Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1449

ตอนที่ 1449

เสี่ยวฮ่าวจื่อ

ตรงเขตชายแดนของดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่เก้าบนดาวชางหมาง เป็นแม่น้ำที่คดเคี้ยวไหลไปมาจากที่ไหนสักแห่ง มีหมู่บ้านขนาดเล็กอยู่ประปรายสองข้างแม่น้ำ

หนึ่งในหมู่บ้านเหล่านั้นถูกเรียกว่า เถาฮวาชุน (หมู่บ้านดอกท้อ)

หมู่บ้านนี้อาศัยอยู่ด้วยผู้คนไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น กล่าวกันโดยทั่วไปแล้วคนทั้งหมดรู้จักกันเป็นอย่างดี คาดกันว่าพวกมันสืบเชื้อสายมาจากหนึ่งในตระกูลใหญ่เมื่อในอดีตซึ่งอพยพมายังที่แห่งนี้เมื่อนานมาแล้ว แต่เกิดอะไรขึ้นในตอนนั้นไม่มีใครรู้แน่ชัด หลายปีต่อมาเถาฮวาชุนก็ปรากฏขึ้น

ผู้คนส่วนใหญ่ซึ่งอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ มีชีวิตอยู่ด้วยการล่าสัตว์และตกปลา ยามรุ่งอรุณก็จะมีกลุ่มควันลอยอ้อยอิ่งขึ้นมาจากปล่องไฟห้องครัว และยามราตรีดวงดาวก็ส่องแสงระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า ช่างเป็นสถานที่ที่เงียบสงบและเป็นศิริมงคลอย่างยิ่ง…

แต่เสียงที่ปั่นป่วนวุ่นวายก็จะดังขึ้นมาเป็นระยะ และอาจจะได้ยินแม้แต่เสียงร้องตะโกนขึ้นด้วยโทสะ…

“ฟางมู่! เสี่ยวฮ่าวจื่อ! (เจ้ามุสิกน้อย) ถ้าข้าจับเจ้าได้ เจ้าต้องถูกตีก้นอย่างแน่นอน!”

“วันนี้ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะไม่ทนอีกต่อไป ฟางมู่ หยุดให้กับข้า ถ้าเจ้ายังวิ่งหนีอีก ข้าก็จะไปพูดกับบิดาขี้เมาที่บ้านเจ้า!”

“นั่นมันไก่ของข้า! เจ้า เจ้า เจ้า…เจ้าเอาไก่ข้าไปไม่ได้!”

ยามรุ่งอรุณของเช้าวันหนึ่ง ขณะที่กลุ่มควันลอยขึ้นมาจากปล่องไฟ เสียงแผดร้องเช่นนี้ก็ดังก้องอยู่ในหมู่บ้าน เป็นเสียงของทั้งผู้ชรา, คนหนุ่มสาว และแม้แต่เด็กๆ

เวลาเดียวกันนั้นเด็กชายอายุหกขวบผู้หนึ่ง กำลังแอบซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ ห่างไกลออกไปตรงมุมของหมู่บ้าน มีท่าทางพึงพอใจกับตนเองเป็นอย่างยิ่ง เด็กผู้นั้นมีใบหน้าที่หล่อเหลา พร้อมกับดวงตาที่เจิดจ้าราวกับดวงดาว และผิวกายที่เรียบรื่นราวกับหยกเนื้อดี สวมใส่เสื้อผ้าป่านเนื้อหยาบ และถึงแม้ว่าจะมีดินโคลนเปรอะเปื้อนอยู่บนใบหน้า แต่ก็ไม่อาจจะปกปิดความเฉลียวฉลาดที่สาดประกายอยู่ในแววตาได้

มือของมันโอบไปรอบๆ ลำตัวไก่ ถ้ามองไปแค่แวบแรกก็ดูเหมือนว่าไก่ตัวนั้นกำลังดิ้นรนไปมา แต่ถ้ามองดูให้ละเอียดก็จะเห็นว่ามันกำลังสั่นสะท้าน เป็นการสั่นสะท้านที่ไม่ได้เนื่องมาจากเด็กชาย แต่เนื่องมาจากสุนัขล่าสัตว์ที่นอนเหยียดยาวอยู่บนพื้นที่ด้านข้าง

สุนัขตัวนั้นนอนอยู่ที่นั่นอย่างเกียจคร้าน แต่ก็กระจายเป็นแรงกดดันที่มองไม่เห็นออกมา เมื่อไหร่ก็ตามที่ไก่เริ่มดิ้นรน สุนัขก็จะร้องคำรามออกมา และไก่ก็จะตกใจกลัวจนเซื่องซึมลงไปในทันที

เวลาเลื่อนผ่านไป และในที่สุดหมู่บ้านก็เงียบสงบลง เด็กชายเลียริมฝีปากไปมา จากนั้นก็เริ่มย่องกลับเข้าไปในหมู่บ้านอย่างช้าๆ พร้อมกับไก่ที่อยู่ในอ้อมกอด สุนัขล่าสัตว์ติดตามมา พร้อมกับเลียริมฝีปากของมันไปด้วยเช่นกัน

“นี่ไม่ใช่ของเจ้า เลิกคิดได้แล้ว นี่คือค่าเล่าเรียนของข้า!” เด็กชายกระซิบ เดินทะลุผ่านหมู่บ้านไปจนกระทั่งพบว่าตนเองอยู่ที่เบื้องหน้าบ้านที่ชำรุดผุพังหลังหนึ่ง รีบเตะไปที่ประตูอย่างเร่งร้อน

“ซือจุน (อาจารย์) เปิดประตู รีบเปิดเร็วเข้า!” เด็กชายพูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา

ประตูเปิดออก เผยให้เห็นชายชราที่ดูสกปรกผู้หนึ่ง ยื่นมือออกมาลากเด็กชายเข้าไปด้านใน จากนั้นก็มองไปรอบๆ ว่ามีใครสังเกตเห็นหรือไม่ ก่อนที่จะปิดประตูลง

ในทันทีที่เข้าไปในลานบ้าน เด็กชายก็กล่าวขึ้นมาด้วยเสียงดัง “ซือจุนเหล่าโถว (อาจารย์ผู้เฒ่า) ข้านำไก่ตัวนี้มาเป็นค่าเล่าเรียน ข้าต้องการเรียนเวทแห่งเซียน!”

ชายชราไม่ได้สูงมากนักและหลังค่อม หันหน้ามองกลับไปยังเด็กชายด้วยดวงตาที่หรี่เล็กลง จากนั้นก็มองไปยังไก่ตัวนั้นและเริ่มกลืนน้ำลายลงไป

“ไม่เลว ไม่เลว เด็กน้อยรู้จักหาของกำนัลมาให้ซือฟู่ (อาจารย์) สามารถสั่งสอนได้ ดี ดี หลังจากที่ซือฟู่จัดการกับสิ่งชั่วร้ายนี้ ก็จะสอนวิชาเซียนให้กับเจ้า!”

“ตอนนี้เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปจัดการสิ่งชั่วร้ายที่ไร้ยางอายนี้ก่อน!” จากนั้นชายชราที่เนื้อตัวสกปรกก็คว้าจับไปที่ไก่ หันหลังเดินตรงเข้าไปในบ้าน

“ซือฟู่ ท่านจะจัดการมันอย่างไร?” เด็กชายถาม ดวงตาเบิกกว้างขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“อย่าแอบมองในช่วงที่เหวยซือ (อาจารย์) ร่ายเวท ต้องมีกลิ่นแปลกๆ เกิดขึ้น สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างไกล มีพลังลมปราณไม่เพียงพอ และเหวยซือก็ได้รับบาดเจ็บด้วยเช่นกัน ดังนั้นคงต้องให้เจ้าทำตัวเป็นผู้พิทักษ์เต๋าแล้ว”

“เสี่ยวฮ่าวจื่อ ความปลอดภัยของเหวยซือขึ้นกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องปกป้องดูแลให้ดี” ชายชรากล่าวขึ้นด้วยท่าทางเคร่งเครียดจริงจัง

เด็กชายพยักหน้าให้ด้วยความตื่นเต้น

ชายชราเข้าไปในบ้าน และชั่วขณะต่อมา เสียงกรีดร้องโหยหวนก็ได้ยินมา จากนั้นก็เป็นเสียงขนที่ถูกดึงออกมา และเสียงน้ำที่กำลังเดือดพล่าน ไม่นานนักกลิ่นหอมก็โชยออกมา

เด็กชายอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่ผ่านไปเล็กน้อย ก็ถามขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “ซือฟู่ เมื่อสิ่งมีชีวิตนี้เป็นอสูรร้าย ทำไมถึงได้อ่อนแอเช่นนี้? ข้าจับมันได้โดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ”

“นั่นเป็นเพราะว่าซือฟู่ใช้พลังเวททำให้พลังของมันหายไปก่อนหน้านี้แล้ว” เมื่อถึงตอนนี้ ก็มีเสียงที่คล้ายกับว่าใครบางคนกำลังกินอาหารอยู่ภายในบ้าน

“ซือฟู่ ปีนี้ข้าช่วยท่านจับอสูรร้ายมามากมาย จนหมู่บ้านนี้แทบจะเกลี้ยงเกลาไปแล้ว ทำให้ท่านพ่อต้องตีข้าอยู่หลายครั้ง เมื่อไหร่พวกเราจะออกไปจากหมู่บ้านเพื่อสังหารอสูรร้ายกันบ้าง?” เด็กน้อยกล่าวต่อไป

“ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ เมื่อวานข้าสังเกตเห็นสุนัขในลานบ้านของผู้แซ่จู้ตรงทิศตะวันตกของหมู่บ้าน เจ้าน่าจะนำสุนัขตัวนั้นมาให้เหวยซือตรวจสอบดู มันน่าจะเป็นสิ่งชั่วร้ายด้วยเช่นกัน!” ในตอนนี้เสียงกัดกินด้วยความตะกละได้ยินออกมาถึงในลานบ้าน

เด็กชายมองขึ้นไปในท้องฟ้าอย่างเงียบๆ

“ซือฟู่ ท่านพ่อข้าอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง ไม่กี่วันก่อนตอนที่ท่านกำลังตีข้า ก็บอกว่าข้าทำให้ท่านสอบเป็นขุนนางไม่ผ่าน”

“ใช่แล้ว ท่านบอกว่าข้าถูกเก็บมาเลี้ยง…”

“ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเร็วๆ นี้ ข้ามักจะฝันอยู่เป็นประจำ ฝันว่ามีผู้คนและสิ่งของแปลกๆ อยู่มากมาย ข้ายังได้เห็นผู้คนบินอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อคิดดูแล้วก็เหมือนกับว่าจะรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง คล้ายกับมีใครบางคนเรียกข้าอยู่ ราวกับว่า…ราวกับว่ามีข้าอยู่สองคน” ดูเหมือนว่าเด็กชายจะรู้สึกยุ่งยากในการแสดงออกว่าต้องการจะพูดอะไรออกมา ราวกับว่ายิ่งพูดมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งรู้สึกสับสนมากขึ้นเท่านั้น

เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งชายชราที่สกปรกก็โผล่ออกมาจากภายในบ้าน และตอนนี้ก็มายืนอยู่ที่เบื้องหน้าเด็กชาย กำลังมองลงไป

“อย่าได้คิดเพ้อเจ้อไป เจ้าสองคน? เจ้ากำลังพูดเกี่ยวกับร่างจำแลง และคนที่แข็งแกร่งจนสามารถมีร่างจำแลงได้ อืม…คนผู้นั้นก็เหมือนกับซือฟู่เจ้า บอกมาว่าคนที่เจ้ารู้สึกได้นั้นอยู่ที่ไหน?”

“ที่นั่น…” เด็กชายกล่าว ลุกขึ้นมายืนและชี้ออกไปยังทิศทางหนึ่ง ด้วยสีหน้าที่งุนงง “ที่นั่น ไกลออกไปมากๆ ข้าฝันถึงวิหารขนาดใหญ่ และภูเขาอีกมากมาย”

“ฮา ฮา ฮา! ซือฟู่รู้แล้วว่าเจ้ากำลังพูดถึงที่ไหน นั่นคือตี้จิ่วจง! (สำนักที่เก้า) แห่งชางหมางพ่าย เมื่อเร็วๆ นี้ได้ยินมาว่าตี้จิ่วจงมารับศิษย์อยู่ในที่แห่งนี้ ถ้าเจ้าปฏิบัติต่อซือฟู่ด้วยดี ข้าอาจจะแนะนำเจ้าไปสักครั้ง” ชายชราหัวเราะหึๆ เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของเด็กชาย มันก็ยื่นมือออกมาขยี้ไปที่เส้นผมของเด็กน้อย

“ไม่เป็นไร เจ้ามักจะคิดเพ้อเจ้อวุ่นวาย เหวยซือเห็นแล้วรู้สึกสงสาร วันนี้จะสอนวิชาเซียนให้กับเจ้าบ้าง มันถูกสร้างขึ้นมาจากกฎธรรมชาติ ทำให้ฟ้าสะท้านดินสะเทือน ทำให้ภูตเทพต้องหวาดกลัว ทำให้แก่นแท้ของชีวิตมีความยุ่งยากมากขึ้น สามารถจะกล่าวได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของเวททั้งปวง เป็นเต๋าแห่งเต๋าทั้งหลาย!” ความสับสนก่อนหน้านี้ของเด็กชายหายไป และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง

“ไปกันเถอะ!” ชายชรากล่าว มองขึ้นไปยังท้องฟ้ายามสนธยา เดินนำออกไปจากลานบ้าน และจากนั้นก็ลงไปยังเส้นทางเล็กๆ ที่อยู่ทางหลังบ้าน เด็กชายเดินตามไปพร้อมกับสุนัขที่มีท่าทางเกียจคร้านตัวนั้น

คนทั้งสองเดินไปชั่วครู่จนกระทั่งมืดลง ในที่สุดก็มาถึงลานบ้านแห่งหนึ่ง ชายชราเหลียวซ้ายมองขวา จากนั้นก็กระโดดผ่านรั้วเข้าไปในลานบ้านพร้อมเด็กชาย และกระซิบว่า “อีกสักครู่ห้ามเจ้ามองดู แค่รับฟังเท่านั้น นี่คือการฟังเต๋า เข้าใจหรือไม่? ซือฟู่กำลังจะฝึกฝนอะไรบางอย่าง ปล่อยให้ข้ามีโอกาส…เอ่อ ข้าหมายถึงให้เจ้ายืนอยู่ตรงนี้ในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์เต๋า”

จิตใจเด็กชายเริ่มเต้นรัวและพยักหน้าให้ด้วยความกระหาย มีท่าทางยินดี ชายชราเดินเข้าไปในบ้าน ชั่วขณะต่อมาเด็กชายก็ได้ยินเสียงของสตรีผู้หนึ่ง

“เหล่าปู้สื่อ (ไอ้แก่หนังเหนียว) ทำไมเพิ่งมา?”

“มาแล้ว มาแล้ว แค่ก แค่ก เร็วเข้า เหล่าฟูจะร่ายเวทให้กับเจ้า…”

ในที่สุดเสียงแปลกๆ บางอย่างก็ได้ยินออกมาจากภายในบ้าน ดวงตาเด็กชายเบิกกว้างขึ้น ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ แต่ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าหลี่กว่าฟู่ (แม่หม้ายหลี่) ในหมู่บ้านมักจะมีท่านอาท่านลุงมาเยี่ยมเยือนอยู่เป็นประจำ และนำสิ่งของมาให้เป็นจำนวนมาก

“กลายเป็นว่าหลี่กว่าฟู่ก็เป็นผู้ฝึกตนด้วยเช่นกัน!” เด็กชายพึมพำ หมกมุ่นอยู่กับการรับฟังสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น จนไม่ได้สังเกตสิ่งบางอย่างที่ด้านหลัง ในตอนนี้มีเงาร่างเลือนลางสายหนึ่งปรากฏขึ้น แน่นอนว่าต่อให้เด็กชายไม่ได้หมกมุ่นเช่นนั้น ก็ยังคงไม่อาจจะสังเกตเห็นได้

เป็นบุรุษหนุ่มที่สวมใส่ชุดยาวสีเขียวผู้หนึ่ง มีท่าทางเหมือนนักศึกษา ยกเว้นว่ามีใบหน้าที่เย็นชา ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไร้สุ้มเสียง ถึงแม้ว่าการมาถึงของมันจะทำให้แสงดาวบิดเบี้ยวไปมาก็ตามที สุนัขล่าเนื้อสั่นสะท้าน และแสงอันอบอุ่นก็ปรากฏขึ้นในดวงตา

“ทัณฑ์ทรมานเจ็ดปี…คืนนี้ทัณฑ์ปีที่เจ็ดของร่างจำแลงข้าจะมาถึงแล้ว…หลังจากผ่านทัณฑ์นี้ ความทรงจำของมันก็จะกลับคืนมาในที่สุด จากนั้นมันก็จะเป็นข้า และข้าก็จะเป็นมัน” บุรุษหนุ่มผู้นี้ก็คือเมิ่งฮ่าวนั่นเอง และเด็กชายผู้นี้ก็คือร่างจำแลงที่ถูกส่งมายังโลกมนุษย์เพื่อมีชีวิตอยู่ในฐานะที่เป็นชีวิตที่สี่ของตนเอง มันคือร่างจำแลงที่จะค้นหาความรู้แจ้งแห่งเวทผนึกรุ่นเก้าด้วยเช่นกัน

“จากที่คิดคำนวณ เวลานั้นในที่สุดก็ใกล้เข้ามาแล้ว” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา แทบจะในเวลาเดียวกับที่คำพูดหลุดออกมาจากปาก แรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านไปทั่วร่างเด็กชาย และมันก็กระอักโลหิตออกมา ส่งเสียงร้องไห้ขึ้นมาในทันที ขณะที่ร่างกายเริ่มแห้งเหี่ยวลงไป

ทันใดนั้นเสียงร้องไห้ก็ทำให้ชายชราต้องสะดุ้งขึ้นมา และดังก้องออกไปทั่วทั้งยามราตรีอันเงียบสงบ ทำให้คนอื่นๆ ภายในหมู่บ้านได้ยิน ชายชรารีบวิ่งออกมาจากภายในบ้าน และเมื่อมองเห็นเด็กชาย สีหน้าจริงใจก็ปรากฏขึ้นมา ความเป็นจริงก็คือว่ามันใส่ใจเด็กชายผู้นี้อย่างแท้จริง เนื่องจากเช่นนั้นมันจึงรีบวิ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว และกดมือลงไปบนหน้าผากของเด็กชาย แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น สีหน้าของชายชราสลดลง มันรู้ว่าโรคบางอย่างต้องใช้ต้นสมุนไพรที่ถูกปรุงขึ้นมาโดยหลางจง (แพทย์จีน) เพื่อทำการรักษา ดังนั้นจึงอุ้มเด็กชายขึ้นมา และวิ่งตรงไปยังบ้านของหลางจงที่อยู่ภายในหมู่บ้าน

เป็นยามราตรีที่ยากจะหลับลงไปได้สำหรับผู้คนส่วนใหญ่ในเถาฮวาชุน (หมู่บ้านดอกท้อ) ในช่วงเวลาหนึ่งกลุ่มเมฆสีดำที่พลุ่งพล่านปั่นป่วนก็ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า แต่ก็ไม่มีสายฝนตกลงมา ฟ้าร้องดังก้องกระหึ่ม และกลุ่มหมอกก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมา อย่างน่าแปลกใจยิ่ง กลุ่มหมอกเหล่านั้นเป็นสีม่วง และม้วนตัวไปมาราวกับว่ามีสิ่งอันน่ากลัวนับไม่ถ้วนอยู่ด้านใน ซึ่งแผดร้องคำรามดังก้องไปทั่วทั้งยามราตรี

เด็กชายซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนามว่าเสี่ยวฮ่าวจื่อ นอนสั่นสะท้านอยู่ในลานบ้านของหลางจง มีชาวบ้านอยู่หลายคนในตอนนี้ รวมทั้งชายชราที่สกปรกผู้นั้น ยังมีนักศึกษาวัยกลางคน ที่ถึงแม้จะสวมใส่ชุดนักศึกษา แต่ก็มีหนวดเคราและถือขวดน้ำเต้าสุราอยู่ในมือด้วยเช่นกัน มีแววตาที่ดูงุนงงและเลื่อนลอย

นี่คือบิดาของเด็กชายผู้นั้น หลายปีก่อนมันไม่ได้เป็นเช่นนี้ แต่หลังจากที่ล้มเหลวในการสอบเป็นขุนนาง ก็ปล่อยปละละเลยตนเองด้วยความสิ้นหวัง เมามายอยู่เป็นประจำ และถูกลากมายังบ้านของหลางจงโดยชาวบ้านอีกคน

“ช่วยไม่ได้แล้ว” หลางจงกล่าวขึ้น ถอนหายใจออกมา

เมื่อนักศึกษาวัยกลางคนได้ยินเช่นนั้น ก็มองไปยังเด็กชายที่ตนเองเก็บขึ้นมาจากลำธาร ซึ่งตอนนี้มีร่างกายที่แห้งเหี่ยว นักศึกษาสั่นสะท้าน จากนั้นก็ยกขวดน้ำเต้าสุราขึ้นมาและดื่มลงไปคำใหญ่

“ตายแล้วก็ดี…” มันพึมพำ ด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวดใจ

ชาวบ้านคนอื่นๆ ถอนหายใจด้วยความโศกเศร้า ถึงแม้ว่าเด็กชายมักจะซุกซนไปบ้าง แต่เมื่อต้องมาเห็นมันตายไปด้วยโรคร้ายเช่นนี้ก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง

ตอนนี้เมิ่งฮ่าวลอยตัวอยู่ด้านบน กำลังมองลงไปอย่างเงียบๆ ยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่นี้ แต่เมื่อกำลังจะยื่นมือออกไป บางสิ่งบางอย่างก็เกิดขึ้น

“ใครว่าเสี่ยวฮ่าวจื่อตายไปแล้ว?” ชายชราที่ดูสกปรกผู้หนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มฝูงชน ดวงตาแดงก่ำ ขณะที่ตรงเข้าไปอุ้มเด็กชายขึ้นมาในทันที

“มันยังไม่ตาย แค่ไม่สบายเท่านั้น พวกเจ้าช่วยมันไม่ได้ บิดามันก็ไม่ได้เรื่อง เหล่าฟูคือซือฟู่มัน เหล่าฟูจะดูแลมันเอง!” ด้วยเช่นนั้น ชายชราก็นำเด็กชายจากไป

คนทั้งหมดตกตะลึง และเสียงพูดคุยก็ดังก้องขึ้นมา ทันใดนั้นกลุ่มคนก็มองเห็นชายชราบินขึ้นไปในอากาศ ทำให้ทั่วทั้งหมู่บ้านเกิดเป็นความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นมาขนานใหญ่

เมิ่งฮ่าวลอยตัวอยู่ที่นั่น เฝ้ามองไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด ร่างกายเริ่มจางหายไปอย่างช้าๆ รู้สึกได้ว่าร่างจำแลงของตนเองกำลังค่อยๆ ตื่นขึ้นมา และในที่สุดก็จะมีตัวเองอยู่สองคนอย่างแท้จริง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version