Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1533

ตอนที่ 1533

หลอมรวมเวทผนึก

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจตจำนงแห่งท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาว ทำการโจมตีมายังเมิ่งฮ่าว แต่นี่คือครั้งแรกที่มันมาปรากฏตัวขึ้นด้วยรูปแบบเช่นนี้

แต่ในตอนนี้เมิ่งฮ่าวไม่สามารถจะมองเห็น สัมผัสทั้งหมดของเขาถูกผนึกไว้ ทำการเพ่งสมาธิไปยังชิ้นไม้แกะสลักที่อยู่ในมือโดยสิ้นเชิง เขาต้องหลอมรวมไม้แกะสลักนี้อย่างรวดเร็วมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ในตอนนี้ไม้แกะสลักเริ่มละลายไปแล้วมากกว่าแปดในสิบส่วน ในที่สุดก็บรรลุถึงเก้าในสิบส่วนแล้ว

“เหลืออีกแค่ส่วนเดียวเท่านั้น ต้องเร็วขึ้นกว่านี้!” สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเมิ่งฮ่าวกำลังระเบิดออกไปจนถึงระดับที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ ขณะที่พยายามหลอมละลายชิ้นไม้แกะสลักให้รวดเร็วมากขึ้น

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น รูปร่างของเจตจำนงแห่งหลัวเทียนก็พุ่งผ่านทะเลแห่งภูตผีอันไร้ขอบเขตมาอย่างรวดเร็ว อย่างน่าแปลกใจยิ่งเมื่อเหล่าภูตผีพยายามจะเข้าไปใกล้เจตจำนงแห่งหลัวเทียน พวกมันก็ต้องหยุดชะงักนิ่งไปในทันที ราวกับว่าสูญเสียความสามารถในการขยับตัวเคลื่อนไหวไป

ในชั่วพริบตาเหล่าภูตผีทั้งหมดก็เริ่มสั่นสะท้าน และจากนั้นก็แน่นิ่งไม่ไหวติง ดวงตาเบิกโพลง ไม่ใช่แค่ร่างกายของพวกมันเท่านั้น แม้แต่วิญญาณก็เช่นเดียวกัน รวมทั้งจิตปีศาจที่เรียบง่ายของพวกมัน พลังในการเคลื่อนไหวถูกตัดขาดออกไปในทันที!

ร่างกายของเจตจำนงแห่งหลัวเทียน เดินไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว ทำให้ไปอยู่ที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว เมื่อมองลงไป สีหน้ามันก็เปลี่ยนไป ราวกับว่ากำลังงุนงงหรือว่าสับสนอะไรบางอย่าง

“ทำไมเจ้าถึงไม่ยินดีที่จะหลอมรวมเข้ากับข้า?” มันถามขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ จากนั้นก็ชี้นิ้วแตะไปที่หน้าผากของเมิ่งฮ่าว

อย่างไรก็ตามทันใดนั้นเองที่เสียงกรีดร้องแหลมเล็กจู่ๆ ก็ดังก้องขึ้นมา นกแก้วปรากฏตัวขึ้น แวบผ่านอากาศตรงไปยังหน้าอกของร่างหลัวเทียนด้วยความดุร้าย

ร่างนั้นหยุดชะงักนิ่งชั่วขณะ และจากนั้นก็เตรียมที่จะชี้นิ้วตรงไปยังเมิ่งฮ่าวต่อไป แต่จากนั้นก็มีเสียงดังก้องออกมา ด้วยคำพูดหนึ่งคำที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างต้องสั่นสะเทือนไปมาอย่างรุนแรง

“กุ่น!” (ไสหัวไป)

คำพูดนี้ดังออกมาจากปากของรูปปั้นขนาดใหญ่ กระจายเต็มไปทั่วทั้งโลกแห่งนี้ เกิดเป็นลมพายุอันทรงพลังม้วนกวาดออกไปจนทำให้เขตสุสานทั้งหมดต้องสั่นสะเทือน

ร่างของเจตจำนงแห่งหลัวเทียนเริ่มสั่นสะท้าน

จากนั้นก็ถอยโซเซไปทางด้านหลังราวกับว่าไม่อาจจะควบคุมร่างกายของตนเองได้ เมื่ออยู่ห่างออกไปจากเมิ่งฮ่าวประมาณสิบจ้าง ร่างกายของมันก็ระเบิดขึ้น ส่งผลให้เศษชิ้นเนื้อและโลหิตพุ่งกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง ผิวหนังและกล้ามเนื้อของร่างนั้นแทบจะถูกทำลายไปโดยสิ้นเชิง เผยให้เห็นกระดูกที่อยู่ภายใน เหลือเพียงแค่ศีรษะอยู่ครึ่งส่วนเท่านั้นที่ยังคงครบถ้วนสมบูรณ์

เมื่อเสียงนั้นจางหายไป ร่างของเจตจำนงแห่งหลัวเทียนก็มองขึ้นไปอย่างช้าๆ บาดแผลของมันถูกรักษาจนหายดีอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตาก็กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม

ช่วงเวลาเดียวกันนั้น ตรงโลกที่อยู่ด้านนอกในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าไร้สิ้นสุด สิ่งมีชีวิตทั้งปวงจู่ๆ ก็แห้งเหี่ยวลงไป โลหิตและพลังชีวิตของพวกมันหายไปจนหมดสิ้น และทั่วทั้งโลกแห่งนั้นก็เริ่มแน่นิ่งตายไปในทันที

พลังแห่งโลหิตและพลังชีวิตเหล่านั้น ช่วยให้ร่างของเจตจำนงแห่งหลัวเทียนฟื้นฟูกลับคืนมา เมื่อมันมองขึ้นไปยังรูปปั้น สีหน้าก็ต้องเปลี่ยนไปอีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะรู้สึกสับสน และยังได้ตกอยู่ในความงุนงงอีกด้วย

“ที่แท้ก็เจ้านี่เอง บุตรชายคนโตของข้า” มันกล่าวขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ

ประกายอันแหลมคมปรากฏขึ้นภายในดวงตาของเงาร่างที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ เสียงกระหึ่มขนาดใหญ่ดังก้องออกมา ขณะที่รูปปั้นนั้นค่อยๆ ลุกขึ้นมายืนอย่างช้าๆ ในท่ามกลางเศษหินดินทรายที่กำลังตกลงมา ในที่สุดเศษหินดินทรายที่ตกลงมานั้นก็ก่อตัวเข้าด้วยกันจนกลายเป็นภูเขาลูกน้อยๆ และจากนั้นบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งก็โผล่ออกมาจากด้านใน

บุรุษหนุ่มผู้นี้มีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกับร่างของเจตจำนงแห่งหลัวเทียนเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีส่วนใดที่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย

แต่ก็เห็นได้ชัดว่าร่างมันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากเลือดเนื้อ

นี่ไม่ใช่ชางหมางเหลาจู่อย่างแท้จริง แต่เป็นร่างจำแลงที่เหลือทิ้งไว้ในเขตสุสาน เพื่อเฝ้าระลึกถึงและคอยปกป้องสถานที่แห่งนี้

เมื่อมันโผล่ออกมา แผ่นฟ้าก็สั่นสะท้านผืนดินสั่นสะเทือน และดูเหมือนว่าทั่วทั้งดินแดนกว้างใหญ่แห่งที่เก้าแทบจะพังทลายลงไป ร่างจำแลงชางหมางเหลาจู่เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ไปอยู่ตรงเบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว แยกเขาออกมาจากร่างของเจตจำนงแห่งหลัวเทียน

ร่างจำแลงนั้นไม่พูดจา และสีหน้าก็ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ยกมือขวาขึ้นมาโบกสะบัดชายแขนเสื้อออกไปที่เบื้องหน้า และกลิ่นที่คล้ายกับเซียนก็ไม่ใช่ปีศาจก็ไม่เชิงระเบิดออกไป กลุ่มหมอกสีดำพุ่งขึ้นมา กระจายเต็มไปทั่วด้วยภูตผีอันดุร้ายนับไม่ถ้วน ปกคลุมไปยังร่างของหลัวเทียนในทันที

ร่างนั้นชี้นิ้วออกไป ทำให้กฎธรรมชาติของโลกแห่งนี้รวมตัวเข้าด้วยกัน จากนั้นเจตจำนงอันไร้ขอบเขตอย่างที่ยากจะอธิบายออกมาได้ก็ปะทุขึ้นไป

ในตอนนี้เองที่ร่างของหลัวเทียนได้กล่าวขึ้นว่า “พลังทั้งปวงภายในความว่างเปล่าไร้ขอบเขต เมื่อมาอยู่ต่อหน้าข้าจะถูกตัดออกไปหรือถูกดูดซับไป” ภูตผีอันดุร้ายที่อยู่ภายในกลุ่มหมอกสีดำเริ่มสั่นสะท้าน จากนั้นก็จางหายไป ราวกับว่าพวกมันกำลังถูกกำจัดไป

อย่างไรก็ตามในตอนนี้เองก่อนที่พวกมันจะถูกกวาดล้างออกไปโดยสิ้นเชิง ร่างจำแลงของชางหมางเหลาจู่ ก็แค่นเสียงเย็นชาออกมา ทันใดนั้นกลุ่มหมอกสีดำก็หดตัวลงไป และเหล่าภูตผีอันดุร้ายก็รวมตัวเข้าด้วยกันเพื่อก่อตัวเป็น…ภูตผีอันดุร้ายตนหนึ่ง ด้วยรูปร่างหน้าตาที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง!

ภูตผีตนนี้มีกลุ่มหมอกสีดำเป็นผิวหนัง ดูคล้ายกับวิญญาณอันดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง ที่น่าตกใจมากที่สุดก็คือว่าส่วนที่อยู่เหนือเอวขึ้นไปทั้งหมด ก้มลงมาจนดูเหมือนกับหลังค่อม อย่างน่าตกใจยิ่ง เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่ามันกำลังแบกโลกอยู่บนไหล่

มองเห็นสิ่งปลูกสร้างอยู่นับไม่ถ้วน ซึ่งดูคล้ายกับนรกโลกันต์ สำหรับแขนและขาของภูตผีตนนี้ ถูกม้วนพันไว้ด้วยสายโซ่สีดำนับไม่ถ้วน ภูตผีกรีดร้องคำรามและพลังแห่งกฎธรรมชาติก็ปะทุขึ้นมาจากโลกที่อยู่บนหลังของมัน

พลังนั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่ร่างของหลัวเทียนก็ยังไม่สามารถจะกำจัดออกไปได้ เป็นพลังของชางหมางเหลาจู่ พลังแห่ง…ภูตผีปีศาจ!

พลังนั้นทำให้เกิดเป็นพลังขับไล่ที่ระเบิดตรงไปยังร่างของหลัวเทียน

เจตจำนงแห่งหลัวเทียนถอนหายใจ ขณะที่ร่างมันถูกฉีกกระชากจนกลายเป็นกลุ่มควันแห่งโลหิต แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่สนใจ ยกมือขวาขึ้นมาและชี้นิ้วออกไป ทำให้แสงสีเทาอันเข้มข้นพุ่งออกไปทั่วทุกทิศทาง เวลาเดียวกันนั้นอากาศที่ด้านหลังมันก็แยกเปิดออก เผยให้เห็นดรรชนีหนึ่งข้าง

เป็นดรรชนีที่เหนือกว่าสวรรค์สามารถสะกดข่มโลกแห่งนี้ไว้ได้ ในทันทีที่ปรากฏขึ้นมา ดรรชนีก็พุ่งกระแทกลงไปยังภูตผีอันดุร้ายนั้น

ตูมมมมมมม!

ภายใต้พลังของดรรชนี ภูตผีสั่นสะท้าน และจากนั้นก็เริ่มแตกกระจายกลายเป็นเสี่ยงๆ สิ่งปลูกสร้างที่อยู่บนหลังมันกลายเป็นกลุ่มควันจางหายไป ถูกบดขยี้ไปราวกับเป็นหญ้าแห้ง อย่างไรก็ตามในช่วงเวลานั้นเองที่สายโซ่ซึ่งอยู่บนแขนขาทั้งสี่ข้างของภูตผี ก็ม้วนพันไปรอบๆ ดรรชนีข้างนั้น พันธนาการมันไว้อย่างแน่นหนามากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งระเบิดออกไป

ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายจะเป็นคู่ต่อสู้ที่สูสีกัน!

เมื่อเสียงระเบิดดังก้องออกไป ร่างหลัวเทียนและร่างจำแลงต่างก็ถอยโซเซไปทางด้านหลังกันทั้งคู่

ร่างจำแลงของชางหมางเหลาจู่ค่อยๆ มองขึ้นไป เสียงที่เก่าแก่โบราณและแหบแห้งกล่าวขึ้นว่า “เด็กผู้นี้ ห้ามเจ้านำจากไป!”

แรงกดดันอันทรงพลังที่กระจายออกมาจากร่างจำแลง เริ่มบดขยี้ลงไปยังเจตจำนงแห่งหลัวเทียนในทันที

ไม่ว่าร่างนี้จะเป็นตัวแทนของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งหลัวเทียนหรือไม่ ร่างจำแลงของชางหมางเหลาจู่ก็ไม่แสดงความหวาดกลัวออกมาแม้แต่น้อย

ร่างของหลัวเทียนมองไปยังร่างจำแลงของชางหมางเหลาจู่ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นก็กล่าวว่า “บุตรคนโตของข้า เจ้าจากไปแล้วในปีนั้น ทำไมยังคงยึดติดอยู่อีก?”

ด้วยเช่นนั้นมันจึงยกมือขวาขึ้นมา และชี้นิ้วออกไป กล่าวว่า

“พลัง” ทันใดนั้นพลังก็ระเบิดออกมาจากร่างมัน กลายเป็นสัญลักษณ์เวทขนาดใหญ่ และภายในสัญลักษณ์เวทนั้นก็ปกคลุมไปด้วยสัญลักษณ์เวทอื่นอีกมากมาย ซึ่งเป็นตัวแทนของกฎธรรมชาติแห่งพลังเต๋าที่อยู่ภายในท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าไร้ขอบเขต!

นี่คือสิ่งที่แม้แต่ผู้ฝึกตนเก้าแก่นแท้ก็ยังไม่อาจจะทำได้

มันคือสัญลักษณ์เวทที่ก่อตัวขึ้นมาจากสัญลักษณ์เวท และในทันทีที่มันปรากฏขึ้นมา ก็กดทับลงไปยังร่างเมิ่งฮ่าวและร่างจำแลงของชางหมางเหลาจู่

ในตอนนี้กฎธรรมชาติทั้งปวงที่อยู่ภายในท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาว ซึ่งเกี่ยวข้องกับพลังต่างๆ จู่ๆ ก็จางหายไป พวกมันเลือนรางลงไปเพื่อก่อตัวเป็นสัญลักษณ์เวทขนาดใหญ่ ซึ่งกำลังกรีดเฉือนโจมตีลงมาอยู่ในตอนนี้ ร่างจำแลงชางหมางเหลาจู่มองไปด้วยแววตาที่สาดประกายเจิดจ้า ยกมือขวาขึ้นมาขยับร่ายเวทในทันที ทำให้มือข้างนั้นจางหายไป มองไม่เห็นทั้งเลือดเนื้อและกระดูก มีแต่เงาแขนอันเลือนรางเท่านั้น

เงาแขนนั้นไม่ได้เป็นสีดำ แต่มีหลากสี และกระจายเป็นกลิ่นอายเต๋าออกมา เป็นเต๋าส่วนตัวที่กลายเป็นแก่นแท้บางอย่าง

มันคือ…เต๋าปีศาจแห่งปรมาจารย์ไร้สิ้นสุด!

เมื่อมือข้างนั้นสัมผัสโดนสัญลักษณ์เวท สวรรค์สะท้านปฐพีสะเทือน พื้นดินแตกร้าวแยกออกจากกัน ขณะที่ระลอกคลื่นระเบิดออกไป ทำให้เขตสุสานต้องสั่นสะเทือนไปทั่ว

เมื่อถึงตอนนี้ชิ้นไม้แกะสลักที่อยู่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าวก็หลอมละลายไปแล้วเก้าในสิบส่วน หนึ่งส่วนสุดท้ายยังคงหลอมละลายไปอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็หลอมละลายไปเก้าสิบสี่ในหนึ่งร้อยส่วน จากนั้นก็เป็นเก้าสิบเจ็ด, เก้าสิบแปด…จนกระทั่งในที่สุดก็หนึ่งร้อยส่วนเต็ม!

ชิ้นไม้แกะสลักหลอมละลายไปอย่างสมบูรณ์ ไม่ได้คงอยู่อีกต่อไป ตอนนี้เหลืออยู่แต่หยดน้ำสีดำหนึ่งร้อยหยดเท่านั้น ไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้น ในตอนนี้เองที่ความรู้สึกของเมิ่งฮ่าวซึ่งถูกผนึกไว้โดยสิ้นเชิง จู่ๆ ก็เปิดออกในทันที

ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายเจิดจ้า ถึงแม้ว่าจะมีความผันผวนอันน่ากลัวกระจายออกมาจากเจตจำนงแห่งหลัวเทียนก็ตาม ไม่ว่าเจตจำนงนั้นต้องการจะสังหารเขาไปมากมายอย่างไร แต่ร่างจำแลงของชางหมางเหลาจู่ก็ขัดขวางมันอยู่ตลอดเวลา ทำให้ตอนนี้เต็มไปด้วยเพลิงโทสะอย่างเข้มข้น อันเนื่องมาจากการคงอยู่ของเมิ่งฮ่าว…

เมิ่งฮ่าวสูดหายใจเข้าลึกๆ และขณะที่ทำเช่นนั้น หยดน้ำสีดำทั้งหนึ่งร้อยหยดก็กลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในหน้าผาก

เสียงที่คล้ายกับเสียงฟ้าร้องคำรามดังเต็มอยู่ในจิตใจ ราวกับมีสายฟ้าสีดำหนึ่งร้อยสายฟาดลงมาบนศีรษะ

เมื่อหยดน้ำสีดำหยดสุดท้ายหลอมรวมเข้าไปในหน้าผากเสร็จสิ้นเรียบร้อย และเสียงฟ้าร้องคำรามเสียงสุดท้ายก็ดังก้องขึ้น พลังที่สามารถจะทำลายสวรรค์บดขยี้ปฐพีก็พุ่งขึ้นมาในทะเลสติสัมปชัญญะของเมิ่งฮ่าว

เขาเริ่มสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างรุนแรง และฟองโลหิตก็ระเบิดออกมาจากปาก หยดน้ำสีดำหนึ่งร้อยหยดหมุนวนไปมาอยู่ภายในทะเลสติสัมปชัญญะ และขณะที่เป็นเช่นนั้น กลิ่นอายแห่งเวทรุ่นเก้าก็เริ่มกระจายออกมา!

ถึงแม้ว่าจะยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ แต่ในตอนที่มันระเบิดออกมา ร่างของเจตจำนงแห่งหลัวเทียนก็สั่นสะท้าน สีหน้าเต็มไปด้วยโทสะ และดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยความต้องการสังหาร

“ไสหัวไป!” มันแผดร้องคำราม พุ่งตรงไปยังร่างจำแลงของชางหมางเหลาจู่อย่างคาดไม่ถึง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version