ตอนที่ 241
ลมปราณม่วงบูรพา
ด้านนอกของสำนักจื่อยิ่น เรือเหาะที่มีความยาวหนึ่งร้อยจ้างหลายลำพุ่งผ่านท้องฟ้า บนเรือเหาะลำหนึ่ง ผู้พิทักษ์ธรรม ถังซื่อชาง ยืนพร้อมกับเจ้าโอสถภูผานิรันดร์ มองออกไปยังที่ห่างไกล
ถังซื่อชางลังเลอยู่เล็กน้อย ในที่สุดก็พูดออกมาด้วยคำถามที่ค้างคาใจ “ซานจิ่วต้าชือ, ท่านจะให้เม็ดยาทางเข้าโบราณนั้นกับพวกมันไปอย่างง่ายดายเช่นนี้?”
ซานจิ่วนิ่งเงียบไปสักพัก จากนั้นก็ยิ้มจางๆ ออกมา “เม็ดยาทางเข้านั้นไม่สมบูรณ์ และข้าก็ค้นคว้ามันมานานมากแล้ว นอกจากนี้…เจ้าคิดว่าด้วยการควบคุมของแผนกเม็ดยาบูรพา พวกมันจะไม่มีเม็ดยาทางเข้าอยู่แล้วจริงๆ?”
ดวงตาถังซื่อชางสาดประกาย หลังจากนั่นชั่วครู่มันก็พยักหน้า
“นอกจากนี้” ซานจิ่วกล่าวต่อ “จุดประสงค์ที่ไปยังสำนักจื่อยิ่นในครั้งนี้ของข้าก็สำเร็จแล้ว แค่เม็ดยาทางเข้าเล็กน้อยนั้นก็คู่ควรเป็นอย่างยิ่ง” ดวงตาของมันส่องประกายด้วยแสงแปลกๆ
“โอ?” ถังซื่อชางกล่าวด้วยความประหลาดใจ มันยังคงไม่ค่อยเข้าใจนัก “แต่ตานกุ่ยต้าชือยังไม่ได้ปรากฎตัวออกมาเลย ซานจิ่วต้าชือ, แล้วท่านจะบรรลุเป้าหมายได้อย่างไร?”
“ใครบอกว่าข้าไปยังสำนักจื่อยิ่นเพื่อไปคารวะท่านอาจารย์?” มันตอบ เสียงเก่าแก่โบราณนั้นเต็มไปด้วยภูมิปัญญา “ท่านอาจารย์ไม่เคยต้องการพบข้า เม็ดยาของข้าเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง จุดประสงค์จริงๆ ก็เพื่อไปหาตานติ่งต้าชือ!” ซานจิ่วหัวเราะออกมา
ใครก็ตามที่มีการฝึกฝนในเต๋าแห่งการปรุงยาแล้วก้าวไปถึงขอบเขตของมัน ก็แน่นอนว่าต้องมีพลังอันยิ่งใหญ่อยู่ด้านใน
ถังซื่อชางจ้องไปด้วยความประหลาดใจ “ตานติ่งต้าชือ? มัน…” มันกำลังจะพูดต่อไป แต่ก็หยุดลง ม่านตาหดเล็กลง และทันใดนั้น ดวงตาก็เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ มันมองมายังซานจิ่ว “อย่าบอกนะว่า…”
“ตานติ่งต้าชือไม่ใช่ใครอื่นนอกจากบุรุษหนุ่มผู้นั้น!” ซานจิ่วพูดด้วยน้ำเสียงที่สามารถตอกตะปูเฉือนเหล็กกล้า คำพูดนี้กระแทกลงไปบนร่างถังซื่อชางราวสายฟ้าฟาด มันเริ่มหอบหายใจขึ้นมาในทันที
มันไม่มีเหตุผลที่จะสงสัยในสิ่งที่เจ้าโอสถภูผานิรันดร์พูดเกี่ยวกับแผนกเม็ดยาบูรพา แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องของเจ้าโอสถจอมกระถาง ก็น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง และมันก็พบว่ายากที่จะเชื่อถือได้
“เห็นได้ชัดว่าอันจ้ายไห่ก็รู้ด้วย” ซานจิ่วกล่าว “เมื่อดูจากพลังแห่งความเข้าใจของมัน ต้องเป็นท่านอาจารย์บอกมันอย่างแน่นอน สำหรับศิษย์พี่หลิน ทักษะในเต๋าแห่งการปรุงยาของมัน ไม่ได้ก้าวหน้าขึ้นเลยตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ มันไม่มีทางจะผ่านประตูเข้าไปกลายเป็นเจ้าโอสถได้ มันไม่อาจเห็นทักษะของฟางมู่ในการปรุงยาได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิธีการสุดท้ายที่น่าสงสัย ซึ่งมันใช้ในการบรรลุถึงชัยชนะ ฟางมู่เป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาดอย่างเห็นได้ชัด”
“เด็กผู้นั้นอายุยังน้อยนัก แต่มันก็เป็นถึงตานติ่งต้าชือ เรื่องนี้…” ถังซื่อชางสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และแสงแปลกๆ ก็เต็มอยู่ในดวงตาของมัน
“สำหรับตอนนี้ ตำแหน่งต้าชือก็เป็นไปไม่ได้สำหรับมัน แต่มันก็เป็นเมล็ดพันธุ์ที่หาได้ยากยิ่ง…ถ้าเจ้าต้องการจะตอแยมัน ก็ดำเนินการได้เลย กระจายข่าวตัวตนที่แท้จริงของมันออกไป แต่อย่าลืมว่า ต้าชือที่แท้จริงของเต๋าแห่งการปรุงยา ก็เป็นต้าชือของเต๋าแห่งพิษด้วยเช่นกัน การกวาดล้างทั้งสำนักเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับมัน ราวกับกวาดฝุ่นออกไปจากโต๊ะ มันมีชื่อเสียงโด่งดังก็เนื่องมาจากเม็ดยาแปลงปีศาจ ที่มีความบ้าคลั่งราวปีศาจร้ายอยู่ภายในเม็ดยาของมัน ถึงแม้ข้าไม่ได้เห็นเม็ดยานั้นด้วยตาของตัวเอง ภาพที่ประทับอยู่บนแผ่นหยกก็เพียงพอที่จะให้ขนทั่วร่างของข้าลุกชี้ชัน” คำพูดของมันราบเรียบ แต่ก็เหมือนกับน้ำแข็งที่เสียดแทงเข้าไปในจิตใจของถังซื่อชาง
“เห็นได้ชัดว่า มันไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน” เจ้าโอสถภูผานิรันดร์กล่าวต่อไป “ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดก็คืออย่าได้สร้างปัญหาใดๆ ให้แก่มัน สิ่งที่ข้าสนใจอยากรู้มากที่สุดก็คือ…มันจะกลายเป็นผู้ละทิ้งสำนักคนที่สามหรือไม่?” มันยิ้ม คำพูดของมันคือคำถาม แต่ในดวงตาของมัน ดูเหมือนจะรู้ถึงคำตอบนั้นเรียบร้อยแล้ว
ในเวลาเดียวกับที่ผู้คนจากสำนักจินซวง กำลังพูดคุยถึงสำนักจื่อยิ่น ไกลออกไปในดินแดนด้านใต้ ใกล้กับถ้ำกำเนิดใหม่ ที่มีซากศพซึ่งตกลงมาจากท้องฟ้าเมื่อหลายปีก่อน ในตอนนี้ ผู้ฝึกตนสิบกว่าคนกำลังพุ่งตรงมาด้วยความเร็วสูงสุดจากตำแหน่งทิศทางที่ต่างกัน
พวกมันทั้งหมดสวมใส่ชุดสีดำ กลิ่นอายที่กระจายออกมาจากร่างของพวกมัน ดูช่างน่ากลัวและเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าพวกมันสามารถที่จะเปลี่ยนอากาศในหน้าร้อน ให้หนาวเย็นกลายเป็นน้ำแข็งราวกับอยู่ในขุมนรกได้
พื้นฐานฝึกตนของพวกมันไม่คงที่ บางครั้งก็อยู่ในขั้นพื้นฐานลมปราณ บางครั้งก็สร้างแกนลมปราณ บางครั้งก็วิญญาณแรกก่อตั้ง บางครั้งพวกมันก็ระเบิดกลิ่นอายของขั้นตัดวิญญาณออกมา
สิ่งที่ถูกเรียกว่าซากศพเซียน ได้ทำให้เกิดคลื่นอันหลากหลายกวาดผ่านใจกลางสำนักของดินแดนด้านใต้มาหลายปีที่ผ่านมา ดูเหมือนห้าสำนักใหญ่ และสามตระกูลดังยังไม่ล้มเลิกการตรวสอบ ถึงแม้จะไม่มีเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่เหมือนก่อนหน้านี้ แต่ทุกสำนักก็ได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในตอนนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะเข้าใกล้ซากศพนั้นมากขึ้นกว่าเดิม
สามารถทำนายได้อย่างง่ายดายว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ซากศพนี้จะทำให้เกิดความปั่นป่วนมากยิ่งขึ้น เป็นความปั่นป่วนที่แท้จริงภายในดินแดนด้านใต้ จากนั้น ผู้ฝึกตนจำนวนมากมายก็จะเข้ามาใกล้มัน ผู้คนในที่นี่ตอนนี้รู้สึกว่าเหตุการณ์จะออกมาในรูปแบบนี้
แต่ผู้ฝึกตนที่กำลังพุ่งตรงมายังซากศพในตอนนี้น่าแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง กลุ่มควันสีดำลอยขึ้นมาในอากาศขณะที่พวกมันพุ่งผ่านไป ราวกับว่าร่างกายของพวกมันประกอบด้วย ไม่ใช่แค่วิญญาณดวงเดียว แต่มีสองดวง เห็นได้ชัดว่า พวกมันไม่แม้แต่จะมีชีวิต แต่เป็นหุ่นกระบอกที่ร่างกายของพวกมันประกอบไปด้วยวิญญาณที่ไร้ตัวตน
พวกมันเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว และเกือบจะไปถึงซากศพนั้นในทันที ทันใดนั้น กลุ่มควันที่กระจายออกมาจากร่างของพวกมันก็บิดเบี้ยวงอโค้งไปมา กลายเป็นเคียวของหมอกสีดำ เคียวนี้ดูเหมือนจะสามารถตัดเฉือนทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย มันตัดตรงไปที่ลำคอของซากศพในทันที
ไม่กี่วันหลังจากที่สำนักจินซวง กลับออกมาจากสำนักจื่อยิ่น เมื่อทันใดนั้น สิ่งที่ถูกเรียกว่าซากศพ ก็ส่งเสียงกู่ร้องดังกึกก้องกระจายออกไปทั่ว เป็นเสียงที่ไม่ได้ยินมานานแล้ว ตั้งแต่วันที่มันตกลงมาจากท้องฟ้า
เสียงกู่ร้องนี้จริงๆ แล้วก็ดังมากกว่าในครั้งแรก ราวกับสายลมอันรุนแรงมหาศาล ที่กวาดผ่านไปทั่วทั้งดินแดนด้านใต้ ดังก้องราวเสียงฟ้าผ่า
ขณะที่เสียงกู่ร้องนี้ดังออกมา ผู้ฝึกตนสิบกว่าคนที่เข้าไปใกล้ซากศพนั้นก็กระอักโลหิตออกมา รางกายของพวกมันเริ่มเลือนลางลง และก็ถอยไปด้านหลังตัวสั่นสะท้าน เสียงนั้นดังอยู่ในจิตใจของพวกมัน แต่คนอื่นๆ ไม่ได้ยิน
“หุบปาก!”
เสียงแผดร้องนี้ดูเหมือนจะดังก้องไปจนถึงสวรรค์ ครึ่งหนึ่งของผู้ฝึกตนสิบกว่าคนนั้น แผดร้องอย่างน่าสังเวชออกมา ขณะที่ร่างกายของพวกมันระเบิดออก โลหิตและเศษเนื้อกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง วิญญาณไร้ร่างปรากฎขึ้นจากภายในร่างที่ระเบิดออกมานั้น แต่ก่อนที่พวกมันจะหลบหนีจากไป พวกมันก็เริ่มกระจายหายไป
ผู้ที่เหลืออยู่สิบคน หรือมากกว่านั้น ก็บินหนีออกไปด้วยความความรวดเร็วในทันที แต่ก่อนที่พวกมันจะหนีไปได้ไกล ร่างของพวกมันก็เริ่มสั่นสะท้าน ราวกับว่าพวกมันไม่อาจจะควบคุมวิญญาณไร้ร่างที่อยู่ภายในร่างกายได้
บุคคลกลุ่มนี้แน่นอนว่ามาจากสำนักชิงหลัว!
เมื่อพวกมันหลบหนีจากไป ข่าวสารใหม่ก็เริ่มกระจายออกไปทั่วทั้งดินแดนด้านใต้ว่า มีรอยโลหิตปรากฎขึ้นบนลำคอของซากศพเซียนนั้น!
ดูเหมือนจะมีใครบางคน พยายามที่จะตัดศีรษะของมัน แต่ก็ทำได้เพียงแค่ทิ้งรอยโลหิตนั้นไว้
ทันทีที่ข่าวนี้กระจายไปเข้าหูของสำนักต่างๆ กลุ่มผู้ฝึกตนมากมายก็ปรากฎขึ้น และมุ่งหน้าตรงไปยังถ้ำกำเนิดใหม่ พวกมันไม่กล้าจะเข้าไปใกล้มากนัก แต่คอยสังเกตอยู่ในที่ห่างไกลออกไป
ข่าวสารนี้สร้างความปั่นป่วนให้กับห้าสำนักใหญ่ และสามตระกูลดังทั้งหมด
ข่าวนี้มาถึงแผนกเม็ดยาบูรพาของสำนักจื่อยิ่น แน่นอนว่า แม้ขณะที่เสียงกู่ร้องดังออกมาจากซากศพนั้น แต่พวกมันก็ตั้งอยู่ในจุดที่ห่างไกลออกไปมาก ยิ่งไปกว่านั้น ฟางมู่ก็เพิ่งจะได้เลื่อนขั้นเป็นเจ้าแห่งเตา ดังนั้น ทางสำนักจื่อยิ่นจึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก
โดยปกติแล้ว การเลื่อนขั้นเป็นเจ้าแห่งเตา จะเป็นประเพณีอันยิ่งใหญ่ของแผนกเม็ดยาบูรพา เป็นรองแค่การเลื่อนขั้นเป็นเทพกระถางม่วงเพียงเท่านั้น แต่เมิ่งฮ่าวได้รับการเลื่อนขั้นเป็นกรณีพิเศษ จึงทำให้มีแค่การต้อนรับอย่างเงียบๆ
ทุกสิ่งทุกอย่างเรียบง่าย แต่เมิ่งฮ่าวก็ยังคงค่อนข้างวุ่นวายอยู่หลายวัน เขาได้รับถ้ำแห่งเซียนที่ใหม่ และสวมใส่ชุดใหม่ บางคนก็พูดจาดูถูกถึงวิธีการที่เขาได้รับการเลื่อนขั้น แต่เขาก็ยังคงรับตำแหน่งใหม่ด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย
ยกตัวอย่างเช่น ถ้ำแห่งเซียนของเขา ในตอนนี้ เมิ่งฮ่าวมีหุบเขาที่อยู่ลึกเข้าไปภายในแผนกเม็ดยาบูรพาเป็นของตัวเอง ห่างไกลออกไปจากอาจารย์ปรุงยา มันเป็นหุบเขาที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็ไม่อาจเรียกว่าเล็กได้เช่นกัน และมันก็เป็นของเขาเพียงผู้เดียว
ชุดปรุงยาของเขาเป็นสีดำสลับลายสีม่วง และติดตั้งการใช้งานที่พิเศษเฉพาะไว้ ชุดนี้มีเวทอาคมสามารถเคลื่อนย้ายทางไกลในระยะสั้นได้ ซึ่งใช้เดินทางไปที่ไหนก็ได้ในภายในรัศมีห้าสิบหลี่ หลังจากที่ใช้ความสามารถนี้ไปสามครั้ง เขาก็สามารถนำชุดนี้ไปเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ได้
สำหรับกระถางปรุงยา ก็เหมือนกับกระถางปรุงยานกกระเรียนโลหิตของเมิ่งฮ่าว ซึ่งทางสำนักได้จัดเตรียมให้เขาตามที่จำเป็น ก่อนหน้านี้ ถ้าเขาต้องการปรุงเม็ดยาที่มีคุณค่าสูงบางอย่าง เขาก็มักจะต้องแลกเปลี่ยนกับต้นสมุนไพรที่จำเป็นต้องใช้อื่นๆ แต่ตอนนี้เมื่อเขาเป็นเจ้าแห่งเตา เรื่องเช่นนั้นก็ถูกจัดเตรียมให้โดยสำนัก และไม่มีค่าใช้จ่าย
ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนนี้เขาก็สามารถซื้อต้นสมุนไพรที่หายาก และแพงมากได้ล่วงหน้าโดยไม่ต้องจ่ายเงินไปก่อน ที่สำคัญไปกว่านั้น เมื่อเป็นเจ้าแห่งเตา เขาก็มีสิทธิ์เข้าไปในแดนสวรรค์จื่อยิ่นได้เดือนละครั้ง
ยังมีผลประโยชน์อีกมากมาย และพวกมันก็ยากที่จะอธิบายลึกลงไปในรายละเอียดได้ สามารถกล่าวได้ว่าในแง่ของศักดิ์ฐานะและตำแหน่ง ในทุกๆ เรื่อง ตอนนี้เมิ่งฮ่าวอยู่เหนืออาจารย์ปรุงยา แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
มีอาจารย์ปรุงยาหนึ่งพันคน แต่มีเจ้าแห่งเตาเพียงแค่หนึ่งร้อยคน ในตอนนี้ เมิ่งฮ่าวสามารถดูแคลนศิษย์สายในได้ทั้งหมด แม้แต่ศิษย์แกนหลักของแผนกลมปราณม่วง ก็ยังต้องปฏิบัติต่อเจ้าแห่งเตาด้วยความเคารพอย่างสูงสุด โดยหลักการแล้ว ศิษย์แกนหลักจะสามารถร้องขอเม็ดยาได้จากเจ้าแห่งเตา แต่กล่าวโดยทั่วไป ก็มักจะมีเพียงผู้อาวุโสของสำนักเท่านั้นที่จะทำเช่นนี้ได้
ด้านนอกในดินแดนด้านใต้ สำนักอื่นๆ ต่างก็ให้ความสำคัญกับเจ้าแห่งเตาของสำนักจื่อยิ่นเป็นอย่างมาก ซึ่งจะแตกต่างเป็นอย่างยิ่งกับอาจารย์ปรุงยา
สามารถกล่าวได้ว่า การกลายเป็นเจ้าแห่งเตา ก็เหมือนกับการกลายเป็นศิษย์แกนหลักของแผนกเม็ดยาบูรพา แต่โชคร้าย ที่การกลายเป็นเจ้าแห่งเตา ต้องได้รับการยอมรับจากเจ้าแห่งเตาคนอื่นๆ ทั้งหมด ดังนั้น การเลื่อนขั้นอย่างกะทันหันของเมิ่งฮ่าว จึงได้ทำให้เจ้าแห่งเตาคนอื่นๆ ต่างก็มองมาที่เขาด้วยความไม่พอใจ
แต่เมิ่งฮ่าวก็ไม่สนใจ เกือบจะเป็นสิ่งแรกที่เขาทำ หลังจากที่ได้เลื่อนขั้นก็คือ ไปยืมตำราลมปราณม่วงบูรพาฉบับคัดลอก เขาเฝ้ารอมาเป็นเวลานานมากแล้ว ที่จะหาโอกาสทำเช่นนี้ ทันทีที่เขาอ่านจบ ก็ไปเข้าฌาณและเริ่มฝึกฝนพลังฝึกตน
สองเดือนต่อมา ก็ปรากฎกายขึ้น เขายังคงมีเสาแห่งเต๋าหกต้น เพียงแต่ในตอนนี้พวกมันไม่ได้มีสีทอง แต่เป็นสีม่วง เขาสามารถถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาได้
นับจากนี้ไป ไม่มีใครสามารถเห็นร่องรอยของคัมภีร์สุดยอดวิญญาณบนพื้นฐานฝึกตนของเขาอีกต่อไป ในตอนนี้ พื้นฐานฝึกตนที่เขาฝึกฝน ไม่ได้มาจากตำรารวบรวมลมปราณ ของคัมภีร์สุดยอดวิญญาณ แต่มาจาก…ตำราพื้นฐานลมปราณ!
ลมปราณม่วงบูรพา!
ตำรานี้ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่เมิ่งฮ่าวก็ได้ครอบครองตำรารวบรวมลมปราณที่สมบูรณ์ ด้วยเช่นนั้น เขาก็เข้าใจในวิชานี้ได้อย่างแท้จริง ดีกว่าผู้ฝึกตนทั้งหมดของแผนกลมปราณม่วง ประโยชน์ที่เขาได้รับช่างกว้างใหญ่นัก เสาแห่งเต๋าของเขาในตอนนี้ ส่องประกายของลมปราณสีม่วงออกมา ม่านตาในดวงตาของเขาก็ส่องแสงเป็นสีม่วง และกลิ่นอายที่กระจายออกมาจากร่าง ก็แตกต่างจากก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก
ลมปราณม่วงบูรพาเหมาะสำหรับเมิ่งฮ่าวเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่ามันได้ถูกจัดเตรียมไว้ให้เขาโดยเฉพาะ จากการฝึกฝนพลังฝึกตนเช่นนี้ต่อไป เขาก็จะสามารถก่อตั้งแกนลมปราณสีม่วงได้อย่างแน่นอน
ด้วยแกนลมปราณสีม่วง เขาก็จะมีพื้นฐานที่จะสร้างแกนลมปราณสมบูรณ์!
ก่อนที่จะไปนั่งเข้าฌาณสองเดือน เขาก็กระจายข่าวไปว่า กำลังวางแผนจะบรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณ หลังจากที่ออกมาจากการเข้าฌาณ เขาก็เปิดเผยพื้นฐานฝึกตนขั้นต้นของพื้นฐานลมปราณออกมา ซึ่งช่วยอธิบายได้เป็นอย่างดีสำหรับแสงสีม่วงในม่านตาของเขา