ตอนที่ 8
จ้าวอู่กัง
“มีแต่ต้องรอไปอีกหนึ่งเดือน แต่ในช่วงหนึ่งเดือนนี้ ข้าต้องต่อสู้เพื่อที่จะเพิ่มระดับการบำเพ็ญเพียรให้ก้าวหน้าขึ้นอีก” เขาหยิบกระจกทองแดงใส่กลับเข้าไปในถุงเก็บสมบัติอย่างระมัดระวัง รู้ดีว่าต้องไม่ให้ใครรับรู้ถึงความสามารถของมัน มิเช่นนั้นเขาคงจะเก็บรักษามันไว้ไม่ได้ จนถึงขั้นเสียชีวิต ถ้ามีใครมาแย่งชิงมันไป
เขามองลงไปที่ตัวเอง เห็นคราบสิ่งปฏิกูลที่เคลือบอยู่ทั่วร่าง ในขณะที่กำลังตื่นเต้น เขาเกือบลืมไปว่าทั้งตัวเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก แต่ตอนนี้เขาระงับสติอารมณ์ลงได้แล้ว จึงเดินออกไปนอกถ้ำ เพื่อไปล้างคราบปฏิกูลที่ลำธารใกล้ๆ ถ้ำแห่งเซียน
เมื่อกลับมาถึงถ้ำ ท้องฟ้าก็เริ่มสว่าง เขาหยิบตำรารวบรวมลมปราณออกมา และเริ่มศึกษามันอีกครั้ง
“เมื่อถึงขั้นสองของการรวบรวมลมปราณ ก็ใช้อิทธิฤทธิ์แห่งเซียนได้ เมื่อถึงขั้นห้า ก็สามารถเรียนรู้วิธีการเดินบนอากาศ ซึ่งเป็นความสามารถแห่งเซียนที่คล้ายกับการเหาะ” เมิ่งฮ่าวปิดตาลง รู้สึกมุ่งหวังอย่างแรงกล้า ที่จะเรียนรู้การเดินบนอากาศ ในขั้นห้าของรวบรวมลมปราณ จนครู่ใหญ่จึงลืมตา กำหมัดขวาชูขึ้นหลวมๆ
ในทันใดนั้น เขารู้สึกว่าอุณหภูมิได้เพิ่มสูงขึ้น เต็มไปทั้งห้องในถ้ำแห่งเซียน จากนั้นเปลวไฟก็ปรากฎขึ้นบนมือขวาของเขา ด้วยความรู้สึกที่เยี่ยงมนุษย์ธรรมดา เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ทำให้เปลวไฟดับลงไป
เมิ่งฮ่าวรีบระงับสติ และโคจรลมปราณในร่าง แต่น่าเสียดาย จนถึงยามบ่าย หลังจากพยายามไปสิบกว่าครั้ง เขาก็ยังทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า สร้างประกายไฟได้เพียงเล็กน้อย หลังจากนั้นพลังลมปราณในร่างก็กระจัดกระจาย ไม่สามารถรวมตัวกันได้
“วิชาเปลวไฟอสรพิษนี้ ใช้งานยากยิ่งนัก” เมิ่งฮ่าวกล่าวพร้อมขมวดคิ้ว แต่เขาเป็นคนมีนิสัยดื้อดึง และไม่ใช่คนที่จะหมดกำลังใจได้โดยง่ายดาย ดังนั้นเขาจึงฝึกการหายใจไปซักพัก ก่อนที่จะพยายามขึ้นอีกครั้ง
ราตรีผ่านไป อรุณรุ่งมาเยือนอีกครั้ง เมิ่งฮ่าวพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าติดต่อกันสองวัน แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้ง จนกระทั่งเขาเริ่มเหนื่อยล้าเต็มที เมื่อลมปราณกระจายหายไป เขาก็พยายามควบคุมการหายใจ และความมุ่งมั่นในดวงตาก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
“ข้าไม่เชื่อว่า จะไม่สามารถใช้วิชาเปลวไฟอสรพิษได้!” เมิ่งฮ่าวพูดไป ก็ขบฟันไปด้วย ตบมือลงไปที่ถุงเก็บสมบัติ หลังจากนั้นแกนอสูรก็ปรากฎขึ้นอยู่ในมือ
เขารู้ดีว่าถ้ากินแกนอสูรก้อนนี้เข้าไป ถ้าเขามีหินลมปราณมากพอหลังจากนี้ เขาก็จะไม่มีแกนอสูรสำหรับเป็นต้นแบบให้กระจกลอกเลียนแบบได้
“อืม ไร้ประโยชน์ที่จะกังวลในเรื่องเช่นนี้ อย่างเลวร้ายที่สุด ข้าก็กลับไปในเขตภูเขา เพื่อค้นหาสัตว์อสูรตัวอื่นๆ” เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็หย่อนแกนอสูรเข้าไปในปาก ปิดตาลง และเริ่มปรับลมหายใจ พลังลมปราณระเบิดออกภายในร่าง ไหลไปในทุกๆ ส่วนของร่างกาย
เวลาผ่านไป ไม่นานก็เป็นเวลาบ่าย เมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้น ส่องประกายเจิดจ้า เขายังอยู่ในระดับขั้นสอง แต่พลังลมปราณของเขาตอนนี้ก้าวหน้าขึ้นมาก
“ถ้ามีแกนอสูรสามก้อนหรืออาจจะมากกว่าห้าก้อน ข้าก็จะก้าวไปถึงขั้นสามของการรวบรวมลมปราณเป็นแน่” เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ตระหนักดีว่า ยิ่งการฝึกตนระดับสูง ก็ยิ่งยากที่จะก้าวข้ามไปได้ แต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งหวัง เมื่อคิดไปถึงกระจกทองแดง เขาก็ยกมือขึ้นไปในอากาศ และคว้าจับ
แต่เมื่อคว้าจับ พลันมีเปลวไฟปรากฏ สะสมขึ้นบนมือขวาของเขา และสร้างเปลวไฟรูปร่างคล้ายอสรพิษตัวเล็กๆ ขนาดเท่านิ้วมือ แต่เปล่งประกายและเต็มไปด้วยความร้อน เมิ่งฮ่าวรู้สึกถึงพลังลมปราณในร่างที่ลดลงไปถึงสามในสิบส่วน
ใบหน้าเขาเริ่มซีดขาว แต่มีรอยยิ้ม และประกายตาลุกโชน แสดงถึงความเข้าใจ ในการสร้างเปลวไฟด้วยพลังลมปราณ เขาเดินออกมานอกถ้ำ โบกมือขวา เปลวไฟอสรพิษลุกโชนขึ้น ลอยไปกระแทกต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ
เกิดเสียงดังขึ้น และต้นไม้ทั้งต้นก็ปกคลุมไปด้วยเปลวไฟ ไม่นานก็พังทลายกลายเป็นเถ้าถ่าน
“ข้าต้องหาโอกาสไปทำแบบนี้ให้เจ้าอ้วนดู มันจะต้องยกย่องข้าแน่ๆ” เขายิ้มกว้าง รู้สึกเหมือนเป็นวีรบุรุษ
ผ่านไปครึ่งเดือน ในระหว่างนั้น เมิ่งฮ่าวนอกจากออกไปที่เขตภูเขาเพื่อค้นหาสัตว์อสูร ก็คือฝึกฝนวิชาเปลวไฟอสรพิษ เขาใช้ความพยายามอย่างหนัก มากกว่าที่เคยทำตอนเป็นนักศึกษา และในไม่ช้าเขาก็มีความชำนาญที่จะใช้มัน พร้อมทั้งสามารถลดปริมาณการใช้ลมปราณ แต่ก็ยังต้องใช้เวลาเท่ากับสูดลมหายใจเข้าออกหลายครั้ง ในการก่อให้เกิดเปลวไฟ
เขายังได้ไปที่สำนักสายนอก และแอบใช้กระจกส่องไปที่ร่างของศิษย์บางคน แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากพยายามทดลองไปหลายครั้ง เมิ่งฮ่าวก็สรุปได้ว่า กระจกทองแดงบานนี้ ใช้ได้กับสิ่งมีชีวิตที่มีขนเท่านั้น ช่างน่าเศร้านัก แต่ก็รู้ว่า ตัวเขาคาดหวังมากเกินไป
น่าเสียดาย ตั้งแต่ครึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาไม่เคยได้เจอกับสัตว์อสูรตัวใดๆ อีกเลย และระดับความก้าวหน้า ของการฝึกลมปราณของเขาก็หยุดนิ่ง แต่ก็ต้องขอบคุณ ทุกครั้งที่เขาฝึกวิชาเปลวไฟอสรพิษ เมื่อลมปราณผลาญสิ้นไปทั่วร่าง แล้วกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง มันจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเสมอ อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่กล้าที่จะไปฝึกในป่าบนภูเขา เพียงฝึกอยู่ในถ้ำแห่งเซียนเท่านั้น
“ยังมีเวลาอีกไม่ถึงสิบวัน ก็จะถึงวันแจกเม็ดยา ข้าต้องเข้าไปในเขตภูเขาที่ห่างไกลออกไปอีก” วันหนึ่ง เมื่อตัดสินใจแล้ว เมิ่งฮ่าวก็ออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ มุ่งหน้าตรงไปในภูเขาลึกอย่างรวดเร็ว
เขาไม่ได้หยุดพักตลอดช่วงเวลากลางวัน และเมื่อยามราตรีมาเยือน เขาก็จำไม่ได้แล้วว่าได้เดินผ่านภูเขาไปกี่ลูก ในที่สุด ก็มาถึงตีนเขาของเขตภูเขาสีดำ เขาได้ต่อสู้กับสัตว์อสูรรูปร่างคล้ายหมี
ระหว่างการต่อสู้ เขาใช้วิชาเปลวไฟอสรพิษ และพลังของกระจกทองแดง เกิดการระเบิดติดต่อกันเก้าครั้ง ตามมาด้วยเสียงแผดร้องโหยหวน ดังก้องไปทั่วป่า ครั้นแล้วเจ้าสัตว์อสูร ก็เลือดไหลจนตาย
เขาเอาแกนอสูรออกมาใส่ถุงเก็บสมบัติ และกำลังจะมุ่งหน้าลึกเข้าไปในเขตภูเขาสีดำ ทันใดนั้น ขนบนร่างเขาก็ตั้งชัน ไกลออกไปไม่มากนักตรงหน้าเขา สัตว์อสูรห้าตัวซึ่งมีศีรษะเป็นคชสารลำตัวเป็นพยัคฆ์ปรากฏขึ้น พวกมันจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาเย็นยะเยียบ
ด้วยการใช้กระจก เขาสามารถรับมือได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่สัตว์อสูรหนึ่งตัวเท่านั้น แต่หากเป็นห้าตัว มันเป็นสิ่งที่ยากเย็นยิ่งนัก เขาเริ่มถอยหลังไปอย่างช้าๆ มือขวาจับกระจกไว้แน่น
ทันใดนั้น เสียงแผดร้องก็ดังออกมาจากผืนป่า ก้องกังวานปกคลุมไปทั่วทั้งภูเขาสีดำ มันดังขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนกับเกิดการระเบิดขนาดใหญ่ เดือดพล่านไปทั่วในอากาศ เมิ่งฮ่าวสีหน้าเปลี่ยนไป และรีบวิ่งออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ โดยไม่ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย
โชคดีที่สัตว์อสูรทั้งห้าตัวนั้นไม่ได้ไล่ตามมา และในที่สุดเขาก็หายตัวไปในภูเขา
“เสียงร้องนั่นช่างคล้ายกับเสียงตะคอกของท่านอาจารย์ลุงซ่างกวน ดูเหมือนว่าจะมีสัตว์อสูรมากมายในภูเขาสีดำแห่งนี้ แล้วก็เป็นสัตว์อสูรระดับสูงด้วย” เมื่อเขาวิ่งออกไป เหลียวหลังกลับไปมองภูเขาสีดำอีกครั้ง ก็ยิ่งมั่นใจว่ามันเป็นสถานที่อันตรายยิ่งนัก
สิบวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมิ่งฮ่าวสำรวจไปในภูเขาลูกอื่นๆ โดยไม่ก้าวล้ำเข้าไปในอาณาเขตของภูเขาสีดำ แต่ก็ไม่พบเจอสัตว์อสูรอื่นๆ แม้แต่ตัวเดียว แกนอสูรของหมีอสูรในถุงเก็บสมบัติของเขาก็ดูเหมือนว่าจะมีค่ามากยิ่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงไม่ได้กินมันลงไป
และแล้ววันแจกเม็ดยาก็มาถึง เมื่อเสียงระฆังดังไปทั่วในอากาศ เมิ่งฮ่าวก็ออกมาจากถ้ำแห่งเซียน และเข้าสู่อาณาเขตสำนักสายนอก เมื่อเขาจากมาเมื่อเดือนที่แล้ว เขายังอยู่ในขั้นแรกของการรวบรวมลมปราณ แต่ในตอนนี้ก็เป็นขั้นสองแล้ว ถึงแม้ว่ายังอยู่ห่างไกลจากขั้นสาม จากการคาดคะเนของเขา ถ้ากระจกทองแดงให้ผลตรงตามที่คิดไว้ ความสำเร็จในอนาคตของเขา ก็คงก้าวกระโดดแบบไร้ขอบเขตเป็นแน่
ด้วยความกลัวเหมือนที่เคยสูญเสียไปในครั้งที่แล้ว เมิ่งฮ่าวเข้าไปในลานแจกเม็ดยาสี่เหลียมจัตุรัส ศิษย์หลายคนมองมาเมื่อเขาผ่านเข้าไป พวกมันส่วนใหญ่จดจำเขาได้
การกระทำของเขาเมื่อเดือนที่แล้ว ค่อนข้างน่าตกใจสำหรับศิษย์สำนักสายนอก ถึงแม้ว่าพลังลมปราณของเขาจะอยู่ในระดับต่ำ และถึงจะผ่านไปหนึ่งเดือน เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นก็ยังคงมีการพูดถึงอยู่เนืองๆ
ครั้งนี้ประธานในการเปิดงานไม่ใช่ซ่างกวนซิว แต่เป็นบุรุษวัยกลางคนมาแทน เช่นเดียวกับครั้งที่แล้ว มันแจกยาเม็ดเพิ่มลมปราณ และหินลมปราณครึ่งก้อน แต่ครั้งนี้ไม่ได้แจกเม็ดยาเฉพาะบุคคล
เมื่อเม็ดยาและหินลมปราณเข้าไปอยู่ในถุงเก็บสมบัติ และแสงของเสาลายมังกรเริ่มดับมอดำ เมิ่งฮ่าวก็รีบกลับเท่าที่จะเร็วได้ โดยไม่มีการลังเลแม้แต่น้อย ก่อนจากไป เขามองไปที่ลานกว้าง และได้เห็นผู้ฝึกตนบางคนได้ขวางทางศิษย์สายนอก เพื่อแย่งชิงเม็ดยาและหินลมปราณ
คำพูดของศิษย์พี่หญิงสวี่ ดูเหมือนว่าจะยังคงมีผล รวมกับการรีบจากไปของเขา ไม่มีใครจงใจมาแย่งชิงสิ่งของไปจากเขา มีเพียงแค่สายตาเย็นชาที่จ้องมองมา
เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ตระหนักดีว่าคำพูดของศิษย์พี่หญิงสวี่ สามารถคุ้มครองเขาในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น เดือนนี้ไม่มีปัญหา แต่อีกไม่กี่เดือนถัดไป ต้องมีบางคนที่ต้องการแย่งชิงสิ่งของไปจากเขาแน่
“ตราบเท่าที่กระจกทองแดงมีผล ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ก็จะได้เห็นกันว่าใครจะแย่งชิงไปจากใคร!” เมิ่งฮ่าวพูดด้วยสายตาลุกวาว จากนั้นก็ก้มหน้าเดินจากไปด้วยความรวดเร็วเพิ่มขึ้น
เขาออกจากอาณาเขตสำนักสายนอก ด้วยความกระตือรือร้น ที่จะได้ลองใช้กระจกทองแดง เดินกลับไปที่ถ้ำแห่งเซียน ด้วยความรวดเร็วเท่าที่จะทำได้ เมื่อถึงจุดที่อยู่ห่างจากถ้ำไม่ไกลนัก ทันใดนั้นเขาก็หยุดลง ม่านตาหดแคบลง มองไปยังคนที่เพิ่งจะเดินออกมาจากชายป่าด้านหน้า
คนผู้นั้นสวมใส่ชุดยาวสีเขียว อายุประมาณยี่สิบสี่ถึงยี่สิบห้าปี หน้าตาหยิ่งยโส ยืนจ้องมาที่เมิ่งฮ่าวด้วยสายตาเย็นเยียบ พลังการฝึกตนของมันไม่เหมือนคนทั่วไป มันอยู่ในขั้นสามของการรวบรวมลมปราณ ยืนอยู่ที่นั่น กีดขวางทางเดินของเมิ่งฮ่าว
“คารวะศิษย์พี่จ้าว” เมิ่งฮ่าวกล่าว สีหน้าเปลี่ยนไปพร้อมกับถอยหลังไปสองสามก้าว กำหมัดขวาหลวมๆ ไว้ด้านหลัง เขาเคยเห็นบุคคลผู้นี้มาก่อน ทุกคนในศิษย์สำนักสายนอกรู้จักศิษย์พี่จ้าวอู่กัง มันเป็นคนโหดร้ายไร้ความปราณี
ศิษย์ซึ่งมีพื้นฐานฝึกตนระดับต่ำหลายคน ได้ตายไปโดยน้ำมือมันในเขตส่วนรวม มันเป็นบุคคลที่ชอบประจบสอพลอ ต่อศิษย์ที่มีระดับสูงกว่าขั้นสามขึ้นไป แต่ทำตัวเป็นเจ้านายกับพวกขั้นหนึ่ง และขั้นสอง พูดจาไม่เข้าหู ก็ลงไม้ลงมือ
“เมื่อเจ้ารู้จักข้า” จ้าวอู่กังพูดเสียงเย็นชา “ก็ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ ส่งมอบเม็ดยาและหินลมปราณมา” บุคคลอื่นๆ ไม่กล้าแตะต้องเมิ่งฮ่าว แต่จ้าวอู่กังเข้าสังกัดสำนักนานปี รู้จักช่องทางเป็นอย่างดี มันสืบรู้ว่าศิษย์พี่หญิงสวี่มักจะเก็บตัวปลีกสันโดษ คงไม่สนใจความเป็นความตาย ของลิ่วล้อเบื้องหน้าคนนี้นัก
“ศิษย์พี่จ้าว โปรดช่วยยกเว้นข้าสักคน จะได้หรือไม่?” เมิ่งฮ่าวกล่าวพร้อมถอยหลังไปอีกก้าว “ข้า…ข้าเป็นเพียงนักศึกษาธรรมดา และเพิ่งจะได้รับเม็ดยาและหินลมปราณมา ได้โปรดให้ข้าได้มีเวลาใช้มันสักเล็กน้อย?” คนผู้นี้มีระดับการฝึกตนสูงกว่าเขาหนึ่งขั้น ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาก็ยังไม่เคยต่อสู้กับใครมาก่อน สีหน้าเริ่มซีดเผือดด้วยความกลัว
“เจ้าเรียกตัวเองว่านักศึกษา?” มันพูดเยาะเย้ย จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “อย่าบอกนะว่า เจ้าเคยเป็นนักศึกษามาก่อน ก่อนที่จะมาที่นี่? มา…มาท่องบทกวีให้ศิษย์พี่ฟัง บางทีเจ้าอาจจะทำให้ข้าอารมณ์ดีขึ้น และวันนี้เพียงหักขาของเจ้าทิ้งก็เป็นพอ”
“ศิษย์พี่จ้าว…” เมิ่งฮ่าวเริ่มประสาทเสีย และรู้สึกโกรธไปด้วย แต่เขาไม่มีทางเลือก ได้แต่ยืนหยัดต่อไป และพยายามเอ่ยวาจา “ปราชญ์ท่านกล่าวไว้ว่า หาก…”
“หุบปาก ข้าไม่เพียงแต่จะแย่งชิงเม็ดยาและหินลมปราณไปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงถ้ำแห่งเซียนด้วย นับจากนี้ไป เมื่ออยู่ข้างนอก เราเป็นศิษย์พี่ ศิษย์น้องกัน แต่เมื่ออยู่ในถ้ำ เจ้าต้องเป็นข้ารับใช้ของข้า ถ้าเจ้ายังกล้าพูดอีกแม้แต่คำเดียว ข้าจะช่วยให้เจ้า เข้าใจถึงความหมายของคำว่า ‘ตายดีกว่ามีชีวิตอยู่!’” มันเริ่มเดินตรงเข้ามาหาเมิ่งฮ่าวด้วยจิตสังหาร
ระดับการฝึกตนของมัน ก้าวล่วงสู่ขั้นสาม ต้องการพลังลมปราณอีกมากเพื่อรักษาระดับ ดังนั้นมันจึงหมายตาถ้ำแห่งเซียนของเมิ่งฮ่าว แต่มันก็ยังคงกลัวศิษย์พี่หญิงสวี่ ดังนั้นมันจึงคิดวิธีการให้เมิ่งฮ่าวมาเป็นข้ารับใช้ เชื่อว่าเมิ่งฮ่าวไม่กล้าปฏิเสธ หลังจากเวลาผ่านไป จนมั่นใจว่าศิษย์พี่หญิงสวี่คงลืมเจ้าผู้นี้ไปแล้ว มันก็สามารถสังหารเมิ่งฮ่าวได้โดยไม่ต้องกังวลใจใดๆ หรือถ้าไม่เช่นนั้น มันก็จะทำให้เขาพิการ เก็บไว้ข้างตัว ให้คอยท่องบทกวี ก็เป็นบารมีไม่น้อย
“ถ้ำแห่งเซียนเป็นที่พำนักอาศัยของศิษย์พี่หญิงสวี่ ข้าจะตัดสินใจใดๆ แทนได้อย่างไร ศิษย์พี่จ้าว ได้โปรดอย่าได้สร้างความลำบากให้กับข้าเลย” มือขวาที่อยู่ด้านหลังกำลังรวบรวมพลังลมปราณ เขารู้ดีว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวอู่กัง แต่ถ้ำแห่งเซียนเป็นเรื่องใหญ่ และหินลมปราณมีความสำคัญต่อเขา ไม่มีทางที่เขาจะส่งมอบให้ ดังนั้น ด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยโทสะและความไม่ยินยอม เขาจึงอ้างชื่อของศิษย์พี่หญิงสวี่ออกไป
“ข้าไว้หน้าเจ้าแล้ว แต่เจ้าก็ละเลยมัน” จ้าวอู่กังพูดหายใจแรงขึ้น “เจ้ารนหาความเจ็บปวดเองนะ ข้าจะสอนให้รู้ว่า ยอมตายดีกว่ามีชีวิตอยู่ เป็นอย่างไร!” ด้วยสีหน้าที่หมดความอดทน มันวิ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว ยื่นมือคล้ายกงเล็บออกมา เมิ่งฮ่าวดูเหมือนจะหวาดผวาและตกใจ จ้าวอู่กังมีความสุขที่ได้เห็นสีหน้าของคนที่อ่อนแอ่กว่า
มันนึกภาพว่าเมิ่งฮ่าวลงไปนอนสั่นบนพื้นเบื้องหน้า รู้สึกมีความภาคภูมิใจกับตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ก่อนที่จะพุ่งถึงตัวเมิ่งฮ่าว สีหน้าที่แสดงความหวาดกลัวของเมิ่งฮ่าวก็หายไป แทนที่ด้วยความโหดเหี้ยม เขาสะบัดมือขวาออกมาจากด้านหลัง แสงไฟลุกโชน เปลวไฟรูปร่างคล้ายอสรพิษขนาดเท่านื้วมือพุ่งเข้าใส่จ้าวอู่กัง
จิตใจเมิ่งฮ่าวเต้นระรัว เขารู้ดีว่าวิชาเปลวไฟอสรพิษ ไม่ได้แกร่งกล้าพอที่จะเข่นฆ่าใครได้ แต่ก็ยังคงหวังว่าอย่างน้อย มันจะช่วยลดทอนความเร็วของจ้าวอู่กังได้บ้าง เขาจะไม่ทนต่อการถูกจับ หรือการส่งมอบสิ่งของมีค่าทั้งหมดไป รวมถึงการต้องตกเป็นข้ารับใช้ของจ้าวอู่กัง เขาต้องหนีเข้าไปในเขตภูเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“วิชาเปลวไฟอสรพิษ!” สีหน้าจ้าวอู่กังเปลี่ยนไป ขยับตัวหลบหลีก ตบมือลงไปที่ถุงเก็บสมบัติ กระบี่สีขาวเล่มเล็กๆ ปรากฎขึ้น ซัดเข้าใส่เปลวไฟอสรพิษ
มีเสียงดังเกิดขึ้น จากนั้นเปลวไฟก็ดับไป กระบี่สีขาวคดงอบิดเบี้ยว ตกลงสู่พุ่มหญ้าข้างทาง จ้าวอู่กังถอยหลังอย่างต่อเนื่องด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน มองดูเมิ่งฮ่าวหนีเข้าไปในเขตภูเขา ด้วยความรู้สึกโกรธและประหลาดใจ
“มันบรรลุถึงขั้นสองของการรวบรวมลมปราณได้อย่างรวดเร็วนัก” จ้าวอู่กังพูดด้วยความเกรี้ยวกราด “ถ้ำแห่งเซียนของศิษย์พี่หญิงสวี่ช่างมีประสิทธิภาพยิ่งนัก คงต้องสังหารเจ้าผู้นี้ซะแล้ว” มันวิ่งไล่ตามเมิ่งฮ่าวไป
หลังจากวิ่งตามไปได้ซักพัก ก็พบว่าเมิ่งฮ่าวมีความคุ้นเคย กับเส้นทางของภูเขานี้มากกว่ามัน ยิ่งไปกว่านั้น เมิ่งฮ่าวยังวิ่งได้อย่างรวดเร็ว ทำให้จ้าวอู่กังมีปัญหาในการไล่ตามเป็นอย่างมาก
“เจ้าเด็กบัดซบ” จ้าวอู่กังพูดด้วยเสียงน่ากลัว “ภูเขาแห่งนี้ไร้ผู้คน ถ้าเจ้าต้องการตาย ข้าก็จะสงเคราะห์ให้!” เมื่อเห็นว่าเมิ่งฮ่าววิ่งได้อย่างรวดเร็ว มันจึงตัดสินใจที่จะใช้วิชาไม้ตายก้นหีบ มันแผดเสียงคำราม พร้อมกับร่างกายที่ขยายใหญ่ขึ้น ขนตามร่างกายเริ่มหนาขึ้นและเป็นสีทอง ขนบางแห่งก็ยาวจนโผล่ทะลุเสื้อผ้าออกมา เหมือนกับว่ามันได้กลายร่างเป็นบางอย่างที่ดูคล้ายสัตว์อสูร
นี่คือ “วิชากลายร่างอสูร” วิชาลับที่มันเรียนรู้ด้วยความบังเอิญ ก่อนที่จะเข้าสังกัดสำนัก
มันเป็นวิชาที่จะฝึกได้ ตั้งแต่บรรลุถึงขั้นสามของการรวบรวมลมปราณ เพียงแต่การกลายร่างไม่ได้ชัดเจนมากนัก ร่างกายจะขยายใหญ่ขึ้น มีพลังมากขึ้นเท่านั้น แต่ก็น่าสะพรึง ด้วยวิชานี้ทำให้มันสามารถอาละวาดไปทั่ว ท่ามกลางศิษย์ร่วมสำนักที่มีระดับการฝึกตนขั้นต่ำ วิชานี้เป็นไม้ตายก้นหีบ แม้ใช้ได้ในช่วงเวลาอันจำกัด แต่ก็มีประสิทธิภาพมากทีเดียว
ตอนนี้พลังฝึกตนของมัน ได้ก้าวถึงขั้นสามของการรวบรวมลมปราณ วิชานี้ยิ่งฝึกถึงขั้นสมบูรณ์ ก็จะยิ่งมีขนสีทองที่ดกหนา ดูสวยงามน่าอัศจรรย์ใจ การกลายร่างจนคล้ายสัตว์อสูร ทำให้มันสามารถสร้างความสะพึงกลัว ข่มขวัญคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย
“เจ้าจะเป็นคนแรก ที่จะตายใต้วิชากลายร่างอสูรขั้นที่สามของข้า จงตายตาหลับเถิด!”