ตอนที่ 1289
ดับตะเกียงดวงแรก
เมิ่งฮ่าวไม่สนใจการกราบกรานจากผู้ฝึกตนแห่งขุนเขาทะเลที่เจ็ด เขาหันร่างและหายลับตาไป ไม่สังหารใครอีก จากความจริงที่ว่าพวกมันเหล่านั้นต่างก็ตกตะลึง
ต่อการปรากฏกายขึ้นอย่างกะทันหันของคนนอกคอก สามารถจะตอบคำถามได้ทั้งหมด
แต่ก็มีสายตาของใครบางคนที่เผยให้เห็นถึงความจงรักภักดี ถึงแม้ว่าพวกมันจะแสร้งทำเป็นประหลาดใจก็ตามที สำหรับบุคคลเหล่านั้น ชั่วขณะต่อมาศีรษะของพวกมันทั้งหมดก็ระเบิดขึ้น ถูกสังหารไปทั้งร่างกายและวิญญาณ
ผู้ที่รอดชีวิตมองไปรอบๆ ด้วยความตกตะลึง จากนั้นก็กระจัดกระจายออกไปอย่างช้าๆ ไม่มีใครกลับไปยังสนามรบที่อยู่ในพันธมิตรเทพสวรรค์อีก สำหรับพวกมันแล้ว การที่ได้เห็นหลู่ว์โหวกลายเป็นคนนอกคอกเป็นเรื่องที่น่าตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเมล็ดแห่งความเกลียดชังที่มีต่อชนเผ่านอกคอก ถูกปลูกฝังอยู่ในจิตใจพวกมัน ทำให้ต้องเริ่มคิดคำนวนไปถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น
เมื่อเมิ่งฮ่าวปรากฎกายขึ้นอีกครั้ง ก็อยู่ห่างออกไปไกล แต่ก็ยังคงกระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของผู้ยิ่งใหญ่ระเบิดขึ้นมาอยู่ภายในร่างเขาอีกครั้ง ทำลายการสะกดข่มของเขาไป จากนั้นคัมภีร์เต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มทำงานขึ้นอย่างบ้าคลั่ง เริ่มดูดกลืนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นั้นเข้าไป เมิ่งฮ่าวกัดฟันแน่นขณะที่โลหิตพุ่งออกมาจากบาดแผล และร่างกายก็แทบจะพังทลายลงไป
จากนั้นเขาก็ดิ้นรนที่จะทำการเคลื่อนย้ายทางไกล ไปปรากฏกายขึ้นอีกครั้งบนดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างไกลออกไป รีบแทรกร่างเข้าไปในใจกลางของดาวเคราะห์ จากนั้นก็นั่งลงขัดสมาธิหลับตาลงและเริ่มต้นเข้าฌาณ
ก่อนที่จะจมอยู่ในห้วงฌานอันลึกล้ำ เมิ่งฮ่าวทำการติดตั้งเวทป้องกันรอบๆ ตัวชั้นแล้วชั้นเล่าอย่างรวดเร็ว ถ้ามีใครบางคนมองมา ก็จะเห็นว่าดาวเคราะห์กำลังบิดเบี้ยวไปมา และจากนั้นก็ดูเหมือนว่าจะจางหายไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันแค่ถูกปิดบังไว้เท่านั้น
ไม่มีใครสามารถจะรับรู้ได้ถึงดาวเคราะห์หรือว่าเมิ่งฮ่าว จนกว่าพวกมันจะมีพื้นฐานฝึกตนและสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือกว่าเขา
เจ็ดวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตลอดช่วงเวลานั้น เมิ่งฮ่าวต้องพบเจอกับประสบการณ์ที่เฉียดตาย และร่างกายแทบจะแตกกระจายไปหลายครั้ง แต่ก็ได้อาณาจักรความเป็นนิรันดร์ รวมทั้งการกลืนเม็ดยาเป็นจำนวนมากช่วยไว้ได้
เมิ่งฮ่าวเริ่มผอมแห้งไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งแทบจะกลายเป็นถุงหนังห่อหุ้มกระดูก แต่ดวงตาก็ยังคงสาดประกายเจิดจ้า เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าตลอดช่วงเวลาเจ็ดวันที่ผ่านมา สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาเริ่มมีความแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก!
อันที่จริงในตอนนี้ มันมีความแข็งแกร่งมากกว่าเดิมถึงสามเท่า!
จากการที่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ทำให้เมิ่งฮ่าวมีความเชื่อมั่นมากขึ้นในการใช้พลังจากพื้นฐานฝึกตนและช่วยให้ตนเองเข้าใจเกี่ยวกับความสามารถศักดิ์สิทธิ์และอาวุธเวทได้มากขึ้นกว่าเดิม เขาไม่เพียงแต่จะสามารถควบคุมและใช้พวกมันได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ การที่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งขึ้นทำให้เขาเข้าไปสู่จุดที่…สามารถจะดับตะเกียงวิญญาณแห่งอาณาจักรโบราณได้แล้วในตอนนี้!
หลังจากเจ็ดวันผ่านพ้นไป เมิ่งฮ่าวก็ลืมตาขึ้นมา ร่างกายไม่ได้แทบจะพังทลายอีกต่อไป ถึงเขาจะอ่อนแอแต่เปลวไฟแห่งพลังชีวิตในตอนนี้ กำลังลุกโชนขึ้นมากกว่าเดิม และมีความเสถียรมั่นคงขึ้นเป็นอย่างมาก
“ในที่สุด ก็ดูดกลืนได้ทั้งหมด สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของข้าในตอนนี้เท่ากับสามในสิบส่วนของสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แห่งผู้ยิ่งใหญ่…” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นช้าๆ ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า
ใบหน้าบิดเป็นรอยยิ้มขึ้น ขณะที่โบกสะบัดชายแขนเสื้อออกไป ทำให้ตะเกียงวิญญาณทั้งสามสิบสามดวงปรากฏขึ้นอยู่รอบๆ ตัวในทันที
หลังจากที่ตรวจดูพวกมันอยู่ชั่วขณะ เขาก็กัดฟันแน่นและหลับตาลง โคจรหมุนวนพลังการฝึกตน เริ่มรักษาอาการบาดเจ็บตัวเอง เนื่องจากสัมผัสศักดิ์สิทธิ์มีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น ทำให้อาณาจักรความเป็นนิรันดร์ของเขาในตอนนี้มีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้สามารถจะฟื้นฟูกลับคืนมาได้รวดเร็วมากขึ้น
ครั้งนี้เมิ่งฮ่าวใช้เวลาแค่หนึ่งวันเท่านั้นในการฟื้นฟูร่างกายที่ผอมแห้งให้กลับเป็นปกติเหมือนเดิม ตอนนี้พลังการฝึกตนและกายเนื้อของเขาถูกฟื้นฟูจนกลับเข้าสู่ขั้นสูงสุดอย่างสมบูรณ์ เช่นเดียวกับวิญญาณและสัมผัสศักดิ์สิทธิ์
ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็ลืมตาขึ้นมา และมองไปยังตะเกียงวิญญาณดวงแรก ตะเกียงนั้นอยู่ในจุดสูงสุดของมัน และเป็นดวงแรกที่หยุดการดูดซับพลังแห่งฟ้าดินเข้าไป
เมิ่งฮ่าวศึกษาตะเกียงดวงนั้นชั่วขณะ และความเด็ดเดี่ยวในแววตาก็เริ่มกลายเป็นความลังเลขึ้นมาอย่างช้าๆ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ความเด็ดเดี่ยวก็กลับคืนมา และเขาก็ตัดสินใจในทันที
เขาจะ…ดับตะเกียงวิญญาณดวงแรกนี้ และจะต้องเผชิญหน้ากับความเป็นตายที่เกิดขึ้น ในช่วงของการดับตะเกียงวิญญาณ
“ถึงอย่างไรข้าก็ต้องดับตะเกียงวิญญาณอยู่ดี ตอนนี้ทั้งกายเนื้อและสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของข้าแข็งแกร่งขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นข้าสามารถจะบอกได้ว่าสัมผัสศักดิ์สิทธิ์และความแข็งแกร่งของวิญญาณ คือตัวแปรสำคัญในการดับตะเกียงวิญญาณ”
“นอกจากนี้ ข้ายังสามารถจะทดสอบได้ว่า…การดับตะเกียงวิญญาณดวงแรกจะมีผลกระทบต่อความสามารถในการดูดซับพลังแห่งฟ้าดินของตะเกียงวิญญาณอื่นๆ หรือไม่” เมิ่งฮ่าวมองไปยังตะเกียงวิญญาณดวงแรก จากนั้นก็กัดฟันแน่น โบกสะบัดมือตรงไปยังทิศทางของตะเกียงดวงนั้นโดยไม่ลังเล
ตะเกียงวิญญาณดวงแรกเริ่มส่ายไหวไปมาในทันที และเปลวไฟที่อยู่ด้านในก็เริ่มกระพริบไปมา ราวกับว่าจะถูกดับลงไปได้ทุกเมื่อ
ผลลัพธ์นั้นไม่ใช่การที่เมิ่งฮ่าวโบกสะบัดมือออกไป แต่เป็นการที่เขาใช้พลังแห่งเจตจำนงทั้งหมดเพ่งสมาธิไปที่การดับตะเกียง
มีแต่เจตจำนงที่สอดคล้องกับร่างกายเท่านั้น ถึงจะสามารถดับตะเกียงได้!
“ดับลง!” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงแผ่วเบา ขณะที่พูดจบ เปลวไฟของตะเกียงวิญญาณดวงแรก…ก็กระพริบไปมา!
ในตอนที่มันใกล้จะดับลง เมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน ตะเกียงวิญญาณถูกดูดซับเข้าไปในวิญญาณ และเชื่อมต่อกับโลหิตของเขาด้วยเช่นกัน ราวกับว่ามันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเมิ่งฮ่าว แต่ในตอนนั้นเองที่เงาแห่งความตายก็ปกคลุมลงมาโดยสิ้นเชิง
เมิ่งฮ่าวเริ่มสั่นสะท้าน ขณะที่เปลวไฟแห่งพลังชีวิตเริ่มมืดสลัวลงไปอย่างรวดเร็ว พลังของเขาจางหายไปจนแทบจะสัมผัสไม่ได้ และพลังการฝึกตนก็ไม่อาจจะโคจรหมุนวน แม้แต่พลังจากสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ยากที่จะทำงานขึ้นมา และความคิดของเขาก็เริ่มจางหายไป
กลิ่นอายแห่งความตายเริ่มกระจายออกมาจากร่างเมิ่งฮ่าวอย่างช้าๆ เริ่มมีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ วิญญาณก็แห้งเหี่ยวลงไปเช่นเดียวกัน และดูเหมือนว่ากายเนื้อก็เริ่มเน่าเปื่อยลงไป
เป็นภาพที่แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าความตายของเมิ่งฮ่าวกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย กลิ่นอายของเขาเริ่มอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ
ถ้ามีใครมาเห็นเขาในตอนนี้ นั่นก็คือสิ่งที่พวกมันมองเห็น
แต่ความเป็นจริงก็คือ ถึงแม้ว่าดวงตาเมิ่งฮ่าวจะปิดลง แต่เขากำลังมองไปยัง…โลกที่แตกต่างกันออกไป ด้านในของดาวเคราะห์กลายเป็นสีเทาไปโดยสิ้นเชิง และจริงๆ แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามองเห็นก็เป็นสีเทาด้วยเช่นกัน
เขาลุกขึ้นมายืน แต่ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าร่างกายของตนเองยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ในตำแหน่งเดิม เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ลุกขึ้นมาคือวิญญาณของเขา ซึ่งอยู่ในขั้นตอนของการกระจัดกระจายออกไป
เมิ่งฮ่าวเดินตรงไปและเหลียวหลังมองกลับไปยังกายเนื้อของตนเองที่กำลังนั่งเข้าฌาณอยู่ที่นั่น มองเห็นว่าร่างกายตนเองกำลังแห้งเหี่ยวลงไป และโลหิตก็เริ่มเหือดแห้ง มองเห็นกลิ่นอายแห่งความตายอันเข้มข้น และตระหนักว่าวิญญาณของตนเองกำลังกระจัดกระจายออกไป ทั้งหมดนี้ทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกราวกับว่าเขากำลังอยู่ที่หน้าประตูแห่งความตาย
“นี่คือสิ่งที่คล้ายกับการดับตะเกียงวิญญาณแห่งอาณาจักรโบราณ…”
เมิ่งฮ่าวพึมพำ ก่อนหน้านี้เขาเคยเรียนรู้เกี่ยวกับการดับตะเกียงวิญญาณตอนที่อยู่ในตระกูลฟาง สิ่งที่เขาเรียนรู้ก็คือว่าผู้ฝึกตนอาณาจักรโบราณทั้งหมด ต่างก็มีประสบการณ์ที่แตกต่างกันในช่วงของการดับตะเกียง ไม่เพียงแต่ทุกคนเท่านั้น แต่ทุกๆ ตะเกียงก็แตกต่างกันออกไป
อย่างไรก็ตาม ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีกฎทั่วไปบางอย่างเป็นที่เข้าใจกันดีในกลุ่มผู้ฝึกตนทั้งหมด
“การดับตะเกียงวิญญาณในอาณาจักรโบราณของข้า จะต้องสอดคล้องกับอารมณ์ทั้งเจ็ด!” เมิ่งฮ่าวพึมพำพร้อมกับดวงตาที่สาดประกาย
“ห้าตะเกียงเป็นหนึ่งอารมณ์ น้อยคนนักที่จะพบเจอกับอารมณ์ที่สี่ และยิ่งหายากมากไปกว่านั้นก็คืออารมณ์ที่ห้า บางคนแค่พบกับอารมณ์ที่สามเท่านั้น…ยิ่งพบเจอมากเท่าใด ก็จะยิ่งมีอันตรายมากขึ้นเท่านั้น…”
“อารมณ์แรกถูกเรียกว่าความฟุ้งซ่าน…”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ นี่ต้องเป็นอารมณ์แห่งความฟุ้งซ่านอย่างแน่นอน”
เมิ่งฮ่าวเดินกลับไป นั่งลงขัดสมาธิอยู่ในตำแหน่งเดียวกับกายเนื้อ พยายามเชื่อมต่อวิญญาณของตัวเองขึ้นมาใหม่
แต่ก็ไร้ผลใดๆ ราวกับว่าร่างกายกำลังปฏิเสธวิญญาณของเขา เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง กายเนื้อแห้งเหี่ยวลงไปมากขึ้น ทำให้ต้องมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น ร่างแวบขึ้นในทันที ไปปรากฏกายขึ้นที่ด้านนอกของดาวเคราะห์ เมื่อมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากกลุ่มหมอกอันหนาแน่น ซึ่งกำลังพลุ่งพล่านปั่นป่วนม้วนตัวไปมาอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงบไปโดยสิ้นเชิง
“อารมณ์ฟุ้งซ่าน อารมณ์ฟุ้งซ่าน…คำว่า ’ฟุ้งซ่าน’ มาจากไหน…?”
เมิ่งฮ่าวพึมพำ หันกลับไปมองยังทิศทางของดาวเคราะห์ ทันใดนั้นก็ตระหนักว่าดาวเคราะห์ได้เปลี่ยนแปลงไป ตอนนี้มันกลายเป็นหัวใจสีแดงเข้มขนาดใหญ่ ที่กำลังบิดตัวเต้นไปมา มองเห็นใบหน้านับไม่ถ้วนอยู่บนพื้นผิวของมัน และใบหน้าเหล่านั้นทั้งหมดกำลังแผดร้องมายังเมิ่งฮ่าว ยิ่งไปกว่านั้น ใบหน้าทั้งหมด…ก็ดูคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง
พวกมันคือกลุ่มคนที่เขาเคยสังหารมาทั้งหมด
เมิ่งฮ่าวมองไปยังใบหน้าเหล่านั้นด้วยสายตาที่เย็นชา และเริ่มเดินกลับไปอย่างช้าๆ ทันใดนั้นหัตถ์ยักษ์ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้น เต็มไปด้วยเกล็ดสีโลหิต พุ่งออกมาจากภายในหัวใจ ส่งเสียงดังกระหึ่มตรงมายังเมิ่งฮ่าว ด้วยความตั้งใจที่จะบดขยี้เขาไป บดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในบริเวณนั้นให้แตกกระจายไป
พลังของมันทำให้กลุ่มหมอกที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นพลุ่งพล่านปั่นป่วน และขณะที่มันพุ่งออกมา ก็มีเสียงอันดุร้ายดังก้องออกมาจากด้านในของหัวใจ
“เมิ่งฮ่าว…ข้าเฝ้ารอมานานแล้ว…ข้าเคยบอกว่าเมื่อถึงเวลาที่เจ้าดับตะเกียงวิญญาณ ข้าจะกลับมาใช่หรือไม่!?” เสียงกระหึ่มนั้นดังก้องออกไปในทั่วทุกทิศทาง และหัวใจก็เริ่มหดเล็กลงไป ในชั่วพริบตา มันก็แตกกระจายไป หายไปพร้อมกับหัตถ์ยักษ์ข้างนั้น
แต่เสียงอันเย็นชาก็ยังคงดังก้องต่อไป
“ข้าลบภาพกายเนื้อของเจ้าไปแล้ว เขาไม่อาจจะหาทางกลับไปได้แล้วในตอนนี้ เจ้าต้องติดอยู่ในที่แห่งนี้ ในที่สุดกายเนื้อเจ้าก็จะแห้งเหี่ยวไปโดยสิ้นเชิง และโลหิตของเจ้าก็จะเหือดแห้ง สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าจะหายไป และวิญญาณเจ้า…ก็จะแตกสลายไปในที่แห่งนี้”
ใบหน้าเมิ่งฮ่าวหมองคล้ำลง โบกสะบัดชายแขนเสื้อออกไป ทันใดนั้นชิ้นส่วนที่แตกกระจายไปของหัวใจซึ่งกำลังลอยอยู่ก็หยุดชะงักนิ่งอยู่ในกลางอากาศ
“อารมณ์ฟุ้งซ่านก็คือสถานที่แห่งนี้ทั้งหมด…โลกภาพลวงตานี้ปรากฏขึ้นหลังจากที่ดับตะเกียงวิญญาณดวงแรกไป วิญญาณข้าถูกดึงให้มาอยู่ในที่แห่งนี้ ถ้าข้าไม่อาจจะกลับเข้าไปในกายเนื้อได้ทันก่อนที่มันจะแห้งเหี่ยวไป ข้าก็ต้องตายอย่างแน่นอน ใครก็ตามที่คิดจะดับตะเกียงวิญญาณดวงแรก จะต้องเป็นเช่นนี้?”
เมิ่งฮ่าวคิด
“ถ้าข้าไม่ได้ดูดกลืนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จากผู้ยิ่งใหญ่สามสิบสามสวรรค์ นี่ก็อาจจะเป็นเรื่องยุ่งยากบ้าง แต่ตอนนี้…” เมิ่งฮ่าวหัวเราะเสียงเย็นชา ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเพียงแค่วิญญาณเท่านั้น แต่ก็ยังคงมีสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อยู่ ทันใดนั้นสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ระเบิดออกไป ม้วนกวาดไปยังรอบๆ บริเวณนั้นทั่วทุกทิศทาง
ในชั่วพริบตา สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็พุ่งกระจายออกไปปกคลุมอาณาเขตอันกว้างใหญ่ ตราบเท่าที่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์จะสามารถบรรลุไปถึง สำหรับเมิ่งฮ่าวแล้ว นั่นเป็นแค่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์สามในสิบส่วนของสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดของตนเองเท่านั้น
“เปิดออก!” เมิ่งฮ่าวส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้ม้วนกวาดออกไปในทั่วทุกทิศทางมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้เกิดเป็นระลอกคลื่นกระจายออกไปในกลุ่มหมอกจนพลุ่งพล่านปั่นป่วนขึ้นมา
“พบแล้ว!” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นพร้อมกับดวงตาที่สาดประกาย อย่างน่าประหลาดใจยิ่งเขามองเห็นภาพของดาวเคราะห์อยู่ห่างออกไปในกลุ่มหมอก ดาวเคราะห์ดวงนั้นคือดาวที่กายเนื้อของตนเองอยู่ด้านใน
“เป็นไปไม่ได้!!” ใครบางคนแผดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่งจากภายในกลุ่มหมอก เป็นเสียงเดียวกันกับที่พูดออกมาเมื่อครู่นี้ และเป็นเสียงเดียวกันกับที่เขาเคยได้ยินมา ในช่วงของการเอาชนะทัณฑ์โบราณ
——————–
หมายเหตุ: อารมณ์ทั้งเจ็ด ประกอบด้วย ดีใจ โกรธ เสียใจ ฟุ้งซ่าน ซึมเศร้า หวาดกลัวและตกใจ ซึ่งมีผลต่ออวัยวะภายในทั้งหมด