ตอนที่ 1083
ความใฝ่ฝันอันยิ่งใหญ่ของอู่เหยีย
เป็นเวลานานหลายปีมาแล้วที่อาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้าแห่งขุนเขาทะเลที่เก้า มีผู้ได้ครอบครองอันดับหนึ่งเพียงคนเดียวถึงหกแท่นศิลาตัวอักษร บุคคลผู้นั้นมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเป็นเวลานานหลายปีก่อนที่จะจางหายไป แม้แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีร่องรอยของชื่อเสียงนั้นหลงเหลืออยู่
ร่องรอยอย่างหนึ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ คืออันดับรายชื่อที่อยู่บนประตูแท่นศิลาตัวอักษรสีทองที่เก้า ก่อนหน้านี้คนผู้นั้นเคยอยู่ในอันดับหนึ่ง…
จ้งอู๋หยา เมื่อหนึ่งพันปีก่อนมันเคยเป็นหนี่งในผู้ถูกเลือกในอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า แต่ถึงแม้ว่ามันจะกลายเป็นตำนานไปแล้ว แต่ก็น่าแปลกใจยิ่งที่นามของมันไม่ได้เป็นที่รู้จักในโลกด้านนอกมากนัก
แต่ตอนนี้เมิ่งฮ่าวได้ทำลายสถิติของมันไป เขาอยู่ในอันดับหนึ่งทั้งแปดแท่นศิลา ทำให้มั่นใจได้ว่าคนทั้งหมดในสำนักต้องสั่นสะท้าน จากผู้ฝึกตนที่กำลังมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ด้วยตนเอง รวมทั้งกลุ่มคนที่กำลังเฝ้าสังเกตการณ์มาจากการนั่งเข้าฌานตามลำพังในที่ห่างไกลออกไป
ทันใดนั้นเสียงพูดคุยก็ดังก้องขึ้นมาอยู่ในกลุ่มฝูงชน
“นี่ทำให้ข้าต้องคิดไปถึง…ศิษย์พี่จ้งอู๋หยาจากเมื่อหลายปีก่อนโน้น…”
“ความสามารถของมันช่างน่าตกตะลึงและยิ่งใหญ่เป็นอย่างยิ่ง ช่างข่มขวัญอยู่ไม่น้อย…”
“ความสำเร็จของศิษย์พี่จ้งอู๋หยาค่อยๆ จางหายไปจากเมื่อหนึ่งพันปีก่อน สำหรับความสำเร็จของเมิ่งฮ่าว…ไม่รู้ว่าต้องผ่านไปอีกกี่พันปี ก่อนที่จะมีใครมาทำได้ดีไปกว่ามัน…ในฐานะที่เป็นอันดับหนึ่งบนแท่นศิลาทั้งเก้านี้!”
ขณะที่เสียงพูดคุยจากกลุ่มคนที่อยู่ในบริเวณนั้นดังก้องขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำให้กับจิ่วผอและคนอื่นๆ จากนั้นก็หมุนตัวพุ่งตรงไปยังถ้ำแห่งเซียนของตนเอง
ขณะที่เมิ่งฮ่าวจากไป ก็ได้ยินเสียงของจิ่วผอส่งผ่านเข้ามาอยู่ในหู “เจ็ดวัน อีกเจ็ดวันอาณาจักรสายลมก็จะเปิดออก…เจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อม”
เมิ่งฮ่าวหยุดชะงักนิ่ง จากนั้นก็หันหน้ามาโค้งตัวลงอีกครั้ง ก่อนที่จะหายลับตาไปในที่สุด
ไม่นานต่อมา เขาไปปรากฏกายขึ้นในหุบเขาที่เป็นถ้ำแห่งเซียนของตนเอง พุ่งผ่านน้ำลงไป
แทบจะในทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงแผดร้องแหลมเล็กดังก้องไปมา ซึ่งก็คือเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นของนกแก้ว
“ฟังนะ ถึงเวลาที่ต้องทดสอบแล้ว! พวกเจ้าจงมีท่าทางที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาให้กับอู่เหยีย! มา มา มา พวกเรามาร้องเพลงไปด้วยกัน! ความสุขในอนาคตของอู่เหยียทั้งหมดขึ้นกับพวกเจ้าแล้ว!”
ผีโต้งไม่ต้องการจะถูกทิ้งอยู่เบื้องหลัง ดังนั้นมันจึงร้องตะโกนออกมาด้วย “และซานเหยียก็ด้วย! อนาคตทั้งหมดของซานเหยียขึ้นกับพวกเจ้าเช่นกัน!”
เมิ่งฮ่าวมองไปรอบๆ สีหน้าแปลกๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า สิ่งแรกที่เขษสังเกตเห็นก็คือว่า กลุ่มผู้ฝึกตนอสูรที่อยู่ในสระน้ำ มีท่าทางซูบผอมและซีดเซียวเป็นอย่างยิ่ง แต่สีหน้าของพวกมันก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงความนับถืออย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่านกแก้วเป็นเทพที่แท้จริงสำหรับพวกมัน
ที่น่าตกใจมากไปกว่านั้นก็คือว่า ซูเยียนดูแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง ใบหน้านางซีดขาว และมีท่าทางงุนงง
เห็นได้ชัดว่านางต้องผ่านความทุกข์ยากอย่างที่ไม่อาจจะอธิบายออกมาได้ตลอดช่วงหลายวันมานี้ ทำให้พลังแห่งเจตจำนงของนางมาถึงจุดที่ต้องแตกกระจายไป ดูเหมือนว่านางจะกระทำไปด้วยสัญชาติญาณล้วนๆ
นกแก้วร้องตะโกนออกมา และเสียงเพลงก็เริ่มขึ้น คนทั้งหมดร้องเพลงออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน พยายามรักษาท่วงทำนองที่แปลกๆ นั้นไว้ ถึงแม้ว่าจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวได้ยินเสียงเพลงนั้น เขาแทบไม่อาจจะบังคับให้ตนเองต้องรับฟังต่อไปได้อีก
“ข้าคือตัวน้อย อา, ไห่เซียนตัวน้อยๆ ของเจ้า! จะรักอย่างไรข้าไม่ได้คิดมากนัก! ข้าคือไห่เซียนตัวน้อยของเจ้า ตัวน้อย อา, ไห่เซียนตัวน้อย, ไห่เซียนตัวน้อยๆ ตัวน้อยๆ ตัวน้อยๆ…”
นกแก้วมองไปรอบๆ ด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่เสียงสุดท้ายของเพลงดังก้องออกมา และโทนเสียงก็พุ่งขึ้นไปจนแหลมเล็ก ในชั่วพริบตา ท้องฟ้าก็มืดสลัวลงไป และสายลมขนาดใหญ่ก็พุ่งขึ้นมา
ดวงตาเมิ่งฮ่าวเบิกกว้างขึ้น ขณะที่จ้องมองไปยังสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ต้องยอมรับนกแก้วและผีโต้งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาได้ส่งมอบกลุ่มผู้ฝึกตนอสูรที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังแก่สองผู้โง่เขลานี้ และพวกมันก็ตอบแทนเขากลับมาด้วยกลุ่มนักร้องที่บ้าคลั่งเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นเช่นนี้
“หยุด!” นกแก้วร้องตะโกนขึ้นมาในทันที กระพือปีกไปมาเพื่อหยุดเสียงร้อง ไม่มีเสียงดังออกมาจากกลุ่มนักร้องแม้แต่น้อยนิด ทำให้เมิ่งฮ่าวไม่กล้าแม้แต่ที่จะคิดไปว่า พวกมันได้พบเจอกับอะไรมาบ้างจนทำให้มีความประพฤติที่ดีเช่นนี้
“ท่านย่ามันเถอะ! อู่เหยียเคยบอกกับพวกเจ้าหลายครั้งแล้ว! อย่าได้ร้องเพลงเช่นนี้! พวกเจ้าต้องใส่ความรู้สึกเข้าไปด้วย! พวกเจ้าต้องกลอกกลิ้งดวงตาไปมาด้วย!” นกแก้วบินไปตรงยังเต่าทะเลด้วยโทสะ และเริ่มตีไปด้วยปีกของมันอย่างรุนแรง
“และเจ้า, เจ้าเปลือกหอยใหญ่! ดวงตาเจ้าต้องเปล่งประกายด้วย! บัดซบ! เจ้าโง่ที่น่าตาย!”
“และพวกเจ้าที่เหลือ ยังจะภาคภูมิใจหรือไม่? ตรงประโยคสุดท้าย พวกเจ้ากำลังทำอะไรอยู่!? อู่เหยียบอกว่าให้ทำเสียงสูงขึ้น เข้าใจหรือไม่? เสียงสูง!”
หลังจากที่ดุด่าไปด้วยโทสะเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดนกแก้วก็บินตรงมายังเมิ่งฮ่าว มีท่าทางขอโทษเป็นอย่างมาก ราวกับว่ามันปฏิบัติภารกิจล้มเหลว
“เสี่ยวฮ่าวจื่อ (ฮ่าวน้อย) ให้เวลาอู่เหยียอีกเล็กน้อย เจ้าคนปัญญาอ่อนเหล่านี้ไม่ค่อยรับฟังมากนัก ในความคิดของอู่เหยีย ถ้านำพวกมันไปขายในตอนนี้ คงจะต้องสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ปล่อยให้พวกมันอยู่ในมือข้าอีกเล็กน้อย อู่เหยียมีความฝัน และความฝันนั้นคือการที่มีบทเพลงไห่เซียนเป็นอันดับหนึ่งอย่างแท้จริง ข้ากำลังจะสอนพวกมันอย่างเข้มข้นเดี๋ยวนี้!”
“เมื่อวันที่ข้านำพวกมันออกไปจากขุนเขาทะเลที่เก้า พวกเราจะท่องเทียวไปทั่วทั้งอาณาจักรขุนเขาทะเล! พวกเราจะผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว! เพลงของพวกมันจะกลายเป็นท่วงทำนองแห่งสวรรค์ทั้งปวง!” เมื่อได้ค้นพบความฝันใหม่ของมัน นกแก้วก็เริ่มสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า
เมิ่งฮ่าวจ้องมองไปด้วยความตกตะลึง ก่อนที่จะทันได้กล่าวอะไรเพื่อตอบโต้กลับไป ผีโต้งก็กระโดดมาร่วมด้วย
“จ๋าเหนี่ยว (เจ้านกโสโครก) ทำไมเจ้าถึงได้ส่องประกายเจิดจ้าขึ้นเช่นนั้น?! อา อา อา เจ้าทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?! ข้าก็อยากจะเปล่งประกายขึ้นบ้าง!” ทันใดนั้นมันก็กลั้นหายใจ ทำให้ใบหน้ากลายเป็นสีแดง จากนั้นก็ร้องตะโกนเป็นเสียงดังออกมา หลังจากนั้น…จู่ๆ มันก็เริ่มเรืองแสงอันเจิดจ้าออกมาเช่นเดียวกัน
เมิ่งฮ่าวรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาในทันที รีบพยักหน้าให้กับนกแก้วที่ดูเหมือนจะบ้าคลั่ง จากนั้นก็รีบหันหลังและบินตรงไปยังถ้ำแห่งเซียนของตนเอง ขณะที่เข้าไปใกล้ ก็ได้ยินเสียงของผีโต้งร้องตะโกนขึ้นมาด้วยความฉุนเฉียว
“เหล่าจ๋าเหนี่ยว (เจ้านกโสโครกชรา) ไห่เซียนเหล่านี้ต่างก็เชื่อฟังคำสั่งของซานเหยีย! ซานเหยียต้องการคนชั่ว! ซานเหยียต้องการขายไห่เซียนเหล่านี้เพื่อแลกกับคนชั่ว! ซานเหยียต้องเปลี่ยนแปลงคนชั่ว!”
“ปัญญาอ่อน! เจ้าคิดว่าจะขายพวกมันได้สักเท่าไหร่? เจ้ามีสมองหรือไม่? เจ้าสามารถนับได้หรือไม่!?”
“ซานเหยียมีสมอง! ทั่วทั้งร่างของซานเหยียคือสมอง!!”
เมื่อเมิ่งฮ่าวได้ยินเช่นนี้ เขาก็กระแอมไอออกมา และก้าวเท้าเข้าไปในถ้ำแห่งเซียน ไม่นานหลังจากนั้น ก็ได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทอย่างมีโทสะดังออกมาจากนกแก้ว “ปัญญาอ่อน! โง่เขลา! เบาปัญญา! ในตอนนี้ไห่เซียนเหล่านี้จะถูกขายไปด้วยราคาที่เล็กน้อยเท่านั้น! แต่หลังจากที่พวกมันถูกอู่เหยียสั่งสอนไปจนเสร็จสิ้นสมบูรณ์
พวกเราก็จะมีกลุ่มนักร้องอันเหลือเชื่ออยู่ในมือ! ไม่ว่าพวกเราจะไปยังที่แห่งใด ก็สามารถจัดเวทีแสดงได้อย่างยิ่งใหญ่! เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราจะได้หินลมปราณกลับมามากมายเท่าใด? นั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการระยะยาว!”
“เจ้าหมายความว่ามันจะเหมือนกับตอนที่เมิ่งฮ่าวได้รับหินลมปราณมาทั้งหมด ในช่วงที่มันไปยังศาลาเม็ดยาในตระกูลฟาง?”
“แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับความสำเร็จของเสี่ยวฮ่าวจื่อ (เจ้ามุสิกน้อย) แล้ว อู่เหยียก็สามารถจะทำได้ดีเช่นเดียวกัน! ข้าคิดดีแล้ว เมื่อเวลานั้นมาถึง พวกเราจะเป็นผู้นำกลุ่มนักร้อง แม้แต่เสี่ยวฮ่าวจื่อก็ยังต้องมาร้องด้วยเช่นกัน เมื่ออู่เหยียคิดไปถึงภาพนั้นทีไร ก็ยิ่งมีความตื่นเต้นมากขึ้นไปทุกที! พวกเราจำเป็นต้องคิดชื่อคณะ! เจ้ามาช่วยข้าคิดไปด้วยกัน”
เมิ่งฮ่าวเข้าไปในถ้ำแห่งเซียนและโบกสะบัดมือ ปิดกั้นโลกที่ด้านนอกไว้ เขาไม่ต้องการจะได้ยินเสียงพูดคุยของนกแก้วและผีโต้งอีกต่อไป สำหรับเพลงนั้น…เมิ่งฮ่าวเชื่อว่าเขาคงรู้สึกยกย่องชมเชยอย่างถึงที่สุดถ้ามีใครสามารถรับฟังไปจนจบเพลงได้
แต่ถ้านกแก้วทำได้สำเร็จจริงๆ และเพลงไห่เซียนได้รับความนิยม บางทีเขาอาจจะให้ความร่วมมือและร้องไปพร้อมกับพวกมัน…เพื่อหินลมปราณ
เมิ่งฮ่าวนั่งลงขัดสมาธิและตบไปที่ถุงสมบัติ ลำแสงลอยออกมาในทันที ซึ่งก็คือฉู่อวี้เยียน ขณะที่เขาวางนางลงไปบนพื้นที่ด้านหน้า
ก็สังเกตเห็นว่าใบหน้าของนางไม่ได้ซีดขาวอีกต่อไป แต่มีสีเลือดขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แต่นางยังคงไม่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
เขามองไปยังนางเป็นเวลานาน ก่อนจะในที่สุดก็ต้องแอบถอนหายใจออกมา จากนั้นก็ยื่นมือออกไปแตะที่หน้าผากของนาง ส่งพลังพื้นฐานฝึกตนเข้าไปในร่างนาง เพื่อเร่งกระบวนการขจัดพิษให้กับนาง
โลหิตหัวใจของมังกรทะเลทั้งสิบสามารถขจัดพิษที่อยู่ในร่างนางได้อย่างแท้จริง แต่ก็ไม่อาจจะทำได้อย่างรวดเร็วมากนัก ขั้นตอนการขจัดที่เส้นลมปราณของนางต้องเชื่องช้าลง ทำให้พิษถูกทำลายไปอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อพื้นฐานฝึกตนของนาง
หลังจากที่ตรวจสอบนางอย่างละเอียด เมิ่งฮ่าวก็นั่งครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ และจากนั้นก็ตัดสินใจที่จะไม่พยายามบังคับให้ขั้นตอนนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากนัก สถานะในตอนนี้ของฉู่อวี้เยียนไม่ได้เป็นอันตรายที่ร้ายแรงต่อนาง และในความเป็นจริงแล้ว ก็สามารถจะถือได้ว่าเป็นโชควาสนาอย่างหนึ่งสำหรับนาง
อันที่จริงพิษของมังกรทะเลเป็นทั้งพิษร้ายและยาบำรุงที่ทรงพลัง ถ้าไม่มียาขจัดก็จะต้องตายไปอย่างแน่นอน ถ้ามียาขจัดมันก็จะกลับกลายเป็นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
“หายนะในครั้งนี้จะช่วยให้พื้นฐานฝึกตนของนางมีความก้าวหน้าขึ้นเป็นอย่างมาก ทำให้นางเข้าไปใกล้กับอาณาจักรเซียนได้มากขึ้นกว่าเดิม” ในที่สุดเขาก็ดึงมือกลับมา ในขณะที่แรงสั่นสะเทือนได้วิ่งผ่านไปทั่วร่างฉู่อวี้เยียน ดวงตานางค่อยๆ ลืมขึ้นมาอย่างช้าๆ
และมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความงุนงง จากนั้นดวงตานางก็เบิกกว้างขึ้นอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่จะหลับตาลงอีกครั้ง ราวกับว่านางกำลังครุ่นคิดอยู่
หลังจากที่ผ่านไปไม่กี่อึดใจ นางก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง และดวงตาทั้งคู่ก็ดูกระจ่างสดใสเจิดจ้า
ดูเหมือนว่านางจะเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง แต่เสียงก็อ่อนโรยอยู่เล็กน้อยขณะที่กล่าวว่า “ท่านเป็นคนช่วยข้า? ขอบคุณมาก นี่คือที่ไหน?”
เมื่อเมิ่งฮ่าวมองเห็นสีหน้าของนาง เขาก็เงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะกล่าวว่า “เป็นความผิดของข้าเองที่ทำให้ท่านต้องมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้…พวกเราอยู่ในอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า”
จากนั้นเขาก็ทำการอธิบายเรื่องราวทุกอย่างที่ได้เกิดขึ้น
ฉู่อวี้เยียนไม่พูดอะไรออกมา แค่รับฟังอย่างเงียบๆ เท่าที่เห็นนางยังอยู่ในขั้นที่เปราะบางเป็นอย่างยิ่ง และสามารถจะตื่นขึ้นมาได้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น
หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด นางก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ราวกับว่านางได้ลืมเรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นมา ระหว่างคนทั้งสองเมื่อในอดีตไปจนหมดสิ้นแล้ว และตอนนี้ก็คิดเพียงแค่ว่าคนทั้งสองเป็นสหายกันเท่านั้น นางพยักหน้าเพื่อแสดงว่าเข้าใจ ไม่ยอมเปิดเผยสิ่งที่นางกำลังครุ่นคิดอย่างแท้จริงออกมา
“ข้าไม่เคยคาดคิดว่าหลังจากที่ผ่านมานานหลายปี พวกเราจะมาพบกันอีกเช่นนี้”
ถ้าไม่ใช่คำพูดที่นางได้พึมพำออกมา ในตอนที่อยู่บนเกาะไห่ซานแล้วละก็ เมิ่งฮ่าวคงยากที่จะตรวจพบว่านางกำลังแสดงท่าทางที่แปลกๆ ออกมาอยู่ ตอนนี้เมื่อเขามองไป ก็รู้สึกเจ็บปวดใจที่เห็นว่านางกำลังเสแสร้งแสดงออกมา ยิ่งไปกว่านั้นภายในรอยยิ้มน้อยๆ ของนาง สามารถจะมองเห็นร่องรอยแห่งความผิดหวังและภาคภูมิใจอยู่
ย้อนกลับไปบนดาวหนานเทียน นางได้ตัดสินใจแล้ว ท่านมีเกียรติของท่าน ข้า…ก็มีความภาคภูมิใจของข้า
“อย่างไรก็ตามต้องขอบคุณท่านแล้ว ข้าจะจดจำความเมตตานี้ไว้ บางทีข้าอาจจะไม่สามารถชดใช้คืนให้ได้ แต่ข้าจะไม่มีทางลืม” นางกล่าว ดิ้นรนลุกขึ้นมายืน จากนั้นก็โค้งตัวลงให้กับเมิ่งฮ่าว
เมื่อได้เห็นฉู่อวี้เยียนแสดงกิริยาท่าทางที่สุภาพต่อเขา ก็ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องนั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ เพื่อสงวนท่าทีไว้
“ข้าหายดีแล้ว ดังนั้น…คงต้องจากไปแล้วในตอนนี้ ท่าน…ดูแลตัวเองด้วย” นางกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา พยุงร่างกายตนเองด้วยการพิงไปที่ผนังของถ้ำ เตรียมตัวเดินจากไป แต่ก็อ่อนแอเป็นอย่างมาก หลังจากที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็โซเซ ใบหน้าซีดขาว และเริ่มล้มลงไป
เมิ่งฮ่าวถอนหายใจ ยื่นมือออกไปประคองนางไว้
ฉู่อวี้เยียนกัดริมฝีปากยิ้มออกมากล่าวว่า “เป็นที่หัวเราะเยาะแล้ว ที่ข้าไม่อาจจะเดินได้ด้วยตัวเอง ขอบคุณท่าน”
นางผลักมือเขาออกไป ก้าวไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว แต่จากนั้นร่างนางก็ล้มลงไป หน้าผากไปฟาดเข้ากับผนังศิลา และเนื่องจากร่างกายนางอ่อนแอเป็นอย่างมาก และไม่มีพื้นฐานฝึกตนที่จะช่วยป้องกันใดๆ ทำให้ผิวหนังของนางฉีกขาดและโลหิตก็เริ่มไหลออกมา
นางหอบหายใจออกมาด้วยความประหลาดใจ และหยดน้ำตาก็เอ่อล้นอยู่ในดวงตา นางดิ้นรนเพื่อที่จะลุกขึ้นมายืน แต่ก็ไม่อาจจะทำได้ เมิ่งฮ่าวก้าวตรงไปช่วยนาง
“ขอบคุณท่าน ข้าทำด้วยตัวเองได้” นางกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนแอ
“ฉู่อวี้เยียน!” เมิ่งฮ่าวพูดขึ้นมาด้วยความโศกเศร้าเสียใจ ก้มตัวลงไปช่วยพยุงให้นางลุกขึ้นมา