ตอนที่ 826
!
วันนี้เป็นวันที่สี่สิบเก้า ที่เมิ่งฮ่าวได้ดูแลรักษาให้ตะเกียงสัมฤทธิ์ยังคงส่องแสงสว่างอยู่!
วันนี้คือวันสุดท้าย!
ตอนนี้เป็นยามราตรี และมองไม่เห็นดวงจันทร์ ทั่วทั้งเขตเทือกเขาถูกห่อหุ้มไว้ด้วยสีดำสนิท โดยไม่มีแสงสว่างอยู่แม้แต่น้อยในทั่วทุกที่
ทั่วทั้งผืนดินทั้งหมดมีแสงอยู่ที่แห่งเดียวเท่านั้น…ในถ้ำแห่งเซียนของเมิ่งฮ่าว…จากเปลวไฟที่ริบหรี่นั้น
ตะเกียงสัมฤทธิ์ลุกไหม้ด้วยโลหิตของเมิ่งฮ่าว สร้างขึ้นเป็นเปลวไฟเซียน ที่ส่องประกายริบหรี่จนถึงเวลาสุดท้าย
เมิ่งฮ่าวจ้องมองไปยังตะเกียงสัมฤทธิ์ กำลังเฝ้ารอคอย จนถึงจุดนี้เขาเคยมีประสบการณ์การสังหารหมู่มาแล้วอย่างมากมาย และตอนนี้…เวลานั้นก็มาถึงแล้ว
“รักษาตะเกียงให้เผาไหม้เป็นเวลาสี่สิบเก้าวัน” เขาพึมพำ “และจากนั้น ในช่วงที่มันดับลง มันก็จะสร้างชีพจรเซียนขึ้นมาในร่างข้า!”
“เมื่อได้รับความรู้แจ้งเกี่ยวกับเส้นชีพจรเซียน วิถีของข้าก็จะเป็น…วิถีแห่งสมัยโบราณ!” ในตอนนี้ผู้ถูกเลือกและผู้พิทักษ์เต๋าแห่งสำนักและตระกูลต่างๆ สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่แปลกๆ ซึ่งกำลังเกิดขึ้นอยู่
แรงกดดันค่อยๆ กดทับลงมายังเขตเทือกเขาทั้งหมดนี้อย่างช้าๆ ในเวลาเดียวกันนั้น ข้อจำกัดของอากาศที่ด้านบน…ทันใดนั้นก็หายไป
อย่างช้าๆ ความรู้สึกถึงวิกฤตอันตรายที่ใกล้เข้ามาถูกรับรู้ได้
จี้ยินยืนอยู่บนยอดเขา มองออกไปยังพื้นดินที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้น กรรมหมุนวนไปมาอยู่รอบๆ ตัว ทำให้ยากที่จะมองเห็นรูปร่างหน้าตาของมันได้อย่างชัดเจน แต่ดวงตาก็สาดประกายด้วยแสงอันเข้มข้น
“บัดซบ…กรรมนี้ไม่ใช่ของมัน!!” จี้ยินหายตัวไปอย่างฉับพลัน กลายเป็นเส้นใยแห่งแสงนับไม่ถ้วน หลอมรวมเข้ากับเขตเทือกเขา นี่เป็นวิธีการค้นหาที่เป็นเอกลักษณ์เพียงหนึ่งเดียว ที่มันหวังว่าจะสามารถค้นพบเมิ่งฮ่าวได้
ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ ในเขตเทือกเขาต่างก็ใช้วิธีการที่แตกต่างกัน เพื่อพยายามค้นหาร่องรอยของเมิ่งฮ่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝานตงเอ๋อร์ ตอนนี้แขนของนางได้ฟื้นฟูกลับคืนมาแล้ว แต่การที่ต้องถูกเมิ่งฮ่าวทำลายมาสองครั้ง ทำให้คนที่เย่อหยิ่งเช่นนางต้องประสบกับความเจ็บช้ำน้ำใจจนแทบไม่อาจจะฟื้นคืนกลับมาได้เหมือนเดิม
“มีแต่ต้องเอาชนะมันให้ได้เท่านั้น จิตแห่งเต๋าของข้าถึงจะฟื้นกลับคืนมาได้!” นางคิด ดวงตาสาดประกายด้วยรังสีสังหาร
ฟางตงหานกำลังนั่งอย่างเงียบๆ อยู่ในที่ห่างไกลออกไปอีกแห่ง กำลังมองไปยังทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า การกระทำก่อนหน้านี้ของมัน ทำให้มันตกเป็นผู้ต้องสงสัย แต่มันก็ไม่สนใจ
“ฟางฮ่าว เมิ่งฮ่าว…น่าสนใจนัก ข้าแทบไม่อาจจะทนรอให้มันไปเผชิญหน้ากับฟางเว่ยได้”
หวังมู่มีใบหน้าที่เคร่งเครียด มันรู้สึกว่ามักจะช้าไปกว่าเมิ่งฮ่าวหนึ่งก้าวเสมอ ทุกครั้งที่คนทั้งสองมาเจอกัน มันไม่มีโอกาสได้ต่อสู้กับเขาอย่างแท้จริง ตอนนี้มันนั่งอยู่โดยวางมือขวาไว้บนพื้นที่เบื้องหน้า หลับตาลงและมีสีหน้าที่ผ่อนคลาย ขณะที่มันใช้วิชาลับ วิญญาณของมันในตอนนี้ได้หลอมรวมเข้าไปในพื้นดิน ขณะที่ใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพื่อค้นหาเมิ่งฮ่าว
ผู้ที่มีความกระวนกระวายใจมากที่สุดในกลุ่มคนทั้งหมด ก็คือผู้ฝึกตนจากภูเขาไท่หยาง, ตระกูลซ่ง และนิกายตี้เซียน (จักรพรรดิเซียน) ผู้ถูกเลือกของพวกมันถูกเมิ่งฮ่าวจับตัวไป ซึ่งถือว่าเป็นความอัปยศโดยสิ้นเชิง มองเห็นท่าทีที่หม่นหมองอยู่บนใบหน้าของผู้พิทักษ์เต๋า ขณะที่พวกมันทำการค้นหา
“บัดซบ ถ้าพื้นฐานฝึกตนของพวกเราไม่ถูกผนึกไว้แล้วละก็ เมิ่งฮ่าวก็ไม่มีทางที่จะกล้าเย่อหยิ่งเช่นนี้เป็นแน่!”
“มันต้องตาย! เมื่อไหร่ที่พวกเราหามันพบ มันต้องตายไปอย่างไม่ต้องสงสัย!”
คนทั้งหมดต่างก็ทำการค้นหาเมิ่งฮ่าว และขอบเขตก็ค่อยๆ เริ่มเล็กลงไปเรื่อยๆ ทุกคนกำลังเข้าไปใกล้เมิ่งฮ่าวและถ้ำแห่งเซียนของเขามากขึ้น
ยามราตรี…เริ่มกลายเป็นยามรุ่งอรุณ!
เปลวไฟของตะเกียงสัมฤทธิ์ทันใดนั้นก็เริ่มเจิดจ้าขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ กลายเป็นคบเพลิงที่ส่องสว่างไปทั่วทั้งถ้ำแห่งเซียน อันที่จริงแสงนั้นยังได้ทะลุผ่านรอยแตกของผนังถ้ำออกไป…จนเกิดเป็นแสงสว่างเจิดจ้าอยู่ที่ด้านนอกอีกด้วย
เมิ่งฮ่าวสั่นสะท้านขณะที่โลหิตของเขา จู่ๆ ก็เริ่มไหลเวียนย้อนกลับ เริ่มมีโลหิตไหลซึมออกมาจากดวงตา, จมูก, หูและปาก หยดโลหิตเหล่านั้นได้ลอยขึ้นไป และหลอมรวมเข้าไปในเปลวไฟ ทำให้มันยิ่งลุกไหม้สว่างเจิดจ้ามากขึ้นกว่าเดิม
ตูม!
เทือกเขาทั้งหมดกำลังสั่นสะเทือน และเสียงกระหึ่มกึกก้องก็ดังเต็มอยู่ในบริเวณนั้น ขณะที่แรงกดดันอันน่าเหลือเชื่อได้กระจายออกไป ผู้ฝึกตนมากมายเริ่มสั่นสะท้านใจ และถูกแรงกดดันอันน่าเหลือเชื่อนั้นบังคับให้ต้องนั่งลงไปขัดสมาธิ และเริ่มทำการเข้าฌาณ
ตูม!
เสียงกระหึ่มครั้งที่สองดังก้องขึ้นไป ในเวลาเดียวกันนั้นถ้ำแห่งเซียนของเมิ่งฮ่าวก็เริ่มหลอมละลาย ขณะที่แสงแห่งการเผาไหม้นั้นพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า
แม้แต่พื้นดินก็ยังต้องสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงมากยิ่งขึ้น แทบจะราวกับว่ามียักษ์หลายตนกำลังวิ่งวนไปทั่ว และแรงกดดันอันเข้มข้นก็เพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่า
บนภูเขาลูกหนึ่ง เส้นใยกรรมนับไม่ถ้วนทันใดนั้นก็ปรากฏขึ้น จากนั้นก็รวมตัวเข้าด้วยกันกลายเป็นร่างมนุษย์ มันก็คือจี้ยิน และโลหิตกำลังไหลซึมออกมาจากปากมัน
มันไม่มีทางเลือกได้แต่ต้องนั่งลงขัดสมาธิในทันที เพื่อต่อสู้กลับไปด้วยพลังทั้งหมดที่มันสามารถจะรวบรวมขึ้นได้
สำหรับหวังมู่ โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปาก และมันก็เริ่มเข้าฌาณในทันที ฝานตงเอ๋อร์และเหล่าผู้ถูกเลือกอื่นๆ ทั้งหมด ต่างก็กำลังสั่นสะท้านไปทั้งร่าง และถูกบังคับให้ต้องเข้าฌาณไปเช่นเดียวกัน
ต่อมา เสียงกระหึ่มเสียงที่สามก็ดังเต็มอยู่ในอากาศ โดยไม่มีข้อยกเว้น เหล่าผู้พิทักษ์เต๋าทั้งหมดในเขตเทือกเขานั้นต่างก็กระอักโลหิตออกมา และต้องนั่งลงเข้าฌาณเช่นเดียวกัน
เทือกเขากำลังสั่นสะเทือน และสิ่งที่ดูเหมือนกระแสน้ำวนอันไร้จุดสิ้นสุดก็ปรากฏขึ้นที่ด้านบน เกิดเป็นเสียงกระหึ่มกึกก้องที่ทำให้สวรรค์ต้องสะท้านปฐพีต้องสะเทือนขึ้น และยังมองเห็นได้อีกด้วยว่ารูปร่างของพื้นดินกำลังเปลี่ยนไป!
ด้านนอกของเขตเทือกเขา ในดินแดนตะวันออก บิดาและมารดาของเมิ่งฮ่าวลอยตัวอยู่ในกลางอากาศพร้อมกับสุ่ยตงหลิว กำลังจ้องมองไปยังเขตเทือกเขานั้น แสงแปลกๆ มองเห็นได้ในดวงตาของสุ่ยตงหลิว
“ตอนนี้โชคชะตาถูกเปลี่ยนไปแล้ว!”
ในทะเลเทียนเหอ ชายชราที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเรือ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา และมองตรงไปยังเขตเทือกเขา
ย้อนกลับไปในเขตเทือกเขา ในสถานที่ที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นที่ตั้งของวิหารพิธีเต๋าเซียนโบราณ ซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นปากปล่องภูเขาไฟไปแล้ว แต่ในตอนนี้เอง ที่มีเงาร่างค่อยๆ รวมตัวกันอยู่ที่ตรงจุดกึ่งกลางของปากปล่องภูเขาไฟขึ้นอย่างช้าๆ
เป็นชายชราที่สวมใส่ชุดยาวสีเทาที่เก่าขาดคร่ำคร่า และกำลังมองออกไปในทิศทางของเมิ่งฮ่าว
ตูม!!
เสียงที่สี่ดังกระจายออกไป และครั้งนี้ก็เต็มไปด้วยพลังที่สามารถจะฉีกกระชากท้องฟ้าให้ขาดออกจากกัน ความมืดมิดในยามราตรีได้เปลี่ยนไป ขณะที่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ที่ด้านบนเขตเทือกเขาบิดเบี้ยวไปมา และจากนั้นก็กลายเป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ซึ่งดูเหมือนกับครั้งสมัยโบราณ
สูงขึ้นไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว มองเห็นเงาร่างอันเลือนลางอยู่มากมาย ดูเหมือนจะเป็นมังกรที่แท้จริง และสัตว์เซียนที่ทรงอำนาจจำนวนมาก ร่างแล้วร่างเล่ากำลังพุ่งผ่านไป
เสียงที่ห้าดังก้องออกไป พื้นดินสั่นสะเทือน และภูเขานับไม่ถ้วนได้หายไป ในขณะที่จู่ๆ วิหารพิธีเต๋าก็ปรากฏขึ้น!
นี่คือวิหารพิธีเต๋าที่แท้จริง พร้อมกับเงาร่างมากมายกำลังนั่งขัดสมาธิเข้าฌาณอยู่ มองเห็นเสาที่สูงตระหง่านอยู่ด้วย ที่นั่งอยู่ด้านบนสุดเป็นชายชรา กำลังเทศน์สั่งสอนเกี่ยวกับเต๋า ช่างน่าประหลาดใจยิ่งที่ด้านบนของศีรษะมันเป็น…ตะเกียงน้ำมันสัมฤทธิ์!
เปลวไฟกระจายเป็นกลุ่มควันสีเขียว พุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า และขณะที่ชายชราโบกสะบัดมือ กลุ่มควันนั้น…ก็กลายเป็นตัวอักษรขนาดใหญ่
‘仙!’ (เซียน)
เพื่อเป็นการตอบรับกับการปรากฏขึ้นของตัวอักษรนี้ เงาร่างทั้งหมดในวิหารพิธีเต๋าเริ่มหมอบกราบตรงไปยังชายชรา ดวงดาวในท้องฟ้าเริ่มสลัวเลือนลาง และเงาร่างนับไม่ถ้วนที่ด้านบนขึ้นไปต่างก็เริ่มโขกศีรษะด้วยเช่นกัน
ทันใดนั้นดวงตะวันและจันทราได้หยุดส่องแสง แม้แต่ดวงดาวต่างก็ต้องก้มศีรษะให้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต่างก็คุกเข่าเพื่อกราบสักการะ และดูเหมือนว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดกำลังโค้งตัวลง!
จากนั้นเสียงกระหึ่มเสียงที่หกก็ดังก้องออกไป เปลวไฟกำลังลุกไหม้ขึ้นอย่างไร้ขอบเขตอยู่รอบๆ ร่างเมิ่งฮ่าว ส่งผลให้เกิดเป็นแสงอันเจิดจ้าอย่างที่ยากจะอธิบายออกมาได้ กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง
ตอนนี้ผู้ฝึกตนทั้งหมดในเขตเทือกเขานั้นต่างก็สามารถมองเห็นเมิ่งฮ่าวได้ ขณะที่เขาค่อยๆ ลอยตัวขึ้นไปในอากาศ ถูกปกคลุมด้วยแสงอันไร้ขอบเขต
เขาอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ และน่าตกใจยิ่งที่มองเห็นตะเกียงสัมฤทธิ์อยู่เหนือศีรษะเขา!
เมิ่งฮ่าวแทบจะดูคล้ายกับชายชราผู้นั้นเป็นอย่างยิ่ง!
โดยเฉพาะในตอนที่…เมิ่งฮ่าวซึ่งถูกอาบไล้ไปด้วยแสงอันเจิดจ้า ลอยขึ้นไปซ้อนทับกับภาพของชายชรา คนทั้งหมดต่างก็ตกตะลึงไปโดยสิ้นเชิง
จิตใจเมิ่งฮ่าวว่างเปล่า และในตอนนี้ร่างกายกำลังแห้งเหี่ยวลงไป โลหิตทั้งหมดของเขาได้ไหลเข้าไปในตะเกียงสัมฤทธิ์ จากนั้นก็เริ่มเผาไหม้พลังชีวิตสุดท้ายของเขาไป
จากแง่มุมที่คนทั้งหมดมองไป ตอนนี้เมิ่งฮ่าวกำลังไปแทนที่ชายชราผู้นั้น!
เงาร่างทั้งหมดที่กำลังก้มศีรษะกราบสักการะ ไม่ได้กราบชายชราอีกต่อไป แต่เป็นเมิ่งฮ่าว! ดวงตะวันจันทราสั่นสะเทือน และดวงดาวก็สลัวเลือนลางลง มังกรและสัตว์เซียนทั้งหมดต่างก็โขกศีรษะเพื่อกราบสักการะ
ทั้งหมดต่างก็หมอบกราบสักการะ แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่ที่ทรงอำนาจสามารถปลิดดวงดาว, ยักษ์ขนาดใหญ่ซึ่งแบกท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวไว้, แม้แต่สวรรค์และปฐพีก็เช่นเดียวกัน!
ในตอนนี้เองที่เสียงกระหึ่มเสียงที่เจ็ดก็ได้ยินมา!
ดังเต็มอยู่ในดินแดนแห่งดาวหนานเทียนทั้งหมด แทบจะคล้ายกับเป็นเสียงเคาะระฆัง มันไม่ได้ดังออกไปนอกดาวหนานเทียน แต่…วิหารพิธีเต๋าเซียนโบราณที่อยู่ในขุนเขาที่เก้า ซึ่งเป็นวิหารที่มีธูปเผาไหม้อยู่ และมรดกของมันก็ยังคงมีอยู่ ได้ยินเสียงระฆังดังออกมาจากวิหารนั้น และเงาร่างเซียนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้น สร้างความประหลาดใจให้กับคนทั้งหมดที่อยู่ในขุนเขาที่เก้า!
ในเวลาเดียวกันนั้น ย้อนกลับไปในดินแดนแห่งดาวหนานเทียน ในกลางอากาศเหนือเทือกเขา ตะเกียงสัมฤทธิ์ที่ลอยอยู่บนศีรษะเมิ่งฮ่าว…ได้ดับลงไปโดยสิ้นเชิงเพื่อเป็นการตอบรับต่อเสียงกระหึ่มที่ดังก้องขึ้นเป็นครั้งที่เจ็ด!
เปลวไฟดับลง แต่แสงไฟก็ยังคงกระจายออกไป!
กลุ่มควันสีเขียวพุ่งขึ้นไปเหนือตะเกียงสัมฤทธิ์ กลุ่มควันนั้นดูเหมือนจะกลายเป็นเต๋าอันยิ่งใหญ่ ในตอนที่มันปรากฏขึ้น ก็กลายเป็นตัวอักษร ‘仙!’ (เซียน)
หนึ่งตัวอักษรที่ถูกสร้างขึ้นมาจากกลุ่มควันสีเขียว ทำให้จิตใจของพวกที่มุงดูอยู่ทั้งหมดหมุนคว้าง
ต่อมา ตัวอักษร ‘เซียน’ ก็กระจัดกระจายกลายเป็นกลุ่มควันสีเขียวขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็พุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว ไหลผ่านเข้าไปในรูจมูก, ปาก และหูของเขา โคจรหมุนเวียนไปทั่วร่าง เชื่อมต่อเข้าด้วยกันจนกลายเป็น…ชีพจรภาพลวงตา!
มันคือ…ชีพจรเซียน!
ในตอนที่ชีพจรเซียนปรากฏขึ้น เมิ่งฮ่าวรับรู้ได้ว่าแรงสั่นสะเทือนได้วิ่งผ่านไปทั่วร่าง ทุกสิ่งทุกอย่างในร่างเขารู้สึกราวกับว่ากำลังเปลี่ยนไป โครงกระดูกเลือดเนื้อทั้งหมดต่างก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
เสียงกระหึ่มดังเต็มอยู่ในอากาศ ราวกับว่าเซียนกำลังเกิดขึ้นมาอยู่ภายในร่างเขา พลังลมปราณพุ่งขึ้นไป ผืนฟ้าหมองหม่นแผ่นดินหมองมัว
ภาพแห่งธรรมปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง และพื้นฐานฝึกตนของเขาก็พบเจอกับการเปลี่ยนแปลงอันน่าประหลาดใจ!
ห้าในสิบส่วนของเซียนแท้!
หกในสิบส่วนของเซียนแท้!
เจ็ดในสิบส่วนของเซียนแท้!
แปดในสิบส่วนของเซียนแท้!
พื้นฐานฝึกตนของเมิ่งฮ่าวพุ่งทะยานขึ้นไปอย่างน่าตกใจ และปราณเซียนก็เริ่มมีความเข้มข้นมากขึ้น ร่างกายและเลือดเนื้อกำลังบรรลุถึงจุดสูงสุดของพลัง!
ขณะที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น เขาก็ดูแทบจะคล้ายกับเป็นเซียนอย่างแท้จริง!
ชีพจรเซียนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ และเส้นทางสู่การเป็นเซียนก็ถูกเปิดออกแล้ว!
เขาไม่จำเป็นต้องมีโชคชะตาแห่งเซียนแท้ที่ปรากฏขึ้นในทุกๆ หนึ่งหมื่นปี! เขาไม่จำเป็นต้องใช้ต้นเถาวัลย์ประกายเซียน! ความเป็นเซียนของเมิ่งฮ่าวเป็นของเขาเองโดยสิ้นเชิง เขา…จะเดินไปบนเส้นทางของเขาเองเพื่อกลายเป็นเซียนแท้!
ตอนนี้เขายังไม่ใช่เซียนแท้ อย่างไรก็ตามจากเส้นทางที่เขากำลังเดินไปนี้ เมื่อไหร่ที่ภาพลวงตาชีพจรเซียนกลายเป็นของจริงและสมบูรณ์แบบ…เขาก็จะเหนือกว่าเซียนแท้อย่างไม่ต้องสงสัย!
เมื่อวันที่เขาสามารถเปิดชีพจรได้ครบหนึ่งร้อยจุดมาถึง เป็นเพราะว่าเขามีจุดชีพจรเซียนที่พิเศษนี้ ทำให้เขามีจุดชีพจรเซียนมากกว่าคนอื่นๆ เขาจะกลายเป็น…เซียนที่มีชีพจรหนึ่งร้อยหนึ่งจุด!
เมื่อพูดถึงชีพจรหนึ่งร้อยจุด ไม่ว่าจะมีเพิ่มมาเป็นพิเศษอีกหนึ่งหรือหนึ่งหมื่น ทั้งหมดนี้ต่างก็ถือว่าพิเศษไม่เหมือนใคร ดังนั้น…การมีเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งก็เหมือนกับการมีหนึ่งหมื่น ซึ่งก็เหมือนกับการมีหนึ่งร้อยล้าน และก็เหมือนกับการมีเป็นจำนวนที่ไม่รู้จบ!
ทุกสิ่งทุกอย่างสั่นสะเทือน ขณะที่ดวงตาเมิ่งฮ่าวลืมขึ้นมาในทันที แสงอันเจิดจ้าที่กระจายเต็มอยู่ในโลกแห่งนี้ทันใดนั้นก็จางหายไป และเสียงของเมิ่งฮ่าวก็ดังก้องออกไปทั่วทั้งเขตเทือกเขา
“ฝานตงเอ๋อร์ จี้ยิน จ้าวอีฝาน ใครในพวกเจ้า…จะมาสู้กับข้า!?”