ตอนที่ 1020
เลยผ่านไป
ตรงบริเวณที่อยู่ในท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาวใกล้กับเศษซากเซียน สิ่งที่ปรากฏขึ้นเป็นดินแดนอันกว้างใหญ่ที่ยืดยาวออกไป แต่ถ้ามองดูให้ละเอียดก็จะพบว่านั่นไม่ใช่พื้นดินอันกว้างใหญ่จริงๆ แต่เป็นเต่าขนาดยักษ์
เต่านั้นมีหน้าตาที่บูดบึ้งเป็นอย่างยิ่ง และดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยความดุร้าย เห็นได้ชัดว่ามันกำลังมีโทสะ แต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดออกมา แค่บินผ่านกลุ่มดาวไปเรื่อยๆ
เมิ่งฮ่าวนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ไหนสักแห่งบนหลังของเต่าตัวนั้น กำลังจิบดื่มสุราลงไป กู๋อี่ติงซานอวี่นั่งอยู่ที่ด้านข้างด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ขณะที่ทำการอุ่นไหสุรา
กลิ่นหอมของสุรากระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง และเมิ่งฮ่าวก็รู้สึกสบายใจขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ เมื่อคิดไปว่าสามารถจะหลบหนีการแต่งงานมาได้สำเร็จ ทันใดนั้นก็รู้สึกราวกับว่าทั่วทั้งโลกแห่งนี้ต่างก็เต็มไปด้วยความเป็นไปได้ที่ไร้ขอบเขต ถึงแม้ว่าได้ฝึกตนมาเป็นเวลานานหลายปีมากแล้ว แต่นี่ก็คือบุคลิกส่วนตัวของเมิ่งฮ่าว ถึงแม้ดูเหมือนว่ามันจะไม่มั่นคง แต่เมิ่งฮ่าวก็ชอบที่จะเป็นเช่นนี้ เขาไม่ต้องการจะลงหลักปักฐานในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งเป็นการเฉพาะ เขาต้องการกระทำในสิ่งที่ตนเองพอใจ ในมุมมองของเขา เมื่อพูดถึงเรื่องเส้นทางแห่งการฝึกตน การที่ต้องนั่งนิ่งโดยไม่ทำอะไรเลยช่างเป็นเรื่องที่น่าเบื่อและไร้ความหมายโดยแท้
เต๋าของเมิ่งฮ่าวคือเต๋าแห่งความเป็นอิสระและเสรีภาพ ซึ่งเป็นเช่นเดียวกันกับบุคลิกส่วนตัวของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำมาในชั่วชีวิตนี้ ได้กระทำตามบุคลิกภาพของเขาทั้งสิ้น
แต่กลับกัน ในตอนนี้ปรมาจารย์เอกะเทวะรู้สึกหงุดหงิดจนคันไปทั่วปาก ประกอบกับมีนกแก้วที่วางท่าเป็นผู้อาวุโส
กำลังส่งเสียงแหลมเล็กอยู่ที่ข้างหูมันอย่างต่อเนื่อง พยายามพูดให้มันยินยอมที่จะกลายเป็นเสี่ยวตี้ (น้องชาย) ให้จงได้ จึงทำให้ปรมาจารย์เอกะเทวะยิ่งมีโทสะมากขึ้นกว่าเดิม
ถ้านั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ปรมาจารย์เอกะเทวะก็คงจะสามารถกล้ำกลืนฝืนทนต่อสถานการณ์เช่นนี้ได้ แต่ผีโต้งกลับพูดจาอย่างไม่รู้จบ จนทำให้มันแทบจะต้องพังทลายลงไปได้ทุกเมื่อ เสียงพูดคุยอยู่ตลอดเวลาของมันแทบจะคล้ายกับเป็นเวทสาปแช่ง และทำให้ปรมาจารย์เอกะเทวะมีความสงสัยเป็นอย่างมากว่า เมิ่งฮ่าวสามารถจะอดทนต่อการมีเจ้าสองตัวนี้อยู่รอบตัวตลอดเวลาได้อย่างไรกัน มันเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยจริงๆ
“บัดซบ! เหลาจู่ช่างโชคร้ายนัก! ต้องรีบพาเจ้าสารเลวน้อยไปยังทะเลที่เก้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จากนั้นเหลาจู่ก็จะจากขุนเขาทะเลที่เก้าไปและจะไม่มีทางกลับมาอีก!”
“ข้าไม่เชื่อว่า ถ้าข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ด้านนอกของขุนเขาทะเลแห่งนี้แล้ว เจ้าสารเลวน้อยนั่นจะสามารถค้นหาข้าเจออีก!” ปรมาจารย์เอกะเทวะรู้สึกคับข้องใจเป็นอย่างยิ่ง จนต้องแอบแผดร้องด้วยโทสะขึ้นมาอยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจ
มันรู้สึกว่ากำลังถูกปฏิบัติด้วยความอยุติธรรมเป็นอย่างยิ่ง ในความคิดเห็นของมัน ตั้งแต่ที่มันไปพบเจอกับพันธมิตรแห่งผู้ผนึกอสูรแล้ว ชีวิตของมันก็กลายเป็นสีเทาหม่นราวกับเป็นขี้เถ้า
“สักวันหนึ่ง เหลาจู่จะต้องกลืนกินพันธมิตรแห่งผู้ผนึกอสูรลงไปให้หมดเกลี้ยง! ท่านย่ามันเถอะ! เหลาจู่จะต้องมอบโชควาสนาให้กับผู้ผนึกอสูรเหล่านั้นบ้างแล้ว!”
บางทีอาจจะเป็นเพราะว่ามันมัวแต่สาปแช่งอยู่ภายในใจมาเป็นเวลานานแล้ว ทำให้มันได้หลงออกไปจากทิศทางที่กำลังจะมุ่งหน้าไป
และเริ่มลอยตรงไปยังเศษซากเซียนอีกครั้ง เมิ่งฮ่าวกระแอมไอออกมา ยกมือขวาขึ้นชี้ตรงไปยังที่ด้านหลังของปรมาจารย์เอกะเทวะ
“ชิ่ว ชิ่ว!!” เมิ่งฮ่าวจ้องมองไป ปลดปล่อยเวทผนึกอสูรรุ่นแปดออกมาอย่างเต็มกำลัง แต่ปากก็ร้องตะโกนออกไปเหมือนกับเป็นคำสั่งที่ใช้ในตอนขับขี่อาชา
ในทันทีที่เวทผนึกอสูรรุ่นแปดปรากฏขึ้น ปรมาจารย์เอกะเทวะก็หยุดชะงักลงในทันใด ราวกับว่าเมิ่งฮ่าวกำลังขี่ปรมาจารย์เอกะเทวะเหมือนกับเป็นอาชาจริงๆ
ดวงตาของปรมาจารย์เอกะเทวะเบิกกว้างขึ้น และเริ่มสั่นสะท้านไปทั้งร่าง หลังจากที่ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ ร่างกายมันก็กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม มันแหงนหน้าขึ้นและส่งเสียงแผดร้องคำรามออกมาด้วยความขมขื่นและขุ่นมัว มันมีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนาน แล้วทำไมจะไม่เข้าใจถึงความหมายของคำว่า ‘ชิ่ว’?
“เมิ่งฮ่าวเจ้าสารเลวน้อย ข้าคือปรมาจารย์เอกะเทวะ ไม่ใช่อาชา ไม่ใช่สัตว์พาหนะ!!”
เมิ่งฮ่าวกระแอมไอออกมา เขาเป็นผู้ที่ใฝ่รู้มาตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงแม้ว่าจะรู้ถึงคำสั่งในการขับขี่อาชาเหล่านั้น แต่ก็แทบไม่มีโอกาสที่จะได้ใช้ออกมาอย่างแท้จริง ตอนนี้เมื่อเขากำลังนั่งอยู่บนหลังของปรมาจารย์เอกะเทวะ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะนึกขึ้นได้ถึงคำพูดเหล่านั้น “ดี ไปเลย!”
ในทันทีที่เขากล่าวคำว่า ‘ไปเลย’ ปรมาจารย์เอกะเทวะก็เริ่มเคลื่อนที่ตรงไป โดยที่ไม่ทันจะขบคิด ไม่นานต่อมามันก็แทบจะระเบิดเป็นเพลิงโทสะออกมา เมื่อตระหนักว่ามันกำลังให้ความร่วมมือโดยไม่รู้ตัวกับคำสั่งการขับขี่อาชาของเมิ่งฮ่าว
“ข้าจะกินเจ้า! จะกินเจ้าแล้ว!” ปรมาจารย์เอกะเทวะ สั่นสะท้านไปทั้งร่างด้วยความคลุ้มคลั่ง กำลังจะยกศีรษะขึ้นมา แต่เมิ่งฮ่าวก็รีบกล่าวขึ้นอย่างรวดเร็ว “โอ๋ โอ๋!”
ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็ปลดปล่อยรอยแตกของเวทผนึกอสูรรุ่นห้าไปยังศีรษะข้างขวาของปรมาจารย์เอกะเทวะ ทำให้มันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นในทันที อีกครั้งที่มันให้ความร่วมมือกับคำสั่งเสียงของเมิ่งฮ่าวอย่างลืมตัว
“เมิ่งฮ่าว!!” ปรมาจารย์เอกะเทวะแหงนหน้าขึ้นและแผดร้องออกมา เป็นเสียงที่ดังก้องออกไปในท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาว ในที่สุดก็บรรลุไปถึงสถานที่ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก ทำให้หลี่หลิงเอ๋อร์ ซึ่งกำลังหลบหนีเอาชีวิตรอดอยู่ในตอนนี้ได้ยินขึ้นมา
โลหิตไหลซึมออกมาจากมุมปากของนาง และใบหน้าที่งดงามของนางก็ซีดขาวราวซากศพ เสื้อผ้าของนางฉีกขาด และผิวกายก็มีรอยบาดแผลอยู่หลายแห่ง ทำให้ดูเหมือนกับว่านางกำลังถูกคุกคามจนได้รับความอับอาย
บนหน้าผากของนางมีรอยแผลฉีกขาด ทำให้โลหิตไหลออกมา และหยดลงไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
เส้นผมของนางยุ่งเหยิงเป็นกระเซิง และมีกลิ่นอายที่อ่อนแอ ขณะที่นางพุ่งตรงไปข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม ดวงตาของนางก็ยังคงเจิดจ้าขึ้นด้วยโทสะ นางจะไปคาดคิดได้อย่างไรว่า หลังจากที่หลบหนีออกมาจากตระกูลได้สำเร็จแล้ว จะต้องมาเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนที่น่ากลัวเช่นนี้ บนเส้นทางที่จะไปยังทะเลที่เก้าของนางได้?
บุรุษหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าอี้ฝ่าจือเป็นคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง ดังนั้นนางจึงเชื่อมั่นว่ามันไม่ใช่ผู้ถูกเลือกจากสำนักและตระกูลใดๆ แต่ถึงกระนั้น…นางก็สามารถจะรับรู้ได้ถึงระลอกคลื่นอันน่ากลัวที่กระจายออกมาจากร่างของมันได้
ถึงแม้ว่าหลี่หลิงเอ๋อร์จะมีพื้นฐานฝึกตนอยู่ที่ขั้นสูงสุดของอาณาจักรเซียนก็ตามที
แต่นางก็สามารถต่อสู้กับความสามารถศักดิ์สิทธิ์ของอี้ฝ่าจือ ได้แค่ชั่วเวลาธูปไหม้หมดไปไม่ถึงครึ่งดอกเท่านั้น นางต้องพ่ายแพ้ไปอย่างสิ้นท่าในทันที ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่านางมีวิชาช่วยชีวิตบางอย่างแอบซ่อนไว้ นางก็คงจะถูกกำจัดไปนานแล้ว
“คนผู้นี้เป็นใคร?!?!” นางครุ่นคิด กัดริมฝีปากขณะที่รับรู้ได้ถึงอันตรายอันร้ายแรงที่พุ่งขึ้นมาในจิตใจ
“เจ้าไม่มีทางหนีพ้น” เจิ้งหลินฝ่าพูดขึ้นมา เลียหยดโลหิตออกไปจากมือของมัน ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันลี้ลับ มีรอยยิ้มน้อยๆ อยู่บนใบหน้า มันไม่รีบร้อน นอกจากนั้นผู้พิทักษ์เต๋าของมันก็บอกว่า การสังหารหญิงสาวนางนี้จะช่วยให้การทดสอบของมันเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ดังนั้นมันจึงต้องการจะทำให้ตัวเองมีความสุขนานมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
แต่ถ้าสุดท้ายแล้วมีบางสิ่งที่ไม่อาจจะควบคุมได้ มันก็ไม่จำเป็นต้องไปจัดการด้วยตนเอง เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้พิทักษ์เต๋าของมันจะต้องมาจัดการกับเรื่องยุ่งยากใดๆ ที่เกิดขึ้นมานั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว เท่าที่มันคิด ผู้พิทักษ์เต๋าของมันมัวแต่ระมัดระวังตัวมากเกินไป
“ไม่สำคัญว่าเจ้าจะเป็นเซียนหรือไม่” อี้ฝ่าจือกล่าวขึ้นพร้อมกับหัวเราะออกมา “เจ้าน่าจะรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นเหยื่อของข้า เพราะว่าศักดิ์ฐานะของข้าไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถคาดคิดได้” ขณะที่พูด มือขวาของมันก็ทำท่าเป็นกรงเล็บยื่นออกไปที่ด้านหน้า เสียงระเบิดได้ยินมา ขณะที่เสื้อผ้าของหลี่หลิงเอ๋อร์ฉีกขาดออกไปมากขึ้น พลังของแรงระเบิดนั้นเข้มข้นยิ่ง ถ้านางหลบหนีช้าไปกว่านั้นเพียงแค่เล็กน้อย ก็คงจะได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสเป็นแน่
ถึงแม้ว่าจะหลบเลี่ยงจากแรงระเบิดหลักๆ ไปได้แล้ว แต่นางก็ยังคงต้องกระอักโลหิตออกมากองโต และใบหน้าก็ซีดขาวมากขึ้นกว่าเดิม กลิ่นอายได้อ่อนแอลงไปมากยิ่งขึ้น และดูเหมือนว่าเปลวไฟแห่งพลังชีวิตของนาง แทบจะดับลงไปได้ทุกเมื่อ
“มันไม่ใช่ผู้ฝึกตนจากขุนเขาทะเลที่เก้า!!” หลี่หลิงเอ๋อร์คิด กัดฟันแน่น นางได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปยังตระกูลด้วยแผ่นหยกแล้ว และมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ถ้านางสามารถจะอดทนได้นานขึ้นอีกเล็กน้อย ก็คงจะมีใครบางคนมาช่วยเหลือได้ทันเวลา
“เจ้าจะหลบหนีไปทำไม? ข้าจำเจ้าได้ เจ้าคือหลี่หลิงเอ๋อร์ ใช่หรือไม่? เจ้าไม่ใช่เซียนธรรมดาทั่วไป แต่เป็นเซียนแท้! ข้าได้ฝึกตนมาเป็นเวลานานจนกระทั่งถึงตอนนี้ และข้าก็ไม่เคยมีโอกาสได้ลิ้มรสโลหิตของเซียนเลย มันช่างมีรสชาติที่หวานเป็นอย่างยิ่ง!” อี้ฝ่าจือกล่าวขึ้น หัวเราะออกมา มันสูดดมกลิ่นหอมของโลหิตหลี่หลิงเอ๋อร์ และดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าพยายามจะถ่วงเวลา เจ้ากำลังรอคอยคนจากตระกูลมาช่วย ก็ลองดูว่าจะมีใครมาหรือไม่ ดูว่าจะมีใครได้รับข้อความจากแผ่นหยกของเจ้าหรือไม่” อี้ฝ่าจือชี้นิ้วออกไป ทำให้สายลมสีม่วงพุ่งขึ้นมา ขณะที่สายลมนั้นกำลังจะบดขยี้ลงไปยังร่างของหลี่หลิงเอ๋อร์ แสงสีเขียวก็พุ่งออกมาอยู่รอบๆ ตัวนาง ต้นเถาวัลย์นับไม่ถ้วนได้ทำการปิดกั้นสายลมนั้นไว้
เสียงกระหึ่มได้ยินมา ขณะที่ต้นเถาวัลย์แตกกระจายไป อีกครั้งที่หลี่หลิงเอ๋อร์ต้องกระอักโลหิตออกมากองโต ม่านตานางพล่าเลือนและเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ดวงตานางเริ่มสาดประกายขึ้นด้วยความสิ้นหวัง
จากช่วงเวลาที่ผ่านไปแล้วนี้ ถ้าตระกูลได้รับข้อความของนางแล้ว ก็น่าจะมี…ใครบางคนมาถึงแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณรอบๆ นี้เลย ก็แสดงว่าศัตรูของนางต้องเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีสำหรับเหตุการณ์นี้!
“ไม่ต้องกังวลไป ข้าเป็นผู้ที่อ่อนโยน ก่อนที่เจ้าจะตายไป ถ้าเจ้าปรนนิบัติข้าได้ดี ข้าก็จะ…หั่นเจ้าออกเป็นชิ้นๆ อย่างนุ่มนวล ข้าจะใช้โลหิตของเจ้า…มาสร้างเป็นเวทแห่งเต๋าของข้า!”
“เพื่อบรรลุถึงเต๋าแห่งการสังหารเซียน! การได้ครอบครองร่างเซียนของเจ้า ก็จะกลายเป็นพื้นฐานเต๋าของข้า!” อี้ฝ่าจือหัวเราะพร้อมกับเข้าไปใกล้หลี่หลิงเอ๋อร์
ในตอนนี้เองที่เสียงแผดร้องอันทรงพลัง ได้ดังก้องออกไปทั่วทั้งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ทำให้เกิดเป็นระลอกคลื่นกระจายออกไปยังทั่วทุกแห่งหน
“เมิ่งฮ่าว!!”
สองคำนี้ประกอบไปด้วยเสียงแผดร้องคำรามที่ดังก้องไปมา ทำให้ดวงตาของหลี่หลิงเอ๋อร์สาดประกายเจิดจ้าขึ้น ทันใดนั้นนางก็มุ่งหน้าตรงไปยังแหล่งที่มาของเสียงนั้น กัดฟันแน่นขณะที่บินตรงไปด้วยความรวดเร็วสูงสุด
นางทุ่มเทพลังจากพื้นฐานฝึกตนออกมาจนหมดสิ้น ปลดปล่อยเวทลับและยังได้เผาไหม้ชีพจรเซียนของตัวเองเพื่อให้ได้ผลอย่างน่าประหลาดใจ มีความเร็วเพิ่มขึ้นชั่วคราว ในชั่วพริบตานางก็พุ่งห่างออกไปไกล
สีหน้าอี้ฝ่าจือหมองคล้ำลง จริงๆ แล้วมันค่อนข้างจะรู้สึกตกใจขึ้นไม่น้อย ถึงแม้ว่ามันจะไม่สนใจเกี่ยวกับเสียงที่เพิ่งจะแผดร้องคำรามออกมานั้น แต่มันก็ไม่อาจจะไม่สนใจต่อความเป็นจริงที่ว่า เสียงคำรามนั้นได้ประกอบไปด้วยกลิ่นอายที่น่าตกใจยิ่ง จนทำให้หนังศีรษะของมันแทบจะระเบิดออกมา
ในตอนนี้เองที่มันได้ยินเสียงของผู้พิทักษ์เต๋าอยู่ภายในจิตใจ
“เหล่าฟูได้ร่ายเวทปิดบังไว้แล้ว เลิกเล่นได้แล้ว ให้สังหารนางเซียนนั้นในทันที เมื่อไหร่ที่การทดสอบของเจ้าเสร็จสิ้น พวกเราก็จะออกไปจากอาณาจักรแห่งนี้ด้วยกัน!”
ดวงตาอี้ฝ่าจือสาดประกายขึ้น มันไม่ตอบกลับไป แต่เพิ่มความเร็วขึ้นเป็นหลายเท่า ในชั่วพริบตาก็กลายเป็นลำแสงหลากสี พุ่งไล่ตามหลี่หลิงเอ๋อร์ไป รังสีสังหารอันน่าตกใจได้ม้วนตัวออกมาจากร่างมันอย่างเข้มข้น
งูเหลือมสามหัวสีดำได้ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังมันอย่างช้าๆ งูเหลือมนั้นแผดร้องออกมา กระจายเจตจำนงอันโหดเหี้ยม ซึ่งแตกต่างไปจากสิ่งใดๆ ทั้งหมดในขุนเขาทะเลที่เก้า
เจตจำนงนั้นคล้ายกับเป็นความโหดเหี้ยมอันยิ่งใหญ่ของสวรรค์และปฐพี!
เสียงแหลมเล็กที่แหวกฝ่าอากาศไปดังก้องออกมา คล้ายกับเป็นลูกธนูที่กรีดผ่านท้องฟ้า อี้ฝ่าจือพุ่งเข้าไปใกล้กับหลี่หลิงเอ๋อร์มากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ผ่านไปสิบลมหายใจ ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองก็ลดลงจนเหลือเพียงแค่หนึ่งร้อยจ้างเท่านั้น
ในตอนนี้เองที่หลี่หลิงเอ๋อร์มองเห็นดินแดนอันกว้างใหญ่ กำลังพุ่งทะยานผ่านหมู่ดาวไป มันคือปรมาจารย์เอกะเทวะ โดยที่มีเมิ่งฮ่าวนั่งอยู่บนศีรษะของมันกำลังร่ำดื่มสุราอยู่
“เมิ่งฮ่าว!!” หลี่หลิงเอ๋อร์ร้องตะโกนขึ้นมาในทันทีที่มองเห็นเขา อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่านางจะร้องตะโกนเป็นเสียงดังออกไป แต่ก็ดูเหมือนว่าเมิ่งฮ่าวไม่ได้สนใจนางเลยแม้แต่น้อย
“มันมองไม่เห็นเจ้า แต่ถ้ามันเห็น ข้าก็ไม่แยแสที่จะสังหารเซียนไปสองคนในวันนี้” อี้ฝ่าจือกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา โบกสะบัดมือขวาตรงไปยังหลี่หลิงเอ๋อร์ ทำให้นางต้องกระอักโลหิตออกมามากขึ้น นางยังรู้สึกได้ด้วยว่าถึงแม้ระยะห่างระหว่างนางและเมิ่งฮ่าวจะเป็นช่วงสั้นๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าคนทั้งสองถูกแยกออกจากกันด้วยภาพลวงตาบางอย่าง ทำให้เขาไม่อาจจะมองเห็นนางได้
“อี้ฝ่าจือได้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี เสแสร้งว่ามาเพียงลำพังคนเดียว แต่จริงๆ แล้วมันกำลังร่วมมือกับใครบางคนอยู่ เมื่อเมิ่งฮ่าวไม่อาจจะมองเห็นข้าได้ ก็ไม่เป็นไร ถึงแม้ว่ามันจะมองเห็นได้ ก็จะเป็นการฉุดลากให้มันตกเข้ามาอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายนี้เท่านั้น แล้วข้าจะไปสร้างปัญหาให้กับมันทำไม?”
ถึงแม้ว่าหลี่หลิงเอ๋อร์จะเต็มไปด้วยความขมขื่นและสิ้นหวัง แต่ดวงตาก็ยังคงสาดประกายขึ้นด้วยความมุ่งมั่น แม้ในขณะที่มือของอี้ฝ่าจือได้ฟาดลงมาใกล้กับร่างนาง นางก็เลือกที่จะระเบิดชีพจรเซียนของตัวเองไป!
เกิดเป็นเสียงระเบิดขึ้นขณะที่ชีพจรเซียนได้โผล่ออกมาจากร่างของนาง และกลายเป็นมังกรเซียน จากนั้นก็ระเบิดออก โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปากนาง ขณะที่แรงระเบิดอันน่าเหลือเชื่อได้ทำให้นาง…พุ่งตรงเข้าไปในเศษซากเซียน!
“ข้าน่าจะมีโอกาสรอดชีวิตอยู่ในเศษซากเซียน มากกว่าที่จะตกอยู่ในเงื้อมมือของอี้ฝ่าจือ!” หลี่หลิงเอ๋อร์คิดอยู่ในใจ บินตรงเข้าไปในเศษซากเซียนด้วยความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ