษย์ของเขาไปเสียสนิทเลย เขารีบร่อนลงพื้นใช้กระบี่เซียนตัดเชือกฉับ!
เฉินมู่อิ๋งก็ร่วงลง หยางซีหยุนพุ่งเข้าไปรับร่างเฉินมู่อิ๋งอย่างรู้สึกผิด เขาอุ้มร่างผอมบางไว้ในอ้อมแขน คลายผนึกอาคมให้ทันที เฉินมู่อิ๋งที่ไม่ได้สติมาหลายวันเพราะถูกห้อยหัวอยู่ตั้งหลายวันจนปวดหัวมึนงงไปหมด อีกทั้งยังหิวจนไม่มีแรงอีกด้วยทำให้ร่างกายเขาขาดทั้งน้ำและอาหาร เรียกว่าอาการหนักทีเดียว เขาเผยอตาลืมขึ้นนิดหนึ่ง เห็นเงารางๆ แวบหนึ่งแล้วก็สลบไปอีกครั้ง
หยางซีหยุนมองริมฝีปากที่แห้งผากแตกระแหง ใบหน้าที่แดงก่ำเพราะถูกห้อยหัวจนเลือดไหลไปรวมกันที่ศีรษะ ที่จมูกและใบหูมีเลือดไหลซึมออกมา เขายิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก เขาอุ้มเฉินมู่อิ๋งเข้าไปในเรือนไผ่ของเขา วางร่างผอมบางลงบนเตียงแล้วใช้ผ้าเช็ดคราบเลือดที่จมูกกับใบหูให้อย่างเบามือ
“เหวยซือขอโทษ” เขาพูดพึมพำเสียงเบาหวิวราวกับเสียงยุง มือก็เช็ดๆ เลือดออก แต่มีคราบแห้งกรังทำให้ผ้าแห้งเช็ดออกไม่หมด เขาจึงเอาผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นแตะน้ำแล้วค่อยๆ เช็ดคราบเลือดออกให้ ใบหน้าเฉินมู่อิ๋งตอนนี้ไม่แดงก่ำแล้วแต่ขาวซีดอย่างยิ่ง ขาวซีดราวกับคนเจ็บหนักอย่างไรอย่างนั้น ยิ่งรวมกับรูปร่างที่ผอมแห้งด้วยแล้วยิ่งส่งให้สภาพของเขาราวกับคนเจ็บหนักปางตาย หยางซีหยุนเอาโอสถออกมาเม็ดหนึ่งแล้วจับปากเล็กๆ นั้นบีบอ้าออก เขายัดโอสถเข้าไป เม็ดโอสถค้างอยู่ตรงคอหอยไม่ได้ไหลลงไปเพราะในลำคอแห้งผากอย่างยิ่ง เขาปล่อยมือแล้วนั่งมองอย่างเป็นห่วง
สักพักเฉินมู่อิ๋งก็มีอาการหน้าเขียวหายใจติดขัดขึ้นมา หยางซีหยุนตกใจ “เจ้าเป็นอะไร?”
เขาจับปากเฉินมู่อิ๋งบีบอ้าออก มองเข้าไปในปาก เห็นเม็ดโอสถยังค้างอยู่ตรงคอหอยก็ตกใจมากขึ้น “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ล่ะ?”
เขาหลอมโอสถได้แต่เขาไม่ได้เป็นหมอจึงไม่มีความรู้เรื่องการแพทย์การรักษาอาการเจ็บป่วย เขาแหย่นิ้วเข้าไปจนสุดนิ้ว แต่เม็ดโอสถก็ยังไม่ไหลลงไป นิ้วเขาก็ดันไม่ถึงเม็ดโอสถแล้ว มันค้างอยู่ในลำคออยู่อย่างนั้น เฉินมู่อิ๋งยิ่งมีอาการหายใจติดขัดมากขึ้นเพราะเม็ดโอสถอุดอยู่ตรงเส้นหลอดลม ใบหน้าค่อยๆ เขียวคล้ำขึ้นเรื่อยๆ หยางซีหยุนร้อนรนไม่รู้จะทำเช่นไรดี เขาหันไปเห็นน้ำจึงเอาน้ำกรอกปาก แต่น้ำก็ไม่ไหลเข้าไปเพราะเม็ดโอสถขวางกั้นอยู่ น้ำหกเลอะหมอน เขายิ่งร้อนรนทำอะไรไม่ถูก “ไอหยา! นี่จะทำอย่างไรดี?”
เขาคิดๆ อึดใจต่อมาเขาก็จับปากเฉินมู่อิ๋งอ้าออกแล้วประกบปากเป่าลมเข้าไป ฟู่!
เม็ดโอสถขยับลงไปลึกขึ้น แต่ก็ยังไม่ลึกมากพอ เขาจึงเป่าลมเข้าไปอีกหลายๆ ที ฟู่!ๆๆๆๆ…
จนกระทั่งเม็ดโอสถไหลลงไปในหลอดอาหาร สีหน้าเฉินมู่อิ๋งก็ดีขึ้นทันตา หายใจได้เป็นปกติ เพียงแต่ว่าลมหายใจอ่อนเบายิ่งนัก หยางซีหยุนถอนปากออก เขารู้สึกกระอักกระอ่วนพิกล เขามองใบหน้าที่ไม่เขียวคล้ำแล้วเปลี่ยนมาเป็นขาวซีดเช่นเดิมทำให้เขาเบาใจขึ้นมานิดหนึ่ง “เฮ้อ…”
เขาตั้งใจแล้วว่าต่อไปจะไม่จับศิษย์มัดห้อยหัวอีกแล้ว เขามองริมฝีปากที่แห้งผากแตกระแหงจึงค่อยๆ เอาน้ำป้อนใส่ปากทีละนิด…ทีละนิด เขามองๆ แล้วลุกขึ้นเดินออกไป ขี่กระบี่บินไปทางยอดเขาของอาจารย์จงฮ่วน
เมื่อไปถึงยอดเขาของอาจารย์จงฮ่วน ศิษย์ของอาจารย์จงฮ่วนก็รีบกุมมือคารวะ “ท่านอาจารย์หยาง”
“อาจารย์จงล่ะ?” หยางซีหยุนถาม ศิษย์ยังคงกุมมือตอบ “ท่านอาจารย์กำลังสอนอยู่ขอรับ”
หยางซีหยุนก้าวไปที่ห้องโถงทันที เขาเห็นอาจารย์จงกำลังสอนลูกศิษย์อยู่ อาจารย์จงเห็นอาจารย์หยางเดินมายังไม่ทันจะทักทายอะไร จู่ๆ อาจารย์หยางก็ก้าวมาถึงตัวเขาแล้ว ทั้งยังกุมข้อมือเขาลากออกไปอีกด้วย
“ตามข้ามา” หยางซีหยุนบอกน้ำเสียงร้อนใจ จงฮ่วนเดินตามไป “มีอะไรรึ?”
“ตามมาเถอะ” หยางซีหยุนบอกแล้วลากอาจารย์จงออกจากห้องโถงพาขี่กระบี่เซียนของเขาไปด้วยกัน จงฮ่วนได้แต่ตามไปโดยดีไม่กล้าขัดขืน เพราะอีกฝ่ายดูร้อนใจพิกล แน่นอนว่าย่อมมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกระมัง
“อา…” พวกลูกศิษย์ที่กำลังเรียนอยู่ก็ปากอ้าตาค้างมองตามอาจารย์ทั้งสองไปอย่างงงๆ “นั่นท่านอาจารย์ไปไหนรึ?”
“จะไปรู้รึ” ศิษย์ข้างๆ ส่ายหน้า คนอื่นๆ จึงได้แต่คุยกันอย่างสงสัยใคร่รู้ เป็นอันว่าการเรียนในวันนี้จำต้องหยุดชะงักไปโดยปริยาย
เมื่อไปถึงเรือนไผ่ หยางซีหยุนก็ลางอาจารย์จงเข้าไปในเรือน จงฮ่วนเดินตามไป เห็นศิษย์คนเดียวของอาจารย์หยางนอนอยู่บนเตียง สีหน้าขาวซีดยิ่งนักก็ตกใจ “โอ้!”
เขาเข้าใจเหตุผลแล้วว่าเหตุใดอาจารย์หยางถึงได้ดูร้อนใจนัก ที่แท้ศิษย์ของเขาก็ป่วยนี่เอง เขาจึงเดินไปถึงข้างเตียง นั่งลงแล้วจับชีพจร อาการเบื้องต้นที่ตรวจพบคือ ขาดน้ำอย่างรุนแรง อีกทั้งยังขาดอาหารอย่างรุนแรงอีกด้วย แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือเด็กคนนี้มีชีพจรหยิน!
เขาตรวจซ้ำอีกรอบ ผลตรวจก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ชีพจรหยินเด่นชัดยิ่งนัก เขามองดูรูปร่างที่ดูอย่างไรก็เป็นบุรุษนั้นอย่างงงๆ ลูกกระเดือกปูดนูนออกมาเห็นชัดเจนมาก ไม่มีทางเป็นสตรีแน่นอน แต่กลับมีชีพจรหยินที่สตรีมี
หรือว่าจะมีชีพจรผิดปกติ เขาคิดๆ ในใจแล้วหันไปถามอาจารย์หยางว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เหตุใดเขาถึงขาดน้ำขาดอาหารรุนแรงถึงเพียงนี้?”
“คือข้าลงโทษเขา ผนึกเขาไว้แล้วก็ออกไปผนึกเหวอเวจีน่ะ” หยางซีหยุนตอบเสียงเบาอย่างรู้สึกผิด จงฮ่วนเบิกตาโต เขาจำได้ว่าอาจารย์หยางไปผนึกเหวอเวจีถึง 10 วันเลยนี่นา เด็กนี่ถูกผนึกเอาไว้ถึง 10 วันไม่ได้กินอะไรเลย มิน่าเล่าอาการถึงได้หนักเพียงนี้!
“เฮ้อ…” เขาถอนหายใจทีหนึ่งแล้วบอกว่า “ให้เขาดื่มน้ำทีละนิด ดื่มบ่อยๆ ส่วนอาหารก็ให้เป็นโจ๊กทีละนิด อย่าเพิ่งให้กินมากเกินไป ไม่เช่นนั้นอิ่มมากไปจะทำให้กระเพาะเขาทำงานหนักเกินไป ไม่ดีอีก เดี๋ยวอาการจะแย่ลง”
“อ่อ” หยางซีหยุนฟังแล้วจดจำเอาไว้ จงฮ่วนเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วจึงขอตัว “ข้าลาล่ะ”
“เชิญ” หยางซีหยุนผายมือ จงฮ่วนลุกขึ้นเดินจากไป แล้วขี่กระบี่บินกลับยอดเขาตัวเองไป หยางซีหยุนนั่งลงมองศิษย์อย่างรู้สึกผิดแล้วหยิบน้ำมาป้อน เขาป้อนน้ำไปนิดหนึ่งก็หยุดป้อนตามคำแนะนำของอาจารย์จง ครั้นคิดถึงโจ๊ก เขาก็รีบออกจากเรือนไป ขี่กระบี่บินไปทางโรงครัวของสำนัก ศิษย์ในโรงครัวเห็นอาจารย์หยางมาก็รีบกุมมือคารวะ “อาจารย์หยาง”
“ต้มโจ๊กมาให้ข้าชามนึงเร็วๆ แล้วต่อไปนี้ให้เจ้าเพิ่มโจ๊กไปให้ข้าด้วยทุกมื้อ” หยางซีหยุนสั่ง ศิษย์โรงครัวรีบรับคำสั่ง “ขอรับ”
เขารีบเดินเข้าไปในห้องครัว ต้มโจ๊กให้อาจารย์หยางทันที หยางซีหยุนนั่งลงรออยู่นอกห้องครัว ศิษย์หญิงทั้งหลายล้วนมองอาจารย์หยางอยู่ห่างๆ พวกนางมองอย่างหลงใหล อยากปีนเตียงอาจารย์หยางรูปงามเหลือเกิน
เวลาผ่านไป ศิษย์โรงครัวก็ถือปิ่นโตไปมอบให้อาจารย์หยาง “โจ๊กขอรับ”
“อืม” หยางซีหยุนรับปิ่นโตมาแล้วรีบขี่กระบี่บินกลับเขาไผ่ทันที ศิษย์โรงครัวมองตามแล้วกลับไปทำงานต่อ
เมื่อกลับถึงเรือนไผ่ หยางซีหยุนก็รีบเข้าเรือนไป ยกโจ๊กร้อนๆ ไปถึงข้างเตียง เขานั่งลงแล้วค่อยๆ ป้อนโจ๊กให้เฉินมู่อิ๋ง เขาป้อนโจ๊กแต่เฉินมู่อิ๋งก็ไม่อ้าปาก เขาจับปากบีบออกแล้วป้อนโจ๊กเข้าไป โจ๊กไม่ได้ไหลลงคอไป ค้างอยู่ในปาก เขามองอย่างคิดหาวิธีที่จะทำให้โจ๊กไหลลงไปให้ได้ เขาวางชามโจ๊กลงแล้วตักน้ำป้อนใส่ปาก โจ๊กจึงไหลลงคอไป หยางซีหยุนไม่เคยต้องป้อนใครเช่นนี้เลยเขาจึงทำอย่างเก้ๆ กังๆ ยิ่งนัก บางคราวป้อนน้ำมากไปหน่อย น้ำก็ไหลหกออกมาปนเศษโจ๊กออกมาด้วย ทำให้ริมฝีปากของเฉินมู่อิ๋งเลอะโจ๊กจนไหลไปถึงลำคอ หยางซีหยุนมองๆ แล้วเอาผ้าเช็ดๆ ให้ เขาเช็ดไปถึงลำคอแล้วก็ถอนหายใจ “เฮ้อ…ทำไมแค่ป้อนโจ๊กแค่นี้ถึงได้ยากนักนะ”
เขาค่อยๆ ป้อนโจ๊กอีก ป้อนโจ๊กนิดหนึ่งก็ป้อนน้ำตามไป เขาป้อนอยู่อย่างนั้นพักหนึ่งก็หยุดป้อน เพราะอาจารย์จงบอกว่าห้ามให้กินมากเกินไป
เวลาผ่านไป เฉินมู่อิ๋งลืมตาขึ้น ภาพตรงหน้าเลือนรางจนเขาต้องกะพริบตาสองสามที ภาพจึงชัดเจนขึ้น เตียงมีม่านมุ้งสีขาว ไม่ใช่เตียงของเขาแน่นอน เขาเบนสายตามองไปทางอื่น เห็นศีรษะของคนๆ หนึ่งอยู่ข้างแขนตัวเอง เขาขมวดคิ้ว “หือ?”
เสียงของเขาแผ่วเบาราวกับเสียงยุง เขายกแขนอีกข้างยันตัวขึ้น แต่ไม่มีเรี่ยวแรงเลย เมื่อเขาขยับตัวทำให้หยางซีหยุนที่ฟุบหลับอยู่ข้างๆ ตื่นขึ้นมาทันที เขายืดตัวตรง มองไป เห็นเฉินมู่อิ๋งฟื้นแล้วจึงดีใจมาก “เจ้าฟื้นแล้ว!”
เฉินมู่อิ๋งเห็นว่าเป็นอาจารย์หยางก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ครู่ต่อมาความรู้สึกโกรธแค้นก็ปะทุขึ้นมา เป็นเพราะอาจารย์ใจร้ายมัดเขาห้อยหัวทิ้งไว้ตั้งหลายวัน ถึงทำให้เขาเป็นเช่นนี้ ถ้าเขาไม่โกรธก็สมควรไปบวชแล้วกระมัง ตลอดหลายวันที่ผ่านมานั้นเขาทุกข์ทรมานยิ่งนัก ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยต้องทุกข์ทรมานถึงเพียงนั้นเลยสักครั้ง อ่อ ไม่ใช่ซิ ถ้านับรวมตอนที่เขายังเป็นทารกที่ถูกท่านอาวางยาพิษ นั่นก็ถือเป็นความทุกข์ทรมานครั้งแรกของเขาเลยล่ะ เพียงแต่ตอนนั้นเขายังไร้เดียงสา จำความไม่ได้ จึงจำไม่ได้ว่าความรู้สึกทุกข์ทรมานในคราวนั้นเป็นเช่นไร
หยางซีหยุนเห็นสายตาโกรธแค้นจ้องมาที่ตัวเองก็รู้สึกผิด เขาจึงพูดว่า “เหวยซือขอโทษ เหวยซือไม่ได้ตั้งใจจะลืมเจ้าหรอก แต่เหวยซือต้องรีบไปผนึกเหวอเวจีจึงได้ลืมเจ้าไป”
“หึ!” เฉินมู่อิ๋งแค่นเสียงเย็นชายิ่ง เขาต้องทุกข์ทรมานอยู่ตั้งนาน ความรู้สึกเหมือนทุกข์ทรมานชั่วกัปชั่วกัลป์อย่างไรอย่างนั้น เป็นความรู้สึกที่ลืมไม่ลงจริงๆ หยางซีหยุนเห็นเฉินมู่อิ๋งยังโกรธก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เขาก็ไม่เคยมีศิษย์เสียด้วย อีกทั้งเขาอยู่คนเดียวมาโดยตลอดจึงไม่รู้ว่าควรจะง้อคนอื่นอย่างไร เขาจึงพูดอย่างเย็นชาว่า “เหวยซือไม่เอาผิดเจ้าเรื่องปลาไฉ่หงแล้ว”
“คอยดูซิ ข้าจะจับมันกินให้หมดเลย” เฉินมู่อิ๋งบอกอย่างแค้นเคือง หยางซีหยุนตะลึงไป ครู่ต่อมาเขาก็โกรธจนเส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบๆ “เจ้าเด็กสารเลว! เจ้ากล้ากินปลาไฉ่หงอีกข้าจะตีเจ้าให้ตาย!”
“หึ!” เฉินมู่อิ๋งแค่นเสียงคำหนึ่ง เขายันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วลุกจากเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง หยางซีหยุนกำลังโมโหจึงไล่ว่า “เจ้าไสหัวไปเสีย! ไม่เช่นนั้นข้าจะตีเจ้าให้ตายเลย!”
“หึ!” เฉินมู่อิ๋งแค่นเสียงอีกคำ พยายามฝืนเดินไปอย่างไร้เรี่ยวแรง หยางซีหยุนไม่มองแม้แต่น้อย ในใจก่นด่าอย่างโมโห ‘เจ้าศิษย์ชั่ว!’
เฉินมู่อิ๋งเดินอย่างเชื่องช้าไร้เรี่ยวแรงจนกระทั่งห่างจากเรือนไผ่ของอาจารย์หยางไปไกลแล้วเขาจึงใช้พลังของม่านแสงสีน้ำเงินออกมาโอบล้อมรอบตัวแล้วลอยกลับเรือนของตัวเองไป หยางซีหยุนไม่ได้ตามออกมาจึงไม่เห็นภาพนั้นแล้วก็ไม่มีใครเห็นภาพเช่นนั้นด้วยเพราะเขาไผ่มีเพียงแค่พวกเขาศิษย์อาจารย์ 2 คนเท่านั้น
เมื่อกลับถึงเรือน เฉินมู่อิ๋งสลายม่านแสงสีน้ำเงินแล้วเข้าเรือนไป ปิดประตูแล้วเดินอย่างเชื่องช้าไปนอนที่เตียงไผ่หยาบๆ ที่เขาทำเอง แต่เครื่องนอนเขาไม่ได้เย็บเอง ใช้เครื่องนอนที่เก็บไว้ในแหวนคุนเฉียนเอามาปู เครื่องนอนฝีมือตัดเย็บของช่างตัดเย็บที่ดีที่สุดของแคว้น อีกทั้งไส้ฟูกยังเป็นขนเป็ดขนไก่ที่คัดมาแต่ขนอ่อนนุ่ม จึงทำให้เครื่องนอนของเขานุ่มสบายยิ่งนัก เขานอนลงไป ดึงผ้ามาห่มแล้วก็หลับตาลงนอนหลับ ส่วนปลาไฉ่หงนั่นรอเขาฟื้นกำลังดีก่อนเถอะ เขาจะไปตกมากินอีก ก็มันช่วยเพิ่มพลังให้เขานี่นา เรื่องอะไรเขาจะปล่อยให้พวกมันเสียของล่ะ อีกทั้งเขาก็พูดไปแล้วว่าเขาจะกินมันให้หมด เช่นนั้นเขาก็จะกินมันให้หมดจริงๆ
เวลาผ่านไป หยางซีหยุนหายโมโหแล้วก็นึกห่วงศิษย์ของเขาขึ้นมา ท่าทางที่เดินไปอย่างไร้เรี่ยวแรงจนแทบจะคลานไปนั่นทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยดีเอาเสียเลย เขาจึงเดินออกจากเรือนไปทางเรือนของเฉินมู่อิ๋ง
เมื่อไปถึงกระท่อมริมธารน้ำร้อน เขาเห็นประตูกระท่อมปิดเอาไว้ ซ้ำหน้าต่างยังปิดหมด เขาจึงไม่อาจแอบดูได้ เขาเดินไปที่ประตูแล้วเปิดประตูแง้มดู เห็นเฉินมู่อิ๋งนอนอยู่บนเตียงไม้ไผ่หยาบๆ ลมหายใจแผ่วเบายิ่ง คาดว่าคงหลับอยู่ เขาจึงยืนมองอยู่อย่างนั้น
เขาไม่รู้ว่าตัวเองยืนอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่ จนกระทั่งเห็นเฉินมู่อิ๋งขยับตัวลืมตา เขาจึงรีบงับประตูแล้วถอยออกไปอย่างเงียบกริบที่สุด เฉินมู่อิ๋งไม่รู้ว่านอกกระท่อมอาจารย์หยางมายืนมองเขาอยู่ตั้งนาน เพราะเจ็บป่วยจนประสาทสัมผัสถดถอยทำให้จับสัมผัสไม่ได้ เขาลุกขึ้นนั่งหยิบน้ำมาดื่ม รู้สึกมีกำลังวังชาขึ้นมาหน่อยจึงลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่ หลังจากอาบน้ำแล้วเขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาก จึงกลับไปนอนเล่นที่เตียงหยิบตำราอาคมออกมาอ่าน
หยางซีหยุนกลับไปที่เรือนไผ่ของตัวเอง เป็นจังหวะเดียวกับศิษย์โรงครัวนำอาหารมาส่งพอดี ศิษย์โรงครัววางปิ่นโต 2 เถาไว้บนโต๊ะหินหน้าเรือนแล้วกุมมือรายงายว่า “อาหารของท่านอาจารย์ขอรับ ส่วนอีกกล่องนั้นเป็นโจ๊กที่ท่านอาจารย์สั่งเพิ่มขอรับ”
“โจ๊กนั่น เจ้าเอาไปให้ศิษย์ข้าที่อยู่กระท่อมไผ่ตรงตีนเขาทางนู้นที แล้วไม่ต้องบอกล่ะว่าข้าสั่งน่ะ” หยางซีหยุนสั่ง ศิษย์โรงครัวรับคำสั่ง “ขอรับ”
เขาถือปิ่นโตใส่โจ๊กแล้วเดินไปทางที่อาจารย์หยางชี้บอก เขาไม่เคยเดินเข้ามาในเขาไผ่เลย ยามนี้ได้เข้ามาจึงถือโอกาสมองสำรวจไปด้วย แต่ก็ไม่กล้าเดินออกนอกเส้นทาง เพราะบนเขาไผ่มีอาคมมากมาย เกิดเดินออกนอกเส้นทางไปเจออาคมที่ทำให้ถึงตายได้ ย่อมไม่ดีแน่นอน
เขาตายไปจะโทษใครได้ล่ะ นอกจากโทษตัวเองที่อยากรู้อยากเห็นมากเกินไปจนทำให้ตัวเองตกตายโดยใช่เหตุ เขาเดินไปตามเส้นทางเล็กๆ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นกระท่อมไผ่หลังหนึ่ง เดาว่าน่าจะเป็นกระท่อมหลังนี้แหละจึงตะโกนเรียก “ศิษย์ของอาจารย์หยางๆ”
เฉินมู่อิ๋งได้ยินเสียงเรียกจึงวางม้วนตำราลงแล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู เห็นศิษย์คนหนึ่งถือปิ่นโตอยู่ในมือ ศิษย์คนนั้นเห็นศิษย์ของอาจารย์หยางก็รีบเดินไปหา ยื่นปิ่นโตให้ “โจ๊ก ข้าเอามาส่ง”
“ให้ข้า?” เฉินมู่อิ๋งถาม ชี้ที่ตัวเอง ศิษย์โรงครัวพยักหน้า “อื้อ! ให้เจ้าซิ”
“เหตุใดจึงเอามาให้ข้า?” เฉินมู่อิ๋งถามอีก เพราะตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่ ไม่เคยมีใครมาส่งอาหารให้เขาเลย เขาต้องไปขุดหน่อไม้ตกปลามาทำกับข้าวเอง จู่ๆ ก็มีคนเอาอาหารมาส่งเช่นนี้จะไม่ให้สงสัยได้อย่างไร
ศิษย์โรงครัวไม่รู้จะตอบอย่างไรเพราะอาจารย์หยางสั่งไม่ให้บอก เขาจึงยิ้มแล้ววางปิ่นโตเถานั้นไว้ที่โต๊ะไม้ไผ่หน้ากระท่อม แล้วรีบเดินกลับไปตามทางเดิม เฉินมู่อิ๋งมองๆ คิ้วขมวดมุ่น จนคนลับตาไปแล้วเขาจึงเปิดฝาปิ่นโต เห็นโจ๊กชามหนึ่งวางอยู่ในกล่อง เขาเอาเข็มเงินออกมาทดสอบพิษ พบว่าไม่มีพิษเขาจึงดมกลิ่นดู ก็พบว่าไม่มีกลิ่นแปลกปลอมอื่นใด เป็นโจ๊กธรรมดาๆ ชามหนึ่ง เขาจึงนั่งลงตรงนั้น ตักโจ๊กกินอย่างหิวโหย
หยางซีหยุนแอบมองอยู่ไกลๆ เห็นเฉินมู่อิ๋งนั่งกินโจ๊กก็เบาใจ เขาค่อยๆ เดินกลับเรือนไผ่ไปอย่างเงียบกริบ
เฉินมู่อิ๋งพยายามไม่ให้ตัวเองกินมากเกินไป เขารู้ดีว่าเขาขาดอาหารหลายวัน หากกินมากเกินจะทำให้ปวดท้องได้เพราะกระเพาะทำงานหนักเกินไป เขากินไปแค่ 1 ส่วน 4 แล้วก็พอ ตัวเขาเองเป็นหมอฝีมือสูงส่งย่อมรู้วิธีรักษาตัวเองเป็นอย่างดี แม้ว่ามนุษย์กับเซียนจะต่างกันตรงที่ความแข็งแกร่งของร่างกาย แต่เซียนก็มาจากมนุษย์ธรรมดาๆ ดังนั้นระบบอวัยวะภายในจึงไม่แตกต่างจากมนุษย์ธรรมดา ขาดน้ำขาดอาหารหลายๆ วัน การรักษาก็คือกินทีละนิดเท่านั้น กินบ่อยๆ ให้ร่างกายค่อยๆ ฟื้นตัว ห้ามกินจนอิ่มเด็ดขาด
เขากินเสร็จแล้วก็เก็บโจ๊กชามนั้นใส่ปิ่นโตไว้เหมือนเดิม เก็บเอาไว้กินคราวหน้าอีก เขาถือปิ่นโตเดินเข้ากระท่อมไป วางปิ่นโตไว้บนโต๊ะไม้ไผ่ในกระท่อมแล้วเดินไปนั่งที่เตียง หยิบตำราอาคมมาอ่านต่อ ตำราอาคมนี้ใช้ตัวอักษรที่ไม่เหมือนอักษรที่ใช้กันในโลกมนุษย์หรือโลกเซียน เขาจำได้ว่าเคยเห็นอักษรคล้ายๆ แบบนี้ตอนที่ใช้หยกอาคมของอาจารย์เฟยเทียน ใช่ ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าอักษรเหล่านั้นก็คืออักขระเทพมาร เขาอ่านๆ แล้วรู้สึกว่าตำราอาคมน่าสนใจไม่น้อยเลยจริงๆ เขาอ่านเพลินจนลืมเวลาไปเลย
จนกระทั่งรู้สึกกระหายน้ำจึงเงยหน้ามองแสงจากชายคา เห็นว่าแสงตะวันสว่างจ้าจึงนึกได้ว่าน่าจะถึงเวลากินอีกแล้ว เขาวางตำราลงแล้วหยิบน้ำมาดื่มจากนั้นก็ลุกไปเปิดฝาปิ่นโต หยิบโจ๊กเย็นชืดชามนั้นออกมาตักกิน เขากินไปเท่ากับครั้งก่อนแล้วก็พอ เขาเก็บโจ๊กใส่ปิ่นโตแล้วลุกไปอ่านตำราอาคมต่อ เขาไม่ออกจากกระท่อมเลย เก็บตัวเงียบอยู่ในกระท่อม
จนกระทั่ง ศิษย์โรงครัวมาเรียกอยู่นอกกระท่อม “ศิษย์ของอาจารย์หยางๆ”
เฉินมู่อิ๋งวางตำราอาคมแล้วลุกไปเปิดประตู เห็นศิษย์คนเดิมยืนอยู่ด้านนอก ในมือเขาถือปิ่นโตเถาหนึ่ง เมื่อศิษย์โรงครัวเห็นศิษย์ของอาจารย์หยางก็ยิ้มให้พลางยกปิ่นโตบอก “ข้าเอาโจ๊กมาส่ง”
“อ่อ ขอบคุณมาก ว่าแต่พี่ชายชื่ออะไรรึ?” เฉินมู่อิ๋งถาม ศิษย์คนนั้นตอบว่า “ข้า เลี่ยงจิน (亮金)”
“อ่อ ศิษย์พี่เลี่ยง” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้า เลี่ยงจินถาม “แล้วเจ้าชื่ออะไรรึ?”
“ข้า เฉินมู่อิ๋ง” เฉินมู่อิ๋งตอบ เลี่ยงจินยิ้มแล้ววางปิ่นโตลงบนโต๊ะ “เอ้า โจ๊ก ข้าต้องรีบกลับล่ะ”
เขาบอกแล้วหมุนตัวเดินไปทันที เฉินมู่อิ๋งพูดตามหลัง “ขอบคุณศิษย์พี่เลี่ยง”
เลี่ยงจินหันไปยิ้มๆ โบกๆ มือให้ แล้วหันหน้าเดินกลับไปตามทางเดิม เฉินมู่อิ๋งก็ยกปิ่นโตเถานั้นเข้ากระท่อมไป เขาปิดประตูเช่นเดิม
Chapter 6
หลอมโอสถ
ทำให้หยางซีหยุนซึ่งยืนมองอยู่ไกลๆ ไม่อาจมองเห็นคนในกระท่อมได้ เขาเห็นเฉินมู่อิ๋งออกมารับปิ่นโตแล้วก็เบาใจ เขาเดินกลับเรือนไผ่ไปอย่างเงียบเชียบ
เฉินมู่อิ๋งเก็บตัวอยู่ในกระท่อมไม่ออกไปไหน เขากำลังอ่านตำราอาคมอย่างขะมักเขม้น เขาคิดว่าหากแข็งแรงดีแล้วจะกลับไปหาอาจารย์เฟยเทียนเพื่อให้อาจารย์เฟยเทียนช่วยสอนอาคมให้หน่อย เขารู้สึกว่าอาจารย์เฟยเทียนน่าจะรู้เกี่ยวกับอาคมมากกว่าอาจารย์หยางกระมัง แต่ตำราของอาจารย์หยางม้วนนี้ก็เขียนอธิบายอักษรแปลกตาเหล่านั้นค่อนข้างละเอียดทีเดียว มีบางตัวที่ไม่มีคำอธิบายทำให้เขาไม่เข้าใจ
เวลาผ่านไปครึ่งเดือน เฉินมู่อิ๋งก็แข็งแรงดังเดิม ตลอดเวลาครึ่งเดือนที่ผ่านมาเลี่ยงจินก็มาส่งปิ่นโตให้เขาวันละ 3 ครั้ง ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องออกไปขุดหน่อไม้หรือตกปลามากินอีก เขากับเลี่ยงจินก็สนิทกันมากขึ้นทีเดียว
“ศิษย์น้องเฉินๆ” เลี่ยงจินร้องเรียกอยู่หน้ากระท่อม เฉินมู่อิ๋งเปิดประตูออกไป “ศิษย์พี่เลี่ยง”
“อาหารของเจ้า” เลี่ยงจินวางปิ่นโตลงบนโต๊ะหน้ากระท่อม เฉินมู่อิ๋งยิ้ม “ขอบคุณศิษย์พี่เลี่ยง”
เขาเปิดปิ่นโตดูแล้วปิดฝาจากนั้นก็ชวนศิษย์พี่เลี่ยง “ศิษย์พี่ วันนี้ข้าจะไปตกปลาไฉ่หง ท่านไปกับข้าไหม? ข้าจะแบ่งให้ท่านตัวนึง”
“หา!” เลี่ยงจินตกใจจนปากอ้าตาค้าง ครู่ต่อมาเขารีบปฏิเสธทันที “อ่า…ศิษย์น้องเฉิน เจ้าไปคนเดียวเถอะ ข้าลาล่ะ”
เขาพูดจบแล้วก็รีบเดินเร็วๆ จากไปจนแทบจะกลายเป็นวิ่งเลยทีเดียว เฉินมู่อิ๋งมองตามแล้วยิ้มบางๆ จากนั้นเขาก็เอาปิ่นโตไปเก็บในกระท่อมแล้วออกไปตกปลาไฉ่หง ในเมื่ออาจารย์หยางหวงมันนักหนา เช่นนั้นเขาก็จะทำให้อาจารย์หยางปวดใจจนแทบกระอักเลือดเลยเชียว
หยางซีหยุนแอบมองอยู่ไกลๆ เห็นเฉินมู่อิ๋งเดินไปทางธารน้ำที่เลี้ยงปลาไฉ่หงเขาก็หน้าตึงขึ้นมาทันที “หรือว่าเขาคิดจะไปจับปลาไฉ่หง? คงไม่หรอก”
เขาแอบตามไปห่างๆ เฉินมู่อิ๋งจับสัมผัสได้ว่ามีคนตามมาเขายิ่งกดมุมปากลึกขึ้น เท้ายังคงก้าวเดินไปอย่างมั่นคง เมื่อไปถึงธารน้ำที่มีปลาไฉ่หงอยู่เขาก็เอาเบ็ดตกปลาออกมาแล้วเดินไปหาขุดไส้เดือน เขาจับไส้เดือนมาตัวหนึ่งเกี่ยวกับเบ็ดแล้วเดินไปยืนริมน้ำ หย่อนเบ็ดลงไปกลางฝูงปลาไฉ่หง ปลาไฉ่หงตัวหนึ่งฮุบเหยื่อเข้าไปทันที เฉินมู่อิ๋งตวัดเบ็ดทันควัน เขาคว้าสายเบ็ดหมับ! พลันมือข้างนั้นของเขาก็ถูกจับหมับเช่นกัน!
“เจ้าศิษย์ชั่ว!” หยางซีหยุนยืนอยู่ด้านหลังเฉินมู่อิ๋ง หน้าตาถมึงทึงยิ่งนัก เฉินมู่อิ๋งหันไปมองอาจารย์หยางฉีกยิ้มให้แล้วพูดอย่างแย้มยิ้มว่า “ตัวนี้ข้าให้อาจารย์ก็ได้ เดี๋ยวข้าตกใหม่อีกตัวขอรับ”
“ตกใหม่! เจ้ายังคิดจะตกปลาของข้าอีกรึ! สิ่งที่ข้าพูดไปไม่เข้าหูเจ้าเลยซินะ” หยางซีหยุนตวาดลั่น มืออีกข้างก็รัดเอวเจ้าศิษย์ชั่วหมับกันไม่ให้เขาวิ่งหนีไป เฉินมู่อิ๋งถูกรัดเอวก็ตกตะลึงไป “อาจารย์! ปล่อยข้านะ!”
เขาปล่อยมือจากคันเบ็ดทันทีแล้วพยายามแกะมืออาจารย์หยางออกจากเอวตัวเอง “ปล่อยข้า!”
“ปล่อย! ปล่อยเจ้าก็หนีน่ะซิ!” หยางซีหยุนตวาดอย่างโมโหเดือดดาล เขายิ่งรัดเอวเจ้าศิษย์ชั่วแน่นขึ้นจนแผ่นหลังเล็กแคบแนบกับแผงอกของเขา เฉินมู่อิ๋งยิ่งดิ้น “อาจารย์! ปล่อยข้า!”
แขนเขาก็ซ้อนอยู่เหนือแขนอาจารย์หยาง กันไม่ให้แขนข้างนั้นถูกสิ่งที่ไม่ควรถูก เขาปล่อยมือจากสายเบ็ดทำให้ปลาไฉ่หงตัวนั้นร่วงตกลงพื้นไปดิ้นปัดๆ อยู่บนพื้นดิน เมื่อทิ้งสายเบ็ดแล้วเขาก็หมุนข้อมือหวังให้หลุดจากอุ้งมือของอาจารย์หยาง แต่อาจารย์หยางจับข้อมือแน่นมากทำให้หมุนไม่ได้เลย เขาตกอยู่ในสภาพอีหลักอีเหลื่อจริงๆ อาจารย์หยางปล่อยมือจากข้อมือเล็กๆ ผอมๆ ข้างนั้นแล้วจี้จุดอย่างไวยิ่งทำให้เจ้าศิษย์ชั่วกระดุกกระดิกตัวไม่ได้ มีเพียงส่วนศีรษะที่ยังขยับได้ เฉินมู่อิ๋งโมโหจนตาแดงก่ำ ตัวเองตกอยู่ในกำมืออาจารย์หยางอีกครั้งแล้ว!
หยางซีหยุนรัดเอวแล้วเดินไปอย่างนั้น เขาเหลือบเห็นปลาไฉ่หงดิ้นปัดๆ อยู่บนพื้นจึงใช้พลังเซียนทำให้มันหลุดจากขอเบ็ดแล้วทำลายคันเบ็ดนั้นทิ้งไป ปุ๊! คันเบ็ดแหลกละเอียดเป็นจุณทันที ปลาไฉ่หงตัวนั้นก็ดิ้นแถกๆ จนกระทั่งลงน้ำไป มันรีบว่ายไปรวมกลุ่มกับพวกพ้องของมัน หยางซีหยุนอุ้มเจ้าศิษย์ชั่วกลับไปที่เรือนไผ่ เขากางอาคมผนึกรอบๆ บริเวณเรือนไผ่แล้วจี้คลายจุดให้เจ้าศิษย์ชั่ว เฉินมู่อิ๋งขยับตัวได้แล้วก็รีบก้าวถอยห่างไปทันที ตวาดอย่างโมโหหน้าแดงก่ำ “อาจารย์หยาง!”
“กล้าตวาดใส่ข้า เช่นนั้นข้าจะเพิ่มโทษเจ้าอีก ขังเจ้าเพิ่มอีก 1 วัน ตวาดอีกซิ ตวาดอีกข้าก็จะขังเจ้าเพิ่มอีก 1 วัน” หยางซีหยุนบอกอย่างเย็นชาสายตาเย็นเยียบ “กล้าตกปลา 1 ตัวข้าจะขังเจ้าไว้ 10 วัน!”
“ข้าไม่ใช่นักโทษนะ!” เฉินมู่อิ๋งตวาดใส่ หยางซีหยุนยกนิ้วนับอย่างเย็นชา “12 วัน”
“อาจารย์หยาง!” เฉินมู่อิ๋งตวาดอีก หยางซีหยุนยกนิ้วนับ “13 วัน”
เฉินมู่อิ๋งไม่ตวาด เขาเดินไปที่ม่านอาคมผนึกแล้ววาดอักษรแปลกตาในตำราอาคมขึ้นมา หยางซีหยุนมองเฉย เฉินมู่อิ๋งวาดอักษรแปลกตาเสร็จก็ผลักวงอาคมใส่ม่านผนึกนั้น ม่านผนึกส่งเสียงครืนครั่นครู่หนึ่งแต่ก็ไม่สลายหายไป เฉินมู่อิ๋งหันไปมองอาจารย์หยางตาวาววับอย่างแค้นเคือง เขาแน่ใจแล้วว่าตำราอาคมม้วนนั้นที่อาจารย์หยางให้เขาไม่ใช่ตำราฉบับสมบูรณ์
“หึ! เรียนรู้ได้เร็วดีนี่” หยางซีหยุนแค่นเสียงเย็นชา เฉินมู่อิ๋งถลึงตามองอาจารย์หยาง จากนั้นเขาก็เดินไปนั่งลงหลังฉากกั้น หยางซีหยุนเดินไปนั่งที่โต๊ะเขียนอักษร หยิบแท่งหมึกขึ้นมาฝนๆ จากนั้นก็จับพู่กันจุ่มหมึกเขียนกลอนไปเรื่อยๆ เฉินมู่อิ๋งมองอาจารย์หยางที่นั่งขีดเขียนอยู่ที่โต๊ะ เขามองไปมองมาไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน
หยางซีหยุนวางพู่กันลง มองเจ้าศิษย์ชั่วเห็นเขาหลับอยู่บนพื้นก็ปล่อยให้เขาหลับอยู่ตรงนั้น ที่เขาขังไว้ในเรือนเช่นนี้ก็เพราะเวลาศิษย์โรงครัวมาส่งอาหาร ย่อมส่งปิ่นโตเข้ามาข้างในได้ เพราะเดี๋ยวเขาจะเหลือช่องเล็กๆ ให้ส่งปิ่นโตเข้ามาอย่างไรล่ะ เขาไม่อยากผนึกเจ้าศิษย์ชั่วอีกเพราะกลัวว่าหากมีเหตุการณ์จำเป็นอะไรขึ้นมาเขาออกไปข้างนอกเจ้าศิษย์ชั่วจะได้ไม่อดน้ำอดข้าวอีก ถึงอย่างไรศิษย์โรงครัวก็ต้องมาส่งอาหารวันละ 3 ครั้งอยู่แล้ว ดังนั้นจึงแน่ใจได้ว่าเจ้าศิษย์ชั่วจะไม่อดน้ำอดข้าวเหมือนอย่างคราวก่อนแน่นอน
เลี่ยงจินมาส่งปิ่นโต เห็นผนึกอาคมกางอยู่รอบๆ เรือนไผ่ก็แปลกใจ เขาจึงร้องเรียกอยู่นอกผนึกอาคม “อาจารย์หยางขอรับๆ”
หยางซีหยุนเดินออกไป เลี่ยงจินกุมมือคารวะ “อาจารย์หยาง”
“นับจากนี้ไม่ต้องไปส่งข้าวที่กระท่อมอีก แต่ให้วางไว้ที่นี่แทน จนกว่าข้าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง” หยางซีหยุนบอก เลี่ยงจินกุมมือรับคำสั่ง “ขอรับ”
หยางซีหยุนชี้นิ้วไปที่โต๊ะหินนอกผนึกอาคม สั่งว่า “วางไว้ตรงนั้น”
“ขอรับ” เลี่ยงจินรับคำสั่งแล้ววางปิ่นโต 2 เถาไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็กุมมือคารวะอีกครั้งแล้วเดินจากไป หยางซีหยุนยื่นมือไปทำให้ผนึกอาคมแหวกเป็นช่องพอให้ยกปิ่นโต 2 เถาเข้ามาได้ ช่องนั้นแหวกค้างอยู่อย่างนั้น เขาถือปิ่นโต 2 เถากลับเข้าเรือนไป วางปิ่นโตไว้บนโต๊ะแล้วเดินไปปลุกเจ้าศิษย์ชั่ว “เจ้าหนูๆ”
เฉินมู่อิ๋งลืมตาตื่นทันที เห็นอาจารย์หยางก็มองอย่างโกรธเคือง “หึ!”
“กินข้าว” หยางซีหยุนบอกแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะเปิดปิ่นโตออก ยกอาหารข้างในออกมาวางเรียงราย เขานั่งกินข้าวไม่สนใจเจ้าศิษย์ชั่วอีก เพราะคิดว่าเดี๋ยวหิวก็มากินเองนั่นแหละ อาหารยังเหลืออีก 1 ปิ่นโต กินก็ช่าง ไม่กินก็ช่าง เขากินไปเรื่อยๆ จนอิ่มก็เก็บจานชามใส่ปิ่นโตไว้แล้วยกออกไปตั้งไว้ที่โต๊ะนอกผนึกอาคม ช่องนั้นยังคงแหวกค้างอยู่อย่างนั้นไม่หุบเข้ามาเพื่อเป็นช่องทางให้ส่งอาหารเข้ามาได้
เฉินมู่อิ๋งนอนอยู่บนพื้น จนกระทั่งรู้สึกหิวจึงลุกไปดูปิ่นโตที่วางอยู่บนโต๊ะ เขาเห็นอาจารย์หยางนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนอักษร เขาจึงนั่งลงที่โต๊ะแล้วเปิดปิ่นโตหยิบอาหารข้างในออกมากิน กินเสร็จแล้วก็เก็บจานชามใส่ปิ่นโตแล้วถือออกไปข้างนอก
เห็นที่โต๊ะนอกผนึกอาคมมีปิ่นโตเถาหนึ่งวางอยู่ เขาจึงเอาปิ่นโตของเขาไปวางคู่กับปิ่นโตเถานั้น จากนั้นก็เดินไปนั่งใต้ต้นท้อ เห็นลูกท้อออกเต็มต้นจึงยืนขึ้นเด็ดลูกท้อมากัดกิน ทันทีที่กัดลูกท้อรสชาติหวานอมเปรี้ยวก็แผ่ซ่านไปทั่วปาก เป็นรสหวานๆ เปรี้ยวๆ ที่ลงตัวยิ่ง กลิ่นก็หอมอบอวลไปทั่วทั้งปาก เขาจึงกินท้อลูกนั้นจนหมดแล้วโยนเมล็ดทิ้งไป จากนั้นก็ยื่นมือไปเด็ดมากินอีก
หยางซีหยุนมองไป เขาเห็นเฉินมู่อิ๋งกำลังเด็ดลูกท้อก็เบิกตาโต “เจ้า!”
เขาลุกขึ้นเดินไปหาอย่างไว จับมือที่กำลังเด็ดลูกท้อไว้แน่น “เจ้าเด็ดท้อของข้า”
“หึ!” เฉินมู่อิ๋งแค่นเสียงอย่างเย็นชา หยางซีหยุนเหลือบเห็นเมล็ดท้อถูกโยนทิ้งอยู่แถวนั้นหลายเมล็ดทีเดียว เขามองเมล็ดพวกนั้นอย่างปวดใจยิ่งนัก “เจ้ารู้ไหมว่าท้อเซียนต้นนี้กว่าข้าจะปลูกจนออกลูกครั้งแรกก็ใช้เวลาถึง 100 ปีเชียวนะ”
“อ่อ” เฉินมู่อิ๋งส่งเสียงรับรู้อย่างเย็นชา หยางซีหยุนรู้สึกจนคำพูดขึ้นมา เขาไม่รู้จะด่าเจ้าศิษย์ชั่วนี่อย่างไรดี ทั้งดื้อรั้น ทั้งขัดคำสั่งเขาเสมอ เฉินมู่อิ๋งสะบัดมือออกจากอุ้งมืออาจารย์หยาง เขาปลิดผลท้อลงมาด้วยแล้วยกขึ้นกัดต่อหน้าต่อตาอาจารย์หยาง หยางซีหยุนโมโหยิ่งนัก ด่าอย่างเหลืออดว่า “เจ้าตัวล้างผลาญ!”
“หึ!” เฉินมู่อิ๋งแค่นเสียงคำหนึ่ง เคี้ยวท้อเซียนแสนอร่อยอย่างถูกอกถูกใจ หยางซีหยุนไม่รู้จะลงโทษอย่างไรดี เขารู้สึกจนปัญญากับเจ้าศิษย์ชั่วคนนี้จริงๆ เขาสะบัดแขนเสื้อเดินเข้าเรือนไปอย่างโมโหจนเส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบๆ ไม่ให้กินปลาไฉ่หง มันก็มากินท้อเซียนของเขา เจ้าศิษย์ล้างผลาญนี่!
เขาอยากผนึกเจ้าศิษย์ชั่วให้อดข้าวอดน้ำยิ่งนัก แต่ก็กลัวว่ามันจะตายเสียก่อน ที่เขาเอามันมาขังไว้ร่วมเรือนก็เพื่อจะได้สั่งสอนขัดเกลามัน แต่ดูมันซิ มันกลับกินท้อเซียนที่เขาปลูกมาอย่างยากลำบากหน้าตาเฉย! เจ้าเด็กนี่มันจงใจยั่วโมโหเขาชัดๆ หรือมันอยากให้เขาไล่มันออกจากสำนัก? ถ้ามันทำเช่นนี้เพื่อหาเรื่องให้เขาไล่มันออกจากสำนักเช่นนั้นเขาจะไม่ไล่มันออกไปเด็ดขาด แต่จะต้องขัดเกลามันจนมันเชื่อฟังให้ได้! เขาจะต้องขัดเกลามันจนมันกลายเป็นศิษย์แสนดีเหมือนอย่างลูกศิษย์ของอาจารย์คนอื่นๆ ให้ได้!
เฉินมู่อิ๋งเห็นอาจารย์หยางโมโหยิ่งนักก็รู้สึกสะใจมาก หึ! ขังข้า 13 วัน ข้าก็จะกินท้อเซียนต้นนี้ให้หมดต้นเลย!
หนึ่งศิษย์หนึ่งอาจารย์อยู่ร่วมกันอย่างไม่พูดจากันสักคำ ต่างคนต่างอยู่ เฉินมู่อิ๋งก็นอนอยู่ใต้ต้นท้อเซียน หยางซีหยุนก็อยู่ในเรือนเขียนอักษรไปเรื่อยๆ เขามองดูเจ้าศิษย์ชั่วทีไรก็เห็นมันเด็ดท้อเซียนกินทุกที เขาจึงสะบัดหน้าไปอย่างโมโหยิ่งนัก เอาแต่กินๆๆ กินให้ท้องแตกตายไปเลยนะเจ้าศิษย์ชั่ว!
ช่วงที่ถูกขังอยู่นี้ เฉินมู่อิ๋งก็เอาตำราโอสถเซียนของอาจารย์เฟยเทียนออกมาอ่าน เขาอ่านทีละแถวอย่างช้าๆ ทำความเข้าใจกับเนื้อหาในตำราไปเรื่อยๆ หยางซีหยุนก็เก็บตัวเงียบอยู่ในเรือน
เวลาผ่านไปจนครบ 13 วัน ท้อเซียนก็ถูกกินจนหมดเกลี้ยงจริงๆ หมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่ลูกเดียวทำให้หยางซีหยุนโมโหจนแทบกระอักเลือดเลยทีเดียว เขาสลายอาคมผนึกออกแล้วตวาดไล่อย่างโมโหจนโทสะท่วมฟ้าแล้ว “ไสหัวไปซะเจ้าตัวล้างผลาญ!”
“หึ!” เฉินมู่อิ๋งแค่นเสียงเย็นชาคำหนึ่ง เดินจากไปอย่างสะใจยิ่ง เขาเดินกลับกระท่อมของเขาไปแล้วเริ่มต้นศึกษาวิชาหลอมโอสถเซียน เขาลงเขาไผ่ไปยังยอดเขาหลัก ที่นั่นมีหอตำราเก็บไว้มากมาย มีตำราทุกแขนงวิชาระดับพื้นฐานทั่วไป ส่วนตำราขั้นสูงอาจารย์แต่ละวิชาจะเป็นผู้เก็บเอาไว้ที่ยอดเขาของตัวเอง เฉินมู่อิ๋งเข้าไปในหอตำราแล้วหยิบตำราหลอมโอสถเซียนขั้นพื้นฐานมาอ่าน
เฉินมู่อิ๋งขลุกอยู่ในหอตำราถึง 10 วันเลยทีเดียว เขาอ่านตำราหลอมโอสถเซียนขั้นพื้นฐานจนหมดทุกม้วนแล้วจึงกลับเขาไผ่ไป เขาออกไปหาสมุนไพรมาหลอมโอสถ แน่นอนว่าสมุนไพรที่เขาต้องการล้วนมีอยู่บนเขาไผ่แห่งนี้ เขาจึงเก็บมาแล้วกลับกระท่อมไปลงมือหลอมโอสถเซียนตามตำราของอาจารย์เฟยเทียน ตำราหลอมโอสถเซียนของอาจารย์เฟยเทียนแตกต่างจากตำราทั่วไปคือไม่ใช้หม้อหลอมโอสถ แต่ใช้พลังเซียนควบคุมการหลอม ใช้พลังเซียนแทนเพลิงปฐพี
เฉินมู่อิ๋งรู้สึกว่าวิธีการหลอมโอสถเซียนในตำราของอาจารย์เฟยเทียนช่างท้าทายยิ่งนัก เขาปิดประตูกระท่อม เริ่มต้นหลอมโอสถเซียนอย่างขะมักเขม้น ครั้งแรกล้มเหลว ทำสมุนไพรไหม้หมด แต่เขาก็ไม่ย่อท้อ ยังคงฝึกหลอมต่อไป
ครั้งที่ 2…ครั้งที่ 3…ครั้งที่ 4…ครั้งที่ 5…จนกระทั่งถึงครั้งที่ 186 ในที่สุดเขาก็หลอมโอสถเซียนเม็ดแรกสำเร็จ เขารู้สึกดีใจมาก “ฮ่าๆๆๆ…สำเร็จแล้วๆ”
หยางซีหยุนแอบมองอยู่ไกลๆ เขาได้กลิ่นสมุนไพรไหม้ลอยออกมาจากกระท่อมจึงเดาว่าเจ้าศิษย์ชั่วของเขาคงกำลังหัดหลอมโอสถอยู่แน่นอน เขาเฝ้าดูอยู่ห่างๆ ไม่ได้เข้าไปรบกวนแม้แต่น้อย เขาเห็นเฉินมู่อิ๋งถอนสมุนไพรที่เขาปลูกเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่าจนสมุนไพรสองสามชนิดนั้นแทบหมดจากเขาไผ่เลยทีเดียว นี่ทำให้เขาปวดใจยิ่งนัก แต่เพื่อความก้าวหน้าของศิษย์เขาจำต้องยอมทนดูอยู่เงียบๆ เขาดูจากชนิดสมุนไพรที่เฉินมู่อิ๋งเก็บไปพอจะเดาได้ว่าเฉินมู่อิ๋งกำลังหลอมโอสถแก้ปวดสามัญทั่วไป โอสถแก้ปวดนี้หลอมไม่ยาก หัดหลอมไม่กี่ครั้งก็สำเร็จแล้ว ศิษย์ของอาจารย์จงฮ่วนหัดหลอมราวๆ สองสามครั้งก็สำเร็จกันแล้ว แต่เจ้าศิษย์ของเขาคนนี้หลอมโอสถชนิดนี้ล้มเหลวถึง 185 ครั้งเชียวนะ นี่แสดงว่าเจ้าศิษย์คนนี้ไม่มีพรสวรรค์ในการหลอมโอสถเอาเสียเลย เฮ้อ…สมุนไพรของข้า!
เฉินมู่อิ๋งมองดูโอสถเม็ดนั้นอย่างภูมิใจ เขาเก็บโอสถเม็ดแรกไปแล้วคิดว่าถ้าเขาหลอมโอสถอย่างเช่นพิษศิลาให้กลายเป็นโอสถเซียนล่ะ ผลจะเป็นอย่างไร? จะทำได้ไหมนะ? เขาแน่ใจว่าอาจารย์เฟยเทียนน่าจะปรับเปลี่ยนตำรายาของนางที่ขายในโลกมนุษย์ให้มีฤทธิ์อ่อนจางลงแน่นอน ไม่เช่นนั้นมนุษย์ไม่อาจทนรับพิษที่รุนแรงระดับมารได้แน่ หากเขาใช้ตำรายาของอาจารย์เฟยเทียนมาหลอมเป็นโอสถเซียนได้ล่ะก็ นี่มันช่างน่าตื่นเต้นจริงๆ หึๆๆๆ…
ยาของอาจารย์เฟยเทียนที่ขายในโลกมนุษย์นั้นเขาเชี่ยวชาญยิ่งนัก ดังนั้นหากเอาตำรายาเหล่านั้นมาหลอมเป็นโอสถเซียนเขาก็จะมีโอสถไว้ใช้สอยเหมือนเช่นตอนเป็นมนุษย์ นี่จะเป็นการยกระดับกำลังรบของเขาเพิ่มขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
เมื่อคิดแล้วเขาก็เริ่มลงมือทันที เขาออกไปเก็บสมุนไพรมา แน่นอนว่าโอสถแรกที่เขาจะหลอมต่อจากนี้ย่อมเป็นพิษศิลา ถ้าหลอมพิษศิลาเป็นโอสถเซียนสำเร็จ เขาจะเอาโอสถพิษศิลานี้ให้อาจารย์หยางได้ทดลองเป็นคนแรกเลยทีเดียว ฮี่ๆๆๆ…
หยางซีหยุนเห็นเฉินมู่อิ๋งออกไปเก็บสมุนไพร เขาก็ตามไปแอบดูอยู่ห่างๆ เขาเห็นเจ้าหนูนั่นเก็บสมุนไพรพิษไปตั้งหลายอย่าง ทำให้เขาสงสัยใคร่รู้ “จะเอาไปหลอมโอสถอะไรน่ะ?”
เฉินมู่อิ๋งได้สมุนไพรมาพอแล้วก็รีบกลับกระท่อมไป เขาปิดประตูกระท่อมเก็บตัวอยู่ในกระท่อม เริ่มหลอมโอสถพิษศิลา แน่นอนว่าครั้งแรกเขาล้มเหลว เขาเริ่มหลอมใหม่ครั้งที่ 2 แล้วก็ล้มเหลวอีกเช่นเคย เขาเริ่มหลอมใหม่ครั้งที่ 3…ครั้งที่ 4…ครั้งที่ 5 ในที่สุดเขาก็หลอมสำเร็จ ทำเขาหัวเราะลั่นเลยทีเดียว “ฮ่าๆๆๆๆ…”
หยางซีหยุนได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมา เขาเดาว่าเฉินมู่อิ๋งน่าจะหลอมสำเร็จจึงอยากรู้ยิ่งนักว่าเขาหลอมโอสถอะไร?
เมื่อหลอมโอสถพิษศิลาได้แล้ว แน่นอนว่าเฉินมู่อิ๋งต้องหลอมโอสถแก้พิษศิลาด้วยซิ เขาเก็บสมุนไพรที่จะใช้หลอมโอสถแก้พิษศิลามาด้วยจึงลงมือหลอมทันที ครั้งแรกล้มเหลว ครั้งที่ 2 ก็ล้มเหลวอีก ครั้งที่ 3 จึงหลอมสำเร็จ เขามองโอสถแล้วหัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆๆๆ…”
หยางซีหยุนได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมาจากกระท่อมจึงเดาว่าเฉินมู่อิ๋งหลอมโอสถสำเร็จอีกแล้ว ดูเหมือนว่าหลังๆ มานี้จะล้มเหลวน้อยลง เช่นนั้นบางทีเขาอาจจะมีพรสวรรค์ด้านการหลอมโอสถกระมัง
เฉินมู่อิ๋งเก็บโอสถไปแล้วเดินไปเปิดประตู เขามองไปตรงจุดที่อาจารย์หยางยืนอยู่แล้วพูดว่า “อาจารย์หยาง ท่านแอบดูข้าตั้งนาน จะแอบดูอยู่ทำไม มิสู้เข้ามาดูให้เห็นชัดๆ ไปเลยล่ะ”
หยางซีหยุนเดินออกจากจุดที่ยืนอยู่ ตรงไปที่กระท่อม “สัมผัสของเจ้านับว่าดีทีเดียว”
“อาจารย์หยาง ท่านดูโอสถที่ข้าหลอมซิ” เฉินมู่อิ๋งเอาขวดใส่โอสถพิษศิลาออกมายื่นให้อาจารย์หยาง หยางซีหยุนรับมาดู
หยางซีหยุนเทโอสถออกมาใส่จานใบเล็กๆ ที่ไม่รู้ว่าหยิบออกมาจากถุงฟ้าดินตอนไหน เรียกว่าเร็วจนเฉินมู่อิ๋งมองแทบไม่ทันเลย หยางซีหยุนดูเม็ดโอสถบนจานแล้วใช้คีมคีบขึ้นมาดู แน่นอนว่าการจะตรวจสอบเม็ดโอสถจะไม่จับเม็ดโอสถด้วยมือตรงๆ เพราะจะทำให้เม็ดโอสถเปรอะเปื้อนได้ เขาคีบโอสถเม็ดนั้นขึ้นมาดมกลิ่นครู่หนึ่งแล้วถาม “นี่โอสถอะไร?”
“โอสถศิลา” เฉินมู่อิ๋งตอบ หยางซีหยุนขมวดคิ้ว เขาไม่เคยได้ยินชื่อโอสถชนิดนี้เลย “เจ้าเอาตำราโอสถนี้มาจากไหน?”
“ตอนข้าเป็นคน ข้าก็ได้ตำรานี้มาโดยบังเอิญ ข้าจึงเอามาหลอมเป็นโอสถเซียน เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าสรรพคุณจะเหมือนกับยาที่ข้าเคยทำไหม ข้าก็ยังไม่แน่ใจ” เฉินมู่อิ๋งบอก หยางซีหยุนคลายคิ้วออก เก็บโอสถใส่ขวดแล้วเก็บจานกับคีมคีบไป แต่พอเขาจะก้าวขาเดินหันหลัง เขากลับก้าวขาไม่ออก เขาก้มลงมองขาตัวเอง “หือ?”
“โอ้! อาจารย์ เป็นอะไรหรือ?” เฉินมู่อิ๋งถามน้ำเสียงยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น หยางซีหยุนถลึงตาใส่ “เจ้าวางยาข้า!”
“อาจารย์ ท่านกล่าวหาข้าอยู่นะ ข้าวางยาท่านตอนไหนกัน?” เฉินมู่อิ๋งย้อนถามสีหน้าซื่อๆ หยางซีหยุนถลึงตาจ้องเจ้าศิษย์ชั่วช้า “เป็นโอสถที่เจ้าให้ข้าดูเมื่อกี้”
“ข้าก็แค่ให้ท่านดู ไม่ได้ให้ท่านดมเสียหน่อย ท่านดมเองนะอาจารย์” เฉินมู่อิ๋งพูดอย่างเอื่อยเฉื่อย “ท่านก็ยืนอยู่ตรงนี้สักพักเถอะ ข้าจะไปหลอมโอสถต่อล่ะ”
เขาพูดแล้วก็เดินกลับเข้ากระท่อมไป หยางซีหยุนโมโหจนโทสะท่วมฟ้าเลยทีเดียว “เจ้าเด็กสารเลว!”
เขาด่าแล้วหยิบโอสถแก้พิษออกมาจากถุงฟ้าดินแล้วกินเข้าไปทันที เขารออยู่พักใหญ่ แต่ความรู้สึกที่ขากลับหายไปเรื่อยๆ ทั้งยังลามขึ้นมาสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาตกตะลึงพรึงเพริดยิ่งนัก โอสถศิลาร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวรึ! แม้แต่โอสถแก้พิษของเขาก็ยังแก้พิษไม่ได้!
“เจ้าศิษย์ชั่ว! หากเจ้ายังไม่เอาโอสถแก้พิษมาให้ข้าอีก ข้าจะตีเจ้าให้ตาย!” เขาตวาดลั่น เฉินมู่อิ๋งเปิดประตูออกมา ยกมือขึ้นแตะริมฝีปาก “ชู่ว! อาจารย์ ท่านเงียบๆ หน่อย ข้ากำลังจะหลอมโอสถแก้พิษโอสถพิษศิลา ถ้าท่านเสียงดังเช่นนี้ข้าก็หลอมโอสถไม่ได้น่ะซิ”
“เจ้า!” หยางซีหยุนโกรธจนหน้าแดงหน้าเขียวแล้ว เฉินมู่อิ๋งปิดประตูไปแล้วยิ้มอย่างสะใจเหลือเกิน ได้แก้แค้นคืนย่อมทำให้เขาอารมณ์ดีจนแทบอยากจะผิวปากฮัมเพลงเลยทีเดียว หยางซีหยุนรู้สึกว่าพิษลามขึ้นมาเรื่อยๆ ทำให้เขาตัวแข็งทื่อขึ้นเรื่อยๆ โอสถศิลานี้คล้ายกับอาคมผนึกของเขาที่เขาใช้ผนึกเจ้าศิษย์ชั่วก่อนหน้านี้ยิ่งนัก เขาแน่ใจว่านี่เป็นการแก้แค้นของเจ้าศิษย์ชั่วช้าแน่นอน หลอกให้เขาดมโอสถพิษจนถูกพิษตัวแข็งทื่อ “โอสถศิลา! โอสถศิลา! ฮึ่ม!”
เฉินมู่อิ๋งอยู่ในกระท่อมก็หลอมโอสถพิษศิลาอีก โอสถนี้มีประโยชน์กับเขามาก หากเจอศัตรูที่แข็งแกร่งเขาก็ใช้พิษศิลาถ่วงเวลาแล้วหนีไป ดังนั้นหลอมไว้มากๆ หน่อยย่อมดีแน่นอน ยิ่งหลอมก็ยิ่งเชี่ยวชาญ หลังๆ มานี้เขาหลอมโดยไม่ล้มเหลวเลย แต่ก็เฉพาะโอสถพิษศิลานะ ส่วนโอสถชนิดอื่นๆ ยังต้องอาศัยการฝึกหลอมบ่อยๆ จึงจะชำนาญเหมือนหลอมโอสถพิษศิลา
เมื่อเขาหลอมโอสถพิษศิลาเสร็จแล้ว เขาก็เปิดประตูไปดูอาจารย์หยาง เห็นอาจารย์หยางยืนถลึงตาอยู่เช่นเดิม แต่ดูเหมือนว่าพิษจะแพร่ไปจนแขนทั้งสองข้างก็ขยับไม่ได้แล้ว เขาจึงหยิบโอสถแก้พิษศิลาออกมาแล้วยัดใส่ปากอาจารย์หยาง หยางซีหยุนกลืนโอสถลงไป สายตาจ้องมองเจ้าศิษย์ชั่วราวกับจะฆ่าให้ตาย เขาเสียท่าเจ้าศิษย์ชั่วครั้งแรก นี่เป็นเรื่องที่เสียศักดิ์ศรีที่สุด! อัปยศที่สุด!
“อาจารย์ ถ้าท่านลงโทษข้า ข้าแน่ใจว่าข้ามีวิธีทำให้ท่านรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็นเลยล่ะ” เฉินมู่อิ๋งพูดยิ้มๆ หยางซีหยุนตวาด “เจ้ากล้าขู่ข้าเช่นนี้รึ!? เจ้านี่มันชั่วช้ายากจะเยียวยาจริงๆ”
“ข้าไม่ได้อยากกราบท่านเป็นอาจารย์ ท่านก็บังคับข้า มาตอนนี้ท่านนึกเสียใจทีหลังก็สายไปเสียแล้วล่ะอาจารย์ ข้าไม่ล่วงเกินใครก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้คนอื่นล่วงเกิน ท่านกับข้ามาตกลงกันดีๆ ดีกว่า พวกเราต่างคนต่างอยู่ ท่านไม่ยุ่งเรื่องของข้า ข้าไม่ยุ่งเรื่องของท่านเป็นอย่างไร? ข้าแค่ต้องการฝึกฝนพลังเซียนเพื่อไปสู่ระดับสูงสุดเท่านั้น” เฉินมู่อิ๋งเสนอ หยางซีหยุนถลึงตามองจ้องอย่างเดือดดาล “เจ้า!”
Chapter 7
พอกันทีๆ ช่างหัวย่ามันเถอะ!
ถ้าสายตาฆ่าคนได้ เกรงว่าเฉินมู่อิ๋งคงถูกสายตาของอาจารย์หยางแผดเผาจนตกตายเป็นพันเป็นหมื่นครั้งแล้วกระมัง แต่น่าเสียดายที่สายตาฆ่าคนไม่ได้ เฉินมู่อิ๋งถามต่อ “ว่าอย่างไรอาจารย์หยาง? ท่านจะตกลงหรือไม่ตกลง?”
“หึ!” หยางซีหยุนแค่นเสียงเย็นชา “ข้าเห็นเจ้ามีพรสวรรค์จึงคิดช่วยเหลือสอนสั่ง ไม่คิดเลยว่าข้าจะเลี้ยงงูพิษให้กลับมาแว้งกัดตัวเองเช่นนี้”
“หึ! สอนสั่งรึ ตำราอาคมไม่สมบูรณ์นั่นยังกล้าเรียกว่าสอนสั่งอีกรึ อาจารย์หยางท่านช่างมากแผนการยิ่งนัก ตำราอาคมไม่สมบูรณ์ม้วนเดียวก็กล้าอ้างบุญคุณแล้ว?” เฉินมู่อิ๋งเยาะหยัน หยางซีหยุนถลึงตามอง “แต่เจ้าก็ใช้สมุนไพรที่ข้าปลูกในการหลอมโอสถ สิ่งนี้ก็นับว่าเป็นบุญคุณเช่นกัน รึเจ้าจะปฏิเสธ เช่นนั้นก็จ่ายค่าสมุนไพรของข้ามา”
“หึ! ทวงค่าสมุนไพร! ได้ ข้าจ่ายคืนให้ท่านแน่นอน ตามราคาของสำนัก” เฉินมู่อิ๋งแค่นเสียง หยางซีหยุนถลึงตาจ้อง เจ้าเด็กนี่ช่างอวดใหญ่อวดโตเสียจริง! คิดว่าตัวเองเป็นคุณชายตระกูลสูงศักดิ์หรือไร!
เจอเด็กเย่อหยิ่งจองหองพองขนเช่นนี้เขาก็คร้านจะสอนสั่งแล้ว “หึ! ได้ๆๆๆ ต่างคนต่างอยู่ เจ้าต้องจ่ายค่าสมุนไพรคืนให้ข้าทั้งหมด”
“เช่นนั้นก็รอข้าเอาโอสถไปประมูลก่อนเถอะ แล้วข้าจะจ่ายค่าสมุนไพรคืนให้ท่านแน่นอน” เฉินมู่อิ๋งบอกแล้วเดินเข้ากระท่อมไปปิดประตู หยางซีหยุนถลึงตาจ้องอย่างโกรธเคืองยิ่งนัก เจ้าเด็กสารเลวนี่หาความน่ารักน่าเอ็นดูไม่ได้เลย! ศิษย์ของอาจารย์คนอื่นยังเรียกขานอาจารย์อย่างเคารพนบนอบ คอยเอาอกเอาใจสารพัดสารพัน แต่ดูศิษย์ของเขาซิ ทั้งดื้อรั้น! เย่อหยิ่ง! จองหองพองขน! แว้งกัดอาจารย์! อีกทั้งยังเป็นตัวล้างผลาญด้วย!
มีศิษย์นิสัยเช่นนี้ เขาก็คร้านจะสอนสั่งแล้ว! พอกันทีๆ ช่างหัวย่ามันเถอะ!
เขาหมุนตัวเดินจากไปอย่างโกรธเคือง คอยดูซิ เขาจะไม่สนใจเจ้าศิษย์ชั่วช้านี่อีกเลย!
ภายในกระท่อม เฉินมู่อิ๋งรับรู้ว่าอาจารย์หยางเดินห่างออกไปแล้วก็ถอนหายใจทีหนึ่ง “เฮ้อ…”
ช่วงที่อ่านตำราโอสถอยู่ในหอตำรา ทำให้เขาได้ยินเรื่องราวต่างๆ มาไม่น้อยเลย จึงรู้ว่าเซียนเกลียดชังมารเข้ากระดูกดำ มิน่าล่ะ อาจารย์เฟยเทียนถึงได้มาส่งเขาแค่ชายแดนเซียน เพราะหากนางเข้ามาส่งเขาถึงสำนัก เกรงว่าคงถูกไล่ล่ากันทั้งสองคนแน่นอน อีกทั้งเขาก็จะไม่อาจเข้าสำนักเซียนได้เลย ดังนั้นเรื่องตำรายาของอาจารย์เฟยเทียนที่เขาเรียนรู้มาย่อมไม่อาจเปิดเผยที่มาออกไปได้ ไม่เช่นนั้นคงถูกไล่ออกจากสำนักแน่นอน ถูกไล่ออกอย่างเดียวยังพอว่า คาดว่าคงจะถูกตามไล่ล่าฆ่าล้างอีกด้วย จะให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเขามีมารเป็นอาจารย์!
ตอนที่คุยกับศิษย์พี่เลี่ยงก็รู้เรื่องราวในสำนักไม่น้อยเลย เช่นภายในสำนักจะมีการจัดประมูลโอสถ เดือนละครั้ง ส่วนใหญ่เป็นโอสถจากลูกศิษย์ของอาจารย์จงฮ่วน แล้วก็มีการจัดประมูลอาวุธเซียน เดือนละครั้ง ส่วนใหญ่เป็นอาวุธเซียนที่ลูกศิษย์อาจารย์หานเจิ้นตงหลอมออกมาได้ แล้วก็มีการจัดประมูลเครื่องหอมที่ลูกศิษย์ของอาจารย์หงหลินทำออกมา งานประมูลเครื่องหอมนี้ส่วนใหญ่จะมีแต่สตรีเข้าร่วมจึงไม่ค่อยยิ่งใหญ่เหมือน 2 งานแรก แล้วก็นอกสำนักจะมีตลาดเดือนละครั้ง ระยะเวลาราวๆ 5 วัน มีสินค้าต่างๆ มาขายมากมาย และมีงานประมูลโอสถกับงานประมูลอาวุธเซียน ซึ่งจะจัดงานไม่ตรงกันแต่ติดๆ กัน ทำให้เวลามีตลาดมาตั้งขายของผู้คนจะมารวมตัวกันมากเป็นพิเศษ
ในเมื่อเขาหลอมโอสถได้ เช่นนั้นเขาจึงคิดจะเอาโอสถไปร่วมประมูลซะหน่อย แน่นอนว่าเขาย่อมเลือกตลาดนอกสำนักเป็นที่ประมูลโอสถของเขา เพื่อที่ว่าจะได้ปิดบังตัวตนได้ เขายังไม่อยากเด่นดังเกินไป ไม่เช่นนั้นจะเป็นดังคำที่ว่า ‘ไม้สูงเกินไปย่อมนำภัยมาถึงตัว’
หยางซีหยุนกลับถึงเรือนไผ่อย่างโมโหโทโส เขาตั้งใจจะไม่สนใจใยดีเจ้าศิษย์ชั่วนั่นอีก แต่ในความคิดของเขากลับสลัดเจ้าศิษย์ชั่วออกไปไม่ได้เลย แม้ว่าจะเป็นในแง่ที่มันทำให้เขาโมโหโกรธเคืองแต่มันก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวเขาตลอด คิดแล้วยิ่งโมโห ยิ่งโมโหก็ยิ่งสลัดไม่หลุด สุดท้ายความคิดเขาก็ยังคงวนเวียนอยู่กับเจ้าศิษย์ชั่วอยู่ดี
ปากว่าจะไม่สนใจแต่พอผ่านไป 2 วันเขาก็ไปแอบดูเจ้าศิษย์ชั่วอยู่ห่างๆ เขาให้เหตุผลตัวเองว่า ต้องการดูว่ามันถอนสมุนไพรอะไรของเขาไปบ้าง เขาจะให้มันจ่ายให้ครบทุกต้นทุกใบเลยเชียว!
เฉินมู่อิ๋งจับสัมผัสได้ว่าอาจารย์หยางมาแอบดูอยู่ไกลๆ เขาก็ไม่สนใจอาจารย์หยางผู้นั้น ยังคงออกไปเก็บสมุนไพรมาหลอมโอสถแล้วก็ปิดประตูกระท่อมนั่งหลอมโอสถอยู่ภายในกระท่อม มีศิษย์พี่เลี่ยงเอาปิ่นโตมาส่ง 3 มื้อต่อวันเหมือนเช่นเคย ทำให้เขามีเวลาทุ่มเทให้กับการหลอมโอสถอย่างเต็มที่
วันเวลาผ่านไป จนกระทั่งถึงวันที่มีตลาดมาตั้ง เฉินมู่อิ๋งก็ชวนศิษย์พี่เลี่ยงออกไปด้วยกัน เขาขี่กระบี่บินไปกับศิษย์พี่เลี่ยงเพราะตัวเขาเองยังไม่เคยหัดขี่กระบี่ อีกทั้งเขาก็ยังไม่มีกระบี่เซียนเป็นของตัวเองด้วย ทั้งสองไปถึงตลาด เลี่ยงจินก็แนะนำว่า “นั่น ร้านนั้นขายสินค้ามีคุณภาพแต่ราคาก็แพงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ส่วนร้านนั้นเจ้าไม่ต้องเข้าไปซื้อเลย อาวุธเซียนสู้ของสำนักเราก็ไม่ได้ ร้านนั้น…….”
เลี่ยงจินบอกเสียงเบาไปตลอดทางที่เดินผ่านร้านค้าสองข้างทาง แต่ละร้านเป็นกระโจมตั้งกลางแจ้ง ภายในกระโจมมีสินค้าวางขายแน่นขนัด พ่อค้าแม่ค้าอยู่ในกระโจมคอยขายสินค้าให้ลูกค้าที่เข้ามาดูสินค้าอย่างกุลีกุจอ มีเพียงไม่กี่กระโจมที่พ่อค้าแม่ค้าไม่พูดอะไร เพียงแค่ชายตามองลูกค้าที่เข้ามาดูสินค้าของตัวเองอย่างเย่อหยิ่งเพราะถือว่าสินค้าของตัวเองเป็นสินค้าคุณภาพสูง ย่อมมีคนไม่น้อยต้องการซื้อหา
“เอาล่ะ พวกเราไปดูเครื่องเทศกันเถอะ อาจารย์ให้ข้าออกมาซื้อเครื่องเทศ ซื้อเสร็จแล้วข้าก็ต้องรีบกลับไป เจ้าก็รีบๆ ไปดูของที่เจ้าอยากได้เถอะ ซื้อเสร็จแล้วจะได้กลับกันเลย” เลี่ยงจินบอก เฉินมู่อิ๋งส่ายหน้า “ศิษย์พี่เลี่ยง ท่านกลับไปก่อนเถอะ ข้าอยากดูการประมูลโอสถกับอาวุธน่ะ”
“อ่อ เช่นนั้นข้าคงต้องกลับไปก่อน ว่าแต่เจ้ากลับเองได้แน่นะ จากนี่ถึงสำนักก็ไกลอยู่นะศิษย์น้องเฉิน” เลี่ยนจินบอกอย่างเป็นห่วง ศิษย์น้องเฉินยังขี่กระบี่ไม่เป็นอีกทั้งยังไม่มีกระบี่เซียนเป็นของตัวเอง ปล่อยให้เดินกลับสำนักเองก็ไกลยิ่งนัก กว่าจะกลับถึงสำนักคงเสียเวลาไปเป็นวันเลยกระมัง
“ข้ากลับเองได้ ศิษย์พี่เลี่ยงไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” เฉินมู่อิ๋งบอก ระยะทางแค่นี้ไม่นับว่าเป็นอุปสรรคอะไร ตอนที่เขาเร่งเดินทางไปสมัครเข้าสำนักเขายังวิ่งไปตลอดทางมาแล้วเลย เลี่ยงจินฟังเช่นนั้นแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ศิษย์น้องเฉินแม้จะดูผอมแห้งไร้เรี่ยวแรงแต่ก็ผ่านการทดสอบเข้าสำนักมาได้ย่อมไม่ได้อ่อนแอปวกเปียกนักหรอก เขาตบๆ ไหล่ “เอาๆ เช่นนั้นข้าไปดูเครื่องเทศก่อน เจ้าก็ไปกับข้าล่ะกัน”
“อืม” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้า จากนั้นทั้งสองคนก็เดินไปที่กระโจมเครื่องเทศซึ่งมีเครื่องเทศนานาชนิดวางขายแน่นขนัดทีเดียว เลี่ยงจินก็เลือกๆ เครื่องเทศ คุยกับพ่อค้าอย่างสนิทสนม เห็นได้ชัดว่าเขาซื้อกับพ่อค้าคนนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เฉินมู่อิ๋งยืนมองเครื่องเทศในกระโจมแล้วจดจำราคาเอาไว้ เผื่อวันหน้าเขาอยากซื้อหาอะไรจะได้มาซื้อเอง
หลังจากซื้อเครื่องเทศเสร็จแล้วเลี่ยงจินก็ขี่กระบี่กลับสำนักไป ส่วนเฉินมู่อิ๋งก็เดินดูสินค้าไปเรื่อยๆ ครั้งนี้ได้ออกมาเปิดหูเปิดตาจริงๆ หลังจากเดินดูจนเมื่อยขาแล้วเขาจึงไปนั่งในเพิงน้ำชาแห่งหนึ่ง เขามีหยกปราณฟ้าดินที่ขอยืมมาจากศิษย์พี่เลี่ยงนิดหน่อย ซึ่งเขารับปากว่าจะคืนให้หลังจากกลับถึงสำนัก เลี่ยงจินก็ให้ยืมอย่างไม่อิดออดเลย เพียงแต่เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าอาจารย์หยางไม่ได้ให้หยกปราณฟ้าดินกับศิษย์คนเดียวของเขาเลยหรือ? เขาสงสัยแต่ก็ไม่กล้าถาม เพราะอาจารย์หยางนั้นใครๆ ทั้งสำนักก็รู้กันดีว่าเขาอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ขนาดไหน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายจนคนอื่นหวาดกลัวกันถ้วนหน้า
เถ้าแก่วางน้ำชาไว้แล้วก็ไปต้อนรับลูกค้าคนอื่น เฉินมู่อิ๋งก็นั่งจิบชาฟังผู้คนคุยกันไป การฟังคนอื่นแน่นอนว่าย่อมทำให้รู้อะไรดีๆ หลายอย่าง โดยเฉพาะเขาที่ยังไม่ค่อยรู้เรื่องแดนเซียนนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง แน่นอนว่าเขาย่อมอยากฟังเรื่องราวของแดนเซียนให้มากขึ้น
เท่าที่ฟังคนอื่นคุยกันทำให้เฉินมู่อิ๋งรู้ว่า การประมูลโอสถจะจัดขึ้นในวันที่ 4 ส่วนการประมูลอาวุธจะจัดขึ้นในวันที่ 5 หลังจบการประมูลแล้วตลาดก็จะปิดตัวไป จะกลับมาเปิดอีกครั้งในอีก 1 เดือนข้างหน้า ตลาดนี้จะย้ายไปเปิดตามสถานที่ต่างๆ ตลอดทั้งเดือน แต่ละครั้งก็เปิดประมาณ 5 วัน ครบ 5 วันก็ย้ายไปที่อื่นต่อ หมุนเวียนเปลี่ยนกันไป ทำให้เฉินมู่อิ๋งรู้สึกว่าคนที่คิดแนวทางนี้ขึ้นมาเป็นคนฉลาดล้ำลึกยิ่งนัก
เคลื่อนย้ายไปทั่วแดนเซียน รับรู้ข่าวสารน้อยใหญ่ อีกทั้งหากมีใครต้องการนำสินค้าเข้าร่วมประมูลก็จะนึกถึงตลาดนี้ก่อนใคร ช่างเป็นแนวคิดที่แยบยลยิ่ง!
เฉินมู่อิ๋งเห็นหลายๆ คนสวมผ้าคลุมสีดำ ปกปิดใบหน้าเดินไปเดินมา ดูแล้วคล้ายกับไม่อยากให้คนอื่นจดจำได้ บางคนก็สวมหน้ากากเอาไว้ปิดบังใบหน้าตัวเอง คนลักษณะนี้เดินขวักไขว่ไปมาในตลาดแห่งนี้ ทำให้เขาได้แนวทางในการจะนำโอสถเข้าร่วมประมูลแล้ว เขาเชื่อว่าโอสถพิษศิลากับโอสถแก้พิษศิลาจะต้องขายได้แน่นอน เช่นนั้นเขาก็ควรจะปกปิดตัวตนของตัวเองก่อนเอาโอสถไปร่วมประมูล ฮี่ๆๆๆ…
เวลาผ่านไป 3 วัน พอถึงวันที่ 4 เฉินมู่อิ๋งที่เปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดดำ มีผ้าคลุมสีดำคลุมอยู่บนศีรษะ อีกทั้งผ้าคลุมผืนนั้นยังใหญ่จนคลุมตัวเขาไปทั้งตัว ใบหน้าเขาก็สวมหน้ากากเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง เขามองเงาในกระจกจนแน่ใจว่าจะไม่มีใครจดจำเขาได้จึงเดินตรงไปที่กระโจมของผู้ดูแลตลาด ต่อแถวยาวเหยียดเพื่อนำโอสถเข้าร่วมประมูล คนอื่นๆ ที่ต่อแถวอยู่ก่อนๆ เขาก็ล้วนเป็นคนที่นำโอสถมาเข้าร่วมประมูล เขาเดินตามแถวที่ค่อยๆ หดสั้นเข้าไปอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งถึงคราวที่เขาได้เข้าไปในกระโจมหลังนั้น องครักษ์หน้ากระโจมผายมือ “เชิญ”
เฉินมู่อิ๋งก้าวเข้าไปในกระโจม ภายในกระโจมมีคนเจ็ดแปดคนนั่งอยู่ มีคนหนึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้ประธาน เฉินมู่อิ๋งจึงเดาว่าคนๆ นั้นน่าจะเป็นผู้ดูแลตลาด เขาดูลักษณะโหงวเฮ้งแล้วเดาว่าคนๆ นี้ก็ยังไม่น่าจะใช่เจ้าของตลาดที่มีความคิดลึกล้ำแยบยล เขาไม่ได้กุมมือคารวะเพียงแค่นำขวดโอสถออกมา พูดว่า “นี่เป็นโอสถพิษศิลาที่ข้านำมาร่วมประมูล”
“หือ? พิษศิลา?” คนหนึ่งเลิกคิ้วขึ้น คนอื่นๆ ก็ส่ายหน้าไม่รู้จัก เฉินมู่อิ๋งยื่นขวดไป “เชิญพวกท่านดูก่อน”
คนที่เลิกคิ้วขึ้นชื่อซีห้าว (子豪) เป็นผู้ตรวจสอบโอสถของตลาดจึงลุกขึ้นเดินไปหยิบขวดใบนั้นมาจากชายสวมหน้ากาก เขาเทโอสถใส่จานแล้วใช้คีมคีบคีบโอสถขึ้นมาดู เขาดูๆ แล้วดมกลิ่น เขาไม่ได้กลิ่นสมุนไพรจากโอสถนี้เลยแม้แต่น้อย เขาจึงยิ่งดมๆ ฟุดฟิดๆ เหมือนสุนัขอย่างไรอย่างนั้น แต่ดมๆ อย่างไรก็ไม่ได้กลิ่นสมุนไพรสักนิด เขาวางเม็ดโอสถลงบนจานแล้วพูดว่า “โอสถนี้ไร้กลิ่น อีกทั้งสรรพคุณใช้ทำอะไรรึ?”
ประโยคหลังเขาถามเจ้าของโอสถ เฉินมู่อิ๋งยิ้มบางๆ อยู่ใต้หน้ากาก แล้วตอบว่า “สรรพคุณของมันทำให้คนที่สูดดมเข้าไปตัวแข็งเหมือนเป็นอัมพาต หากไม่ได้รับโอสถแก้พิษก็จะกลายเป็นอัมพาตทั้งตัวแล้วตกตายไปในที่สุด”
ซีห้าวหน้าเปลี่ยนสีทันที เขารีบเก็บโอสถใส่ขวดแล้วก้าวขาไปข้างหน้าหมายเอาเรื่องเจ้าของโอสถที่ไม่รีบบอกสรรพคุณของโอสถนี้ให้เขารู้ คล้ายกับว่าคนๆ นี้จงใจใช้เขาเป็นตัวลองโอสถอย่างไรอย่างนั้น แต่เขากลับก้าวเท้าไม่ออก เขาก้มลงมองเท้าตัวเองที่คล้ายกับกลายเป็นท่อนไม้อย่างไรอย่างนั้น ทำให้เขาตกใจยิ่งนัก “นี่!”
คนอื่นๆ ก็มองดูซีห้าวที่หน้าเปลี่ยนสีไปอย่างสงสัย “มีอะไรรึท่านซี?”
“ข้ายกเท้าไม่ได้ ข้าไม่รู้สึกว่ามีเท้า เท้าข้าเป็นอัมพาตแล้ว” ซีห้าวบอกพลางถลึงตาจ้องเจ้าของโอสถ “เจ้ารีบเอาโอสถแก้พิษให้ข้าเร็ว”
“เดี๋ยวก่อนซีห้าว ท่านไม่ลองใช้โอสถแก้พิษของท่านแก้พิษนี้ดูก่อนล่ะ” ผู้ดูแลตลาดเอ่ยขึ้น เขาก็อยากรู้ว่าพิษชนิดนี้จะใช้โอสถแก้พิษแก้ได้หรือไม่ หากแก้ได้ เช่นนั้นราคาของโอสถชนิดนี้ย่อมลดลง แต่หากแก้ไม่ได้ต้องใช้โอสถแก้พิษโดยเฉพาะเช่นนั้นราคาก็จะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวทีเดียว รวมถึงต้องขายคู่กันทั้งโอสถพิษศิลาและโอสถแก้พิษศิลา
ซีห้าวรีบเอาโอสถแก้พิษออกมาจากถุงฟ้าดินแล้วกินลงไปในทันที คนอื่นๆ ก็มองดูซีห้าวเป็นตาเดียว ผู้ดูแลตลาดมองเจ้าของโอสถแล้วถามว่า “เจ้าชื่ออะไรรึ?”
“ข้าแซ่โอหยาง” เฉินมู่อิ๋งตอบ ผู้ดูแลตลาดถามอีก “โอสถพิษศิลานี้คุณชายโอหยางมีเม็ดเดียวรึ? หรือว่ายังมีอีก?”
“ของดีย่อมต้องมีเม็ดเดียวซิ แค่เม็ดเดียวนี้ก็สามารถทำให้คนกลายเป็นอัมพาตได้ครึ่งร้อยแล้ว ส่วนวิธีการใช้ก็แค่บดให้เป็นผงแล้วโปรยไปในอากาศ ใครสูดดมเข้าไปย่อมกลายเป็นอัมพาตจนตกตาย อ่อ โอสถแก้พิษทั่วไปล้วนแก้พิษศิลาของข้าไม่ได้หรอกนะ” เฉินมู่อิ๋งบอก
คนอื่นๆ เบิกตาโตอย่างรู้สึกตะลึงกับสรรพคุณของโอสถชนิดนี้ พวกเขาจ้องมองซีห้าวที่กินโอสถแก้พิษเข้าไปแล้ว หากว่าโอสถแก้พิษของเขายังแก้พิษโอสถนี้ไม่ได้ โอสถนี้ก็ร้ายกาจยิ่งนัก พวกเขารอดูผลของโอสถแก้พิษอย่างใจจดใจจ่อเลยทีเดียว
เวลาผ่านไป ซีห้าวรู้สึกว่าพิษลามขึ้นมาเรื่อยๆ เขารู้สึกว่าขาทั้งสองข้างไร้ความรู้สึกไปแล้ว เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าโอสถแก้พิษของเขาใช้ไม่ได้ผลกับโอสถพิษศิลา เขาไม่ถลึงตาจ้องเจ้าของโอสถแล้ว แต่เปลี่ยนเป็นชื่นชม “ดีๆๆๆ พิษของเจ้าแม้แต่โอสถแก้พิษของข้ายังแก้ไม่ได้ เป็นแค่โอสถเซียนระดับหนึ่งกลับร้ายกาจถึงเพียงนี้ ยอดเยี่ยมๆ”
แน่นอนว่าเขาดูระดับโอสถจากลายเส้นบนโอสถ มีลายเส้น 1 วงรอบ ก็คือระดับหนึ่ง มีลายเส้น 2 วงรอบก็คือระดับ 2 สูงสุดคือลายเส้น 9 วงถือเป็นระดับสูงสุด โอสถแก้พิษของเขามีลายเส้นถึง 5 วงยังไม่อาจแก้พิษโอสถระดับหนึ่งได้เลย อีกทั้งเขาสูดดมไปเพียงนิดเดียวเท่านั้นยังกลายเป็นอัมพาตได้ หากว่าสูดดมเข้าไปทั้งเม็ดเกรงว่าคงก้าวขาเข้าปากประตูยมโลกในทันทีเลยกระมัง
“พิษแพร่ขึ้นมาถึงเอวข้าแล้ว” เขาบอกน้ำเสียงตื่นเต้น แน่นอนว่าการบอกกล่าวนี้เป็นการบอกกล่าวพวกพ้องคนอื่นๆ ของเขา
“คุณชายโอหยาง หากว่าพิษแพร่ไปทั่วร่างแล้วจะเป็นอย่างไร?” ผู้ดูแลตลาดถาม เฉินมู่อิ๋งตอบ “แค่แพร่ไปถึงอกก็ทำให้หายใจไม่ได้แล้ว ไม่กี่อึดใจย่อมตายน่ะซิ หากปล่อยให้แพร่ไปถึงบ่าคนๆ นั้นก็ไร้ทางรอดแล้ว”
“โอ…” หลายคนอุทานอย่างตื่นเต้น ผู้ดูแลตลาดถามอีก “หากว่าแพร่ไปถึงอกแล้วได้รับโอสถแก้พิษทันล่ะ?”
“ก็ยังไม่ตาย” เฉินมู่อิ๋งตอบน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย ทำคนอื่นๆ อึ้งไป นึกไม่ถึงว่าจะตอบแบบ ‘กำปั้นทุบดิน’ เช่นนี้
“อึกๆ โอ…อึก…อึก…สถ” ซีห้าวเริ่มหายใจติดขัดจนพูดแทบไม่ออก เฉินมู่อิ๋งเอาโอสถแก้พิษศิลาเทออกมาจากขวดแล้วดีดใส่ปากที่อ้าพะงาบๆ ของซีห้าว ทำให้ซีห้าวร้องคำหนึ่ง “อุบ!”
เขาเห็นแค่บางสิ่งที่เล็กเท่าเม็ดถั่วเขียวพุ่งเข้าปากไป เมื่อสิ่งนั้นไหลลงสู่ลำคอก็ละลายกลายเป็นกระแสธารอุ่นในร่างของเขาแพร่กระจายไปทั่วร่างทำให้ความรู้สึกของร่างกายท่อนล่างค่อยๆ กลับคืนมาทีละนิด…ทีละนิด เขามองเจ้าของโอสถแซ่โอหยางคนนั้น ถามว่า “เมื่อครู่คือโอสถแก้พิษศิลารึ?”
“แน่นอน รึว่าท่านอยากตายล่ะ?” เฉินมู่อิ๋งย้อนถามน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย ซีห้าวสะอึกทีหนึ่งแล้วส่ายๆ หน้า “ไม่ๆ”
“ท่านติดค้างค่าโอสถแก้พิษของข้า 1 เม็ด รอให้จบงานประมูลแล้วโอสถแก้พิษประมูลได้เท่าไหร่ ท่านต้องจ่ายให้ข้าตามราคาประมูล” เฉินมู่อิ๋งบอก คนอื่นๆ ฟังแล้วรู้ทันทีว่า โอหยาง ผู้นี้เขี้ยวลากดินยิ่งนัก!
“หลังจากประมูลแล้วข้าจะหักค่าประมูล 20 ส่วนร้อย” ผู้ดูแลตลาดบอก เฉินมู่อิ๋งยกนิ้วส่ายๆ “โอสถของข้าล้ำค่าถึงเพียงนี้ ข้าแน่ใจว่าต้องมีคนอยากได้อีกแน่นอน ข้ายอมให้ท่านหักค่าประมูล 5 ส่วนร้อย หากไม่ตกลง ข้าก็ไม่เอาโอสถเข้าร่วมประมูล”
ทุกคนในที่นั้นล้วนผุดประโยคหนึ่งขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกันทันที ‘เขี้ยวลากดิน!’ คนๆ นี้เขี้ยวลากดินยิ่งนัก! พวกเขารู้ดีว่าหากโอสถชนิดนี้เผยโฉมออกไป ย่อมมีคนไม่น้อยสนใจอยากได้แน่นอน หากปล่อยให้โอสถนี้หลุดมือไปประมูลที่อื่น เกรงว่าพวกเขาจะพลาดกำไรมหาศาลน่ะซิ ผู้ดูแลตลาดคิดๆ แล้วพูดว่า “ข้ายอมให้ 5 ส่วนร้อยก็ได้ แต่ท่านจะต้องให้ข้าเป็นผู้เดียวที่ประมูลโอสถพิษศิลา ตกลงหรือไม่?”
“ได้ คราวหน้าหากท่านมาเปิดตลาดที่นี่อีกข้าจะส่งโอสถพิษศิลาเข้าร่วมประมูลอีก” เฉินมู่อิ๋งตกลง ผู้ดูแลตลาดยิ้มพอใจ ซีห้าวก็พูดขึ้นว่า “ขอโอสถแก้พิษศิลาด้วย”
เฉินมู่อิ๋งจึงยื่นขวดโอสถแก้พิษศิลาให้ “ในนี้มีโอสถแก้พิษอีก 49 เม็ด”
“อืม” ซีห้าวพยักหน้ารับรู้ รับขวดโอสถไปแล้วเทเม็ดโอสถใส่จาน เขามองเม็ดโอสถที่เล็กเท่าเม็ดถั่วเขียวพวกนั้น เห็นลายเส้นมีเพียงเส้นเดียวจึงรู้ว่าเป็นโอสถระดับ 1 ทั้งหมด
เขาเก็บโอสถใส่ขวดแล้วยื่นป้ายไม้ให้ “นี่เป็นป้ายลำดับ หลังจากจบการประมูลแล้วท่านนำป้ายลำดับนี้มารับค่าโอสถ ทางเราจะเตรียมหยกปราณฟ้าดินให้ท่านตามจำนวนค่าโอสถหลังหักค่าประมูลแล้ว”
“อืม” เฉินมู่อิ๋งรับป้ายไม้ที่สลักอักษรเลข 64 เอาไว้ เขาเก็บป้ายไม้อันนั้นใส่อกเสื้อแล้วหมุนตัวเดินออกจากกระโจมไป องครักษ์นอกกระโจมก็ผายมือเชิญคนอื่นต่อ “เชิญ”
คนที่รออยู่จึงก้าวเข้าไปในกระโจม นำสิ่งของไปเข้าร่วมการประมูล ส่วนเฉินมู่อิ๋งก็เดินไปนั่งที่เพิงน้ำชาแถวๆ นั้นรอเวลาเปิดประมูลสินค้า เขาไม่รู้ว่าโอสถของเขาจะประมูลได้สักเท่าไหร่ แต่ก็น่าจะมากพอที่เขาจะมีหยกไว้ใช้จ่ายบ้าง การไม่มี ‘เงินทอง’ ทำอะไรก็ติดขัดไปหมด ข้อนี้เขาเข้าใจดี หยกปราณฟ้าดินก็เป็นเหมือนเงินในโลกเซียน ดังนั้นเขาจึงต้องหาหยกปราณฟ้าดินให้มากๆ หน่อยจะจับจ่ายใช้สอยอะไรจะได้ไม่ติดขัดเหมือนอย่างตอนนี้ หยกปราณฟ้าดินที่เขายืมศิษย์พี่เลี่ยงมาก็เหลือแค่ 2 ก้อนแล้ว เขาอยากซื้อถุงฟ้าดินสักใบ แต่ราคาของถุงฟ้าดินก็แพงเอาเรื่องทีเดียว ถุงฟ้าดินที่มีพื้นที่ภายในระดับต่ำสุด 1 ตารางเมตรยังมีราคาถึง 1 พันหยกเชียวนะ ยิ่งมีพื้นที่กว้างมากเท่าไหร่ ราคายิ่งแพงมากขึ้นเท่านั้น
ที่เขาอยากได้ถุงฟ้าดินก็เพื่อเอามาปิดบังเรื่องที่เขามีแหวนคุนเฉียน หากคนอื่นเห็นว่าเขามีถุงฟ้าดินก็จะไม่เอะใจเรื่องที่เขามีแหวนคุนเฉียน แหวนคุนเฉียนเป็นของวิเศษที่เหนือกว่าถุงฟ้าดินมากนัก หากคนอื่นรู้ว่าเขามีแหวนคุนเฉียนย่อมต้องเกิดความโลภขึ้นแน่นอน ดังนั้นเขาจึงอยากซื้อถุงฟ้าดินสักใบ เอาไว้ใส่ของกระจุกกระจิกที่ไม่สำคัญนัก เพื่อตบตาคนอื่นๆ
เวลาผ่านไปจนกระทั่งคนของตลาดเริ่มตีฆ้องร้องป่าว “งานประมูลโอสถกำลังจะเริ่มแล้วๆ”
ผู้คนก็พากันทยอยไปยืนออรอบๆ เวทีทรงกลมยกพื้นสูงประมาณ 2 เมตร เฉินมู่อิ๋งก็ตามผู้คนไปด้วย เขายืนอยู่ในหมู่ผู้คนไม่ได้โดดเด่นเลย เรียกว่ากลืนไปกับฝูงชน เขามองไปรอบๆ เห็นคนของสำนักหมื่นดารายืนอออยู่ทางหนึ่ง แล้วก็มีคนของสำนักเทียนเต๋ากลุ่มหนึ่ง คนของสำนักซ่อนจันทร์กลุ่มเล็กๆ ห้าหกคนกลุ่มหนึ่ง คนของสำนักซ่อนจันทร์นี้เป็นที่จับตาของผู้คนยิ่งนักเพราะพวกนางล้วนมีรูปโฉมงดงาม สวมอาภรณ์สีเหลืองนวลเหมือนๆ กันหมด มีผ้าโปร่งสีเหลืองปิดใบหน้าเอาไว้ คนของสำนักเทียนเต๋าก็สวมอาภรณ์สีขาวสะอาดสะอ้านให้ความรู้สึกเหมือนเทพผู้สูงส่งเหนือผู้คน ส่วนสำนักหมื่นดาราพวกเขาสวมอาภรณ์หลากสีตามความชอบของแต่ละคน
บุรุษสวมชุดสีดำรูปร่างกำยำคนหนึ่งเดินขึ้นไปบนเวที เขามองผู้คนเบื้องล่างแล้วประกาศว่า “เริ่มการประมูลโอสถ ณ บัดนี้”
ผู้คนเบื้องล่างส่งเสียงฮือฮา บุรุษชุดดำบนเวทีพูดอีกว่า “โอสถเม็ดแรกคือ โอสถมายาระดับ 3”
มีสตรีคนหนึ่งถือถาดใส่ขวดโอสถเดินขึ้นไปบนเวที บุรุษชุดดำเทโอสถใส่จานให้ทุกคนได้เห็นเม็ดโอสถ
“อืม” ผู้คนเบื้องล่างส่งเสียงอย่างไม่ค่อยสนใจนัก โอสถมายานี้มีสรรพคุณคือช่วยให้นอนหลับดีขึ้น ทำให้คนที่กินเข้าไปหลับใหลอยู่ในความฝัน จึงเรียกว่าโอสถมายา มีคนหนึ่งชูมือแล้วเปิดประมูล “10 หยก”
“20 หยก” มีคนประมูลแข่ง
“25 หยก” มีคนเสนอราคาแข่ง บุรุษชุดดำบนเวทีมองกวาดไปรอบๆ ไม่เห็นมีใครชูมือเสนอราคาอีกเขาจึงผายมือไปทางบุรุษเฒ่าที่เสนอราคาสูงสุด 25 หยกคนนั้น “โอสถมายาเป็นของท่านแล้ว เชิญไปจ่ายค่าโอสถที่กระโจม”
บุรุษเฒ่าเดินแหวกผู้คนไปที่กระโจมข้างเวทีทันที สตรีที่ถือถาดใส่ขวดโอสถก็ลงจากเวทีแล้วเดินไปที่กระโจมหลังนั้นเช่นกัน
บุรุษชุดดำเอ่ยขึ้นว่า “ต่อไปเป็นโอสถบัวแดงระดับ 1”
สตรีคนหนึ่งก็ถือถาดใส่ขวดโอสถเดินขึ้นไปบนเวที บุรุษชุดดำเทโอสถใส่จานให้ทุกคนได้เห็นเม็ดโอสถอีกเช่นเดิม ซึ่งโอสถบัวแดงนี้มีสรรพคุณทำให้คนที่กินเข้าไปจะมีกลิ่นกายหอมกลิ่นบัวไปหลายเดือน โอสถชนิดนี้สตรีให้ความสนใจไม่น้อย แน่นอนว่าพวกนางย่อมอยากมีกลิ่นกายหอม เครื่องหอมต้องประพรมผิวทุกวัน แต่โอสถบัวแดงนี้กินเม็ดเดียวก็มีฤทธิ์อยู่ได้หลายเดือน
Chapter 8
ประมูลโอสถดุเดือด
“20 หยก” คนของสำนักซ่อนจันทร์เสนอราคาทันที คนอื่นๆ ก็เสนอราคาแข่ง “30 หยก”
“40 หยก”
“50 หยก” เมื่อราคามาถึง 50 หยกก็ไม่มีใครเสนอราคาอีก ทำให้สตรีจากสำนักซ่อนจันทร์ประมูลได้ไป
สตรีผู้ถือถาดโอสถก็เดินลงจากเวที สตรีจากสำนักซ่อนจันทร์คนหนึ่งก็ไปจ่ายค่าโอสถแล้วรับโอสถมา
สตรีถือถาดขึ้นไปบนเวที บุรุษชุดดำก็เอ่ยว่า “นี่คือโอสถ……..”
การประมูลดำเนินไปเรื่อยๆ มีโอสถบางเม็ดที่ถูกแย่งชิงกันอย่างดุเดือด จนกระทั่งถึงโอสถพิษศิลา สตรีผู้ถือถาดเดินขึ้นไปบนเวที บนถาดมีขวด 2 ขวด ผู้คนมองอย่างสงสัยใคร่รู้ บุรุษชุดดำเทโอสถออกจากขวดทั้งสองใบ ลงบนจาน 2 ใบ แล้วเอ่ยว่า “นี่คือโอสถพิษศิลาและโอสถแก้พิษศิลา”
“หือ? โอสถพิษศิลา? ข้าไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย” ผู้คนพูดพลางส่ายๆ หน้า ตาก็มองโอสถอยากอย่างรู้อยากเห็น บุรุษชุดดำจึงบรรยายสรรพคุณว่า “โอสถพิษศิลานี้ทำให้ร่างกายของคนที่สูดดมเข้าไปกลายเป็นอัมพาต หากไม่ได้รับโอสถแก้พิษชนิดนี้โดยเฉพาะก็จะตกตายไป โอสถพิษศิลานี้ 1 เม็ดสามารถทำให้คนกลายเป็นอัมพาตอย่างน้อย 50 คน วิธีการใช้คือบดให้เป็นผงแล้วโปรยไปในอากาศให้คนสูดดมเข้าไป เพียงเท่านี้คนก็จะกลายเป็นอัมพาตไปอย่างช้าๆ”
“โอ”
“หือ?”
ผู้คนส่งเสียงฮือฮา มองโอสถพิษศิลาอย่างตื่นเต้น บางคนก็ยังสงสัยในสรรพคุณของโอสถ บุรุษชุดดำพูดต่อ “ส่วนนี่คือโอสถแก้พิษศิลา มีอยู่ทั้งหมด 49 เม็ด โอสถสองชนิดนี้ประมูลคู่กัน”
“จะรู้ได้อย่างไรว่าโอสถนี้เป็นอย่างที่ท่านพูดจริงๆ?” มีคนสงสัยเอ่ยปากถาม บุรุษชุดดำมองคนพูดแล้วผายมือเชิญ “เช่นนั้นเชิญท่านมาลองโอสถพิษศิลาด้วยตัวเองเถิด”
“หึ!” บุรุษชุดเทาที่เอ่ยปากถามแค่นเสียงคำหนึ่งแล้วแหวกผู้คนเดินขึ้นไปบนเวที พลัน! มีคนหนึ่งพูดขึ้นมา “จะแน่ใจได้อย่างไรว่าคนๆ นั้นไม่ใช่หน้าม้าของตลาด?”
“ท่านจะขึ้นมาลองเองข้าก็ไม่ขัดข้อง” บุรุษชุดดำผายมือเชิญ ทำให้บุรุษชุดสีเปลือกไข่แหวกผู้คนแล้วเดินขึ้นไปบนเวที บุรุษชุดดำมองคน 2 คนนั้นแล้วใช้มีดขูดเม็ดโอสถพิษศิลาออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็นำผงโอสถไปให้บุรุษทั้งสองสูดดม ทั้งสองคนสูดดมโอสถพิษศิลาเข้าไปอย่างไม่เชื่อสรรพคุณนัก ผู้คนก็มองบุรุษสองคนนั้นเป็นตาเดียว
หยางซีหยุนซึ่งอยู่ในกลุ่มคนของสำนักหมื่นดารา ตั้งแต่ได้ยินชื่อโอสถเขาก็แน่ใจว่าเป็นโอสถของเจ้าศิษย์ชั่วของเขาอย่างแน่นอน เขาซึ่งเคยถูกพิษของมันมาแล้วรู้ซึ้งดียิ่งนักจนในใจเกิดความโมโหขึ้นมาอีกครั้ง เขาขบกรามกรอดๆ มือกำแน่นขึ้นมา
“หึ!” บุรุษผู้ลองโอสถทั้งสองคนแค่นเสียงคนละคำอย่างดูแคลน “ข้าว่าโอสถนี้หลอกลวงกระมัง ข้ายังไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”
บุรุษชุดเทาก้าวขาจะเดินลงจากเวที พลัน! สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเมื่อเขายกเท้าไม่ขึ้น เขาก้มลงมองเท้าตัวเองที่เหมือนความรู้สึกที่เท้าหายไปราวกับมันว่างเปล่า เขาจับขาตัวเองยกขึ้นแล้ววางไปเบื้องหน้า เขายกเท้าวางได้ก็จริง แต่เท้าไร้ความรู้สึก ทำให้เขาเบิกตาโต “เท้าข้า!”
“หึ! เจ้าเล่นปาหี่ได้สมจริงดีนี่” บุรุษชุดสีเปลือกไข่แค่นเสียงดูแคลน เขายืดหลังตรงก้าวขาไปข้างหน้า เขาหน้าเปลี่ยนสีไปทันควัน
เขารู้สึกว่าเขายกขาขึ้นแต่เท้าเขากลับไม่ขยับแม้แต่น้อย มันเหมือนกลายเป็นหินไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น มันไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง!
บุรุษชุดดำคนของตลาดก็ปล่อยให้ผู้คนได้เห็นฤทธิ์ของโอสถผ่านผู้อยากลองทดสอบโอสถพิษศิลา ในเมื่อมีคนไม่เชื่อถือเช่นนั้นก็ปล่อยให้ลองเสียให้พอใจ! หึๆๆๆ…
ศิษย์ของอาจารย์จงฮ่วนชมดูอยู่ด้านล่าง พวกเขาก็สงสัยฤทธิ์เดชของโอสถพิษศิลานี้เช่นกัน พวกเขาจึงชวนกันเดินขึ้นไปบนเวที “ข้าอยากทดสอบโอสถนี้”
“เชิญ” บุรุษชุดดำผายมือ เขาจัดแจงขูดโอสถพิษศิลาออกมาเป็นผงเล็กน้อยแล้วยื่นให้ศิษย์สำนักหมื่นดาราเหล่านั้น ศิษย์ของอาจารย์จงฮ่วนรับไปพิจารณาส่วนผสมสมุนไพรในเม็ดโอสถ พวกเขาเขี่ยๆ เศษผงเหล่านั้นแล้วก็ยังดูไม่ออกว่าโอสถนี้ใช้สมุนไพรอะไรบ้าง ทำให้พวกเขามีสีหน้าตื่นตะลึงกันถ้วนหน้า! มีโอสถที่พวกเขามองส่วนผสมไม่ออกด้วยรึ!
คนหนึ่งก้มลงไปสูดดม เขาไม่ได้กลิ่นสมุนไพรเลยแม้แต่นิดเดียว นี่เป็นโอสถไร้กลิ่น!
เขาจ้องมองเศษผงเหล่านั้นที่ลดลงไปจนหายไปหมด เขาไม่เห็นมันสลายเป็นควันแต่อย่างใด โอสถนี้ช่างพิสดารยิ่งนัก!
เขาไม่รู้สึกแสบร้อนจมูกแม้แต่น้อย อาการต่างๆ ในร่างกายของเขาปกติมาก
“ศิษย์พี่ขอรับ เป็นอย่างไรขอรับ?” ศิษย์น้องคนหนึ่งถาม ศิษย์พี่ที่สูดดมโอสถเข้าไปตอบ “ไร้กลิ่น ไร้ควัน ข้าไม่รู้สึกอะไรเลย ทุกอย่างปกติดี”
“หรือว่าจะสูดน้อยเกินไป?” ศิษย์น้องเดา บุรุษชุดดำรีบบอก “รอสักครู่เถิด”
ปริมาณผงโอสถที่เขาขูดออกมาเมื่อครู่นี้เป็นปริมาณที่เพียงพอสำหรับ 1 คนพอดี ใช้การคำนวณจากน้ำหนักของโอสถแล้วหารด้วย 49 ก็จะกลายเป็นน้ำหนัก 49 ส่วน เพราะก่อนหน้านี้ท่านซีห้าวได้ทดสอบโอสถนี้ไปแล้ว น้ำหนักจึงหายไป 1 ส่วน จาก 50 ก็เหลือ 49 อย่างไรล่ะ ตอนนี้ถูกคน 3 คนทดสอบไป ทำให้ปริมาณโอสถเหลืออยู่ 46 ส่วนจาก 50 ส่วน
“ขาข้า!” บุรุษชุดเทาพูดขึ้นมา สีหน้าเขาตื่นตะลึงยิ่งนัก เขารู้สึกว่าความรู้สึกที่ขาค่อยๆ หายไปเหมือนไร้ขาลามขึ้นมาเรื่อยๆ จากปลายเท้า เขามองโอสถแก้พิษที่อยู่ในจานแล้วมองคนของตลาด อย่างน้อยๆ คนของตลาดไม่น่าจะปล่อยให้เขาเป็นอะไรไปกระมัง บุรุษชุดดำเห็นสายตาของบุรุษชุดเทามองโอสถแก้พิษศิลาแล้วมองที่เขา เขาจึงพูดว่า “ท่านจะได้รับโอสถแก้พิษศิลา 1 เม็ด แต่ราคาที่ท่านต้องจ่ายจะเท่ากับราคาที่ปิดประมูลโอสถแก้พิษศิลา อ่อ โอสถพิษศิลานี้แม้แต่โอสถแก้พิษระดับ 5 ก็ยังไม่สามารถแก้พิษได้เลย ต้องใช้โอสถแก้พิษศิลาโดยเฉพาะจึงจะสามารถแก้พิษศิลาได้”
“อะไรนะ!” ศิษย์ของอาจารย์จงฮ่วนอุทานออกมา “แม้แต่โอสถแก้พิษระดับ 5 ก็ยังแก้พิษไม่ได้รึ!?”
“ใช่แล้ว” บุรุษชุดดำพยักหน้ารับ หยางซีหยุนที่ยืนชมดูอยู่อยากจะบอกยิ่งนักว่าขนาดโอสถแก้พิษระดับ 9 ของเขายังแก้พิษชนิดนี้ไม่ได้เลย! แต่เขาก็พูดไม่ออกจริงๆ หากคนอื่นรู้ว่าเขาถูกพิษศิลาแล้วใช้โอสถแก้พิษของตัวเองแล้วยังแก้พิษไม่ได้ก็เป็นการเสียหน้าอย่างรุนแรงน่ะซิ ตีให้ตายเขาก็ไม่พูดออกไปเด็ดขาด เรื่องขายหน้าเช่นนี้จะพูดออกไปได้อย่างไร พูดไม่ได้! พูดไม่ได้จริงๆ!
ศิษย์ของอาจารย์จงฮ่วนจึงเอาโอสถแก้พิษระดับ 9 ที่อาจารย์มอบให้ออกมาถือไว้อย่างเย่อหยิ่ง “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าโอสถแก้พิษระดับ 9 ของอาจารย์ข้าจะแก้พิษนี้ไม่ได้”
เขาถือเอาไว้ยังไม่กินเข้าไป เพราะอยากรู้ว่าพิษศิลานี้จะออกฤทธิ์อย่างไรบ้าง ในเมื่อลองพิษแล้วก็ต้องลองให้ถึงที่สุดซิ!
“ขาข้า!” บุรุษชุดสีเปลือกไข่อุทานออกมา เขารู้สึกเหมือน 2 ขาของตัวเองไม่มีอยู่อย่างไรอย่างนั้น เขาพยายามจะยกขาตัวเองขึ้นแต่กลับยกไม่ได้เลย มันเหมือนกลายเป็นท่อนไม้หรือไม่ก็หินไปแล้ว ช่างสมกับชื่อพิษศิลาจริงๆ เขามองโอสถพิษศิลาอย่างมาดหมาย!
เขาจะต้องประมูลมันมาให้ได้!
“หากพิษนี้ลามไปถึงอก จะทำให้หายใจไม่ออกแล้วก็ตายไปในที่สุด” บุรุษชุดดำพูดขึ้นมา นี่เป็นคำพูดที่เขาฟังมาจากท่านซีห้าวซึ่งได้ทดสอบพิษศิลาก่อนหน้านี้ ผู้คนฟังแล้วอุทานตาโต “โอ!”
“อา…!”
“หือ?”
ศิษย์ของอาจารย์จงฮ่วนฟังแล้วดวงตาเป็นประกาย เช่นนั้นเขาก็จะรอให้พิษศิลานี้ออกฤทธิ์จนเกือบถึงอกแล้วค่อยกินโอสถของอาจารย์เข้าไป!
ผู้คนเบื้องล่างชมดูอย่างอยากรู้อยากเห็น โอสถนี้เป็นโอสถที่เพิ่งจะมี น่าจะมีใครสักคนเพิ่งหลอมได้กระมัง พวกเขารอดูผลของโอสถอย่างใจจดใจจ่อ หากว่าแม้แต่โอสถแก้พิษระดับ 9 ยังแก้โอสถชนิดนี้ไม่ได้ เช่นนั้นโอสถนี้ก็ร้ายกาจยิ่งนัก!
“มะ…มัน…ลาม…มะ…มา…ถึง…อะ…อก…” บุรุษชุดเทาพูดตะกุกตะกักอย่างหายใจไม่ออก สีหน้าเขาเริ่มเปลี่ยนไป เขาไม่ได้แกล้งทำเลยสักนิด เขาเริ่มหายใจไม่ออกจริงๆ บุรุษชุดดำรีบเอาโอสถแก้พิษศิลาใส่ปากบุรุษชุดเทาทันที บุรุษชุดเทากลืนลงไป สักพัก เขารู้สึกถึงกระแสธารอุ่นที่ค่อยๆ แผ่ไปทั่วร่าง มันค่อยๆ ขับไล่อาการไร้ความรู้สึกเมื่อครู่ออกไปทีละน้อย ทำให้เขากลับมาหายใจได้อีกครั้ง ความรู้สึกเหมือนยืนอยู่ปากประตูผีเมื่อครู่ทำให้เขามองโอสถพิษศิลาตาวาววับ นี่มันโอสถพิษชั้นเลิศจริงๆ ฆ่าคนได้อย่างไร้ร่องรอย เยี่ยมๆๆ!!!
“หึ!” บุรุษชุดสีเปลือกไข่แค่นเสียงเยาะคำหนึ่ง เขาคิดว่าชายชุดสีเทานั่นจะต้องเป็นหน้าม้าของตลาดแน่นอน เขามีโอสถแก้พิษระดับ 6 อยู่ เขาไม่เชื่อหรอกว่าโอสถแก้พิษระดับ 6 ของเขาจะแก้พิษนี้ไม่ได้!
เมื่อพิษลามขึ้นมาถึงช่วงท้องส่วนบนเขาก็เอาโอสถแก้พิษระดับ 6 ออกมา “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าโอสถแก้พิษระดับ 6 ของข้าจะแก้พิษนี้ไม่ได้”
เขาพูดแล้วก็กินโอสถแก้พิษระดับ 6 เข้าไป ผู้คนที่อยู่ติดเวทีล้วนมองเห็นลายโอสถ 6 วง พวกเขาอุทานออกมา “เป็นโอสถระดับ 6 จริงๆ”
โอสถระดับ 6 ไม่ใช่ของที่มีขายดาษดื่น ราคาของมันแพงยิ่งนัก สามารถซื้อถ้ำเซียนระดับต่ำได้เลย บุรุษชุดสีเปลือกไข่กินโอสถเข้าไปแล้ว เขารอดูผลของโอสถแก้พิษระดับ 6 แต่มันก็ไม่เกิดผลอะไรเลย เหมือนขว้างหินลงน้ำสร้างแรงกระเพื่อมนิดหน่อยแล้วก็เงียบหายไป ความรู้สึกที่ไร้ความรู้สึกยังคงลามขึ้นมาเรื่อยๆ ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสีแล้ว “เป็นไปได้อย่างไร? นี่เป็นโอสถแก้พิษระดับ 6 ของท่านอาจารย์หยางเชียวนะ!”
โอสถเม็ดนี้เขาได้มาจากการไปร่วมงานประมูลโอสถของสำนักหมื่นดาราเมื่อเดือนที่แล้ว ราคาที่จ่ายไปไม่น้อยเลยจริงๆ พิษของโอสถพิษศิลายังคงลามขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงอกช่วงล่าง เขาหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง “เร็วๆ เอาโอสถแก้พิษให้ข้า!”
เขารู้สึกว่าความตายใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดังนั้นเขาจึงร้องบอกอย่างไม่อายเลย เขากลัวว่าหากพิษลามถึงอกช่วงบนเขาจะต้องตายแน่นอน บุรุษชุดดำหยิบโอสถแก้พิษศิลายื่นให้บุรุษชุดสีเปลือกไข่ บุรุษชุดสีเปลือกไข่รีบคว้าโอสถแก้พิษศิลากลืนลงไปทันที สักพัก เขาก็รู้สึกถึงกระแสธารอุ่นแผ่กระจายออกไป ขับไล่อาการไร้ความรู้สึกให้หายไปทีละนิด…ทีละนิด เขามองโอสถพิษศิลาอย่างอยากได้ขึ้นมาทันที
ศิษย์ของอาจารย์จงฮ่วนปล่อยให้พิษลามขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงอกช่วงล่างเขาจึงกินโอสถแก้พิษของอาจารย์ลงไป สีหน้าเขาเย่อหยิ่งยิ่งนัก สักพัก เขารู้สึกว่าพิษยังคงลามขึ้นมาไม่มีท่าทีว่าจะชะลอลง หรือหยุดชะงัก สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนไป “เป็นไปไม่ได้! นี่เป็นโอสถแก้พิษระดับ 9 ของอาจารย์เชียวนะ มันจะแก้พิษโอสถระดับ 1 ไม่ได้ได้อย่างไร! ข้าไม่เชื่อ! ข้าไม่เชื่อหรอก!”
ผู้คนมองดูอย่างอยากรู้อยากเห็น พวกเขาเห็นลายโอสถเม็ดนั้นเป็นโอสถระดับ 9 จริงๆ ทำให้พวกเขารอดูอย่างใจจดใจจ่อเลยทีเดียว
หากว่าแม้แต่โอสถระดับ 9 ยังต้านพิษโอสถระดับ 1 ไม่ได้ นี่มันก็ร้ายกาจเกินไปแล้ว!
บุรุษชุดเทาที่สูดโอสถพิษศิลาเป็นคนแรกเหยียดยิ้มเยาะ เขารู้ซึ้งถึงฤทธิ์ของโอสถด้วยตัวเองจึงไม่กล้าดูถูกโอสถพิษศิลาอีกเลย หากว่าเขากินโอสถแก้พิษไม่ทันคงตกตายไปแล้วแน่นอน ช่างเป็นโอสถที่ร้ายกาจยิ่ง ข้าจะต้องประมูลมันให้ได้!
บุรุษชุดสีเปลือกไข่ก็ไม่กล้าดูแคลนโอสถพิษศิลาอีก เขามองโอสถพิษศิลาอย่างมาดหมาย ข้าจะต้องประมูลมันมาให้ได้!
“อึก!” ศิษย์ของอาจารย์จงฮ่วนเริ่มหายใจติดขัดขึ้นมาแล้ว พวกศิษย์น้องที่อยู่ข้างๆ รีบถาม “ศิษย์พี่ ท่านเป็นอะไร?”
“อึก! ข้า…หาย…จะ…ใจ…มะ…ไม่…อะ…ออก!” ศิษย์พี่คนนั้นพยายามบอก พวกศิษย์น้องลนลานขึ้นมาแล้ว “จะทำอย่างไรดี!?ๆ”
บุรุษชุดดำรีบหยิบโอสถแก้พิษศิลาไปยัดใส่ปากศิษย์สำนักหมื่นดาราคนนั้นทันที เขาไม่อาจปล่อยให้คนๆ นี้เป็นอะไรไปได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นสำนักหมื่นดาราจะต้องมาถามหาความรับผิดชอบกับพวกเขาแน่ๆ
เมื่อศิษย์พี่คนนั้นกลืนโอสถแก้พิษศิลาลงไป สักพัก เขาก็รู้สึกถึงกระแสธารอุ่นที่ขับไล่อาการไร้ความรู้สึกให้หายไปทีละนิด ทำให้เขากลับมาหายใจได้คล่องขึ้น “อึก…”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกหลายๆ ที ราวกับว่าหากไม่รีบสูดเข้าไปเขาจะไม่มีโอกาสสูดอีกเลย ความรู้สึกที่ยืนอยู่ปากประตูผีเมื่อครู่ทำให้เขาไม่กล้าดูแคลนโอสถพิษศิลาอีกแล้ว เขามีความมุ่งมั่นที่จะประมูลมันกลับไปศึกษาที่สำนักให้จงได้!
จะต้องรู้ให้ได้ว่ามันประกอบไปด้วยสมุนไพรอะไรบ้าง! หากรู้ส่วนประกอบพวกเขาก็ย่อมหลอมมันออกมาได้แน่นอน!
ผู้คนมองดูอย่างตะลึงลาน บางคนเกิดความคิดอยากได้โอสถพิษศิลาขึ้นมาแล้ว! โอสถที่แม้แต่โอสถแก้พิษระดับ 9 ยังไม่อาจแก้พิษได้ นี่ย่อมเป็นโอสถระดับสูงกว่าระดับ 9 แน่นอน โอสถนี้ร้ายกาจยิ่งนัก!
พวกเขาไม่คิดว่าตลาดเล่นปาหี่อะไรอีก อย่างน้อยๆ ศิษย์ของสำนักหมื่นดาราก็ล้วนเป็นคนที่เย่อหยิ่งมาก พวกเขาไม่มีทางร่วมมือกับตลาดหลอกลวงผู้คนแน่นอน โอสถพิษศิลานี้จะต้องร้ายกาจอย่างแน่แท้!
บุรุษชุดดำจับจังหวะได้ถูกจุดยิ่ง เขารีบพูดว่า “เอาล่ะ เริ่มประมูลโอสถพิษศิลากับโอสถแก้พิษได้”
“100 หยก” มีคนเสนอราคาทันที ทำให้มีเสียงดูแคลนขึ้นมา “หึ! โอสถร้ายกาจเช่นนี้เจ้าประมูลแค่ 100 ข้าให้ 1,000”
“2,000”
“2,100”
“3,000”
ราคาประมูลดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งทะยานไปถึง 1 ล้าน!
“1,100,000”
“1,150,000”
“2 ล้าน!”
เมื่อราคาถึง 2 ล้าน เสียงก็เงียบกริบไปครู่หนึ่ง ผู้คนอึ้งไปที่ราคาโอสถนี้พุ่งสูงลิ่วยิ่งนัก คนที่เสนอราคา 2 ล้านก็คือศิษย์ของสำนักหมื่นดาราที่ทดสอบโอสถคนนั้น เขาหมายมั่นที่จะนำโอสถนี้ไปมอบให้อาจารย์ให้ได้!
“มีใครจะให้สูงกว่านี้อีกไหม?” บุรุษชุดดำถามพลางกวาดตามองไปรอบๆ หยางซีหยุนเอ่ยขึ้นมาน้ำเสียงเย็นชา “10 ล้าน”
“หา!” ผู้คนตกตะลึงกันถ้วนหน้า ศิษย์ของอาจารย์จงฮ่วนก็ตกตะลึงเช่นกัน เขาไม่ได้มีหยกมากไปกว่า 2 ล้านอีกแล้ว 2 ล้านนี่ถือเป็นจำนวนสูงสุดที่เขารวบรวมมาจากพวกศิษย์น้องจนเกลี้ยงถุงฟ้าดินกันแล้ว อีกทั้งคนที่เสนอราคา 10 ล้านก็คืออาจารย์หยาง! ในเมื่ออาจารย์หยางอยากได้เช่นนั้นเขาก็ต้องยอมถอยอย่างสู้ไม่ได้จริงๆ หยกพวกเขามีจำกัด แต่อาจารย์หยางมีไม่จำกัด ในสำนักยังจะมีใครร่ำรวยกว่าอาจารย์หยางอีกก็คงเป็นเจ้าสำนักที่เก็บตัวมาหลายปีเท่านั้น
“มีใครจะให้สูงกว่านี้อีกไหม?” บุรุษชุดดำถามพลางกวาดตามองไปรอบๆ จนผ่านไปพักใหญ่ก็ยังไม่มีใครเสนอราคาแข่ง เขาจึงผายมือไป “โอสถพิษศิลาเป็นของท่านแล้ว”
“หึ!” หยางซีหยุนแค่นเสียงเย็นชาคำหนึ่งแล้วเดินไปที่กระโจมเพื่อจ่ายค่าโอสถ เขาต้องการโอสถกลับไปศึกษาว่าใช้สมุนไพรอะไรบ้าง ถึงเขาจะรู้ว่าเจ้าศิษย์ชั่วเก็บสมุนไพรอะไรไปบ้างแต่เขาก็แยกไม่ออกอยู่ดีว่าโอสถเม็ดนั้นใช้สมุนไพรอะไรในการหลอม เขาจะต้องศึกษามันออกมาให้กระจ่างแจ้งเลยทีเดียว!
เฉินมู่อิ๋งก็ตกตะลึงไปเมื่อเห็นอาจารย์หยางเป็นคนเสนอราคา 10 ล้านออกมา อาจารย์หยางต้องรู้แน่ว่าโอสถนี้เขาเป็นคนหลอม แล้วเหตุใดถึงยังประมูลอีกล่ะ? หากมาขอซื้อจากเขา เขาก็คงยอมขายให้ซักสี่ห้าหมื่นกระมัง หรืออยากอวดรวย?
เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าอาจารย์หยางทำเช่นนี้เพื่ออะไร แต่ไม่ว่าจะทำเพื่ออะไรเขาก็ได้รับหยกไม่น้อยเลย กำไรแล้ว!
การประมูลโอสถยังคงดำเนินการต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงโอสถเม็ดสุดท้าย แต่ก็ไม่มีโอสถชนิดไหนที่ประมูลออกไปได้สูงเท่าโอสถพิษศิลา โอสถนี้สร้างชื่อเสียงในเวลาไม่นานจริงๆ แน่นอนว่าชื่อเสียงของ ‘โอหยาง’ ผู้เป็นเจ้าของโอสถพิษศิลาย่อมระบือไปไกลอย่างแน่นอน
หลังจากเสร็จสิ้นการประมูล ผู้คนก็แยกย้ายกันไป เฉินมู่อิ๋งก็ไม่ได้รีบไปรับค่าโอสถมา เขารอให้คนอื่นๆ เข้าไปรับค่าโอสถจนหมดแล้วเขาถึงเข้าไปเป็นคนสุดท้ายแล้วกระมัง
ภายในกระโจม ผู้ดูแลตลาดรีบลุกขึ้นยืนต้อนรับคุณชายโอหยางทันที “เชิญๆ คุณชายโอหยาง เชิญท่านนั่งก่อน”
เฉินมู่อิ๋งนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง ผู้ดูแลตลาดก็นั่งลงใกล้ๆ แล้วถามว่า “โอสถพิษศิลานี้เป็นคุณชายได้มาอย่างไรหรือ? หรือว่าท่านหลอมโอสถเอง?”
“เป็นข้าหลอม ทำไมรึ?” เฉินมู่อิ๋งย้อนถาม ผู้ดูแลตลาดรีบเสนอว่า “เช่นนั้นสมุนไพรที่ใช้หลอมต่อไปคุณชายมาซื้อจากข้าได้นะ ข้าจะลดราคาให้ท่านเป็นพิเศษเลย”
เฉินมู่อิ๋งยิ้มเย็นอยู่ใต้หน้ากาก เขารู้ดีว่าผู้ดูแลตลาดย่อมอยากรู้ว่าเขาใช้สมุนไพรอะไรในการหลอมโอสถพิษศิลาบ้าง จึงได้เสนอเช่นนี้ นี่เรียกว่าการขอดูตำราทางอ้อมอย่างไรล่ะ หากเขาซื้อสมุนไพรจากทางตลาดอย่างไร้เล่ห์เหลี่ยม ทางตลาดก็จะทราบว่าโอสถพิษศิลาใช้สมุนไพรอะไรบ้างทันที แต่เขาเป็นใคร? เขาเป็นถึงคุณชายตระกูลเฉินเชียวนะ ลูกไม้ตื้นๆ แค่นี้ทำไมเขาจะดูไม่ออกล่ะ เขาจึงตอบรับน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “โอ้! ดีจริง ขอบคุณท่านมาก ว่าแต่ท่านจะลดราคาให้ข้าเท่าไหร่รึ?”
“10 ส่วนร้อย” ผู้ดูแลตลาดบอก เฉินมู่อิ๋งพูดน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย “แค่ 10 ส่วนร้อยเองรึ ข้ารึคิดว่าน่าจะ 30 ส่วนร้อย หากเป็นเช่นนั้นข้าก็ยินดีซื้อสมุนไพรจากท่าน”
“อ่า…30 ส่วนร้อย ให้ท่านไม่ได้จริงๆ เอาเช่นนี้เถอะ 15 ส่วนร้อยเถอะคุณชาย มากกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ” ผู้ดูแลตลาดเสนอ เฉินมู่อิ๋งพยักหน้าตกลง “ได้ ขอบคุณท่านมาก เช่นนั้นรบกวนท่านเตรียมสมุนไพรตามนี้ให้ข้าด้วย”
เขาบอกแล้วก็มองหาพู่กันกับกระดาษ ผู้ดูแลตลาดรีบหลิ่วตาสั่งคนข้างกายทันที บุรุษข้างกายก็รีบก้าวไปหยิบพู่กันกับกระดาษมาวางตรงหน้าคุณชายโอหยาง เฉินมู่อิ๋งหยิบพู่กันขึ้นมาจุ่มหมึกแล้วเขียนชื่อสมุนไพรที่เขาต้องการลงไป ผู้ดูแลตลาดก็มองดูอยู่เงียบๆ
Chapter 9
เอี๊ยมของสตรี!?
ผู้ดูแลตลาดเห็นรายชื่อสมุนไพรยาวเหยียดนับร้อยชนิดเลยทีเดียว เขาตกตะลึงในใจ แค่โอสถสองชนิดยังใช้สมุนไพรมากถึงเพียงนี้เชียวรึ!?
แน่นอนว่า 2 ชนิดที่ว่าก็คือโอสถพิษศิลากับโอสถแก้พิษศิลา เขาเห็นคุณชายโอหยางยังไม่หยุดเขียนจึงรู้สึกตกตะลึงขึ้นเรื่อยๆ ยังจะเขียนต่ออีกหรือ?
เฉินมู่อิ๋งเขียนรายชื่อสมุนไพรที่เขาต้องการไปเรื่อยๆ จนกระทั่งครบ 500 ชนิด เขาจึงหยุดเขียน แล้วยื่นให้ผู้ดูแลตลาด “เอ้า ท่าน…”
“ข้าแซ่หนิงชื่อเฉิง หนิงเฉิง (宁成)” หนิงเฉิงบอกพลางรับกระดาษปึกนั้นมา เฉินมู่อิ๋งบอก “ท่านหนิง ค่าสมุนไพรก็หักจากค่าโอสถของข้าไปเลย”
“อ่อ แน่นอนๆ เช่นนั้นคุณชายรอสักครู่เถอะ ข้าจะให้คนรีบไปเอาสมุนไพรมาให้ท่าน” หนิงเฉิงบอก เฉินมู่อิ๋งพยักหน้า “ขอบคุณท่านหนิง อ่อ ใส่ถุงฟ้าดินมาให้ข้าด้วยเลยล่ะกัน ค่าถุงก็หักไปได้เลย พอดีถุงของข้าเล็กเกินไปคงใส่สมุนไพรไม่หมดแน่”
“อ่อๆ ได้ๆ” หนิงเฉิงรับคำแล้วส่งกระดาษปึกนั้นให้ลูกน้องรับไปจัดการ แล้วหันไปคุยกับคุณชายโอหยางต่อ “ไม่ทราบว่าอาจารย์ของท่านคือผู้ใดรึ?”
“อาจารย์ของข้ามิอาจเปิดเผย เพราะท่านอาจารย์ชอบความสันโดษ” เฉินมู่อิ๋งตอบเลี่ยงไป จะให้เขาตอบว่าอาจารย์ของเขาคืออาจารย์หยางก็ไม่ได้ มิเช่นนั้นฐานะศิษย์สำนักหมื่นดาราที่เขาอุตส่าห์ปกปิดก็เปิดเผยออกไปน่ะซิ อีกอย่างจะให้เปิดเผยว่าอาจารย์เฟยเทียนคืออาจารย์ของเขา ข้อนี้ยิ่งเปิดเผยไม่ได้ยิ่งกว่าอาจารย์หยางเสียอีก หนิงเฉิงฟังแล้วก็ไม่ถามต่อ คุณชายโอหยางคิดปกปิดฐานะเขาก็ไม่จำเป็นต้องต้อนให้จนมุม ค่อยๆ สืบเอาเองก็ได้ เขาผายมือ “เชิญคุณชายจิบชารอก่อน ข้าจะออกไปดูสมุนไพรของท่านให้”
“ขอบคุณมากๆ” เฉินมู่อิ๋งบอก หนิงเฉิงจึงลุกออกไป แน่นอนว่าเขาย่อมสั่งคนให้ลอบติดตามคุณชายโอหยางผู้นี้ไปอย่างลับๆ แล้วก็ไปดูสมุนไพรตามรายชื่อที่คุณชายโอหยางต้องการ
เวลาผ่านไป หนิงเฉิงก็ถือถุงฟ้าดินใบหนึ่งเดินเข้าไปในกระโจม เขายื่นถุงฟ้าดินให้คุณชายโอหยาง “สมุนไพรของท่าน แล้วก็หยกปราณฟ้าดิน ข้าหักค่าสมุนไพร ค่าประมูลแล้วก็ค่าถุงฟ้าดินใบนี้เรียบร้อยแล้ว เชิญท่านตรวจดูได้”
“ขอบคุณมาก” เฉินมู่อิ๋งรับถุงฟ้าดินใบนั้นมาแล้วตรวจดูของภายในถุง เมื่อตรวจเสร็จแล้วก็เก็บถุงฟ้าดิน ลุกขึ้นกุมมือ “ข้าลาล่ะ”
หนิงเฉิงผายมือส่ง เฉินมู่อิ๋งเดินออกจากกระโจมไป เขาเดินไปเรื่อยๆ ยังไม่ออกจากตลาด เพราะเขาอยากดูการประมูลอาวุธเซียนที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ เขารู้ว่ามีคนลอบตามเขามา เขาก็ไม่สนใจคนๆ นั้น ตราบใดที่เขายังไม่เผยโฉมหน้าออกไป ย่อมยังไม่เกิดคลื่นลมอะไรแน่ คนของตลาดลอบติดตามไปอย่างลับๆ เห็นคุณชายคนนั้นเดินเล่นอยู่ในตลาดไม่มีท่าทีว่าจะออกจากตลาดไป เขาก็แอบตามไปอย่างเงียบเชียบ
เฉินมู่อิ๋งเดินเล่นจนเหนื่อยแล้วจึงไปยังกระโจมที่พักซึ่งมีให้เช่า ตั้งเรียงรายเป็นทิวแถว ราคากระโจมที่พักขนาดเล็กอยู่ที่ 10 หยกต่อ 1 วัน ตอนนี้เขามีหยกแล้วจึงหยิบมาใช้จ่ายอย่างไม่ต้องกังวลใจ เมื่อจ่ายค่ากระโจมแล้วเขาก็เข้ากระโจมไปพักผ่อน คนของตลาดก็เฝ้าจับตาดูอยู่
ภายในกระโจม เฉินมู่อิ๋งเอาสมุนไพรกับหยกย้ายไปใส่ไว้ในแหวนคุนเฉียน แล้วก็เอาอาภรณ์บางส่วนมาใส่ไว้ในถุงฟ้าดินแทน มีถุงฟ้าดินแล้วเขาก็ปิดบังเรื่องแหวนคุนเฉียนได้อย่างแนบเนียนล่ะ
วันรุ่งขึ้น เฉินมู่อิ๋งก็ยังไม่ออกจากกระโจมไปไหน เขายังคงพักผ่อนอยู่ในกระโจมไปเรื่อยๆ บางคราวก็สั่งอาหารให้มาส่งที่กระโจม กินอิ่มแล้วเขาก็ยังคงพักผ่อนอยู่ในกระโจม รอจนกว่าจะถึงเวลาเปิดประมูลอาวุธ คนของตลาดก็ยังคงเฝ้าจับตาดูอย่างลับๆ จนกระทั่งมีการตีฆ้องร้องป่าว “งานประมูลอาวุธกำลังจะเริ่มแล้วๆ”
เฉินมู่อิ๋งได้ยินเสียงประกาศจึงลุกขึ้นนั่งใส่รองเท้าแล้วเดินออกจากกระโจมไป เขาเดินไปที่เวทีเมื่อวานนี้ซึ่งวันนี้เปลี่ยนมาเป็นเวทีประมูลอาวุธ มีผู้คนมาล้อมอยู่รอบๆ เวทีเหมือนเช่นเมื่อวานนี้ บุรุษชุดดำคนเดิมเดินขึ้นเวทีไปประกาศว่า “เริ่มการประมูลอาวุธ ณ บัดนี้”
เขามองกวาดไปทั่วๆ แล้วกล่าวต่อ “อาวุธชิ้นแรกคือทวนน้ำ”
บุรุษคนหนึ่งถือทวนยาวเล่มหนึ่งเดินขึ้นไปบนเวที ทวนนี้มองแล้วคล้ายทำมาจากสายน้ำอย่างไรอย่างนั้น ภายในตัวทวนมีสายน้ำไหลวนอยู่ข้างใน บุรุษชุดดำผายมือไปทางทวนเล่มนั้นแล้วบรรยายอานุภาพว่า “ทวนเล่มนี้ควบคุมพลังธาตุน้ำ…”
ขณะที่เขาบรรยายอยู่นั้น บุรุษผู้ถือทวนก็แทงทวนไปข้างหน้า ตรงปลายทวนมีสายน้ำพุ่งออกมาราวกับลูกธนูพุ่งเฉียงขึ้นฟ้าไปแล้วแตกดังบึ้ม! เกิดแรงสะเทือนจนผู้คนเบื้องล่างรู้สึกได้ พลันมีสายฝนโปรยลงมาใส่ผู้คนเบื้องล่าง เซียนบางคนกางพลังกันสายฝนนั้นทำให้อาภรณ์ไม่เปียก แต่ก็มีบางคนกางพลังไม่ทันจึงเปียกนิดหน่อย
“นี่เป็นเพียงอานุภาพเล็กๆ ของทวนเล่มนี้ ยังมีอีก…” บุรุษชุดดำบรรยายอานุภาพไปเรื่อยๆ ผู้คนฟังแล้วเกิดความรู้สึกอยากได้ขึ้นมา ทันทีที่บุรุษชุดดำประกาศว่า “เริ่มประมูลได้”
ก็มีคนรีบเสนอราคาทันที “1,000 หยก”
“2,000”
“2,500”
มีคนเสนอราคาแข่งกันไปแข่งกันมา ทำให้เฉินมู่อิ๋งได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ หากเขาสามารถหลอมอาวุธเซียนได้ เช่นนั้นเขาจะมีช่องทางหาหยกเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง เห็นทีข้าต้องกลับไปศึกษาตำราหลอมอาวุธเสียหน่อยแล้ว
จนในที่สุดราคาทวนน้ำเล่มนั้นก็พุ่งทะยานไปถึง 5 หมื่นหยก คนที่ประมูลได้ไปเป็นคนของสำนักเทียนเต๋า เขาฉีกยิ้มร่าแล้วเดินเข้าไปในกระโจมเพื่อจ่ายค่าอาวุธ จากนั้นก็มีบุรุษอีกคนถือดาบเล่มหนึ่งเดินขึ้นไปบนเวที บุรุษชุดดำก็พูดว่า “นี่คือดาบเพลิง”
บุรุษผู้ถือดาบก็ชักดาบออกจากฝัก เสียงดังชิ้ง! เสียงนี้สั่นสะเทือนโสตประสาทของทุกคนจนเกิดเสียงวิ๊งๆ ในรูหู บุรุษชุดดำก็บรรยายอานุภาพของดาบเพลิงเล่มนั้นไปเรื่อยๆ “ดาบเล่มนี้…….”
เฉินมู่อิ๋งมองดูการประมูลอาวุธเฉยๆ เขาไม่คิดจะเข้าร่วมประมูลด้วยเลย เขาแค่มาเปิดหูเปิดตาเท่านั้น เขาเห็นผู้คนแข่งกันประมูลราคาอย่างดุเดือด จนบางครั้งเกิดการข่มขู่กันซึ่งหน้า แต่ผู้คนก็ไม่กล้าลงมือลงไม้กันจริงๆ มิเช่นนั้นจะถูกลงโทษสถานหนักตามกฎของตลาดทันที แต่หากออกจากตลาดไปแล้วจะไปฆ่ากันตายอย่างไรก็เป็นเรื่องของคนเหล่านั้นแล้ว ทางตลาดจะไม่ยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอีก ดังนั้นหลังจบการประมูลแล้วคนที่ประมูลของได้ไปมักจะรีบจากไปทันที
จนกระทั่งการประมูลอาวุธจบลง ผู้คนก็แยกย้ายกันไป ตลาดก็เริ่มเก็บข้าวของกันแล้ว มีคนบางกลุ่มชอบไปซื้อหาของตอนที่ตลาดกำลังจะปิดเพราะมักจะได้ราคาถูกลงเล็กน้อยทำให้การค้าในตลาดกลับมาคึกคักชั่วครู่หนึ่ง เฉินมู่อิ๋งก็อาศัยจังหวะนี้เดินปะปนไปกับผู้คนออกจากตลาดไป คนของตลาดก็แอบติดตามไปอย่างลับๆ เฉินมู่อิ๋งอาศัยจังหวะหนึ่งย่อตัวลงต่ำแล้วถอดหน้ากากออกจากนั้นก็เก็บผ้าคลุมสีดำไปในพริบตา เขายืดตัวขึ้นมาแล้วเดินไปเรื่อยๆ คนของตลาดที่ตามหลังมามองไม่เห็นคนชุดคลุมดำแล้วก็รีบเดินไปทันที เขาหันซ้ายหันขวาเหลียวมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นคนชุดคลุมดำคนนั้นเลย ทำเขากัดฟันกรอดๆ ที่พลาดท่าเสียแล้ว!
เฉินมู่อิ๋งเดินไปเรื่อยๆ ผ่านคนของตลาดที่ติดตามเขามาตั้งแต่เมื่อวาน มุมปากกดลึกนิดหนึ่ง เดินผ่านไปอย่างไร้พิรุธ หึ! คิดจะตามเขาไปงั้นรึ! กลับไปฝึกฝีมือมาใหม่ก่อนเถอะ!
คนของตลาดยังคงกวาดตามองไปในหมู่ผู้คน เขามองหาคนที่อาจจะมีพิรุธเล็กน้อย แต่มองอย่างไรก็ไม่เห็นใครที่คาดว่าจะเป็นคุณชายโอหยางคนนั้นเลย เขามองๆ จนกระทั่งผู้คนค่อยๆ สลายตัวไปเรื่อยๆ
จนในที่สุดก็ไม่เหลือใครอีกเขาจึงกลับไปรายงานผู้ดูแลตลาดอย่างเจื่อนจ๋อย ผู้ดูแลตลาดฟังแล้วรู้สึกโมโหลูกน้องยิ่งนัก ชี้นิ้วด่า “เจ้ามันไร้ความสามารถเกินไปแล้ว ไปๆ ไสหัวไปซะ”
คนของตลาดรีบถอยออกไป ครั้งนี้เขาทำงานพลาดทำให้รู้สึกแย่จริงๆ ปกติแล้วเขาไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง
เฉินมู่อิ๋งกลับถึงเขาไผ่ เขาก็ไปหาอาจารย์หยางที่เรือนไผ่ ส่งหยกปราณฟ้าดินให้อาจารย์หยาง “นี่เป็นค่าสมุนไพรของท่าน”
“หึ! ขนแพะงอกจากตัวแพะเอง*” หยางซีหยุนแค่นเสียงเย็นชา เฉินมู่อิ๋งไม่สนใจคำด่าของเขา เดินออกจากเรือนไผ่ไป เขายังต้องเอาหยกไปคืนศิษย์พี่เลี่ยงอีก
(羊毛出在羊身上 yángmáo chū zài yáng shēnshang. (ขนแพะงอกจากตัวแพะเอง) หมายถึง ได้ทรัพย์สินจากผู้ใดผู้หนึ่งแล้วตอบแทนหรือคืนประโยชน์แก่ผู้นั้นด้วยอีกวิธีหนึ่ง โดยที่ตนเองไม่เสียอะไร ตรงกับสำนวนไทยว่า อัฐยายซื้อขนมยาย
เช่น 拿我的钱请我吃饭,真是羊毛出在羊身上。
Ná wǒ de qián qǐng wǒ chīfàn, zhēnshi yángmáo chū zài yáng shēnshang.
เอาเงินของฉันเลี้ยงข้าวฉัน นี่มันอัฐยายซื้อขนมยาย*จริงๆ
อัฐยายซื่อขนมยาย สํานวนสุภาษิตนี้ หมายถึง การได้รับสิ่งของหรือทรัพย์สินจากผู้ใดผู้หนึ่ง แล้วนำทรัพย์นั้นๆมาใช้กับผู้นั้น โดยที่ตนเองไม่ต้องลงทุนอะไร
ที่มาของสํานวน คำว่า “อัฐ” หมายถึง เงิน เป็นคำเรียกเงินในสมัยโบราณ เปรียบเปรยถึง การขอเงินยายมาเพื่อที่จะนำไปซื้อขนมของยายเอง ผู้ซื้อไม่ต้องเสียเงินซักบาท และยังได้ขนมกลับมาทานอีกด้วย)
เมื่อไปถึงโรงครัว เฉินมู่อิ๋งก็คืนหยกให้ศิษย์พี่เลี่ยงทั้งยังทบดอกเบี้ยให้ด้วย เลี่ยงจินเห็นเช่นนั้นก็ตกตะลึงไป “ศิษย์น้องเฉิน นี่มันมากกว่าที่เจ้ายืมข้าไปนะ!”
“ส่วนที่เพิ่มมาถือเป็นดอกเบี้ยอย่างไรล่ะ ท่านก็รับไว้เถอะศิษย์พี่เลี่ยง ข้าไม่ชอบติดค้างใคร” เฉินมู่อิ๋งบอกแล้วรีบจากไป เลี่ยงจินอยากจะปฏิเสธแต่ศิษย์น้องเฉินก็วิ่งหายลับไปแล้วเขาจึงเก็บหยกไปแล้วรีบไปทำกับข้าวต่อเพราะเขายังตุ๋นน้ำแกงคาเตาอยู่เลย
เฉินมู่อิ๋งมุ่งหน้าไปยังหอตำรา เขาเข้าไปอ่านตำราหลอมอาวุธ เขาอ่านตำราม้วนแล้วม้วนเล่าอยู่ในหอตำราจนแทบจะกลายเป็นหนอนหนังสือแล้ว ศิษย์คนอื่นๆ เห็นศิษย์ของอาจารย์หยางขลุกอยู่ในหอตำราพวกเขาก็ไม่เข้าไปยุ่งด้วย เพราะศิษย์คนนั้นดูไม่โดดเด่นอะไร ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา หรือความสามารถ เรียกว่าไม่มีอะไรโดดเด่นจริงๆ
เวลาผ่านไปครึ่งเดือน เฉินมู่อิ๋งจึงอ่านตำราหลอมอาวุธในหอตำราจนหมดทุกม้วน เขาออกจากหอตำรากลับไปที่กระท่อมของตัวเอง แล้วเก็บตัวเงียบอยู่ในกระท่อม เอาตำราของอาจารย์เฟยเทียนออกมาอ่านศึกษาไปเรื่อยๆ ตำราหลอมอาวุธของอาจารย์เฟยเทียนนี้แตกต่างจากตำราหลอมอาวุธพื้นฐานในหอตำรา ในหอตำราต้องใช้เตาหลอมอาวุธและใช้เพลิงปฐพีเป็นตัวหลอมโลหะ แต่ในตำราของอาจารย์เฟยเทียนใช้พลังเซียนเป็นเตาหลอม ใช้พลังเซียนแทนเพลิงปฐพีหลอมโลหะ เขารู้สึกว่าวิธีการตามตำราของอาจารย์เฟยเทียนช่างท้าทายยิ่งนัก
เวลาผ่านไป 10 วัน ในที่สุดเขาก็อ่านตำราม้วนนั้นจบ เขารอให้ศิษย์พี่เลี่ยงมาส่งปิ่นโตแล้วถาม “ศิษย์พี่เลี่ยง หากข้าต้องการโลหะหลอมอาวุธจะซื้อได้จากที่ไหนรึ?”
“โลหะหลอมอาวุธซื้อจากอาจารย์หานก็ได้ แต่นี่ก็ใกล้เวลาที่ตลาดจะมาตั้งแล้ว ข้าว่าเจ้ารออีกหน่อยแล้วค่อยไปดูในตลาดดีกว่า บางทีอาจจะมีโลหะที่แม้แต่พ่อค้าก็ยังไม่รู้ที่มาๆ ขายก็ได้ หากโชคดีเจอโลหะดีๆ ก็ถือเป็นโชคดีของเจ้าทีเดียว” เลี่ยงจินแนะนำ เฉินมู่อิ๋งนึกขึ้นได้ว่าเขายังต้องหลอมโอสถพิษศิลาเอาไปขายที่ตลาดอีก เขาจึงยิ้มให้ศิษย์พี่เลี่ยง “ขอบคุณมาก ข้าลืมไปเลยว่านี่ก็ใกล้เวลาที่ตลาดจะมาเปิดอีกครั้ง”
“อันที่จริงท่านอาจารย์หยางก็มีโลหะเก็บไว้ไม่น้อยเลยนะ เจ้าไม่ลองขอท่านอาจารย์หยางดูล่ะ?” เลี่ยงจินแนะนำ เฉินมู่อิ๋งส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ข้าไปซื้อเอาจากข้างนอกดีกว่า”
เลี่ยงจินรู้ว่าศิษย์น้องเฉินไม่ค่อยถูกกับท่านอาจารย์หยางสักเท่าไหร่จึงไม่พูดอะไรอีก เขาเห็นอาจารย์กับศิษย์คู่นี้ต่างคนต่างอยู่เหมือนไม่ใช่ศิษย์อาจารย์กันอย่างนั้นแหละ เขามาส่งข้าวให้อาจารย์หยางกับศิษย์น้องเฉินจนรู้เรื่องนี้โดยบังเอิญ เขาก็ได้แต่มองดูไม่อาจพูดอะไรได้
“เอาล่ะ ข้ากลับล่ะ ยังต้องไปทำบะหมี่ให้อาจารย์อีก” เลี่ยงจินบอก เฉินมู่อิ๋งยิ้มส่ง เลี่ยงจินเดินกลับไป เฉินมู่อิ๋งก็ยกปิ่นโตเข้ากระท่อมไป เขาต้องหลอมโอสถพิษศิลากับโอสถแก้พิษศิลาเพื่อเอาไปขายที่ตลาดอีก คาดว่าเที่ยวนี้คงไม่ได้มากเหมือนอย่างคราวที่แล้วแน่นอน ของอะไรก็ตามหากว่าเป็นของหายากและมีหนึ่งเดียวย่อมราคาแพง หากว่ามีชิ้นที่ 2 ราคาย่อมถูกลง อีกทั้งเขาก็ไม่คิดจะขายโอสถพิษศิลาในปริมาณมากๆ หรอก ของยิ่งน้อยยิ่งได้ราคาอย่างไรล่ะ ฮี่ๆๆๆๆ…
หยางซีหยุนแอบมองอยู่ไกลๆ เห็นเจ้าศิษย์ชั่วเก็บตัวอยู่แต่ในหอตำรากับกระท่อมไม่ออกไปไหน เขาจับตาดูมันอยู่ห่างๆ จนป่านนี้เขาก็ยังไม่อาจแยกแยะได้เลยว่าโอสถพิษศิลานั่นใช้สมุนไพรอะไรบ้าง? ด้วยความที่มันไร้กลิ่นจึงทำให้ยากจะแยกแยะจากกลิ่นได้ อีกทั้งดูจากเนื้อโอสถก็ไม่อาจแยกแยะได้อีก เขาไม่เคยเจอโอสถที่แยกแยะสมุนไพรไม่ได้เช่นนี้มาก่อน เขาลองสูดดมมันเข้าไปเพื่อที่จะแยกแยะสมุนไพร แต่ก็ยังไม่อาจแยกออกมาได้ ทั้งเขายังถูกพิษของมันซ้ำอีก ดีที่มีโอสถแก้พิษอยู่ ไม่เช่นนั้นเขาคงตายอย่างอนาถแน่นอน ลองโอสถจนถูกพิษตกตาย หากรู้ไปถึงไหนย่อมอับอายขายขี้หน้ามากแน่นอน
วันเวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงวันที่ตลาดกลับมาเปิดอีกครั้ง เฉินมู่อิ๋งกับเลี่ยงจินก็ขี่กระบี่ออกจากสำนักไปด้วยกัน หยางซีหยุนมองตามคนทั้งสองไป แล้วเข้าไปในกระท่อมของเจ้าศิษย์ชั่ว เขามองไปรอบๆ เห็นข้าวของเครื่องใช้มีไม่กี่อย่าง โต๊ะไม้ไผ่ เก้าอี้ไม้ไผ่ เตียงหลังหนึ่ง ปูเครื่องนอนผ้าไหมชั้นดี แม้แต่ม่านมุ้งก็เป็นผ้าไหมโปร่งบาง นี่ทำให้เขาอึ้งงันไป เครื่องนอนของเขายังใช้แค่ผ้าฝ้ายเองนะ แต่เจ้าศิษย์ชั่วนี่กลับใช้เครื่องนอนผ้าไหม!
เขาเดินไปจับเนื้อผ้าของเครื่องนอนและม่านมุ้งให้แน่ใจว่าใช่ผ้าไหมจริงๆ สัมผัสเรียบลื่นนุ่มมือยิ่งนัก แน่ชัดว่าเป็นผ้าไหมราคาแพงระยับจากโลกมนุษย์ เขาจับๆ เครื่องนอนพบว่ามันนุ่มมาก เขาลองนั่งลงไป พบว่ามันนุ่มยิ่งนัก เขาได้กลิ่นจางๆ โชยมา เขาดมกลิ่นหาที่มาจึงพบว่ากลิ่นมาจากเครื่องนอนอ่อนนุ่มนี่เอง เป็นกลิ่นหอมของซุนอีเฉ่า(ลาเวนเดอร์) ดมไปดมมาทำให้เขารู้สึกอยากจะนอนหลับอยู่บนเครื่องนอนอ่อนนุ่มที่หอมกรุ่นนี้ยิ่งนัก เขาสะบัดๆ หน้าตั้งสติแล้วลุกไปเดินดูรอบๆ กระท่อมหลังเล็กๆ นั้น เขาเห็นประตูบานหนึ่งตรงด้านข้างจึงเปิดดู พบว่าเป็นห้องอีกห้องหนึ่ง ภายในห้องนั้นมีบ่อน้ำร้อน ผนังไม้ไผ่กั้นธารน้ำร้อนเล็กๆ สายนั้นเอาไว้จนกลายเป็นห้องอาบน้ำ
ห้องแบบนี้เขาเคยเห็นตามแหล่งธารน้ำร้อนในโลกมนุษย์ที่ผู้มีอำนาจราชศักดิ์ทั้งหลายมักจะทำเรือนแช่น้ำร้อนไว้ให้สตรีสูงศักดิ์ สร้างเรือนคร่อมบ่อน้ำร้อนเอาไว้ ปิดบังสายตาคนภายนอกทำให้ไม่อาจมองเห็นคนข้างในได้ เขาส่ายๆ หน้ากับห้องนี้คล้ายกับว่าเป็นเรื่องไร้สาระจริงๆ แค่แช่น้ำร้อนจะต้องทำห้องหับปิดมิดชิดไปทำไมกัน ด้านหลังเรือนไผ่ของเขาก็มีบ่อน้ำร้อน แต่เขาก็ไม่ได้สร้างเรือนคร่อมบ่อเหมือนเช่นนี้เลย บ่อน้ำร้อนของเขาเปิดโล่งจนมองเห็นทิวทัศน์อย่างชัดเจน
เขาเห็นอาภรณ์ตากอยู่บนราว เขามองผ่านทีหนึ่งแล้วต้องหันกลับไปมองซ้ำอีกครั้ง เขาเดินไปดู ยื่นมือไปหยิบอาภรณ์ชิ้นน้อยขึ้นมา อาภรณ์ชิ้นนั้นก็คือเอี๊ยมของสตรี เขาขมวดคิ้วนิดหนึ่ง “เหตุใดจึงมีเอี๊ยมของสตรีตากอยู่ที่นี่?”
เขาจ้องเอี๊ยมตัวนั้น ครู่ต่อมาก็เบิกตากว้าง “หรือว่าเจ้าเด็กนั่นจะพาสตรีมาบำเพ็ญเพียรคู่ที่นี่!”
เขาละมือจากเอี๊ยมตัวน้อยแล้วรีบเดินออกจากห้องนั้นอย่างไวยิ่ง เจ้าเด็กนั่นอายุเท่าไหร่กันเชียว ริบำเพ็ญเพียรคู่เสียแล้วรึ!
ตัวเขาอายุป่านนี้แล้วยังไม่เคยบำเพ็ญเพียรคู่กับสตรีเลยสักครั้ง เจ้าศิษย์ชั่วนั่นล้ำหน้าเขาไปแล้วรึ!
เขาเดินออกจากกระท่อมไป เพราะในกระท่อมไม่มีตำราอะไรเลย คาดว่าเจ้าเด็กนั่นคงเอาตำราติดตัวไปด้วยกระมัง เขาอยากดูตำราโอสถพิษศิลา เมื่อไม่มีตำราก็ไม่มีอะไรให้น่าดูน่ามองอีก เขาเดินกลับเรือนไผ่ไปนั่งจิบชา คิดๆ ว่าสตรีคนไหนกันที่แอบมามีสัมพันธ์กับเจ้าศิษย์ชั่วโดยที่เขาไม่ระแคะระคายเรื่องราวเลย?
ในสำนักก็มีศิษย์สตรีมากมาย ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นศิษย์ของอาจารย์หง เรื่องศิษย์หนุ่มสาวคบหากันทางสำนักไม่ได้ห้ามปรามอะไรเหมือนอย่างสำนักเทียนเต๋าที่ฝึกบำเพ็ญเต๋าไร้รัก ศิษย์ที่เข้าสำนักเทียนเต๋าจะต้องผ่านการแช่สระน้ำ 3 สระ คือสระไร้โกรธ สระไร้โลภ และสระไร้รัก หากใครไม่ผ่านการทดสอบ 3 สระนี้ก็ไม่อาจเป็นศิษย์ของสำนักเทียนเต๋าได้
เลี่ยงจินกับเฉินมู่อิ๋งไปถึงตลาด ทั้งสองก็เดินดูสินค้าในตลาดไปเรื่อยๆ เฉินมู่อิ๋งเดินดูเฉยๆ ยังไม่มีเป้าหมายในการซื้อ ส่วนเลี่ยงจินเขามีหน้าที่ซื้อเครื่องเทศกลับไปให้อาจารย์ของเขา ดังนั้นทุกครั้งที่ตลาดมาเปิดเขาจะต้องออกจากสำนักมาซื้อเครื่องเทศกลับไป หลังจากเลี่ยงจินซื้อเครื่องเทศเสร็จแล้วเขาก็ขี่กระบี่บินกลับสำนักไป ส่วนเฉินมู่อิ๋งก็เดินเล่นอยู่ในตลาดไปเรื่อยๆ เขาเดินเข้าไปดูในกระโจมที่ขายโลหะ ส่วนใหญ่เป็นแร่ดิบที่ขุดขึ้นมาได้ยังไม่ผ่านการหลอม คนที่รู้จักแร่ดิบเป็นอย่างดีก็จะได้ประโยชน์มากหน่อย เพราะมองเพียงแวบเดียวก็รู้ทันทีว่าแร่ก้อนนั้นเป็นแร่โลหะชนิดใด ส่วนคนที่ไม่รู้จักก็จะต้องถามพ่อค้าหรือไม่ก็ให้พ่อค้าเป็นคนเลือกออกมา
เฉินมู่อิ๋งไม่ค่อยมีความรู้เรื่องแร่ดิบมากนักแต่เขาก็รู้จักชนิดของแร่ดิบอยู่หลายอย่างทีเดียว เช่น แร่ทอง แร่เงิน แร่เหล็ก เขามองๆ ไปทั่วๆ จนกระทั่งสะดุดตากับหินก้อนหนึ่งซึ่งเป็นหินทราย หินก้อนนี้ถูกวางทิ้งไว้ไม่มีใครให้ความสนใจมันเลย พ่อค้าเดินโฉบเข้ามาทันใด รีบบอกว่า “เจ้าหนู หินทรายก้อนนี้ไม่มีค่าอะไรหรอก เจ้าดูอย่างอื่นเถอะ ดูท่าเจ้าคงเป็นศิษย์สำนักหมื่นดารากระมัง ส่วนใหญ่ศิษย์ของอาจารย์หานก็จะมาซื้อแร่กับข้าเป็นประจำ เจ้าหน้าตาไม่คุ้นเลยคงเป็นศิษย์เข้าใหม่กระมัง?”
“อืม” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้า แล้วชี้ไปที่หินทรายก้อนนั้น “หินทรายก้อนนี้ท่านขายเท่าไหร่รึ?”
“เจ้าจะเอาไปทำอะไรรึ? หากว่าจะเอาไปหลอมอาวุธหินทรายก้อนนี้ไม่มีประโยชน์หรอก” พ่อค้าถาม เฉินมู่อิ๋งตอบ “ข้าอยากได้เอาไปทำหินขัดตัวน่ะ”
“หือ?” พ่อค้าเลิกคิ้วขึ้น เฉินมู่อิ๋งก็ไม่พูดอะไรอีก เขาเห็นพ่อค้ายังคงมองจ้องจึงพูดว่า “ในสำนักมีศิษย์หญิงไม่น้อย หากข้าเอาหินทรายก้อนนี้ไปตัดทำหินขัดตัวขายให้พวกนางคงพอได้กำไรบ้างน่ะ”
“อ่อ มีหัวคิดดีนี่นาเจ้าหนู” พ่อค้ายิ้มๆ แล้วบอกว่า “ข้าขายไม่แพงหรอก 5 หยกก็แล้วกัน”
“แพงเกินไป ข้าให้แค่ 1 หยก ถ้าไม่ขายเดี๋ยวข้าไปเดินหาหินทรายแถวๆ ภูเขาก็ได้” เฉินมู่อิ๋งต่อรองแล้วทำท่าจะเดินจากไป พ่อค้ารีบยื่นมือขวาง “เอ้า ขายๆ”
เฉินมู่อิ๋งจึงหยิบหยกปราณฟ้าดินส่งให้พ่อค้า 1 ก้อน แล้วเก็บหินทรายก้อนนั้นใส่ถุงฟ้าดิน จากนั้นเขาก็เดินไปดูแร่ดิบก้อนอื่นๆ เขาดูๆ แล้วซื้อก้อนแร่เงินมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็เดินออกจากกระโจมไป เขาเดินไปเช่ากระโจมพักผ่อนตลอด 5 วัน แล้วก็เข้ากระโจมไป เมื่ออยู่ในกระโจมเขาก็เอาหินทรายก้อนนั้นย้ายไปเก็บไว้ในแหวนคุนเฉียน พ่อค้าคนนั้นไม่รู้หรอกว่าหินทรายก้อนนี้ข้างในมีเหล็ก 5 ธาตุ เขาเคยเห็นเหล็ก 5 ธาตุจากตอนที่เฝ้ามองชีวิตของฮองเฮาหลิวแห่งแคว้นเสิ่นหยาง นางได้เหล็ก 5 ธาตุมาจากถ้ำแห่งหนึ่ง แล้วนางก็เอามาหลอมเป็นกระบี่กับมีดสั้นอย่างละ 6 หรือ 7 เล่มนี่แหละ เขาก็จำไม่ค่อยได้แล้ว นี่เรียกว่าเขาโชคดีจริงๆ ที่มาเจอเหล็ก 5 ธาตุโดยบังเอิญ ซ้ำยังซื้อมาแค่ราคา 1 หยกเอง ถูกเหมือนได้เปล่าจริงๆ ฮี่ๆๆๆ
ส่วนแร่เงินพวกนั้นเขาซื้อมาก็เพราะคิดจะเอามาหลอมเป็นมีดสั้นที่ใช้สำหรับรักษาคน เขามีมีดสั้นเงินชุดหนึ่งอยู่ในแหวนคุนเฉียน มีดสั้นชุดนี้ใช้ได้กับร่างกายมนุษย์แต่ใช้กับร่างเซียนไม่ได้ เขาเคยลองใช้มีดสั้นชุดนั้นมาตัดแต่งเล็บตัวเอง ปรากฏว่ามีดคดงอทันที ยู่ราวกับกระดาษอย่างไรอย่างนั้นทำให้เขารู้ว่ามีดจากโลกมนุษย์ใช้กับร่างเซียนไม่ได้เลย ร่างเซียนแข็งแกร่งเกินไป หากเขาต้องใช้มีดรักษาคนขึ้นมา ทั้งมีดทั้งเข็มพวกนั้นใช้กับร่างเซียนไม่ได้ เขาต้องหลอมใหม่ให้เป็นเครื่องมือหมอระดับเซียน
เขานอนเล่นอยู่ในกระโจม เอาตำราหลอมอาวุธของอาจารย์เฟยเทียนออกมาอ่านซ้ำอีกรอบ เขาอ่านไปเรื่อยๆ บางคราวก็สั่งอาหารมากิน รอจนกว่าจะถึงวันที่ 4 จึงจะปลอมตัวไปพบผู้ดูแลตลาด แน่นอนว่าทางตลาดจะต้องจับตามองคนที่มีลักษณะใกล้เคียงกับ ‘โอหยาง’ เป็นพิเศษ เขาไม่รีบใช้รูปลักษณ์นั้นออกไปเดินเตร็ดเตร่แน่
วันเวลาผ่านไปจนถึงวันที่ 4 เฉินมู่อิ๋งจึงสวมหน้ากากแล้วสวมผ้าคลุมสีดำ จากนั้นก็ออกจากกระโจมไปพบผู้ดูแลตลาด ทันทีที่องครักษ์หน้ากระโจมเห็น ‘โอหยาง’ ก็รีบผายมือเชิญ “เชิญคุณชายโอหยาง”
“อืม” เฉินมู่อิ๋งเดินเข้าไป ผู้ดูแลตลาดรีบลุกมาต้อนรับทันที “โอ! คุณชายมาเสียที”
Chapter 10
ข้าจะเฆี่ยนให้หลังขาดเชียว!
หนิงเฉิงผายมือไปทางเก้าอี้ “เชิญคุณชายนั่งก่อน”
“ขอบคุณ” เฉินมู่อิ๋งเดินไปนั่งที่เก้าอี้ ลูกน้องของหนิงเฉิงก็ยกน้ำชากับขนมมาต้อนรับทันที “น้ำชาขอรับ”
“อ่า โอสถพิษศิลา” หนิงเฉิงนั่งลงพลางเอ่ยตาแวววาวเป็นประกาย เฉินมู่อิ๋งหยิบขวดโอสถพิษศิลากับโอสถแก้พิษศิลาออกมายื่นให้อย่างละขวด หนิงเฉิงรีบยื่นมือไปรับมาเปิดจุกดูแล้วพยักหน้าหงึกๆ “เยี่ยมๆๆ”
เขาส่งขวดโอสถให้ซีห้าว ซีห้าวรับไปแล้วถอยออกไป หนิงเฉิงยกชาขึ้นจิบแล้วพูดว่า “มีคนมาถามหาโอสถพิษศิลาไม่น้อยเลย ไม่ทราบว่าคุณชายยังมีอีกหรือไม่?”
“ท่านคิดว่าหลอมโอสถง่ายเหมือนปลูกหัวผักกาดรึ?” เฉินมู่อิ๋งย้อนถาม หนิงเฉิงรีบส่ายหน้า “ไม่ๆ แน่นอนว่าไม่ง่าย เพียงแต่ถ้าคุณชายมีอีกก็น่าจะนำออกมาขายจะได้หยกมากขึ้นอย่างไรล่ะ”
“ของดีมีน้อยจึงจะยิ่งมีราคาสูงไม่ใช่หรือ?” เฉินมู่อิ๋งย้อนถามอีก หนิงเฉิงพยักหน้าหงึกๆ “ใช่ๆ คุณชายกล่าวถูกแล้ว”
“ในเมื่อไม่มีอะไรแล้วเช่นนั้นข้าไปล่ะ” เฉินมู่อิ๋งบอกแล้วลุกขึ้น หนิงเฉิงรีบเรียก “เดี๋ยวก่อนคุณชาย”
เฉินมู่อิ๋งหันไปมอง หนิงเฉิงรีบหยิบป้ายทองส่งให้ “นี่เป็นป้ายของตลาด หากคุณชายซื้อของจากทางตลาดจะได้ส่วนลดที่ถูกกว่าราคาทั่วไป 15 ส่วนร้อย อีกทั้งหากคุณชายถือป้ายนี้ไปไม่ว่าจะใช้ให้คนของตลาดทำอะไรให้ก็จะได้ส่วนลด 15 ส่วนร้อยเช่นกัน”
“อ่อ” เฉินมู่อิ๋งรับมาเก็บใส่ถุงฟ้าดินแล้วเดินจากไป หนิงเฉิงมองตามแล้วหลิ่วตาสั่งลูกน้อง ลูกน้องก็ลอบตามคุณชายโอหยางไป ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมให้พลาดอีก! จะต้องสืบให้ได้ว่าคุณชายโอหยางผู้นี้เป็นใคร หน้าตาเช่นไร เฉินมู่อิ๋งกลับไปที่กระโจมพักผ่อนของตัวเอง นอนเล่นอยู่ในกระโจมจนกว่าจะถึงเวลาเริ่มงานประมูล คนของตลาดก็จับตาดูอยู่อย่างลับๆ
จนกระทั่งได้ยินเสียงตีฆ้องร้องป่าว “งานประมูลโอสถกำลังจะเริ่มแล้วๆ”
เฉินมู่อิ๋งลุกขึ้นแล้วออกจากกระโจมไป เดินไปยังเวทีทรงกลมยกพื้นสูง 2 เมตร เขาปะปนอยู่ในหมู่ผู้คนไม่โดดเด่นสะดุดตา เขามองไปรอบๆ เห็นคนของหลายสำนักมากันมากยิ่งกว่าครั้งที่แล้วเสียอีก ซึ่งเขาไม่รู้หรอกว่าคนเหล่านี้มาก็เพราะโอสถพิษศิลาของเขาที่ทำให้คนทั้งหลายสนอกสนใจเพราะโอสถระดับ 1 ที่แม้แต่โอสถแก้พิษระดับ 9 ยังไม่อาจแก้พิษได้จะไม่ให้พวกเขาแตกตื่นได้อย่างไร แน่นอนว่าพวกเขาย่อมอยากได้กลับไปศึกษากันยิ่งนัก อีกทั้งยังเป็นโอสถพิษที่ไร้กลิ่นจึงยิ่งทำให้ผู้คนสนใจมากยิ่งขึ้น เพราะหากต้องการใช้โอสถนี้ฆ่าคนก็ลงมือได้โดยที่ศัตรูไม่ทันรู้ตัว ความร้ายกาจเช่นนี้ทำให้พวกเขาอยากได้ยิ่งนัก
เฉินมู่อิ๋งมองไปทางคนของสำนักหมื่นดาราที่ยืนออกันอยู่ข้างเวทีด้านหนึ่ง เขาเห็นอาจารย์จงอยู่ในหมู่คนพวกนั้นด้วย ทำให้เขาเลิกคิ้วขึ้น “หือ?”
จงฮ่วนยืนอยู่ในกลุ่มลูกศิษย์ของเขา รอคอยอย่างเงียบๆ ครั้งที่แล้วลูกศิษย์กลับไปบอกเรื่องโอสถพิษศิลาทำให้เขาเกิดความสนใจยิ่งนัก แต่เขาก็ไม่กล้าไปขอดูโอสถกับอาจารย์หยางหรอกนะ อาจารย์หยางเป็นคนอารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าสตรีเสียอีก เกิดเขาพูดไม่เข้าหูอาจารย์หยางขึ้นมา ถูกอาจารย์หยางสั่งสอนเขาจะร้องหาความยุติธรรมจากใครได้อีก สู้มารอประมูลโอสถพิษศิลาในงานประมูลยังดีเสียกว่า
บุรุษชุดดำคนเดิมเดินขึ้นไปบนเวทีแล้วกล่าวว่า “งานประมูลโอสถเริ่มต้น ณ บัดนี้”
สตรีคนหนึ่งก็ถือถาดเดินขึ้นไป บุรุษชุดดำก็กล่าวว่า “นี่เป็นโอสถ……..”
เฉินมู่อิ๋งไม่ค่อยสนใจการประมูลในช่วงนี้เท่าไหร่ แน่นอนว่าโอสถที่นำออกมาในช่วงแรกๆ ย่อมเป็นโอสถที่หาไม่ยากและระดับไม่สูงมากนัก ช่วงท้ายๆ ซิถึงจะเป็นโอสถหายากและระดับสูง เขาจึงรอดูการประมูลช่วงท้ายมากกว่า ตอนนี้เขาสนใจดูผู้คนมากกว่า
เพราะเห็นคนจากหลายสำนักมารวมกันมากกว่าครั้งที่แล้วทำให้เขาเกิดความสงสัยว่าอาจจะมีโอสถหายากถูกนำมาประมูลในครั้งนี้กระมัง เขาก็อยากดูโอสถหายากเช่นกัน การประมูลดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงโอสถพิษศิลา เมื่อโอสถนี้ถูกนำออกมาผู้คนก็ฮือฮาทันที เฉินมู่อิ๋งรู้สึกประหลาดใจมากที่โอสถพิษศิลาของตัวเองได้รับความสนใจจากผู้คนมากถึงขนาดนี้
“เริ่มประมูลได้” บุรุษชุดดำกล่าว คนของสำนักเทียนเต๋าก็เสนอราคาทันที “1 แสน”
ผู้คนได้ยินราคาแล้วฮือฮาขึ้นมา แค่ราคาเปิดประมูลก็ถึง 1 แสนแล้ว!
“2 แสน” คนของสำนักหนึ่งเสนอราคาแข่ง ทำให้มีคนเสนอราคาแข่ง “3 แสน”
“1 ล้าน” คนของสำนักเทียนเต๋าเสนอราคาพลางมองคนอื่นๆ อย่างเยาะหยัน เมื่อราคาขึ้นมาถึง 1 ล้าน ก็เกิดความเงียบงันขึ้นมาทันที บุรุษชุดดำมองไปรอบๆ กำลังจะเอ่ยปาก พลัน! คนของสำนักซ่อนจันทร์ก็เสนอราคาขึ้นมา “2 ล้าน”
คนของสำนักเทียนเต๋ามองคนของสำนักซ่อนจันทร์อย่างโกรธเคือง “หึ! กล้ามาเสนอราคาแข่งกับข้า เช่นนั้นข้าก็จะให้เจ้าได้รู้ว่าสำนักข้าร่ำรวยเพียงใด”
“5 ล้าน” เขาเสนอราคาออกไป คนของสำนักซ่อนจันทร์มองอย่างเยาะหยัน “หึ! 10 ล้าน”
“โอ!” ผู้คนอุทานอื้ออึง ไม่ทันไรก็ถึง 10 ล้านแล้ว! คนของสำนักเทียนเต๋ากัดฟันกรอดๆ แล้วเสนอราคา “20 ล้าน”
“50 ล้าน” คนของสำนักซ่อนจันทร์เสนอราคาพลางยิ้มเยาะ คนของสำนักเทียนเต๋าถลึงตาแล้วเสนอราคา “100 ล้าน”
“โอ!” ผู้คนอุทานอีกครั้ง คนของสำนักขนาดเล็กและขนาดกลางต่างๆ ได้แต่มองดู 2 สำนักใหญ่ประมูลราคาแข่งกันอย่างไม่อาจสู้ได้ พวกเขาไม่ได้มีหยกมากถึงขนาดนั้น!
จงฮ่วนกัดฟันกรอดๆ เขาคิดว่าเขาจะประมูลโอสถพิษศิลาไปราวๆ ไม่เกิน 10 ล้าน แต่ตอนนี้ราคาโอสถสูงลิ่วเกินไปเขาจึงไม่คิดจะร่วมประมูลด้วยเลย ราคาโอสถพิษศิลาและโอสถแก้พิษศิลาจริงๆ แล้วอาจจะมูลค่าไม่สูงถึงขนาดนั้นก็ได้ แต่ที่ราคาพุ่งขึ้นไปถึงขนาดนี้เป็นเพราะ 2 สำนักนั้นแข่งกันประมูลอย่างไรล่ะ นี่ไม่ใช่เรื่องราคาอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีแล้ว หากสำนักใดยอมแพ้ก่อนก็จะเสียศักดิ์ศรีน่ะซิ
“หึ! หากเจ้าอยากได้มากถึงขนาดนั้นก็เชิญเจ้าเอาไปเถอะ” คนของสำนักซ่อนจันทร์เอ่ยขึ้นมา นางไม่เสนอราคาแข่งอีก เพราะ 100 ล้านเป็นจำนวนที่สูงเกินไปสำหรับโอสถระดับ 1 ที่นางมาประมูลก็เพราะท่านเจ้าสำนักสนใจโอสถนี้อยากจะได้กลับไปศึกษาดูเสียหน่อย ท่านเจ้าสำนักให้หยกพวกนางมา 50 ล้าน ในเมื่อราคาพุ่งไปถึง 100 ล้านเช่นนี้พวกนางก็ไม่คิดจะเสนอราคาแข่งแล้ว รอไว้ครั้งหน้ามีโอสถพิษศิลาออกมาอีกพวกนางค่อยประมูลกลับไปก็ได้
“หึ!” คนของสำนักเทียนเต๋าแค่นเสียงเยาะทีหนึ่ง บุรุษชุดดำมองๆ แล้วถามว่า “ยังจะมีใครให้ราคาสูงกว่า 100 ล้านหรือไม่?”
เกิดความเงียบงันขึ้นมาทันที บุรุษชุดดำมองกวาดไปรอบๆ แล้วประกาศว่า “โอสถพิษศิลาและโอสถแก้พิษศิลาเป็นของท่านแล้ว”
เขาผายมือไปทางผู้ประมูล คนของสำนักเทียนเต๋าเหยียดยิ้มแล้วเดินแหวกผู้คนไปจ่ายค่าโอสถที่กระโจม สตรีบนเวทีก็ถือถาดเดินลงไป นางรู้สึกมือสั่นๆ นิดหนึ่ง เพราะโอสถที่นางถืออยู่ราคาถึง 100 ล้านเชียวนะ!
เฉินมู่อิ๋งก็คาดไม่ถึงว่าราคาจะพุ่งไปถึงขนาดนั้น นี่ทำให้เขาตกใจมากจริงๆ แล้วมองคนของสำนักเทียนเต๋าที่ใช้หยกราวกับเป็นก้อนหินข้างทางอย่างไรอย่างนั้น สำนักเทียนเต๋าช่างร่ำรวยเสียจริง เหอๆๆๆ…
เขามองคนของสำนักซ่อนจันทร์แล้วพอจะเดาความคิดพวกนางได้ พวกนางย่อมคิดว่าโอกาสหน้ายังมีอยู่น่ะซิ ดังนั้น เขาจึงคิดว่าจะไม่นำโอสถพิษศิลาเข้าร่วมประมูลสักระยะ เอาไว้สักปีหน้าค่อยส่งโอสถพิษศิลาเข้าร่วมประมูลละกัน หึๆๆๆ…
หลังจบการประมูล ผู้คนก็แยกย้ายกันไป เฉินมู่อิ๋งก็รอจนคนอื่นๆ เข้าไปรับค่าโอสถกันหมดแล้ว เขาจึงเข้าไปเป็นคนสุดท้าย ทันทีที่ผู้ดูแลตลาดเห็นก็รีบผายมือต้อนรับขับสู้ราวกับว่าคุณชายโอหยางเป็นบ่อเงินบ่อทองอย่างไรอย่างนั้น “คุณชาย เชิญนั่งๆ”
“อืม” เฉินมู่อิ๋งนั่งลง ยกชาที่ลูกน้องของหนิงเฉิงยกมาให้ขึ้นจิบอย่างใจเย็น หนิงเฉิงนำถุงฟ้าดินใบหนึ่งยื่นให้ “นี่เป็นค่าโอสถของคุณชาย เชิญท่านนับดูก่อน”
“อืม” เฉินมู่อิ๋งรับถุงฟ้าดินใบนั้นมาแล้วมองสำรวจในถุง เขาเห็นหยกปราณฟ้าดินกองเป็นภูเขาย่อมๆ ลูกหนึ่งอยู่ในถุง เขาจึงคิดจะย้ายหยกเหล่านั้นมาเก็บไว้ในถุงฟ้าดินของตัวเองแล้วคืนถุงใบนี้ให้หนิงเฉิงไป แต่หนิงเฉิงรีบพูดขึ้นว่า “ถุงฟ้าดินใบนี้มอบให้คุณชายไปเลย ท่านไม่ต้องคืนให้ข้าหรอก”
“อ่อ ขอบคุณมาก” เฉินมู่อิ๋งจึงเก็บถุงฟ้าดินใบนั้นใส่อกเสื้อแล้วเก็บเข้าไปในแหวนคุนเฉียนอย่างเงียบกริบ เขาดึงมือออกมาแล้วยกชาขึ้นจิบ จากนั้นก็บอกว่า “โอสถพิษศิลาข้าจะนำมาประมูลอีกครั้งปีหน้า”
“หา!” หนิงเฉิงตกใจมาก เฉินมู่อิ๋งพูดขึ้นว่า “ของดีมีน้อยราคาย่อมสูงไม่ใช่รึ หากหาได้ง่ายเหมือนหัวผักกาดยังจะมีราคาอีกรึ”
“อา…” หนิงเฉิงปากอ้าค้าง คำพูดของคุณชายโอหยางถูกต้องแล้ว ที่ราคาโอสถพุ่งไปถึง 100 ล้านก็เป็นเพราะ 2 สำนักใหญ่แย่งกันอย่างไรล่ะ หากว่าต่อๆ ไป ยังมีโอสถพิษศิลาออกมาเรื่อยๆ ราคาย่อมตกลงแน่นอน นี่เป็นหลักการค้าขายที่เขาเองก็รู้ดี เขาสูดลมหายใจเข้าแล้วพยักหน้าหงึกๆ “ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะประกาศออกไปว่าจะไม่มีโอสถพิษศิลาอีก จะมีมาอีกครั้งเมื่อไหร่ก็ไม่รู้จริงๆ บางทีอาจจะไม่มีอีกแล้วก็ได้ จริงไหมคุณชาย หึๆๆๆ…”
“ใช่” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้า “ครั้งหน้าข้าจะเอาโอสถชนิดอื่นมาเข้าร่วมประมูลล่ะกัน”
“ได้ๆ ข้าจะรอ” หนิงเฉิงยิ้มแย้มตอบ เฉินมู่อิ๋งวางถ้วยชาลงแล้วถามว่า “คนของท่าน จะตามข้าอีกนานไหม?”
“…” หนิงเฉิงสะดุ้งในใจทีหนึ่ง เห็นคุณชายโอหยางมองจ้องมา ดวงตาใต้หน้ากากนั่นดูดุดันจนเขาเผลอกลืนน้ำลายทีหนึ่ง เขาสูดลมหายใจเข้าแล้วรีบบอกว่า “ไม่ตามแล้วๆ”
“ดี” เฉินมู่อิ๋งเอ่ยคำเดียวแล้วลุกขึ้นเดินออกไป หนิงเฉิงมองตามแล้วถอนหายใจ เขาสั่งลูกน้องไม่ให้ตามคุณชายโอหยางแล้ว หากทำให้คุณชายขุ่นเคืองใจขึ้นมาย่อมไม่ใช่เรื่องดี แน่นอนว่าเขาย่อมไม่กล้าทำให้คุณชายท่านนี้ขุ่นเคืองใจเด็ดขาด บ่อเงินบ่อทองเช่นนี้เขาย่อมคิดรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี ไม่แน่ว่าครั้งหน้าอาจจะมีโอสถอะไรที่ทำให้สะเทือนฟ้าดินเช่นนี้ออกมาอีกก็ได้ เขาเชื่อว่าตัวเองมองออกว่าคุณชายโอหยางคนนี้เป็นยอดอาจารย์หลอมโอสถที่น่าจะเก่งกาจเทียบเท่ากับอาจารย์หลอมโอสถระดับ 9
อาจารย์หลอมโอสถระดับ 9 หาง่ายนักหรือ แน่นอนว่าไม่ง่ายเลย ทั่วทั้งแดนเซียนนับด้วยมือข้างเดียวก็ครบแล้ว คนหนึ่งก็คืออาจารย์หยาง อีกคนก็คืออาจารย์จง อีกคนก็คือรองเจ้าสำนักเทียนเต๋า หากว่าคุณชายโอหยางคนนี้เทียบเท่ากับท่านอาจารย์เหล่านั้น แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่บุคคลที่เขาควรจะล่วงเกินด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพียงเพราะอยากรู้ฐานะแท้จริงของอีกฝ่าย ในเมื่อคุณชายไม่อยากให้รู้เช่นนั้นก็ยังไม่ต้องรู้ก็ได้ หากว่าวันหน้าติดต่อค้าขายกันไปเรื่อยๆ เช่นนี้เขาแน่ใจว่าวันหน้าคุณชายจะต้องหลุดปากออกมาด้วยตัวเองเป็นแน่
เฉินมู่อิ๋งออกจากกระโจมแล้วเดินเล่นอยู่ในตลาดพักใหญ่ เขาเดินวนไปวนมาจนแน่ใจว่าไม่มีใครติดตามมาอีกก็โล่งใจ จากนั้นเขาก็หาที่ๆ มีกลุ่มคนพลุกพล่านแล้วเดินปะปนไปกับผู้คน เมื่อสบโอกาสก็เก็บหน้ากากกับผ้าคลุมไปในชั่วพริบตาแล้วเดินปะปนไปกับผู้คน เขาเดินเข้าเดินออกกระโจมนั้นกระโจมนี้อยู่พักใหญ่แล้วก็ออกจากตลาดกลับสำนักไป ส่วนงานประมูลอาวุธในวันพรุ่งนี้เขาไม่สนใจแล้ว เพราะเขาไม่คิดจะเข้าร่วมประมูลอาวุธน่ะซิ เขาอยากหลอมอาวุธของตัวเองมากกว่า เขาจะต้องหลอมอาวุธของตัวเองให้ได้!
เมื่อกลับถึงสำนัก เฉินมู่อิ๋งก็ไปหาศิษย์พี่เลี่ยงก่อน ขอบะหมี่กินชามหนึ่งแล้วก็กลับเขาไผ่ไป เมื่อกลับถึงกระท่อม เขาก็ศึกษาตำราหลอมอาวุธของอาจารย์เฟยเทียนต่อ เขาเก็บตัวอยู่ในกระท่อมไม่ออกไปไหน จนกระทั่งศิษย์พี่เลี่ยงเอาปิ่นโตมาส่งก็ออกไปรับปิ่นโตแล้วกลับเข้ากระท่อม ปิดประตูนั่งกินข้าว เขารีบกินให้อิ่มแล้วก็กลับไปอ่านตำราของอาจารย์เฟยเทียนต่อ
หยางซีหยุนแอบมองอยู่ไกลๆ เห็นเจ้าศิษย์ชั่วเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในกระท่อม เขาจึงเฝ้ามองอีกพักหนึ่งถึงได้กลับเรือนไผ่ไป
ครั้นค่ำคืนมาเยือน เฉินมู่อิ๋งซึ่งอาบน้ำแล้วสวมเพียงอาภรณ์ตัวในนั่งอยู่บนเตียงกำลังจะนอน พลัน! เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าย่องผ่านกระท่อมไป เขาขมวดคิ้ว เพราะเสียงฝีเท้านั้นไม่ใช่อาจารย์หยาง อีกทั้งไม่ใช่แค่คนเดียว แต่น่าจะสามสี่คนกระมัง เสียงฝีเท้าเหล่านั้นค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ ดูเหมือนว่ากำลังตรงไปยังเรือนไผ่ของอาจารย์หยาง เฉินมู่อิ๋งจึงลงจากเตียงอย่างเงียบกริบ ย่องไปแง้มหน้าต่างมองดู เขาเห็นเงาดำๆ สามสี่เงากำลังมุ่งหน้าไปทางเรือนไผ่ของอาจารย์หยางจริงๆ “หรือว่าเป็นมือสังหาร?”
เขามองดูเงาพวกนั้นที่ค่อยๆ ห่างออกไป ด้วยความสงสัยเขาจึงหยิบอาภรณ์สีดำออกมาสวมแล้วลอบตามคนกลุ่มนั้นไป
แกร๊บ! เสียงเหยียบกิ่งไผ่แห้งดังขึ้นในความมืด คนกลุ่มนั้นหยุดชะงักทันที แล้วซุบซิบกัน “ชู่ว! เจ้าเบาหน่อยซิ”
เสียงที่พึมพำดุออกมานั้นเป็นเสียงสตรี เงาข้างๆ พยักหน้าหงึกๆ เฉินมู่อิ๋งซึ่งตามหลังคนกลุ่มนั้นไปจึงรู้ว่าคนที่พูดเป็นสตรี ส่วนคนอื่นๆ ยังคลุมเครือไม่แน่ชัด แต่ดูจากความสูงแล้วคนกลุ่มนั้นสูงต่ำไม่ต่างกันมากนัก รูปร่างผอมๆ กันทั้งหมด แล้วคนกลุ่มนั้นก็เดินย่องไปอีก เฉินมู่อิ๋งลอบตามไปอย่างเงียบกริบ ตัวเขากลืนไปกับสภาพแวดล้อมราวกับกลายเป็นส่วนหนึ่งของป่าไผ่อย่างไรอย่างนั้น เขารักษาระยะห่างจากคนกลุ่มนั้นพอประมาณ
จนกระทั่งคนกลุ่มนั้นไปถึงเรือนไผ่ พวกนั้นอ้อมไปทางด้านหลังเรือนไผ่ แล้วแอบซุ่มอยู่ข้างก้อนหินที่ตกแต่งเหมือนภูเขาจำลอง เฉินมู่อิ๋งก็ไม่เคยเข้าไปด้านหลังเรือนไผ่จึงไม่รู้ว่าด้านหลังเรือนไผ่เป็นสวนที่ตกแต่งอย่างดี มีบ่อน้ำร้อนควันลอยกรุ่น ทำให้มองดูแล้วเหมือนเป็นสรวงสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น
คนกลุ่มนั้นซุ่มอยู่เงียบๆ เหมือนกำลังรอคอย เฉินมู่อิ๋งมองคนกลุ่มนั้นเขม็ง มีเสียงฝีเท้าเดินมา เฉินมู่อิ๋งมองไปเห็นอาจารย์หยางเดินออกจากจากเรือนไผ่ เขาจึงตื่นตัวพร้อมที่จะเข้าช่วยเหลืออาจารย์หยางทันทีที่คนกลุ่มนั้นคิดลงมือ
หยางซีหยุนถอดอาภรณ์ออกทีละชั้น…ทีละชั้น จนเหลือแต่กางเกงขายาวตัวในตัวเดียว แผงอกล่ำสันปรากฎท่ามกลางแสงสลัวของหยกแสงที่ส่องสว่างอยู่โดยรอบ หยกแสงนี้จะเปล่งแสงออกมาจางๆ หากมีก้อนเดียวก็จะคล้ายแสงจันทร์ในคืนเดือนเพ็ญ แต่เมื่อรวมหลายๆ ก้อนก็จะส่องสว่างมากขึ้น บริเวณโดยรอบมีหยกแสงวางไว้ตามจุดต่างๆ รอบๆ บ่อน้ำร้อน รวมแล้วราวๆ เจ็ดแปดก้อนกระมัง ทำให้บริเวณบ่อน้ำร้อนสว่างสลัวๆ ผิวที่ขาวผ่องของเขาสะท้อนกับแสงจากหยก ทำให้คนกลุ่มนั้นมองจ้องเขม็ง
หยางซีหยุนก้าวลงไปในบ่อน้ำร้อน เขาแช่น้ำร้อนอย่างสุขสบาย เอนหลังพิงขอบบ่อ เงยหน้ามองดูดาวบนฟ้า คนกลุ่มนั้นจ้องมองเขม็ง แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะพุ่งเข้าไปลงมือเสียทีทำให้เฉินมู่อิ๋งที่มองอยู่ด้านหลังคนกลุ่มนั้นได้แต่รอคอย เขาไม่เห็นสีหน้าของคนกลุ่มนั้นที่กำลังมองอาจารย์หยางอย่างหลงใหล ใช่! พวกนางเป็นศิษย์ของสำนักหมื่นดารา พวกนางไม่ได้มีใจคิดฆ่าอาจารย์หยาง พวกนางเพียงแค่ต้องการแอบดูอาจารย์หยางเท่านั้น พวกนางแอบไปตีสนิทกับเลี่ยงจินถามเกี่ยวกับเขาไผ่ทำให้พอจะรู้เกี่ยวกับตำแหน่งอาคมบนเขาไผ่คร่าวๆ
หากลอบเข้าไปจากทางกระท่อมของศิษย์คนเดียวของอาจารย์หยางแล้วเดินไปตามเส้นทางจนถึงเรือนไผ่ก็จะไม่ถูกอาคมบนเขาไผ่ พวกนางฟังแล้วก็ชวนกันมาแอบดูอาจารย์หยาง แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้เจออาจารย์หยางออกมาแช่น้ำร้อนเช่นนี้ นี่กำไรจริงๆ พวกนางมองดูอย่างหลงใหลจนหน้าแดงก่ำ จนกระทั่งรู้สึกว่ามีอะไรอุ่นๆ ไหลลงมาจากมุมปาก หนึ่งคนในนั้นจึงรู้สึกตัวยกมือขึ้นแตะข้างมุมปากของตัวเอง พบว่าเป็นน้ำลายของนางนั่นเอง การเคลื่อนไหวนี้ทำให้หยางซีหยุนจับสัมผัสได้ เขาลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที สีหน้าเย็นเยียบขึ้นมาทันใด “ใคร!?”
ศิษย์หญิงเหล่านั้นเห็นอาจารย์หยางลุกขึ้นก็ก็ตกใจจนหลุดเสียงอุทาน “อุ๊ย!”
หยางซีหยุนได้ยินเสียงก็ยิ่งมีสีหน้าเย็นเยียบยิ่งขึ้น “ไสหัวออกมา! หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ทำไม!”
กระบี่เซียนของเขาพุ่งออกมาจากถุงฟ้าดิน ลอยอยู่เบื้องหลังเขา ศิษย์หญิงเหล่านั้นจับมือกันแน่นแล้วรีบวิ่งหนีไปข้างหลังทันที เสียงน้ำร้อนไหลลงบ่อน้ำร้อนทำให้หยางซีหยุนฟังเสียงฝีเท้าได้ไม่ถนัดนัก เขารู้แต่ว่ามีคนกำลังวิ่งหนีไปในความมืดจึงลุกขึ้นสะบัดกระบี่เซียนให้ไล่ตามไปทันที กระบี่เซียนบินออกไป ฟิ้ว!
เฉินมู่อิ๋งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากคนกลุ่มนั้นมากนัก ทันทีที่คนกลุ่มนั้นวิ่งมาทางเขา เขาก็ลุกขึ้นยืนขวางเอาไว้ “จะหนีไปไหน?”
“อ้า!” ศิษย์หญิงกลุ่มนั้นตกใจที่จู่ๆ ก็ถูกคนๆ หนึ่งขวางทาง หนึ่งคนในกลุ่มพวกนางตั้งสติได้ในพริบตา ยื่นมือคว้าไหล่คนที่ขวางหน้าเอาไว้แล้วเหวี่ยงไปข้างหลังพวกนางทันที จากนั้นก็คว้ามือศิษย์พี่ศิษย์น้องแล้วรีบวิ่งหนีไปตามทางเดิมที่ลอบเข้ามาทันที
“โอ๊ะ!” เฉินมู่อิ๋งร้องคำหนึ่ง เห็นว่าพวกนางเป็นศิษย์ร่วมสำนักจึงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่เพียงตกตะลึงครู่เดียวนั้นก็เพียงพอให้พวกนางลงมือแล้ววิ่งหนีไปได้ เฉินมู่อิ๋งเซไป ยังไม่ทันตั้งตัวจู่ๆ กระบี่เซียนก็พุ่งมาถึงตัวเขาแล้ว เขายกแขนขึ้นกันตามสัญชาตญาณ หยางซีหยุนก็พุ่งมาถึงพอดี เขาหยุดกระบี่เซียนเอาไว้ห่างจากคนๆ นั้นแค่นิ้วเดียว เพราะเขาอยากจะดูหน้าคนที่กล้าแอบเข้ามาให้ชัดๆ
เฉินมู่อิ๋งไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอะไรจึงลดแขนลง เห็นกระบี่เซียนหยุดอยู่กลางอากาศ เห็นอาจารย์หยางยืนอยู่ตรงหน้า สีหน้าถมึงทึงยิ่งนัก เขากลืนน้ำลายเอือก แล้วขยับปากจะพูด “เอ่อ…”
“หึ! ศิษย์ข้าช่างชั่วช้าเสียจริง กล้ามาแอบดูอาจารย์ตัวเองอาบน้ำเช่นนี้ เลว! เลวจนข้าคิดไม่ถึงจริงๆ” หยางซีหยุนด่าน้ำเสียงเย็นเยียบ ดวงตาลุกโชนราวกับมีเปลวไฟลุกเรืองอยู่ในดวงตาคู่นั้น แต่เปลวไฟนั้นกลับทำให้เฉินมู่อิ๋งรู้สึกเหมือนตกลงไปในโพรงน้ำแข็งเย็นเฉียบอย่างไรอย่างนั้น เฉินมู่อิ๋งยังไม่ทันจะอธิบายอะไรก็เห็นอาคมผนึกพุ่งเข้าใส่ตัวเขาแล้ว ทำให้เขาตัวแข็งค้างขยับตัวไม่ได้
“หึ! ศิษย์ชั่วๆ เช่นเจ้า ข้าจะเฆี่ยนให้หลังขาดเชียว!” หยางซีหยุนมองอย่างโกรธจัด ยื่นมือไปหิ้วคอเสื้อเจ้าศิษย์ชั่วแล้วลากกลับไปที่เรือนไผ่ เฉินมู่อิ๋งถูกลากครูดไปกับพื้นทำให้เขารู้สึกเจ็บแสบยิ่งนัก แต่เขาก็ร้องไม่ได้เพราะถูกผนึกเอาไว้
กระบี่เซียนบินกลับไปเข้าไปในถุงฟ้าดิน หยางซีหยุนลากเจ้าศิษย์ชั่วไปถึงด้านหลังเรือนไผ่ก็จับเจ้าศิษย์ชั่วมัดโยงกับขื่อแล้วหยิบแส้ออกมาจากถุงฟ้าดิน จากนั้นก็ฟาดขวับ!
เฉินมู่อิ๋งเจ็บยิ่งนักแต่ก็ร้องไม่ออก เสียงของเขาจุกอยู่ในปาก เขาจดจำความแค้นครั้งนี้เอาไว้ ศิษย์หญิงพวกนั้นเขาจำหน้าพวกนางได้หมดทุกคน โดยเฉพาะคนที่ผลักเขาไปรับกระบี่นั่น คอยดูซิ เขาจะตอบแทนพวกนางอย่างสาสมเลยทีเดียว ส่วนอาจารย์หยางที่ลงโทษเขาโดยที่ไม่ให้โอกาสเขาได้อธิบายแม้แต่น้อย เขาก็จดจำความแค้นนี้ไว้ในใจแล้ว
ขวับ! แส้ที่ 2 ฟาดใส่หลังเขา ทำให้เขาเจ็บมากขึ้น หยางซีหยุนฟาดแส้ไปพลางมองอย่างโมโหจัด ศิษย์คนอื่นหรือแสนดีแสนน่ารัก แต่ศิษย์ของเขากลับทำแต่เรื่องชั่วๆ เช่นนี้ ทำให้เขาโกรธจนแทบอยากจะฆ่าให้ตายเลยทีเดียว มือจึงฟาดแส้ใส่แผ่นหลังเล็กนั่นอย่างไม่ออมแรงเลยทีเดียว เขาฟาดขวับ! ขวับ! ขวับ!…
เฉินมู่อิ๋งเจ็บจนน้ำตาคลอในดวงตา เขาพยายามฝืนไม่ให้มันไหลออกมา เขาไม่เคยต้องถูกลงโทษเช่นนี้เลยสักครั้ง มีแต่สั่งคนอื่นเฆี่ยนตีผู้อื่น ความเจ็บปวดเช่นนี้ทำให้เขายิ่งแค้นใจนัก ทำดีกลับได้ความชั่วตอบแทนเสียนี่!
หากเขาไม่ห่วงอาจารย์หยางว่าจะถูกคนฆ่าตายเขาคงไม่ออกจากกระท่อมตามคนพวกนั้นมาหรอก เมื่อมาถึงแล้วกลับกลายเป็นว่าอาจารย์หยางเข้าใจเขาผิดคิดว่าเขามาแอบดูอาจารย์อาบน้ำ อีกทั้งไม่ให้โอกาสเขาได้อธิบายอะไรเลย อาจารย์ที่อคติเช่นนี้ไม่สมควรเป็นอาจารย์เขาหรอก! เขาจึงยิ่งรู้สึกเกลียดอาจารย์หยางมากขึ้น ในเมื่อยัดเยียดความผิดให้เขาเช่นนี้ เขาก็ไม่คิดจะอธิบายอะไรแล้ว เขาได้แต่ทนความเจ็บปวดไปเรื่อยๆ
หยางซีหยุนฟาดแส้ใส่ไม่รู้กี่ทีต่อกี่ที เขาฟาดจนอาภรณ์สีดำฉีกขาดเห็นแผ่นหลังขาวเต็มไปด้วยรอยแส้ เลือดไหลซึมออกมาตามรอยแผลพวกนั้น เขามองอย่างไม่คิดสงสารแม้แต่น้อย ในความคิดเขา ศิษย์ชั่วช้าเช่นนี้สมควรเฆี่ยนให้หลังขาด!
เฉินมู่อิ๋งถูกเฆี่ยนจนสลบไปเมื่อไหร่ไม่รู้ หยางซีหยุนมองอีกทีเห็นเจ้าศิษย์ชั่วสลบไปแล้วจึงได้หยุดมือเพราะหากเฆี่ยนมากกว่านี้อีกมันคงตายคาแส้เสียก่อน เขาตวัดมือไป กระบี่เซียนก็บินออกมาจากถุงฟ้าดินแล้วตัดเชือกจนขาด ร่างของเฉินมู่อิ๋งก็ร่วงตุบกองกับพื้นอยู่ตรงนั้น หยางซีหยุนมองอย่างยังโมโหไม่หาย เขาเก็บกระบี่เก็บแส้แล้วหยิบอาภรณ์ของเขาเดินอ้อมร่างเจ้าศิษย์ชั่วเข้าเรือนไป เขาปล่อยมันไว้ตรงนั้นไม่คิดจะช่วยแก้มัดสักนิด ปล่อยให้มันนอนอยู่ตรงนั้นไปเถอะ เขามองมันแล้วสะบัดหน้าไป “หึ!”