ตอนที่ 1222
ลมฝนเริ่มก่อตัว
ในช่วงเวลาเดียวกับที่ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนแห่งพันธมิตรเทพสวรรค์ กำลังค้นหาเมิ่งฮ่าวในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ใครบางคนกำลังกำลังพุ่งผ่านเกราะป้องกันระหว่างขุนเขาทะเลที่แปดและขุนเขาทะเลที่เก้าอยู่
ทุกย่างก้าวทำให้มันต้องสั่นสะท้าน ราวกับว่าแรงกดดันอันน่าเหลือเชื่อกำลังกดทับลงมาบนร่างมัน เท่าที่เห็นมันได้เดินทางมาเป็นเวลานานมากแล้วจนบรรลุถึงจุดนี้
“อีกไม่ไกลแล้ว…น่าเสียดายที่การข้ามผ่านเกราะป้องกันด้วยร่างกายนี้ ทำให้มีปัญหาอยู่ไม่น้อย…” มันเป็นบุรุษหนุ่มเยาว์วัย หน้าตาหล่อเหลา ดวงตาสาดประกายราวกับเป็นดวงดาว และให้ความรู้สึกที่ลึกลับเป็นอย่างยิ่ง
มันก็คือ…จี้ตงหยาง!!
“เมิ่งฮ่าว…เจ้าอยู่ในขุนเขาทะเลที่แปด และข้า…กำลังมาแล้ว!” รอยยิ้มแปลกๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้ามัน และสีหน้าก็เต็มไปด้วยความมุ่งหวัง ขณะที่มันดิ้นรนฝ่าเกราะป้องกันออกไปอย่างต่อเนื่อง
เวลาเดียวกันนั้นย้อนกลับไปที่ด้านนอกของพันธมิตรเทพสวรรค์ เสียงกระหึ่มกึกก้องได้ยินออกมาจากหนึ่งในสนามดาวเคราะห์แห่งหนึ่ง กลุ่มดาวเคราะห์กำลังพังทลายกลายเป็นเสี่ยงๆ อย่างน่าตกใจยิ่งกระดูกนับไม่ถ้วนกำลังลอยออกมาจากด้านในของกลุ่มดาวเคราะห์เหล่านั้น
เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องออกมาอย่างต่อเนื่อง และดาวเคราะห์ดวงแล้วดวงเล่าถูกทำลายไป ในที่สุดก็มีกระดูกเป็นจำนวนมหาศาลจนถึงจุดที่ไม่อาจจะนับได้…ภายในกองกระดูกเหล่านั้นมองเห็นบุรุษในชุดสีดำผู้หนึ่ง นั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น เส้นผมที่ยาวของมันพลิ้วไปมาอยู่รอบๆ ตัว มีรูปร่างที่ผอมแห้ง แต่ระลอกคลื่นอันน่ากลัวก็พุ่งกระจายออกไปจากร่างมันในทั่วทุกทิศทาง
ระลอกคลื่นเหล่านั้นทำให้เศษชิ้นส่วนของกระดูกค่อยๆ ก่อตัวเข้าด้วยกัน จนกระทั่งกลายเป็นบัลลังก์โครงกระดูกขนาดใหญ่ ซึ่งมีบุรุษชุดดำนั่งอยู่ด้านบน
โครงกระดูกส่วนที่เหลือ มารวมตัวกันอยู่ด้านข้างของบุรุษผู้นั้น เพื่อก่อตัวเป็นยักษ์กระดูกขนาดใหญ่เก้าตน
ในเวลาเดียวกับที่เก้ายักษ์กระดูกก่อตัวกันขึ้นมา ดวงตาของบุรุษชุดดำก็ลืมขึ้นมาในทันที พื้นฐานฝึกตนของมันปะทุเป็นพลังออกมา ปราณและโลหิตพุ่งขึ้นไป ในเวลาเดียวกันนั้น ก็มีเครื่องหมายชนิดหนึ่งปรากฏขึ้นบนหน้าผากของมัน
นี่คือผู้ฝึกตนลำดับขั้นแห่งขุนเขาที่แปด หานชิงเหลย!
เมื่อมันลืมตาขึ้นมา อากาศรอบๆ ตัวก็บิดเบี้ยวไปมา และในที่สุดเงาร่างจำนวนมากก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาจากความว่างเปล่า พวกมันรีบคุกเข่าลงไปโขกศีรษะอยู่ที่เบื้องหน้าหานชิงเหลยอย่างรวดเร็ว
เพียงมองไปแค่แวบเดียว ก็เห็นได้ว่าเงาร่างทั้งสิบกว่าร่างเหล่านั้นต่างก็โขกศีรษะลงไปทั้งหมด พวกมันส่งข้อความไปให้หานชิงเหลยทีละคน รายงานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในขุนเขาทะเลที่แปด ในช่วงที่มันนั่งเข้าฌานตามลำพัง
สีหน้าหานชิงเหลยสงบนิ่งไร้ความรู้สึก แต่หลังจากที่ได้ยินรายงานทั้งหมดนั้น ม่านตามันก็หรี่เล็กลง และจ้องนิ่งไปยังเงาร่างที่กำลังคุกเข่าอยู่ร่างหนึ่ง
“เจ้าบอกว่าเมิ่งฮ่าว?” มันถามขึ้นมาด้วยเสียงที่ทำให้ท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาวต้องสั่นสะเทือน สายตามันราวกับเป็นสายฟ้า ดูน่ากลัวโดยสิ้นเชิงขณะที่จ้องมองไปยังผู้ฝึกตนที่นำข่าวสารมาให้
บุรุษผู้นั้นสั่นสะท้าน แทนที่มันจะส่งข้อความให้กลับกระซิบว่า “จากข่าวคราวของพันธมิตรเทพสวรรค์ และร่องรอยอื่นๆ บางอย่าง บุคคลที่กวาดล้างเฮยหุนเต้าต้องเป็นเมิ่งฮ่าวอย่างแน่นอน…
ข้อสรุปนี้ขึ้นกับรายงานที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรสายลมของท่านด้วยเช่นกัน เสาจู่ (นายน้อย) อันที่จริงพันธมิตรเทพสวรรค์ขอให้ท่านไปเยี่ยมพวกมัน เพื่อยืนยันข้อมูลบางอย่างด้วย”
หานชิงเหลยนั่งเงียบๆ อยู่ที่นั่น หลับตาลงขณะที่คิดย้อนไปยังทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอาณาจักรสายลม คิดย้อนไปตอนที่มันเผชิญหน้ากับเมิ่งฮ่าว ถูกเขาสังหารไปอย่างไร และจากนั้นเมิ่งฮ่าวก็ช่วยเหลือมันในช่วงของการต่อสู้ครั้งสุดท้าย
ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปไม่นานมากนักหลังจากนั้น แต่ยิ่งมันคิด ก็ยิ่งตระหนักว่าการผจญภัยในอาณาจักรสายลมช่างเป็นสิ่งที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ผู้ฝึกตนลำดับขั้นเช่นมัน ก็ยังต้องตกใจกับเรื่องราวเหล่านั้น
“มันมายังขุนเขาทะเลที่แปดแล้วจริงๆ…” หานชิงเหลยยิ้มออกมาโดยไม่รู้สึกตัว จริงๆ แล้วมันไม่รู้สึกเกลียดชังเมิ่งฮ่าว แต่คิดว่าเป็นคู่แข่งกันมากกว่า
“และผู้ฝึกตนแห่งพันธมิตรเทพสวรรค์กำลังค้นหามันเพื่อสังหารมันไปให้จงได้…บางทีมันอาจจะอดทนต่อเรื่องเช่นนี้ได้ แต่ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกตนลำดับขั้นด้วยเช่นกัน ข้าทนไม่ได้!” ดวงตามันสาดประกายขึ้นด้วยความเย็นชา ผู้คนที่ไม่อยู่ในลำดับขั้น ไม่อาจจะคาดคิดได้ถึงระดับความภาคภูมิใจที่ผู้ฝึกตนลำดับขั้นรู้สึกในศักดิ์ฐานะของพวกมัน สำหรับหานชิงเหลย มันยอมรับได้ถ้าเมิ่งฮ่าวพ่ายแพ้หรือแม้แต่จะถูกสังหารไป แต่ก็ต้องมาจากการลงมือของผู้ฝึกตนลำดับขั้นคนอื่นๆ เท่านั้น
การที่เขาถูกผู้ฝึกตนที่ไม่อยู่ในลำดับขั้น มาตามล่าสังหารเป็นสิ่งที่มันไม่อาจจะยอมรับได้
หานชิงเหลยแค่นเสียงเย็นชา ฟาดฝ่ามือลงไปบนบัลลังก์โครงกระดูก ทันใดนั้นบัลลังก์ก็เริ่มสั่นสะเทือน กลายเป็นลำแสงสีขาวพุ่งออกไปยังที่ห่างไกล
“ถึงเวลาไปยังพันธมิตรเทพสวรรค์แล้ว!” เมื่อมันพูดจบ เงาร่างอื่นๆ ที่ซุ่มซ่อนอยู่ในท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาว ก็เริ่มพุ่งทะยานติดตามมันไป ในที่สุดกลุ่มคนทั้งหมดก็มุ่งหน้าตรงไปยังพันธมิตรเทพสวรรค์
เวลาเดียวกันนั้น ย้อนกลับไปในพันธมิตรเทพสวรรค์ เนื่องจากขอบเขตการค้นหาเมิ่งฮ่าวมีขนาดกว้างใหญ่มาก ในที่สุดผู้ถูกเลือกจากสำนักต่างๆ ในพันธมิตรเทพสวรรค์ทั้งหมด ต่างก็โผล่ออกมาร่วมค้นหาด้วย
ซึ่งรวมทั้งเต้าจื่อ (บุตรแห่งเต๋า) แห่งเทียนเสินเต้า ผู้ถูกเลือกเหล่านี้เหมือนกับผู้ถูกเลือกแห่งขุนเขาทะเลที่เก้าเป็นอย่างยิ่ง กลุ่มคนในสำนักพวกมันพยายามจะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้พวกมันกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่ทรงพลัง ใครก็ตามในกลุ่มพวกมันต่างก็มีพลังการต่อสู้ที่สูงเกินกว่าระดับพื้นฐานฝึกตนของพวกมันเอง
เพื่อให้มั่นใจว่าพวกมันจะไม่ถูกสังหารไปในช่วงของการฝึกตน พวกมันก็มีผู้พิทักษ์เต๋าด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าพวกมันจะอยู่ในอาณาจักรโบราณแล้วก็ตาม อันที่จริงผู้พิทักษ์เต๋าที่คอยปกป้องคุ้มครองพวกมันทั้งหมดต่างก็อยู่ในอาณาจักรเต๋าด้วยกันทั้งสิ้น!
ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ ลมฝนเริ่มก่อตัวขึ้นมาในพันธมิตรเทพสวรรค์ คล้ายกับเป็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ที่ดูดกลืนผู้ฝึกตนจากทั่วทุกมุมของอาณาจักรต่างๆ เข้ามา
ถึงแม้ว่าจะมีเหตุการณ์วิกฤตเกิดขึ้นอยู่รอบๆ ตัว แต่เมิ่งฮ่าวก็มีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข เป็นความสงบเงียบอย่างที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน แม้แต่ตอนที่อยู่ในดินแดนตะวันออกบนดาวหนานเทียน ในตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะลืมว่าตนเองคือผู้ฝึกตนไปแล้วอย่างแท้จริง และไม่ได้คิดว่าตนเองคือผู้ที่ถูกไล่ล่ากันอย่างวุ่นวายในตอนนี้ แต่เขากลับจมอยู่ในชีวิตของนักศึกษาไปโดยสิ้นเชิง
ภายในโรงเตี๊ยมของเมือง เมิ่งฮ่าวนั่งอ่านตำราอยู่ข้างตะเกียงน้ำมัน มีรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้าเป็นระยะ และบางครั้งเขาก็ส่ายศีรษะไปมา เห็นได้ชัดว่ากำลังอ่านตำราอย่างมีความสุขโดยแท้จริง
ทุกครั้งที่เมิ่งฮ่าวลุกขึ้นมายืน ก็จะหยิบพู่กันมาวาดบางอย่างลงไปที่ด้านข้าง เขากลายเป็นนักศึกษาเต็มตัวไปแล้ว เหมือนกับหลายปีก่อนโน้นบนภูเขาต้าชิง
“ยังเหลือเวลาอีกครึ่งเดือนก่อนที่จะมีการสอบ…”
ประมาณเที่ยงคืน เมิ่งฮ่าวดับตะเกียงและล้มตัวลงไปบนเตียง จากที่นั่นเขาสามารถมองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวผ่านหน้าต่าง ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงบ ยกเว้นเสียงกรนเบาๆ ที่ดังออกมาจากสถานที่ต่างๆ ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้
“ในตอนนั้นข้าไม่เคยสอบผ่านมาก่อน แต่ตอนนี้ข้ากำลังจะทดลองอีกครั้ง” ขณะที่เมิ่งฮ่าวหวนรำลึกไปถึงชีวิตเมื่อในอดีต ก็ต้องถอนหายใจยาว ในที่สุดเขาก็หยิบเอากระถางธูปออกมา ซึ่งถูกปกคลุมด้วยสัญลักษณ์เวทหลายชั้น
วิญญาณของฉู่อวี้เยียนอยู่ในกระถางธูปนี้ แต่ก็ไม่สมบูรณ์เพียงพอ กระจายหายไปมากกว่าครึ่ง เหลือไว้แต่เพียงวิญญาณที่ไร้ร่าง…
วิญญาณที่ไร้ร่างนี้ไม่เพียงพอที่จะฟื้นคืนชีพฉู่อวี้เยียนได้…ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าผ่านเข้าไปในวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ด้วยวิญญาณไร้ร่างนี้ นางก็จะไม่ใช่ตัวของนางเองอีกต่อไป แต่นางจะเป็นแค่หนึ่งในคนที่นางจะไปเกิดใหม่ในที่สุด
เมิ่งฮ่าวไม่อาจจะยอมรับเรื่องเช่นนี้ได้
“มันต้องมีหนทาง!” เขาหลับตาลง โคจรหมุนเวียนพื้นฐานฝึกตน เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บต่อไป
เมื่อถึงยามรุ่งอรุณ เมิ่งฮ่าวเก็บสัมภาระและนำลาออกไปจากโรงเตี๊ยม ผู้รับใช้พูดคุยกับเขาไปตลอดทาง อวยพรให้เขาโชคดีขณะที่เมิ่งฮ่าวนั่งอยู่บนหลังลา กางตำราไม้ไผ่ในมือ และจากนั้นก็มุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของเมืองหลวง ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณเจ็ดวัน
เมิ่งฮ่าวไม่รีบร้อน ขี่ลาไปตามเส้นทางหลวง เมื่อถึงยามราตรีก็หยุดพัก ออกเดินทางในยามเช้าตรู่ วันเวลาผ่านไปเช่นนี้ ขณะที่เขามีความสุขกับทัศนียภาพของหมู่บ้านและท้องนาที่เดินทางผ่านไป ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้วางแผนเช่นนี้ แต่การเดินทางของเขาก็เหมือนกับการชำระล้าง ทำให้จิตใจเยือกเย็นลงและสงบนิ่งมากขึ้นกว่าเดิม
มักจะมีลำแสงพุ่งผ่านท้องฟ้าที่ด้านบนเป็นระยะ ตรงด้านนอกในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ผู้ฝึกตนมากมายที่กำลังค้นหาเมิ่งฮ่าว เริ่มมีความกระวนกระวายใจมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าพวกมันจะยืดระยะเวลาในการค้นหาออกไป แต่ก็ไร้ร่องรอยใดๆ แม้แต่น้อย
พวกมันได้แต่ต้องขอให้ส่งผู้คนมาช่วยค้นหามากขึ้น ดาวลั่วเหอถูกสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กวาดผ่านเป็นระยะ แต่พันธมิตรเทพสวรรค์มีขนาดกว้างใหญ่ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะค้นหาคนผู้หนึ่ง
ในที่สุดเวลาที่ต้องคลายผนึกประตูเคลื่อนย้ายทางไกลก็ใกล้เข้ามาอย่างช้าๆ อันที่จริงก็มีปฏิกิริยาอยู่เล็กน้อยในกลุ่มของพันธมิตรเทพสวรรค์ ซึ่งรู้สึกว่าการตรึงพันธมิตรทั้งหมดไว้เพื่อค้นหาคนคนเดียวไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
แต่ปรมาจารย์เฮยหุนก็ไม่ยอมแพ้ กัดฟันแน่นไปยังเทียนเสินเต้าด้วยตนเอง หลังจากที่มันกลับไป ชายชราที่ได้ข้อเสนอเรื่องเงินรางวัลเกี่ยวกับเมิ่งฮ่าวก็นั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น ส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปด้วยตนเองเพื่อช่วยทำการค้นหา
อย่างไรก็ตาม พันธมิตรเทพสวรรค์มีขนาดใหญ่เป็นอย่างยิ่งสำหรับมัน การค้นหาต้องใช้เวลาและทรัพยากรเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ใช่ว่าปรมาจารย์เฮยหุนยอมจ่ายด้วยราคาที่สูงลิ่วแล้วละก็ มันคงไม่มีทางจะยอมช่วยเหลืออย่างแน่นอน
เวลาผ่านไป ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกตน การเดินทางของเมิ่งฮ่าวช่างเงียบสงบและมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าเขาเป็นมนุษย์ธรรมดาเรื่องราวก็จะแตกต่างกันออกไป เมื่อคิดไปถึงอันตรายต่างๆ ที่เขาต้องพบเจอ ในช่วงเวลาหนึ่งเขาไปเผชิญหน้ากับฝูงโจรกลุ่มหนึ่ง
ฝูงโจรกลุ่มนั้นเพิ่งจะปล้นชิงกลุ่มพ่อค้ามา และอยู่ในท่ามกลางการปล้นฆ่าข่มขืนที่เดือดพล่าน ขณะที่เมิ่งฮ่าวเดินทางผ่านไป เขาก็มองไปยังกลุ่มโจรเหล่านั้น และพวกมันก็หันหน้ามาเห็นเขาพอดี ทันใดนั้นพวกมันก็เริ่มหัวเราะเป็นเสียงดังขึ้นมา
บุรุษร่างกำยำผู้หนึ่งประกาศก้องว่า “นักศึกษาผิวเรียบลื่นผู้นั้น เป็นของข้า!”
จากนั้นมันก็ก้าวเดินตรงมายังเมิ่งฮ่าว ด้วยสีหน้าที่ดุร้าย แววตาสาดประกายขึ้นด้วยกามตัณหา
เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว สงสัยว่าขุนเขาทะเลที่แปดไปมีคนที่น่ารำคาญเช่นนี้ได้อย่างไร ขณะที่บุรุษร่างกำยำเข้ามาใกล้ เมิ่งฮ่าวก็ถอนหายใจ จากนั้นก็มองขึ้นไปในท้องฟ้า ราวกับว่าต้องการจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีใครมองเห็น ก่อนที่จะแค่นเสียงอย่างเย็นชา
เป็นเสียงที่นอกจากโจรกลุ่มนั้นแล้วก็ไม่มีใครสามารถจะได้ยิน สำหรับพวกมันเสียงนั้นคล้ายกับเป็นเสียงฟ้าร้องคำราม ทำให้ต้องกระอักโลหิตออกมา และล้มลงไปกองกับพื้นในทันที
แต่พวกมันยังไม่ตกตาย แค่หมดสติไปเท่านั้น เมิ่งฮ่าวไม่ได้ใช้วิชาเวทใดๆ แค่แค่นเสียงออกมา โดยมีพลังจากกายเนื้อทั้งหมดคอยเกื้อหนุน จากนั้นเขาก็กระโดดลงมาจากหลังลา และหยิบมีดที่อยู่ใกล้มากที่สุดขึ้นมา เดินไปยังกลุ่มโจรที่หมดสติไปทีละคน สังหารพวกมันไปอย่างเรียบเฉยและรวดเร็ว
หลังจากนั้นเขาก็กลับมาที่ลา ซึ่งกำลังเฝ้ารออย่างหมดความอดทนอยู่ตลอดเวลา และเดินทางต่อไป ไม่กี่วันหลังจากนั้นกำแพงเมืองขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า
นี่คือเมืองหลวงของอาณาจักรแห่งนี้
การสอบคัดเลือกเป็นขุนนางที่เมิ่งฮ่าวกำลังตั้งตารอคอย จะถูกจัดขึ้นอีกไม่กี่วันในที่แห่งนี้
หลายวันผ่านไปตามปกติ และในที่สุดก็ถึงเวลาที่จะสอบคัดเลือกแล้ว ทั่วทั้งเมืองหลวงคึกคักเต็มไปด้วยผู้คน ขณะที่นักศึกษาเดินทางมาจากที่ต่างๆ เพื่อทำการสอบคัดเลือก
เมิ่งฮ่าวคือหนึ่งในนักศึกษาเหล่านั้น เขาทิ้งลาไว้ที่โรงเตี๊ยม ขยับเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จากนั้นก็กระแอมไอออกมา ขณะที่เข้าร่วมกับนักศึกษาคนอื่นๆ มุ่งหน้าตรงไปยังสนามสอบ ที่นั่นมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจสอบดูคนทั้งหมดอย่างละเอียด ก่อนที่จะผ่านเข้าไป เพื่อให้มั่นใจว่าพวกมันจะไม่แอบเอาสิ่งใดๆ ที่อาจจะช่วยในการคดโกงเข้าไปได้ ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็ถูกนำตัวมายังห้องเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีขนาดแค่คนเดียวเท่านั้น มีโต๊ะอยู่หนึ่งตัววางไว้ด้วยเครื่องเขียนที่จัดเตรียมไว้อย่างเรียบร้อย ก่อนที่จะเปิดข้อสอบ เมิ่งฮ่าวล้างมือในอ่างไม้ตรงด้านข้าง จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมื่อเสียงระฆังเริ่มดังก้องขึ้นมา เขาก็นั่งลงไปที่เก้าอี้และเปิดม้วนข้อสอบ ในทันทีที่มองเห็นเนื้อหาของมัน รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า