Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1082

ตอนที่ 1082

การโจมตีมาของหมัดที่สาม

“ประตูแท่นศิลาตัวอักษรสีทองบานแรก…อันดับหนึ่ง…”

“ข้าเคยได้ยินมาว่าขีดจำกัดอยู่ที่ไม่เกินแปดหมื่นหกพันหกร้อยหกสิบหกจ้าง แต่มัน…กลับบรรลุถึงก้นทะเลได้จริงๆ! นั่นเป็นสถานที่ซึ่งมีแต่ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงเท่านั้นที่สามารถจะเห็นได้…” เสียงพึมพำด้วยความประหลาดใจได้ยินมาในกลุ่มฝูงชน ฝานตงเอ๋อร์ตกอยู่ในความงุนงง และเป้ยอวี้ก็กำลังหอบหายใจออกมาด้วยความประหลาดใจ

แปดหมื่นเจ็ดพันหนึ่งร้อยสี่สิบสามจ้าง!

ระยะห่างระหว่างดินแดนขนาดใหญ่ของอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า และก้นทะเลมักจะถูกกำหนดไว้มาตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนกระทั่งถึงตอนนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครในรายชื่อที่ถูกบันทึกไว้บนประตูแท่นศิลาตัวอักษรสีทองบานแรกจะเคยบรรลุถึงระดับความลึกนี้มาก่อน

ลำดับรายชื่อนั้นประกอบไปด้วยนามของผู้แข็งแกร่งอาณาจักรโบราณ ที่มีตะเกียงวิญญาณดับลงไปแล้วห้าดวงหรือน้อยกว่าเท่านั้น เนื่องจากกฎนั้น จึงไม่มีใครที่มีตะเกียงวิญญาณตามจำนวนนั้น…เคยลงไปลึกมากกว่านี้มาก่อน

มันเป็นตำแหน่งที่ทำให้ใครบางคนอยู่ในอันดับหนึ่งได้ในทันที ถึงแม้ว่าจะอยู่ที่นั่นได้เพียงชั่วครู่ก็ตามที แม้แต่ผู้ฝึกตนอสูรที่ถือกำเนิดอยู่ในทะเลที่เก้า ก็ไม่สามารถจะลงไปได้ลึกถึงขนาดนั้น

กลุ่มฝูงชนที่อยู่ด้านนอกของประตูแท่นศิลาตัวอักษรสีทองบานแรกตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย เสียงแผดร้องด้วยความตกตะลึงดังก้องออกมา และศิษย์ของอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า ต่างก็รู้สึกประหลาดใจจนกลายเป็นความวุ่นวายไปทั่วทั้งสำนัก

กลุ่มผู้ฝึกตนอสูรต่างก็สั่นสะท้านไปด้วยเช่นเดียวกัน เมื่อพวกมันมองเห็นนามของเมิ่งฮ่าวบนประตูแท่นศิลาตัวอักษรสีทองบานแรก จิตใจก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ถึงแม้ว่าโดยสัญชาติญาณแล้วพวกมันจะเกลียดชังเขา แต่ในโลกแห่งการฝึกตน ผู้คนเคารพนับถือผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ผู้ฝึกตนอสูรก็เช่นกันต่างรู้สึกหวาดกลัวอยู่ลึกๆ ในจิตใจ ดังนั้นถึงแม้ว่าพวกมันจะเกลียดชังเขา แต่กระนั้นก็ไม่กล้าที่จะไปตอแยหาเรื่องเขาอีกต่อไป

เมิ่งฮ่าวกำลังใช้พลังที่แท้จริงทำให้จิตใจของคนทั้งหมดต้องสั่นสะท้าน

ในตอนนี้ เมิ่งฮ่าวกำลังลงไปอยู่ที่ก้นของทะเลที่เก้า ถึงแม้ว่ากายเนื้อของเขาจะมีพลังอันน่ากลัวอย่างน่าเหลือเชื่ออยู่ก็ตามที แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันยากจะอธิบายออกมาได้กดทับลงมาบนร่าง

เนื่องจากแรงกดดันนั้น ทำให้เขาไม่อาจจะคงอยู่ในสถานที่แห่งนี้ได้เป็นเวลานาน บางทีอาจจะแค่สิบลมหายใจเท่านั้น ขณะที่เขามองไปรอบๆ จิตใจก็สั่นสะท้านขึ้นอย่างลึกล้ำ

ตรงก้นทะเลของทะเลที่เก้า…เขามองเห็นซากศพซากหนึ่ง…

มันเป็นซากศพที่มีขนาดใหญ่โตเป็นอย่างยิ่ง จนดูเหมือนว่าจะทำให้เกิดเป็นก้นทะเลทั้งหมดของทะเลที่เก้า!

มันดูเก่าแก่โบราณเป็นอย่างยิ่ง และมองเห็นบาดแผลขนาดใหญ่แยกออกจากกัน…

ตอนนี้เมิ่งฮ่าวกำลังยืนอยู่บนศีรษะของซากศพ มองเห็นบนหน้าผากเป็น…ดวงดาวที่มืดสลัวไปแล้วแปดดวง!

“เทพ…” เมิ่งฮ่าวคิดด้วยจิตใจที่สั่นสะท้าน ทันใดนั้นก็นึกไปถึงหวังเถิงเฟย และคลื่นแห่งความตกใจก็พุ่งขึ้นมา ทำให้ต้องยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ภายใต้แรงกดดันนั้น

ในที่สุดเขาก็บรรลุถึงจุดที่ไม่อาจจะอดทนได้อีกต่อไป และมองไปยังซากศพนั้นเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็หมุนตัวเตรียมที่จะมุ่งหน้ากลับขึ้นไป แต่ในตอนที่เขาหันร่างนี้เอง ที่หางตาฉับพลันนั้นก็สังเกตเห็นว่าตรงตำแหน่งหนึ่งในดวงดาวที่อยู่บนหน้าผากของซากศพ…เป็นคนผู้หนึ่ง!

เป็นหญิงสาวผู้หนึ่ง สวมใส่ชุดยาวสีม่วง ซึ่งก็คือ…หญิงสาวที่เมิ่งฮ่าวจดจำได้! และเป็น…สหายเก่าจากดาวหนานเทียน!!

นางยืนอยู่ที่นั่นเหนือซากศพ ด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน

“หานเป้ย!!” เมิ่งฮ่าวคิด ดวงตาเบิกกว้างขึ้น

ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในความมืด เพียงซากศพนี้เท่านั้นที่เรืองแสงอันอ่อนจางออกมา ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะมีกายเนื้อที่แข็งแกร่งและสายตาที่คมกริบราวสายฟ้า เขาก็แทบไม่อาจจะมองเห็นภาพนั้นได้ชัดเจนนัก

เขาเริ่มสั่นสะท้านขึ้น และเบิกตาให้กว้างขึ้นเพื่อมองดูให้ละเอียด แต่ในตอนนี้ไม่มีอะไรพอจะมองเห็นได้อยู่บนดาวดวงนั้น แทบจะราวกับว่าสิ่งที่เขาเห็นไม่มีอะไรนอกจากเป็นภาพลวงตาเท่านั้น

ก่อนที่เขาจะทันได้มีปฏิกิริยาใดๆ แรงกดดันที่อยู่ใต้ก้นทะเลก็บังคับให้เขาต้องพุ่งขึ้นไป เขามองไปยังซากศพที่กำลังจางหายไปตรงด้านล่าง และดวงตาก็สาดประกายขึ้น

“ข้ารู้สึกว่าสิ่งที่เห็น…เป็นของจริง! มันไม่ใช่ภาพลวงตา!”

“ข้าไม่รู้ว่าอะไรทำให้เกิดขึ้นเช่นนั้น แต่หญิงสาวผู้นั้น…

คือหานเป้ย!” เมิ่งฮ่าวตกอยู่ในห้วงภวังค์ ขณะที่นึกย้อนไปยังทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง

“แซ่ของตระกูลโบราณทั้งเก้า…” เขาคิด ดวงตาแวบขึ้น จากนั้นก็คิดย้อนกลับไปถึงการที่หานเป้ยได้หายตัวไปตอนที่อยู่บนดาวหนานเทียน หลังจากที่คนทั้งหมดกลับออกมาจากสำนักเซียนอสูรโบราณ หานเป้ยก็หายตัวไปโดยสิ้นเชิง

ทันใดนั้น เมิ่งฮ่าวก็นึกขึ้นได้ถึงการหายตัวไปที่แปลกๆ ของนาง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีใครหานางพบได้ อันที่จริง…นอกจากเขาแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครนึกถึงนางแม้แต่น้อย

เป็นสิ่งที่เขาเคยคิดวิเคราะห์มาเมื่อในอดีต หลังจากกลับมาจากสำนักเซียนอสูรโบราณแล้ว ก็ไม่มีใครพูดถึงหานเป้ยเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะมีใครรู้จักนางเป็นการส่วนตัวหรือไม่ ร่องรอยทั้งหมดของนางดูเหมือนว่าจะถูกกวาดล้างไปจนหมดสิ้น

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เมิ่งฮ่าวก็ตระหนักว่ามันเป็นความรู้สึกหรือการคาดเดามากกว่า มีหนทางเดียวเท่านั้นที่จะพิสูจน์ว่าความคิดของเขาถูกต้องหรือไม่ และนั่นก็คือฉู่อวี้เยียน นางคือคนที่น่าจะจดจำหานเป้ยได้

เมื่อนางตื่นขึ้นมา เขาก็จะถามนาง จากนั้นเขาก็จะรับรู้ถึงความจริงได้ในที่สุด!

ถ้าฉู่อวี้เยียนจดจำหานเป้ยได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เมิ่งฮ่าวคาดเดาไว้ก็จะเป็นแค่คิดมากไปเอง แต่ถ้าฉู่อวี้เยียน…ไม่อาจจดจำหานเป้ยได้ ก็จะหมายความว่า…เมิ่งฮ่าวต้องคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น

“ข้าจะต้องรู้ให้ได้เมื่อฉู่อวี้เยียนตื่นขึ้นมา”

เมิ่งฮ่าวมองกลับลงไปยังก้นทะเล ก่อนที่จะพุ่งตรงขึ้นไปยังสำนัก เขาไม่มีทางลืมสิ่งที่เพิ่งจะได้เห็นนี้ ในช่วงเวลาสั้นๆ เขาก็บรรลุถึงด้านบนสุดและหายตัวไป

เมื่อเขาเดินออกมาจากประตูแท่นศิลาตัวอักษรสีทองบานแรก ก็หันหน้ากลับไปและมองไปยังรายชื่อเหล่านั้นพร้อมทั้งยิ้มออกมา จากนั้นก็มุ่งตรงไปยังแท่นศิลาแท่นที่สอง

สายตาของศิษย์ทั้งหมด ตรึงแน่นไปที่แผ่นหลังของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจในทันที

หลังจากที่ก้าวเท้าเข้าไปในประตูแท่นศิลาตัวอักษรสีทองที่สอง เมิ่งฮ่าวใช้เวลาเพียงแค่ธูปไหม้หมดไปครึ่งดอกเท่านั้น ก่อนที่จะบรรลุถึงอันดับหนึ่ง แสงสีทองอันไร้ขอบเขตพุ่งออกมาจากแท่นศิลานั้น

นี่คืออันดับหนึ่งครั้งที่สองของเขา

กลุ่มฝูงชนกำลังร้องตะโกนออกมา ทำไมพวกศิษย์ทั้งหมดถึงจะไม่รู้ว่าเมิ่งฮ่าวกำลังพยายามทำอะไรอยู่…?

“มันต้องการได้อันดับหนึ่งในแท่นศิลานี้ทั้งหมด!!”

“อันดับหนึ่งในแท่นศิลาตัวอักษรทั้งเก้านี้?”

“ไร้ประโยชน์ที่จะพูดถึงมัน นับจากสมัยโบราณมาจวบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ อันดับหนึ่งส่วนใหญ่แล้วจะถูกครอบครองโดยคนคนเดียวกันแค่หกแท่นศิลาเท่านั้น และคงอยู่มาเป็นเวลาหลายร้อยปีก่อนที่จะถูกใครบางคนมาแทนที่…”

“เมิ่งฮ่าวผู้นี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่า…มันกำลังสร้างปาฏิหาริย์ใหม่ขึ้นมา!?”

เสียงกระหึ่มได้ยินมาขณะที่เมิ่งฮ่าวบินฝ่าอากาศตรงไปยังประตูสีทองที่สาม ครั้งนี้เขามีความรวดเร็วมากกว่าเดิม ใช้เวลาเพียงแค่สามสิบลมหายใจเท่านั้น ก่อนที่นามของเขาจะพุ่งผ่านรายชื่อของคนอื่นๆ ทั้งหมดไปอยู่ที่อันดับหนึ่ง

อันดับหนึ่งครั้งที่สาม!!

กลุ่มฝูงชนสั่นสะท้านและตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย เสียงหอบหายใจได้ยินมาขณะที่เมิ่งฮ่าวโผล่ออกมาและมุ่งหน้า…ตรงไปยังประตูแท่นศิลาตัวอักษรสีทองที่สี่!

ไม่นานต่อมา แสงสีทองอันไร้ขอบเขตก็พุ่งขึ้นไป ย้อมน้ำทะเลทั้งหมดให้กลายเป็นสีทอง เมิ่งฮ่าว…อยู่ในอันดับหนึ่งเป็นครั้งที่สี่!

สี่แท่นศิลา ต่างก็อยู่ในอันดับหนึ่งทั้งหมด!

อาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้ากำลังเดือดพล่านด้วยความตื่นเต้น เมิ่งฮ่าวสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาได้จริงๆ และภาพของเขากำลังตรึงแน่นอยู่ในจิตใจของคนรุ่นนี้อย่างที่ไม่อาจจะลบเลือนไปได้

เมิ่งฮ่าวเลือกที่จะไม่ผ่านเข้าไปในแท่นศิลาที่ห้า เขาไม่จำเป็นต้องเข้าไป!

เขาพุ่งผ่านตรงไปยังแท่นศิลาที่หก ผ่านเข้าไป หลังจากที่เวลาชั่วธูปเผาไหม้หมดไปครึ่งดอก ก็ไปอยู่ที่อันดับหนึ่งอีกครั้ง!

คนทั้งหมดเต็มไปด้วยความตื่นเต้น รู้สึกคล้ายกับว่าสายฟ้ากำลังฟาดลงมาอยู่รอบๆ บริเวณนั้นทั้งหมด เป็นเวลานาน, นานมากแล้วที่ไม่มีคนเช่นนี้เกิดขึ้นอยู่ในอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า เป็นบางสิ่งที่ทำให้โลหิตของคนทั้งหมดต้องเดือดพล่านขึ้นมา

แท่นศิลาที่เจ็ด, อันดับหนึ่ง!

แท่นศิลาที่แปด, อันดับหนึ่ง!

เมิ่งฮ่าวออกจากประตูสีทองหนึ่งไปยังอีกประตูหนึ่ง และนอกจากแท่นศิลาที่ห้า ซึ่งเขาไม่ต้องการเข้าไปแล้ว เขาได้อันดับหนึ่งไปทั้งหมด!

เขาถูกติดตามไปโดยกลุ่มศิษย์ที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นของอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า กลุ่มผู้ฝึกตนอสูรมีใบหน้าที่ซีดขาวจิตใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตกใจอย่างเข้มข้น อันเนื่องมาจากเมิ่งฮ่าว

เขา…คือบุคคลแรกที่กระทำเรื่องเช่นนี้ได้สำเร็จในอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า

ตอนนี้เป็นที่แน่นอนแล้วว่า นามของเขาจะกลายเป็นตำนานไปชั่วนิรันดร์ ถูกส่งต่อผ่านประวัติศาสตร์ของสำนักตลอดไป!

ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็ไปปรากฏกายขึ้นที่เบื้องหน้าของประตูแท่นศิลาตัวอักษรสีทองที่เก้า ไปหยุดและยืนอยู่ที่นั่นอยู่ชั่วขณะ จากนั้นด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และผ่านเข้าไป

ในตอนที่เขาผ่านเข้าไป เสียงของชายชราก็ดังก้องเต็มไปทั่วในโลกแห่งนั้น

“เจ้าเชื่อมั่นว่าตนเองมีคุณสมบัติที่จะได้รับความรู้แจ้งจากการโจมตีไปเป็นหมัดที่สามของข้า?”

“แน่นอน!” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบไปในทันที

“ดีมาก!” ขณะที่เสียงนั้นดังก้องออกมา ชายชราก็ปรากฏกายขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า มองมายังเมิ่งฮ่าว และดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ มันเริ่มเดินตรงมาพร้อมกับเสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหว

“หมัดแรก หมัดทำลายล้างชีวิต!”

“หลังจากทำลายล้าง ชีวิตของตนเองต้องถูกกำจัดไป!”

“หลังจากเผาไหม้ตนเอง คนผู้นั้นสามารถ…สังหารเทพ!”

“การโจมตีหมัดที่สามของข้าถูกเรียกว่า…สังหารเทพ!” เสียงของชายชราดังก้องขึ้นเต็มไปด้วยพลัง มันก้าวเดินตรงมา และทันใดนั้นเองก็ดูเหมือนว่ามันได้กลายเป็นโลก และโลกก็คือมัน!

มันใกล้เข้ามา พุ่งหมัดออกไป ดูคล้ายกับเป็นหมัดธรรมดา ไม่ได้น่ากลัวเหมือนกับหมัดทำลายล้างชีวิต และไม่ได้ข่มขู่คุกคามเหมือนกับหมัดเผาไหม้ตนเอง ดูเหมือนธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องเต็มไปด้วยความรู้สึกถึงอันตรายที่ร้ายแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ราวกับว่าหนึ่งหมัดนี้สามารถจะดูดเอาพลังของโลกทั้งหมดมาได้ ทำให้กลายเป็นพลังที่สามารถ…สังหารเทพได้!

“เทพคืออะไร?!” ขณะที่หมัดนั้นใกล้เข้ามา เสียงของชายชราก็ยังคงดังก้องออกไป

“เป็นแค่ชื่อเรียกอย่างหนึ่งที่บุคคลภายนอกเรียกพวกมัน สำหรับพวกเราจากโลกแห่งเซียน พวกเราเคารพในพลังของพวกมัน ดังนั้นถ้าพวกมันต้องการเรียกตนเองว่าเทพ พวกเราก็เห็นด้วย!”

“นั่นเป็นเพราะว่าพวกเราเห็นด้วยกับพวกมัน ทำให้…การสังหารพวกมันไปเป็นความรู้สึกที่น่ามหัศจรรย์ใจยิ่ง!”

“จดจำไว้ เซียนอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง และเทพ…เหมือนกับเป็นขุมทรัพย์ที่ทำให้พวกเราแข็งแกร่งขึ้น! ในตลอดชีวิตที่ผ่านมาของข้า

ข้าสังหารเทพไปแล้วเก้าสิบสองคน จนกระทั่งในที่สุดข้าก็ถูกสังหารไป

แต่เจตจำนงของข้ายังคงอยู่ภายในแท่นศิลาตัวอักษรนี้ กลายเป็นวิญญาณแห่งการต่อสู้!” หมัดสังหารเทพใกล้เข้ามาเมิ่งฮ่าวกำลังสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ขณะที่ตระหนักว่าเขาไม่อาจจะปิดกั้นหมัดที่โจมตีมานี้ได้โดยสิ้นเชิง

โลกทั้งหมดรวมตัวกันเป็นหนึ่งหมัดนี้ ถึงแม้ว่าพื้นฐานฝึกตนของเขาในตอนนี้จะสูงเกินกว่าระดับก่อนหน้านี้เป็นอย่างมากก็ตามที แต่ยังคงเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อต้านมันได้

“ทำไม…ข้าต้องต่อต้านมันด้วย?”

ทันใดนั้นจิตใจเมิ่งฮ่าวก็สั่นสะท้านขึ้นขณะที่ความคิดนี้ก่อตัวขึ้นมา ดวงตาเริ่มสาดประกายเจิดจ้าขึ้น แทนที่จะพยายามปิดป้องมัน เขากลับกำมือจนแน่นกลายเป็นหมัด และทำการเลียนแบบชายชรา ตัดสินใจ…ที่จะปลดปล่อยหมัดสังหารเทพของตนเองออกไป!

ชายชราแหงนหน้าขึ้นและหัวเราะออกมา เมื่อหมัดของมันกระแทกเข้าหาหมัดของเมิ่งฮ่าว พลังทั้งหมดของโลกแห่งนี้ก็ไหลเข้าไปในร่างเมิ่งฮ่าว

แต่เขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย พลังนั้นกลับชักนำให้เขาเข้าไปสู่ความรู้แจ้งใหม่ๆ ขณะที่พลังนั้นไหลผ่านเข้าไปในหมัดของเขา โลกแห่งนี้ก็พังทลายลงไป

“ไปได้แล้ว เจ้ารู้แจ้งแล้ว!” เสียงของชายชราดังก้องออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม ในขณะที่โลกจางหายไป เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มกลับมาชัดเจนขึ้นอีกครั้ง เมิ่งฮ่าวไปปรากฏกายขึ้นที่ด้านนอกของประตูแท่นศิลาตัวอักษรสีทองที่เก้า

ตรงด้านหลัง นามที่อยู่ในอันดับหนึ่ง, จ้งอู๋หยา…ถูกเลื่อนไปอยู่ที่อันดับสอง

นามของเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้นด้วยแสงสีทองอันไร้ขอบเขต ขณะที่เลื่อนไปอยู่ที่…อันดับหนึ่ง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version