ตอนที่ 651
เส้นทางของข้ามาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว!
เรือลำนี้แน่นอนว่าเป็นเรือของสำนักหยางหุนเต้า ซึ่งได้ยินความปั่นป่วนวุ่นวาย ที่เกิดขึ้นโดยเมิ่งฮ่าวอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นสามชายชรา, สองผู้ฝึกตนที่เงียบขรึม หรือผู้โดยสารที่เหลือ พวกมันทั้งหมดต่างก็งุนงงสับสนและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ทุกคนอยากจะให้เรือโผล่ออกไปจากภายในกำแพงลมพายุนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ตลอดช่วงเวลาสองเดือนที่ผ่านมา พวกมันได้ยินเสียงระเบิดดังมากกว่ายี่สิบครั้ง ตอนนี้คนทั้งหมดเริ่มคาดเดาว่าไม่ได้มีกลุ่มคนพยายามที่จะผ่านเข้ามาในกำแพงลมพายุนี้ แต่มีแค่คนเดียวเท่านั้น!
คนผู้นั้นต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ น่ากลัวอย่างถึงที่สุดเพื่อที่จะฝ่าฟันค่ายกลเวทโดยที่ไม่ถูกกำจัดไป
ที่สำคัญมากที่สุดก็คือ เรือลำนี้มีหลัวผาน (เข็มทิศจีน) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการเดินเรือ ที่สามชายชราได้รวมพลังเข้าด้วยกันเพื่อใช้มันเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว
หลัวผานนี้เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยได้ถูกนำออกมาใช้มากนัก มันมีหน้าที่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือสามารถส่งคลื่นที่มองไม่เห็นเข้าไปในกำแพงลมพายุ ซึ่งจะทำให้แผนที่ในบริเวณนั้นปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของหลัวผาน แผนที่นั้นจะแสดงให้เห็นถึงตำแหน่งของวิญญาณอันแข็งแกร่งที่ก่อตัวขึ้นมาจากสัญลักษณ์เวท
เมื่อหนึ่งเดือนก่อน พวกมันได้ใช้แผนที่นี้เพื่อเฝ้าดูวิญญาณเหล่านั้น ซึ่งจะแสดงอยู่ในรูปแบบของจุดแสงสีขาว ทั่วทั้งบริเวณรอบๆ พวกมัน จะเต็มไปด้วยจุดสีขาวเช่นนั้นอย่างหนาแน่น แต่ในท่ามกลางจุดสีขาวทั้งหมดนั้น…เป็นจุดสีแดงหนึ่งจุด!
จุดสีแดงนั้นทำให้ทุกคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างน่าประหลาดใจ
จุดสีแดงนั้นเป็นตัวแทนของผู้ฝึกตนที่เป็นบุคคลภายนอก!
ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงของหนึ่งเดือนที่ผ่านมา จุดสีขาวในบริเวณนั้นก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน ดูเหมือนจะเป็นการบ่งบอกว่า วิญญาณสัญลักษณ์เวทตั้งใจที่จะหลีกเลี่ยงพื้นที่บริเวณนั้น นอกจากนี้จุดสีแดงที่เป็นตัวแทนของผู้ฝึกตนภายนอก เริ่มส่องแสงสว่างจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับเป็นโลหิตสดๆ ทุกคนที่มองดูต่างก็เบิกตากว้าง หายใจถี่เร็ว
ยังมีมากไปกว่านั้นก็คือ เมื่อพวกมันตระหนักว่า…จุดสีแดงนั้นกำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ตรงไปยังจุดสีเหลืองบนแผนที่ ซึ่งจุดสีเหลืองนั้น…ก็คือเรือของพวกมันนั่นเอง! เสียงแผดร้องด้วยความตระหนกตกใจก็ได้ยินมา
“มันกำลังมาแล้ว!!”
“ผู้ฝึกตนที่ทะลวงผ่านกำแพงลมพายุนี้ มันกำลัง…มุ่งหน้าตรงมายังพวกเรา!” ผู้ฝึกตนที่อยู่บนเรือทั้งหมดมีสีหน้าซีดขาว บางคนยังได้ลุกขึ้นมายืนด้วยความหวาดกลัว สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นโดยที่พวกมันก็ไม่รู้ถึงเหตุผล
สามชายชราที่ควบคุมเรือต่างก็มองหน้าที่ซีดขาวกันไปมา พวกมันมองเห็นความขมขื่นและอารมณ์อันซับซ้อนอยู่ภายในดวงตาของแต่ละคน คนทั้งสามไม่เคยจะคาดคิดเลยว่า จะต้องมาเผชิญหน้ากับภาพที่น่าตกใจเช่นนี้มาก่อน
พวกมันไม่รู้ว่าบุคคลภายนอกนี้เป็นใคร แต่คนทั้งสามก็มั่นใจว่า ใครก็ตามที่สามารถมีชีวิตรอดอยู่ในส่วนลึกของกำแพงลมพายุนี่ได้ จะต้องอยู่ในขั้นตัดวิญญาณอย่างแน่นอน!
“ผู้พิสดารตัดวิญญาณ มักจะมีอารมณ์แปลกๆ ถ้ามันสังหารพวกเราทั้งหมดไป ทางสำนักก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ คงไม่มีใครกล้าเสี่ยงที่จะไปมีเรื่องบาดหมางกับผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ เพื่อพวกเราทั้งสามคนอย่างแน่นอน”
“บัดซบ! ทำไมถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น? ถ้ามันต้องการจะผ่านไป ก็เป็นเรื่องของมัน แต่ทำไมถึงต้องไล่ตามพวกเรามา…?”
พวกมันนั่งอยู่ที่นั่นด้วยความตกใจ ในตอนนี้เองที่ทุกคนมองไปด้วยความประหลาดใจ ขณะที่ลมกระโชกขนาดใหญ่ของลมพายุ ทันใดนั้นก็สร้างความเสียหายให้กับส่วนด้านขวาของลำเรือ ทำให้แสงสีโลหิตที่กระจายออกมาจากตัวเรือเริ่มสลัวเลือนลางลง ราวกับว่ากำลังถูกปกคลุมด้วยลมพายุโดยสิ้นเชิง
ไม่มีแม้แต่เสียงเดียวที่จะได้ยินมาจากทุกคนที่อยู่บนเรือ คนทั้งหมดนั่งอยู่ที่นั่นด้วยความหวาดหวั่น มองออกไปยังทิศทางของสายลมที่กระโชกขึ้นมา กลุ่มหมอกที่อยู่ด้านนอกม้วนตัวไปมา แรงกดดันอันน่ากลัวเริ่มกดทับลงมายังพวกมัน
ในที่สุด ก็มองเห็นเงาร่างสีเขียว ก้าวเดินผ่านอากาศตรงมา เส้นผมพริ้วไสวไปมาขณะที่มองมายังเรือลำนี้ แน่นอนว่านี่ก็คือ เมิ่งฮ่าว
ขณะที่เขามองมายังพวกมัน ทุกคนที่อยู่บนเรือก็มองไปที่เขา
ทันทีที่สามชายชรามองเห็นเขา พวกมันก็เริ่มสั่นสะท้าน “ศิษย์รุ่นสามของสำนักหยางหุนเต้า ขอคารวะ ท่านผู้อาวุโส” พวกมันกล่าวโดยพร้อมเพรียงกัน แรงกดดันอันเข้มข้นกระจายออกมาจากร่างเมิ่งฮ่าวทำให้พวกมันต้องหอบหายใจอย่างยากเย็น รู้สึกว่าวิญญาณแรกก่อตั้งที่อยู่ภายในร่างพวกมันกำลังสั่นไปมาภายใต้แรงกดดันนี้
ความหวาดกลัวอย่างรุนแรงเริ่มก่อตัวขึ้นมาจากด้านในพวกมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเมิ่งฮ่าวมองไปยังพวกมันโดยตรง สายตาเขาคล้ายกับเป็นใบมีดอันแหลมคม แทบจะราวกับว่าเขาสามารถอ่านจิตใจพวกมันด้วยการมองไปเพียงแค่แวบแรก ราวกับว่าพวกมันกลายเป็นร่างโปร่งแสงเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา โดยไม่ลังเล สามชายชรารีบประสานมือและโค้งตัวลงต่ำอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้โดยสารบนเรือทั้งสิบกว่าคนก็ประสานมือและโค้งตัวลงให้กับเมิ่งฮ่าวด้วยเช่นกัน
เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าไร้ความรู้สึก ขณะที่เขาก้าวตรงมาที่ตัวเรือ ขณะที่ใกล้เข้ามา เกราะป้องกันสีแดงทันใดนั้นก็กระจายออกไป นี่เป็นกลไกป้องกันของลำเรือ
เมื่อเกราะป้องกันพุ่งขึ้นมา สามชายชราต่างก็รู้สึกว่าจิตใจพวกมันเริ่มเต้นรัว และใบหน้าสลดลงโดยสิ้นเชิง ภายในใจ พวกมันรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง และมั่นใจว่าความเข้าใจผิดกำลังจะเกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่า เกราะป้องกันนี้ไม่สามารถทำอะไรที่จะขัดขวาง ผู้แข็งแกร่งที่สามารถรอดชีวิตอยู่ภายในลมพายุนี้ได้ อย่างมากที่สุดก็แค่ทำให้เขาช้าลงชั่วขณะเท่านั้น แต่สุดท้ายผู้ที่โชคร้ายมากที่สุดก็คือพวกมันทั้งสาม
พวกมันพยายามที่จะลดเกราะป้องกันลง แต่ก่อนที่จะทันได้ทำสิ่งใดๆ เมิ่งฮ่าวก็กดมือลงไปที่เกราะป้องกันนั้นโดยตรง เสียงแหวกเป็นช่องได้ยินมา แต่สีหน้าเขาก็ยังคงสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย ขณะที่เดินผ่านเกราะป้องกันเข้าไป
อันที่จริงผู้คนที่อยู่บนเรือส่วนใหญ่ ไม่อาจจะมองเห็นว่ามีอะไรกำลังเกิดขึ้น แต่สามชายชราได้แต่อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ พวกมันไม่เคยจะคาดคิดว่า เกราะป้องกันนี้จะไร้ประสิทธิภาพไม่อาจจะขัดขวางเขาได้เลย
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เกินกว่าความคาดคิดของพวกมันโดยสิ้นเชิง ทันใดนั้นพวกมันก็คุกเข่าลงและโขกศีรษะให้
มีบางคนได้สังเกตเห็นเรื่องแปลกๆ ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ บุรุษสองคนที่เงียบขรึม เคยมายังวงแหวนที่สามนี้มากกว่าหนึ่งครั้งมาก่อน ดังนั้นพวกมันจึงค่อนข้างเข้าใจเกี่ยวกับเรือลำนี้มากกว่าคนอื่นๆ อยู่เล็กน้อย ตอนนี้สีหน้าพวกมันเปลี่ยนไป และจิตใจก็เริ่มเต้นรัว
เมิ่งฮ่าวไม่กล่าวอันใด ขึ้นมาอยู่บนลำเรือมองออกไปรอบๆ และจากนั้นก็นั่งลงขัดสมาธิบนหัวเรือ
เมื่อเขาไม่ได้พูดขึ้นมาก่อน กลุ่มคนที่เหลือทั้งหมดบนเรือก็ตกอยู่ในความเงียบ ราวกับเป็นจั๊กจั่นที่อยู่ในช่วงฤดูหนาว สามชายชราไม่กล้าที่จะลุกขึ้นมายืน ทั่วทั้งลำเรือเงียบสงบ
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เมิ่งฮ่าวก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกท่านมีแผนที่ของวงแหวนที่สามหรือไม่?”
โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย สามชายชราก็หยิบแผ่นหยกออกมาจากถุงสมบัติ และยื่นส่งให้กับเมิ่งฮ่าวด้วยความเคาระ
เมิ่งฮ่าวรับไว้ มองไปยังแผ่นหยก จากนั้นก็มองไปยังหลัวผานที่อยู่ห่างออกไปที่ด้านข้าง ดวงตาสาดประกายและพยักหน้า
“พวกท่านกำลังจะไปยังวงแหวนที่สาม?” เขาถาม
“ท่านผู้อาวุโส” หนึ่งในสามชายชรากล่าวตอบ “พวกเราได้รับคำสั่งให้บังคับเรือลำนี้ และส่งผู้โดยสารเหล่านี้ไปยังเมืองไห่เฉิง (เมืองทะเล) ในวงแหวนที่สาม”
“พวกท่านสะดวกที่จะนำข้าไปด้วยหรือไม่?” เมิ่งฮ่าวถามเสียงราบเรียบ
“พวกเรายินดีต้อนรับท่านผู้อาวุโสเดินทางไปบนเรือลำนี้ ขอบคุณเป็นอย่างมากที่ท่านมาอยู่เพื่อคอยดูแล ผู้เยาว์รุ่นหลังเช่นพวกเราไม่รู้จะขอบคุนท่านอย่างไรดี” สามชายชราพยายามที่จะแสดงความเคารพอย่างสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พวกมันเกรงกลัวว่าจะไปกระตุ้นให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกไม่พอใจ
“ดี เดินทางกันต่อเถอะ” เมิ่งฮ่าวกล่าว หลับตาลง
สามชายชรา รีบรับคำในทันที จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนด้วยความระมัดระวัง แอบถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา พวกมันบังคับให้เรือแล่นตรงไปด้วยความรวดเร็วมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ขณะที่พวกมันมุ่งหน้าต่อไป ไม่มีใครกล้าพูดจา ทั้งลำเรือตกอยู่ในความเงียบโดยสิ้นเชิง
เรือไม่ได้เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเหมือนกับเมิ่งฮ่าว แต่เขาก็ได้ประโยชน์บ้างเล็กน้อย เขานั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น เข้าฌาณอยู่สองสามวัน จากนั้นจู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นมา มองไปยังหลัวผาน ที่นั่นเขามองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า วิญญาณหนึ่งพันสัญลักษณ์เวท กำลังลอยอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก
หลังจากธูปไหม้หมดไปครึ่งดอก วิญญาณหนึ่งพันสัญลักษณ์เวทก็เข้ามาใกล้มากขึ้น จนสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ มันดูคล้ายกับสายโซ่เหล็กที่กำลังลอยอยู่ในลมพายุ มันไม่สนใจเรือลำนี้โดยสิ้นเชิง พยายามจะกลืนกินสายฟ้าเป็นระยะ ขณะที่ลอยไปมา
เมิ่งฮ่าวลุกขึ้นมายืนในทันที
“หยุดเรือ รอข้าด้วย!” จากนั้นเขาก็เดินออกไป สามชายชราและผู้โดยสารคนอื่นๆ ตกตะลึง พวกมันมองไปขณะที่เมิ่งฮ่าวออกไปจากตัวเรือ ทันใดนั้นโซ่เหล็กก็รับรู้ถึงตัวตนของเขา มันกวาดออกไปรอบๆ ยังทิศทางของเขา เจตจำนงสังหารอันเข้มข้นพุ่งขึ้นไปจนถึงสวรรค์ ฉับพลันนั้นสายฟ้าในบริเวณนั้นก็กลายเป็นสีแดง และพุ่งผ่านอากาศจนเป็นเสียงแหลมเล็กตรงมายังเมิ่งฮ่าว
แต่ก่อนที่โซ่เหล็กจะเข้ามาใกล้ เมิ่งฮ่าวก็ขยับมือร่ายเวท ทันใดนั้นตัวอักษรทอง, ไม้, น้ำ, ไฟ และดินก็ปรากฏขึ้นห้อมล้อมอยู่รอบๆ โซ่เหล็ก เมิ่งฮ่าวก้าวเดินตรงไป และต่อยหมัดออกไป
โซ่เหล็กพังทลายลง ทำให้สัญลักษณ์เวทหนึ่งพันชิ้น กระจัดกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง จากนั้นเขาก็ร่ายเวทอื่นออกมาอีก และเวทกลืนภูเขาก็ทำให้ภูเขานับพันลูกปรากฏขึ้น พวกมันปกคลุมไปทั่วทั้งสัญลักษณ์เวทเหล่านั้น จากนั้นก็หลอมรวมเข้าด้วยกันก่อตัวเป็นภูเขาขนาดใหญ่มหึมา ต่อมาภูเขาก็หดตัวลง ไปอยู่บนฝ่ามือของเมิ่งฮ่าว ซึ่งเขาได้ผนึกมันไว้
หลังจากที่เก็บมันไว้ในถุงสมบัติ เขาก็หมุนตัวไป จากนั้นก็กลับขึ้นไปบนเรือ
ภาพทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียงแค่สิบลมหายใจเท่านั้น การกระทำของเมิ่งฮ่าวราบรื่นเป็นไปตามธรรมชาติ ราวกับสายน้ำไหลเมฆลอยพริ้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมีประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าคุ้นเคยกับการกระทำเช่นนี้มานานแล้ว ทุกคนที่มองมาต่างก็สั่นสะท้านไปทั้งร่าง
กลุ่มคนที่อยู่บนเรือจ้องมองไปด้วยความว่างเปล่า สองผู้ฝึกตนที่เคยเดินทางไปยังวงแหวนที่สามมาก่อน สูดลมหายใจเข้าไปอย่างหนักหน่วง พวกมันตระหนักดีถึงความยิ่งใหญ่ของวิญญาณสัญลักษณ์เวทหนึ่งพันชิ้นว่ามากมายเพียงใด จึงทำให้ความหวาดกลัวที่พวกมันมีต่อเมิ่งฮ่าวได้บรรลุถึงจุดสูงสุดใหม่
ตอนนี้พวกมันแน่ใจในเรื่องที่ได้ยินเสียงระเบิดมากกว่ายี่สิบครั้งที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้พวกมันไม่เคยจะคาดคิดว่า จะมีผู้ฝึกตนที่น่ากลัวจนสามารถจัดการ และจับวิญญาณสัญลักษณ์เวทเหล่านี้ได้
ผู้ที่ตกใจมากที่สุดก็คือสามชายชรา พวกมันเป็นศิษย์สำนักหยางหุนเต้า และรู้ดีเกี่ยวกับลมพายุนี้มากกว่าคนอื่นๆ
ถึงแม้คนอื่นๆ อาจจะไม่รู้ว่าวิญญาณสัญลักษณ์เวทสามารถจะกำราบได้ แต่พวกมันก็รู้ดีถึงเรื่องนี้ ทุกๆ หนึ่งร้อยปี ผู้เชี่ยวชาญอันแข็งแกร่งจากสามสำนัก จะเข้าไปในค่ายกลเวทภายใต้การนำของท่านปรมาจารย์ ด้วยวัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียวคือ การรวบรวมวิญญาณสัญลักษณ์เวท ซึ่งวิญญาณเหล่านั้นมีประโยชน์ต่อท่านปรมาจารย์มาก
ถึงแม้ไม่มีใครรู้ว่าท่านปรมาจารย์จะใช้พวกมันได้อย่างไร แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่าวิญญาณสัญลักษณ์เวทเหล่านั้นมีความสำคัญต่อค่ายกลเวทเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะวิญญาณสัญลักษณ์เวทหนึ่งพันชิ้น ซึ่งเทียบได้กับผู้ฝึกตนตัดวิญญาณ พวกมันเป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดาและไม่อาจจะทำลายลงไปได้ มีเพียงสามผู้ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่สามารถปราบพิชิตพวกมันได้
“ท่า…น…ท่านผู้อาวุโส…ตลอดช่วงการเดินทางที่ผ่านมา ท่านได้ครอบครองวิญญาณสัญลักษณ์เวทหนึ่งพันชิ้นมากเท่าใดแล้ว?” หนึ่งในสามชายชราถามด้วยสีหน้าซีดขาว สุ้มเสียงสั่นสะท้าน
“ยี่สิบกว่าแบบ” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบจากตำแหน่งที่นั่งขัดสมาธิบนหัวเรือ มองไปยังชายชรา
“มากกว่ายี่สิบแบบ!!” สีหน้าชายชราสลดลงโดยสิ้นเชิง มันเริ่มหอบหายใจออกมา ทันใดนั้นก็หันหน้าไปมองยังชายชราอีกสองคน จากนั้นก็ตะโกนออกมา “แล่นเรือต่อไป! อย่างรวดเร็วมากที่สุด!!”
อันที่จริง พวกมันไม่จำเป็นต้องแจ้งเตือนใดๆ เมื่อได้ยินสิ่งที่เมิ่งฮ่าวกล่าวมา พวกมันก็สั่นสะท้าน ราวกับว่าเพิ่งจะคิดได้ถึงสิ่งบางอย่างที่น่ากลัวกว่าเมิ่งฮ่าว พวกมันโคจรหมุนเวียนพื้นฐานฝึกตนอย่างรวดเร็ว เพื่อควบคุมเรือ และเร่งความเร็วตรงไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกาย ขณะที่มองไปยังชายชราที่เพิ่งจะพูดขึ้นมา
ชายชราผู้นั้นมองกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มอันแห้งแล้ง และใบหน้าก็เต็มไปด้วยความวิตกกังวล
“ผู้อาวุโส บางทีท่านอาจจะไม่รู้ว่าในช่วงเวลาหนึ่งร้อยปี ไม่อาจจะจับวิญญาณสัญลักษณ์เวทหนึ่งพันชิ้นได้มากกว่าห้าแบบ ห้ามไม่ให้มากไปกว่านี้ มิเช่นนั้น…ก็จะทำให้เรือยมโลกปรากฏขึ้น…”
“เมื่อปรภพโผล่ขึ้นมา เรือยมโลกก็จะปรากฏ เพื่อถามทางไปยังเขตต้องห้าม!”
ทันทีที่ชายชรากล่าวคำพูดเหล่านี้ ลมพายุที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นดูเหมือนจะหยุดชะงักนิ่ง สายฟ้าหยุดอยู่กลางอากาศ และกลุ่มหมอกก็หยุดนิ่งด้วยเช่นกัน!
ดูเหมือนว่าในเวลานี้ ราวกับว่ากฎแห่งธรรมชาติทั้งหมดในสวรรค์และปฐพีแห่งนี้ จู่ๆ ก็เริ่มหยุดชะงักนิ่งไปโดยสิ้นเชิง
ในเวลาเดียวกันนั้น เสียงเก่าแก่โบราณก็ได้ยินมา เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งกาลเวลา ราวกับว่าสิ่งของเน่าเปื่อยถูกเปิดออกมา เสียงแหบแห้งดังก้องออกมาจากที่ห่างไกล
“ในปีนั้น ท่านเลือกที่จะมุ่งหน้าต่อไปจนสุดทาง จนกระทั่งท่านไม่เหลืออะไรอยู่เลย…”
“ในปีนั้น ท่านเลือกที่จะมุ่งหน้าต่อไปจนสุดทาง จนกระทั่งเหลือข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น…”
“ข้าคือใคร? ท่านเป็นใคร…? กระดูกขาวโพลนมากี่ยุคสมัยแล้ว เส้นทางของข้า…มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว…”