Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1590

ตอนที่ 1590

จุดสิ้นสุดของรุ่นนี้

เมิ่งฮ่าวทำการค้นหาอยู่ตรงด้านนอกความว่างเปล่าไร้ขอบเขตเป็นเวลานานมากๆ ในที่สุดก็ได้แต่ต้องหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นเท่านั้น ตระหนักดีว่าเหตุผลที่หลัวเทียนไม่ยอมปรากฏตัวก็เป็นเพราะว่า มันต้องการเห็นข้อจำกัดของเวลาที่มีผลกระทบต่อคนทั้งหมดซึ่งมีความใกล้ชิดกับเมิ่งฮ่าว

เมิ่งฮ่าวกลับไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งขุนเขาทะเล และขุนเขาที่เก้า ที่แห่งนั้นเขาพยายามอย่างบ้าคลั่งเพื่อสร้างเป็นกฎธรรมชาติขึ้นมาใหม่ ด้วยความหวังว่าจะสามารถทำลายคำสาปแช่งนี้ไปได้ เมื่อสวี่ชิงมองเห็นเมิ่งฮ่าวเป็นเช่นนี้ จิตใจก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ไม่อาจจะช่วยอะไรได้ นอกจากคอยเป็นเพื่อนเขาอย่างเงียบๆ เท่านั้น

“เวลามีจำกัด…เนื่องจากเช่นนั้น จึงไม่มีการถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ หนึ่งชีวิตต้องพบกับจุดจบไป…” เมิ่งฮ่าวพึมพำ ตระหนักดีว่าใครก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตนเอง ก็ไม่อาจจะถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ได้หลังจากที่ตายไป

เวลาเลื่อนผ่านไป ในที่สุดก็ผ่านไปอีกห้าร้อยปี เมิ่งฮ่าวกลายเป็นราชันแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเลมาหนึ่งพันปีแล้ว ตลอดช่วงหนึ่งพันปีที่ผ่านมา ด้วยความพยายามร่วมกันทำให้ผู้คนเริ่มรู้จักเมิ่งฮ่าวน้อยลงไปเรื่อยๆ

ในปีที่หนึ่งพัน ไห่เมิ่งจื้อจุนได้ตายไปอีกครั้ง ความตายของนางมีผลกระทบกับจิตใจของเมิ่งฮ่าวเป็นอย่างมาก เขายืนเงียบๆ อยู่ที่นั่น มองไปยังซากศพนาง และเปลวไฟวิญญาณที่กระพริบไปมาอยู่ในฝ่ามือ ซึ่งเป็นส่วนที่เหลืออยู่ทั้งหมดของนาง

เมิ่งฮ่าวรีบผนึกเปลวไฟวิญญาณนั้นไว้อย่างรวดเร็ว เปลี่ยนให้กลายเป็นแท่งน้ำแข็งขนาดเท่ากำปั้น มันคือเมล็ดวิญญาณ…

เป็นวิญญาณของไห่เมิ่งจื้อจุน ซึ่งเมิ่งฮ่าวดึงออกมาในช่วงสุดท้ายก่อนที่นางจะตายไป

 

ตลอดช่วงเวลาหนึ่งพันปีที่ผ่านมา นี่คือวิธีเดียวที่เขาสามารถจะคิดขึ้นมาได้ เขาเปลี่ยนให้ความตายกลายเป็นเมล็ดวิญญาณ ด้วยความหวังว่าจะส่งกลับเข้าไปในวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ หลังจากที่ทำลายคำสาปแช่งได้แล้ว

หลี่หลิงเอ๋อร์จิตใจแหลกสลายด้วยการจากไปของไห่เมิ่ง หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งพันปี นางก็แก่ชราลงไปมากขึ้นกว่าเดิมในตอนนี้

เมื่อได้เห็นซากศพของไห่เมิ่งจื้อจุนก็ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องถอนหายใจด้วยความขมขื่น เมื่อหลายปีก่อนเขาได้ทำให้คนทั้งหมดฟื้นคืนชีพขึ้นมา แต่ตอนนี้ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ นอกจากเฝ้ามองดูผลกระทบของคำสาปแช่งที่แพร่กระจายออกไปเท่านั้น

หลังจากที่ไห่เมิ่งจื้อจุนตายไป เมิ่งฮ่าวก็กลับไปยังขุนเขาที่เก้า ที่แห่งนั้นเขาได้เลือกภูเขาน้ำแข็งเพื่อเก็บรักษาเมล็ดวิญญาณไว้เป็นพิเศษ ในตอนนี้สามารถจะมองเห็นเมล็ดวิญญาณเหล่านั้นได้นับหมื่น และสามารถจะคาดคิดได้อย่างง่ายดายว่าจะมีมากขึ้นอีกในอนาคต ในที่สุดผู้คนก็จะตายไปมากขึ้นเรื่อยๆ และเมิ่งฮ่าวก็จะมีชีวิตรอดอยู่เพียงผู้เดียวเท่านั้น

แค่คิดเช่นนี้ก็ทำให้จิตใจเมิ่งฮ่าวต้องสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว มองออกไปยังที่ห่างไกลพร้อมทั้งประคองกอดสวี่ชิงไว้อย่างเงียบๆ ถึงแม้ว่าเขาจะ

อยู่ในอาณาจักรบรรพจารย์ แต่ก็ยังคงไร้พลังที่จะทำอะไรได้

หลายปีผ่านไป และเมิ่งฮ่าวก็ออกไปตรงด้านนอกความว่างเปล่าไร้ขอบเขตเป็นครั้งที่สอง ทำการค้นหาอย่างไม่ลดละ ตรวจสอบดูทุกสรรพสิ่งอย่างละเอียด ด้วยความพยายามที่เพิ่มมากขึ้นเป็นหลายเท่าตัวจากก่อนหน้านี้ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจจะพบเห็นหลัวเทียนแม้แต่น้อย

ในที่สุดก็มาลอยตัวอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวตรงด้านนอกความว่างเปล่าไร้ขอบเขต ราวกับว่าเขาสามารถจะได้ยินหลัวเทียนกำลังหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายและเกลียดชัง

เมิ่งฮ่าวอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานก่อนที่จะกลับเข้าไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งขุนเขาทะเล แต่ก็ไม่ได้ไปยังขุนเขาที่เก้า เขารู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่ภายในเจตจำนงของตนเอง ใครบางคนกำลังร้องตะโกนเรียกชื่อเขาจากดาวชางหมาง

เมิ่งฮ่าวหายตัวไป และเมื่อปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง ก็ไปอยู่ตรงด้านบนดาวชางหมาง ที่ด้านล่างเป็นทะเลทรายที่เหยียดยาวออกไป ภายในนั้นมีแอ่งน้ำอยู่แห่งหนึ่ง ที่ซึ่งสตรีนางหนึ่งกำลังมองขึ้นมา ด้วยท่าทางเหม่อลอยแต่ก็รีบคุกเข่าโขกศีรษะลงไปอย่างรวดเร็ว

“ขอน้อมพบ จักรพรรดิอสูร”

เมิ่งฮ่าวลอยตัวลงไปหยุดอยู่ที่เบื้องหน้านาง ตอนนี้นางแก่ชราลงไป ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้ แต่ก็ไม่อาจจะปิดบังกลิ่นอายเน่าเปื่อยที่เกิดขึ้นมาบนร่างได้ นางคือเซียนไป๋อู้เฉินนั่นเอง

ย้อนกลับไปในตอนนั้น นางได้ร้องขอให้เมิ่งฮ่าวช่วยนำตนเองออกไปตรงด้านนอกความว่างเปล่าไร้ขอบเขต เพื่อกลับไปยังบ้านเกิดของนาง

วันนี้นางกำลังร้องตะโกนนามของเมิ่งฮ่าว คุกเข่าโขกศีรษะอยู่ที่นั่น พูดพึมพำข้อเรียกร้องของตนเองออกมา…

“ด้านนอกความว่างเปล่าไร้ขอบเขต ไม่มีอะไรนอกจากเศษซากปรักหักพัง”

เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นอย่างเงียบๆ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการจะช่วยเหลือนาง แต่น่าเสียดายสิ่งที่คงอยู่ภายในความทรงจำของไป๋อู้เฉินคือภาพลวงตาเท่านั้น

เซียนไป๋อู้เฉินเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นก็กัดฟันแน่นและมองขึ้นมา “ต่อให้เป็นเศษซากปรักหักพัง ข้าก็ต้องไปด้วยเช่นกัน!”

เมิ่งฮ่าวหลับตาลงชั่วขณะ จากนั้นก็ถอนหายใจ ลืมตาขึ้นมา โบกสะบัดมือออกไป และกระแสน้ำวนก็ปรากฏขึ้นที่ด้านข้างไป๋อู้เฉิน ทันใดนั้นนางก็หายตัวเข้าไปด้านใน เดินทางออกไปยังด้านนอกความว่างเปล่าไร้ขอบเขต

“ไปดูด้วยตาเจ้าเอง ถ้าต้องการกลับมา ก็แค่ร้องตะโกนเรียกนามข้า”

เมิ่งฮ่าวกล่าว ยืนอยู่ใกล้แอ่งน้ำชั่วขณะ มองออกไปยังตำแหน่งที่เซียนไป๋อู้เฉินหายตัวไป จากนั้นก็มองไปยังทวีปที่เก้า และตี้จิ่วจง (สำนักที่เก้า) ในตอนนี้เองมีหญิงสาวเยาว์วัยผู้หนึ่ง กลายเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจทั้งปวง ยืนอยู่บนยอดเจดีย์ที่สูงมากที่สุด เสียงระฆังกำลังดังก้องไปทั่วทั้งสำนัก

หญิงสาวเยาว์วัยนางนั้นก็คือหม่านเอ๋อร์

เมื่อเมิ่งฮ่าวมองไปยังนาง ก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความรัก หม่านเอ๋อร์รู้เรื่องเกี่ยวกับอดีตของนางแล้ว เมิ่งฮ่าวเคยไปเยี่ยมนางเมื่อหนึ่งพันปีก่อน เพื่ออธิบายเรื่องทั้งหมดให้นางฟัง

เขาให้นางเลือกระหว่าง ยังคงอยู่ในตี้จิ่วจง หรือว่ากลับไปยังอาณาจักรขุนเขาทะเลพร้อมกับตนเอง

นางเลือกที่จะคงอยู่ในสถานที่ที่นางอยู่มา

ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะไม่เคยกลับมายังดาวชางหมางด้วยตนเอง ตลอดช่วงหนึ่งพันปีที่ผ่านมา แต่ก็มักจะส่งเจตจำนงไปคอยเฝ้าดูหม่านเอ๋อร์อยู่เสมอ

ทุกครั้งที่เขาเห็นนาง ก็มักจะคิดไปถึงหญิงสาวผู้หนึ่ง ที่กำลังหลับใหลอยู่ในโลงศพ ซึ่งตั้งอยู่ในสำนักจื่อยิ่นบนดาวหนานเทียน

ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองไปยังบุตรีของตนเองที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกแห่งนั้น ก็มีท่าทางเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างมากเป็นพิเศษ แต่จากนั้นเมื่อเห็นรอยยิ้มของนาง เขาก็ยิ้มออกมาด้วยเช่นกัน เป็นรอยยิ้มอันโดดเดี่ยวที่คงอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดก็หันหลังและจากไป

เวลาเลื่อนผ่านไปอีกหนึ่งพันปี

 

ในตอนนี้เมิ่งฮ่าวได้ก่อตั้งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งขุนเขาทะเลมาเป็นเวลาสองพันปีแล้ว หลังจากช่วงเวลาทั้งหมดที่ผ่านไป น้อยคนนักที่จะจดจำได้ว่าเขาคือใคร เหตุการณ์นี้คล้ายคลึงกับตอนที่เมิ่งฮ่าวเริ่มสร้างชื่ออยู่ในโลกแห่งการฝึกตน

เป็นอย่างยิ่ง น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเจตจำนงแห่งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว จริงๆ แล้วก็มีนามเรียกว่าเมิ่งฮ่าว

ตลอดช่วงสองพันปีที่ผ่านมา พลังแห่งคำสาปแช่งเริ่มมีความรุนแรงมากขึ้นเป็นพิเศษ ผู้ฝึกตนทั้งหมดที่เมิ่งฮ่าวฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากในอดีต เริ่มตายไปทีละคน…ถึงแม้จะแสดงออกอย่างผิวเผินว่าเป็นแค่เรื่องของอายุขัยที่เริ่มสิ้นสุดลงของคนเหล่านั้น ทำให้พวกมันต้องตายไปตามธรรมชาติ แต่เมิ่งฮ่าวก็รู้ว่าพวกมันน่าจะมีชีวิตอยู่ได้นานมากกว่านี้ และถึงแม้ว่าพวกมันไม่อาจจะคงอยู่ได้ตราบชั่วนิรันดร์ แต่อย่างน้อยก็น่าจะสามารถผ่านเข้าไปในวัฎจักรแห่งการเกิดใหม่ได้

แต่ตอนนี้พวกมันมีอยู่แค่หนึ่งชีวิตเท่านั้น

เมิ่งฮ่าวมักจะสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าตนเองไม่ได้ฟื้นคืนชีพคนทั้งหมดขึ้นมา แต่ในที่สุดก็ตระหนักว่าถึงแม้ตนเองจะไม่ฟื้นคืนชีพพวกมัน คนทั้งหมดก็ยังไม่อาจจะผ่านเข้าไปในวัฎจักรแห่งการเกิดใหม่ได้อยู่ดี

พลังแห่งคำสาปแช่งนี้ทำให้ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็เข้าใจถึงความแข็งแกร่งของหลัวเทียนในยุคสมัยที่รุ่งเรืองมากที่สุดของมันแล้ว

โชคดีที่เขาฟื้นคืนชีพคนทั้งหมดขึ้นมา โชคดีที่เขาสามารถใช้เวลากับคนเหล่านั้นได้บ้างก่อนที่พวกมันจะตายไป โชคดีที่เขาสามารถนำเมล็ดวิญญาณของพวกมันมาเก็บไว้ในภูเขาน้ำแข็ง ทุกครั้งที่เมิ่งฮ่าวมองไปยังเมล็ดวิญญาณที่เพิ่มขึ้นมาเหล่านั้น ก็รู้สึกว่าคลื่นแห่งความขมขื่นกำลังซัดกระหน่ำไปทั่วจิตใจ…

ในปีหนึ่ง หลี่หลิงเอ๋อร์หลับตาลง และไม่เคยลืมตาขึ้นมาอีกเลย

 

ในปีหนึ่ง เส้นผมของจื่อเซียงขาวโพลนไปทั่วทั้งศีรษะขณะที่ถูกแช่แข็ง หมดสิ้นอายุขัย…

เมื่อหลี่หลิงเอ๋อร์หลับตาลง เมิ่งฮ่าวและสวี่ชิงก็อยู่ที่นั่นพร้อมกับนาง นางคือผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่เพียงหนึ่งเดียวของตระกูลหลี่ กลุ่มคนที่เหลือจากไปพร้อมกับโฉ่วเหมินไถทั้งหมด แม้แต่ในช่วงของการทำสงคราม นางก็มักจะเลือกอยู่กับอาณาจักรขุนเขาทะเล ซึ่งเป็นบ้านเกิดของตนเอง

นางไม่เคยมีคนรัก ตายไปตามลำพังเพียงคนเดียว

สวี่ชิงร้องไห้ออกมา เส้นผมของนางกลายเป็นสีดอกเลาไปแล้วในตอนนี้ ผิวหนังก็แห้งเหี่ยว นางจับมือหลี่หลิงเอ๋อร์ไว้ และหยดน้ำตาก็ไหลลงมา ตกลงไปบนผิวหนังของคนทั้งสองคล้ายกับเป็นกลีบกุหลาบที่แตกกระจายไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version