ตอนที่ 1282
ไฟสงครามล้างปฐพี
แม้แต่ห้าปรมาจารย์ที่ได้รับบาดเจ็บ ต่างก็จ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความหวาดกลัว การกระทำที่กล้าหาญและน่าตกใจของเมิ่งฮ่าว รวมทั้งการตัดสินใจที่เด็ดขาดนั้น ทำให้แม้แต่จิตใจของพวกมันก็ยังต้องสั่นสะท้านขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว
ไว่ผอก็อยู่ในกลุ่มฝูงชน และสั่นสะท้านด้วยเช่นกัน นี่คือไว่ซุน (หลานชาย) ที่ทำให้ท่านต้องตกตะลึงครั้งแล้วครั้งเล่า
“ข้าไม่ใช่ปรมาจารย์ของพวกเจ้า” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงราบเรียบ มองไปยังกลุ่มคนตระกูลเมิ่งทั้งหมด
“ข้าไม่ใช่เมิ่งเฉินด้วยเช่นกัน ข้ามีนามว่า…เมิ่งฮ่าว”
“ข้ามาจากตระกูลฟางแห่งขุนเขาทะเลที่เก้า” คำพูดของเมิ่งฮ่าว ทำให้ผู้ฝึกตนตระกูลเมิ่งทั้งหมดจ้องมองมาด้วยความตกตะลึง ทันใดนั้นห้าปรมาจารย์ก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องราวบางอย่าง และดวงตาพวกมันก็เบิกกว้างขึ้น
สายตาทุกคู่มองไปยังเมิ่งฮ่าว ขณะที่เขาเริ่มเดินตรงไปยังไว่ผอ กลุ่มคนเปิดทางให้ด้วยความเคารพ ในที่สุดเขาก็ไปยืนอยู่ที่เบื้องหน้าท่าน สีหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกปรากฏขึ้นบนใบหน้าท่านขณะที่เมิ่งฮ่าวมองไปอย่างอ่อนโยน ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำกล่าวว่า
“ไว่ผอ”
เมื่อกลุ่มคนตระกูลเมิ่งได้ยินเขาเรียกท่านว่าไว่ผอ (ท่านยาย) พวกมันก็หันหน้าไปมองด้วยความตกตะลึง หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ กลุ่มคนก็เริ่มประสานมือและโค้งตัวลงให้กับท่าน
แม้แต่ห้าปรมาจารย์ก็กระทำเช่นเดียวกัน
หลังจากการสู้รบในครั้งนี้ ไว่ผอของเมิ่งฮ่าวและกลุ่มคนของท่านกลายเป็นสายโลหิตหลักอย่างแท้จริง กลุ่มคนที่ยังคงมีชีวิตอยู่ในตระกูลเมิ่ง ไม่ว่าพวกมันจะมาจากสายโลหิตใด ไม่มีแม้แต่เสียงเดียวที่จะไม่เห็นด้วย พวกมันทั้งหมดยอมรับจากก้นบึ้งส่วนลึกของจิตใจ
ห้าปรมาจารย์ต่างก็รู้สึกเช่นเดียวกัน มันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง เมื่อคิดว่าขุนเขาทะเลที่เจ็ดได้มาถึงแล้ว และสงครามขุนเขาทะเลกำลังเริ่มต้นขึ้น การมีคนที่น่ากลัวเช่นเมิ่งฮ่าวมาอยู่ด้วยเป็นผู้นำพวกมัน ทำให้รู้สึกราวกับว่าพวกมันกำลังถูกปกป้องโดยยันต์เวท
ด้วยการมียันต์อยู่ในที่แห่งนี้ ตระกูลเมิ่งก็จะปลอดภัยในสงครามครั้งนี้ และจะมีประโยชน์อย่างน่าเหลือเชื่อในการช่วยเหลือพวกมันจากห้วงความเป็นตาย ในตอนนี้อำนาจและตำแหน่งส่วนตัวในตระกูลไม่มีความสำคัญอีกต่อไป
ความแข็งแกร่งจึงจะเป็นทุกสิ่ง!
ไว่ผอไม่ได้ปฏิเสธคำพูดเมิ่งฮ่าว และด้วยเช่นนั้นจึงกลายเป็นผู้นำของตระกูล แทนที่ไว่กงเมิ่งที่หายตัวไป และสามารถจะใช้สิทธิ์ของท่านได้อย่างเต็มที่ คำสั่งมากมายถูกส่งออกไป ตระกูลเมิ่งมีชีวิตรอดจากการสู้รบมาได้ กำจัดผู้ทรยศไปจนหมดสิ้น และตอนนี้ก็เหมือนกับได้ชีวิตใหม่กลับคืนมา
ทวีปรองทั้งเก้าถูกปรับปรุงโครงสร้างใหม่ และกลายเป็นค่ายกลเวทใหม่ของตระกูล คฤหาสน์บรรพชนก็ถูกตกแต่งใหม่ทั้งหมดด้วยเช่นกัน
เมิ่งฮ่าวเลือกที่จะไปนั่งเข้าฌานตามลำพังอยู่ในตระกูลเมิ่ง ถึงแม้ว่าเขาต้องการจะไปยังขุนเขาทะเลที่สี่ แต่ตอนนี้ตระกูลเมิ่งก็จำเป็นต้องให้ตนเองช่วยเหลือ
ก่อนที่จะเริ่มเข้าฌาน เมิ่งฮ่าวมองออกไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ราวกับว่าเขาสามารถจะมองเห็นสวี่ชิง ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปในขุนเขาทะเลที่สี่ เขานั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ชั่วขณะ จากนั้นก็หลับตาลง นั่งขัดสมาธิ และเริ่มฝึกฝนการหายใจ
จากแผนการเดิมของขุนเขาทะเลที่เจ็ด ในตอนนี้ตระกูลเมิ่งน่าจะถูกกวาดล้างออกไปแล้ว มันเป็นความพ่ายแพ้อย่างใหญ่หลวงสำหรับผู้รุกราน
เมื่อเซียวอี้หานกลับไปยังจุดที่กองกำลังหลักของพวกมันรวมตัวกัน ซึ่งเป็นรอยแตกที่อยู่ระหว่างสองขุนเขาทะเล มันรายงานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ หลังจากรายงานจบ ก็มีคำถามเกี่ยวกับเมิ่งฮ่าว และไม่มีใครพยายามจะปิดบังเรื่องนี้ไว้
เวลาเดียวกันนั้น ในพันธมิตรเทพสวรรค์ ผู้ฝึกตนเกือบห้าหมื่นคนได้มารวมตัวกันเพื่อจัดตั้งเป็นกองกำลังรบ ผู้แข็งแกร่งที่ทรงพลังจำนวนมากอยู่ในตำแหน่งผู้นำ และในที่สุดพวกมันก็ออกจากพันธมิตรเทพสวรรค์ มุ่งหน้าไปยัง…รอยแตกที่ขุนเขาทะเลที่เจ็ดตั้งค่ายพักแรมกันอยู่
สงครามที่แท้จริงครั้งแรกระหว่างขุนเขาทะเลที่แปดและเจ็ดกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ทุกคนต่างก็ให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด ตระกูลหานและตระกูลเมิ่งต่างก็ส่งผู้ฝึกตนมาเฝ้าสังเกตการณ์เป็นกลุ่มแรก ยังสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในการสู้รบครั้งนี้
ไม่นานนักการต่อสู้ก็เริ่มขึ้นในอีกสามวันต่อมา ตรงด้านนอกของรอยแตก
ผู้ฝึกตนจากขุนเขาทะเลที่เจ็ดไหลผ่านรอยแตกเข้ามาอย่างไม่จบไม่สิ้น ตอนนี้พวกมันมีกองกำลังที่เข้มแข็งหกหมื่นถึงเจ็ดหมื่นคน เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้นก็มีความเข้มข้นอย่างน่าเหลือเชื่อ
ไม่มีใครออมรั้งยั้งมือ และเสียงการต่อสู้ก็ดังก้องขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง ขุนเขาทะเลที่แปดทุ่มออกไปจนสุดตัว รวมทั้งอาวุธเวทและของวิเศษต่างๆ เช่นเดียวกับขุนเขาทะเลที่เจ็ด และการต่อสู้ก็ดำเนินไปเป็นเวลาถึงเจ็ดวัน เกิดเป็นเสียงระเบิดดังเต็มอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว และเมื่อเจ็ดวันผ่านไป กลิ่นคาวโลหิตก็คละคลุ้งไปทั่วจนปกคลุมขุนเขาทะเลที่แปดไปเกือบครึ่ง
ผู้คนทั้งสองฝ่ายตกตายไปนับไม่ถ้วน แม้แต่ผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าบางคนด้วยเช่นกัน มีผู้คนเลือกที่จะระเบิดตัวเองเป็นระยะ ทำให้เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องออกไปในทั่วทุกทิศทาง
การต่อสู้ดำเนินไปด้วยความโหดเหี้ยมอย่างไร้ที่เปรียบ…
เจ็ดวันหลังจากนั้น พันธมิตรเทพสวรรค์…ก็ประสบกับความพ่ายแพ้ครั้งยิ่งใหญ่!
จากผู้ฝึกตนห้าหมื่นคนที่เรียงหน้าเข้าไปสู้รบ มีเพียงสองพันคนเท่านั้นที่รอดชีวิตกลับไป แต่ขุนเขาทะเลที่เจ็ดได้รับบาดเจ็บล้มตายน้อยมาก อันที่จริงก็ดูเหมือนว่าขุนเขาทะเลที่เจ็ดกำลังไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งมีกองกำลังมาเสริมเพิ่มอีกนับหมื่นคน
นั่นคือการสู้รบครั้งแรกที่ทำให้ขุนเขาทะเลที่แปดต้องสั่นสะเทือนไปโดยสิ้นเชิง สำนักในพันธมิตรเทพสวรรค์สั่นสะท้านอย่างเลวร้าย การต่อสู้นั้นคือการสู้รบที่แท้จริง และผลลัพธ์ที่สูญเสียไปก็ทำให้พันธมิตรเทพสวรรค์ได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง
ถ้านั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด แต่ผู้ฝึกตนแห่งขุนเขาทะเลที่เจ็ดก็ฉวยโอกาสจากชัยชนะนั้น ส่งกองกำลังเจ็ดหมื่นคน…ทำการสังหารไปตลอดเส้นทางจนเข้าไปในอาณาเขตของพันธมิตรเทพสวรรค์
สงคราม…ที่แท้จริงได้เริ่มขึ้นแล้ว!
ที่ด้านนอกของเขตพันธมิตรเทพสวรรค์ ตระกูลหานปิดกั้นตัวเองไปโดยสิ้นเชิง ตัดการติดต่อสื่อสารกับคนทั้งหมดที่ด้านนอก พวกมันไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การโจมตีศัตรู แค่ทำการป้องกันตัวเองเท่านั้น แต่ผลลัพธ์ก็คือว่าหนึ่งเดือนต่อมา ขุนเขาทะเลที่เจ็ดก็มาโจมตีพวกมัน
กองกำลังจากส่วนต่างๆ ทั้งหมดแห่งขุนเขาทะเลที่เจ็ด ถูกส่งไปโจมตีพวกมัน
เปลวไฟสงครามโหมกระหน่ำอยู่ในขุนเขาทะเลที่แปด มีการต่อสู้กันอย่างโหดเหี้ยมและสังหารกันไปมาอย่างไม่มีวันจบสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือว่า ผู้ฝึกตนแห่งขุนเขาทะเลที่เจ็ดได้ใช้พลังคำสาปแช่งออกมา ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันก็มีผู้ฝึกตนกายเนื้อ ที่ดูเหมือนว่าไม่อาจจะถูกทำลายลงไปได้ และมีความกล้าหาญที่จะทำให้เกิดเป็นการเข่นฆ่าสังหารออกไปทั่ว
ผู้ฝึกตนแห่งขุนเขาทะเลที่เจ็ด ยังได้ใช้สัตว์อสูรขนาดใหญ่ในการสู้รบอีกด้วย สัตว์อสูรเหล่านั้นสามารถปลดปล่อยพลังอย่างน่าตกใจออกมา และมีผลกระทบต่อการสู้รบอย่างใหญ่หลวง
มีกองกำลังเดียวเท่านั้นที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีผลกระทบแม้แต่น้อย…
ตระกูลเมิ่ง ราวกับว่าขุนเขาทะเลที่เจ็ดมองว่าอาณาเขตของพวกมันคือเขตหวงห้าม ตลอดเวลาหนึ่งเดือนที่สงครามขุนเขาทะเลปะทุขึ้น ตระกูลเมิ่งคล้ายกับเป็นแดนสวรรค์ คาดไม่ถึงว่า…ไม่มีผู้ฝึกตนจากขุนเขาทะเลที่เจ็ดแม้แต่คนเดียวที่จะผ่านเข้าไปในบริเวณนั้น
ถึงแม้ว่าพวกมันอาจจะผ่านไปเป็นครั้งคราว แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นเช่นนั้น สีหน้าพวกมันก็จะเปลี่ยนไป และรีบเร่งผ่านไปด้วยความรวดเร็วมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เรื่องนี้ไม่ได้รอดพ้นไปจากสายตาของตระกูลหานและพันธมิตรเทพสวรรค์ ถึงแม้ว่าพวกมันจะรู้สึกตกตะลึง แต่ก็ไม่มีเวลาไปตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ จำเป็นต้องมาเผชิญหน้ากับการรุกรานจากขุนเขาทะเลที่เจ็ดก่อน
เมิ่งฮ่าวรักษาความสงบนิ่งไว้โดยสิ้นเชิง ยังคงนั่งเข้าฌาณอยู่ในห้องลับของตระกูลเมิ่ง แน่นอนว่าห้องลับนั้นตั้งอยู่ภายในรูปปั้นขนาดใหญ่ตรงจุดกึ่งกลางของตระกูล ซึ่งเป็นสถานที่ที่เมิ่งฮ่าวเคยมองเห็นกระแสปราณแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเลมาก่อน มันมีส่วนช่วยในการฝึกตนของเขาเป็นอย่างยิ่ง
เขาไม่วิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามที่กำลังเกิดขึ้นตรงด้านนอกแม้แต่น้อย เพ่งสมาธิไปที่การฝึกตน และพบเจอกับความแตกต่างระหว่างพลังเซียนและพื้นฐานโบราณ
เมิ่งฮ่าวยังใช้เวลาตรวจสอบดูตะเกียงวิญญาณทั้งสามสิบสามดวงของตนเองอีกด้วย ทุกช่วงเวลาที่ผ่านไป พวกมันก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น และความต้องการที่จะเริ่มดับพวกมันลงไปของเมิ่งฮ่าวก็ยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้นเช่นเดียวกัน
ถึงแม้ว่าตระกูลเมิ่งไม่ต้องการจะเข้าร่วมสงคราม แต่ก็ทำการรวบรวมข่าวสารเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงด้านนอกอยู่ตลอดเวลา ข่าวสารเหล่านั้นถูกส่งต่อมายังเมิ่งฮ่าว และเขาก็ตรวจสอบมันถึงข้อมูลล่าสุดในสิ่งที่เกิดขึ้น นอกจากนี้เมิ่งฮ่าวก็ตระหนักดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้ เริ่มห่างไกลจากตอนเริ่มต้นมากแล้ว
“ข้าเกรงว่าสงครามที่แท้จริง…ใกล้จะมาถึงแล้ว” เมิ่งฮ่าวพึมพำ ครุ่นคิดไปถึงความวิตกกังวลของนกแก้วที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนโน้น
ตระกูลเมิ่งตกอยู่ในความเงียบและสงบสุข กลุ่มคนในตระกูลมุ่งเน้นไปที่การฝึกตน แต่ก็มักจะมองขึ้นไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวเป็นระยะ ด้วยสายตาที่สาดประกายเย็นชา
เวลาอีกครึ่งเดือนผ่านไป ในที่สุดสงครามระหว่างขุนเขาทะเลที่เจ็ดและแปดก็ดำเนินไปเป็นเวลาสองเดือนแล้ว ผู้ฝึกตนที่เข้าร่วมไม่ใช่นับหมื่นคนอีกต่อไป แต่เป็นนับแสนและจากนั้นก็นับล้าน
ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง จนถึงจุดที่ดังก้องเข้ามาในตระกูลเมิ่ง กลิ่นคาวโลหิตลอยคละคลุ้งไปทั่วทุกที่ พลังแห่งฟ้าดินตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนอาณาจักรเซียนสามารถจะรับรู้ได้
ในที่สุดผู้แข็งแกร่งที่ทรงพลังในขุนเขาทะเลอื่นๆ ต่างก็รับรู้ได้ว่าสงครามขุนเขาทะเลกำลังเกิดขึ้นอยู่ในขุนเขาทะเลที่แปด
อันที่จริง เมิ่งฮ่าวสามารถจะรู้สึกได้ว่ากระแสปราณแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเลทั้งหมดกำลังกระจัดกระจายออกไปอย่างช้าๆ แทบจะราวกับว่ามันกำลังโศกเศร้าเสียใจ
“มันเสียใจเพราะว่าศัตรูภายนอกใกล้จะมาถึงแล้ว…แต่ก็ยังมีสงครามภายในกันอยู่อีก?” เมิ่งฮ่าวพึมพำ
“แต่เจ้าก็ไม่อาจจะหยุดมันได้ บางทีเจ้าอาจจะคิดเหมือนกับข้า เมื่อไม่อาจจะหลีกเลี่ยงสงครามในครั้งนี้ ถ้ายิ่งปรับตัวได้รวดเร็วมากเท่าใด ก็จะยิ่งคุ้นเคยกับสงครามขุนเขาทะเลที่ใกล้เข้ามา” เมิ่งฮ่าวมองลงไปยังแผ่นหยก ที่ถูกส่งมาโดยกลุ่มคนตระกูลเมิ่ง เป็นรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ของสงครามตลอดช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
ครึ่งเดือนก่อน ดาวเคราะห์ซึ่งเป็นที่ตั้งของประตูเคลื่อนย้ายทางไกลแห่งพันธมิตรเทพสวรรค์ถูกทำลายไปทั้งหมด และผู้ฝึกตนนับล้านจากขุนเขาทะเลที่เจ็ดก็เริ่มบุกเข้ามาจนถึงจุดศูนย์กลาง ผู้ฝึกตนแห่งพันธมิตรเทพสวรรค์ต้องพบเจอกับการสู้รบครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดสงครามก็มาถึงจุดที่หยุดชะงักนิ่ง ทั้งสองฝ่ายต่างก็หยุดพักรบ ราวกับว่าพวกมันกำลังเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กันในสงครามครั้งสุดท้าย เป็นสงครามที่ไม่มีใครจะสามารถคาดเดาได้
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ขนาดเล็กก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
ห้าวันก่อน ตระกูลหาน…ถูกตีแตก หลังจากที่เกิดการบาดเจ็บล้มตายอย่างหนัก ผู้ที่รอดชีวิตก็หลบหนีจากไป แต่ก็ถูกไล่ล่าจากขุนเขาทะเลที่เจ็ดอย่างไม่ลดละ
เมิ่งฮ่าวมองขึ้นไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวอย่างเงียบๆ และคิดไปถึง
หานชิงเหลย จากนั้นดวงตาก็สาดประกายขึ้นมาในทันที
ที่ห่างไกลออกไปใกล้กับเขตชายแดนที่ถูกควบคุมโดยตระกูลเมิ่ง
เมิ่งฮ่าวมองเห็นกองกำลังของผู้ฝึกตนหนึ่งร้อยกว่าคนกำลังบินมาอย่างรวดเร็ว มีทั้งบุรุษและสตรี ชราและเยาว์วัย และพวกมันทั้งหมดต่างก็ได้รับบาดเจ็บ พร้อมกับใบหน้าที่โศกเศร้าและสิ้นหวัง โลหิตพุ่งกระจายออกมาจากบาดแผลต่างๆ ของพวกมันเป็นระยะ มีผู้ฝึกตนอาณาจักรเต๋าชราสองคนเป็นผู้นำ ทั้งคู่ต่างก็มีใบหน้าที่ซีดขาว และได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส
อย่างน่าประหลาดใจยิ่ง หานชิงเหลยอยู่ทางขวามือด้านหลังของสองชายชราผู้ฝึกตนอาณาจักรเต๋า พร้อมด้วยสีหน้าที่ดุร้าย ถึงแม้ว่ามันจะกระจายเป็นรังสีสังหารออกมา แต่ผิวหน้าก็คล้ำลงอย่างผิดปกติ ราวกับว่ามันได้รับผลกระทบจากคำสาปแช่งมา ร่างของมันซูบผอมเป็นอย่างยิ่งด้วยเช่นกัน และเห็นได้ชัดว่ายังคงอยู่ในขั้นตอนการแห้งเหี่ยวลงไป
กลุ่มคนเหล่านี้คือผู้ฝึกตนตระกูลหาน ซึ่งได้หลบหนีออกมาหลังจากที่ตระกูลถูกทำลายไป
ด้านหลังพวกมันมีสัตว์อสูรขนาดใหญ่สามตัว แต่ละตัวมีความยาวถึงหนึ่งพันจ้าง เป็นแมงมุมยักษ์สีเขียวมรกตและดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง
ที่กำลังนั่งอยู่บนหลังของแมงมุมแต่ละตัวเป็นผู้ฝึกตนมากกว่าหนึ่งพันคน มีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเย็นชาและเย่อหยิ่ง ขณะที่พวกมันไล่ตามผู้ฝึกตนตระกูลหานมา ตรงจุดศูนย์กลางบนหลังแมงมุม มีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์สีเขียวมรกต ขาข้างหนึ่งวางอยู่บนหลังของหญิงสาวเยาว์วัยที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้ามันด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน และแขนของมันก็โอบกอดไปรอบๆ ร่างหญิงสาวอีกคน ซึ่งเป็นผู้ฝึกตนด้วยเช่นกัน
ดวงตาของบุรุษหนุ่มสาดประกายขึ้นด้วยแสงสีมรกต ดูโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่เย็นชา
“เปิ๋นเส่า (คำแทนตัวเองของผู้สูงศักดิ์) ต้องการจับเป็นหานชิงเหลย สำหรับคนอื่นๆ ให้จับตัวมาป้อนสัตว์อสูรยักษ์ทั้งหมด!”