Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 904

ตอนที่ 904

ก็แค่มาสู้กัน

“เทียนอวี่เยี่ยลั่ว (ต้นเยี่ยลั่วพิรุณสวรรค์) จะปรากฏขึ้นในตอนที่พวกมันเปียกชุ่มไปด้วยสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก เม็ดยาชนิดต่างๆ ที่สามารถจะปรุงขึ้นมาจากเส้นใยของใบเยี่ยลั่ว เท่าที่ข้ารู้มีทั้งหมดแปดหมื่นเจ็ดพันหกร้อยสี่สิบห้าชนิด…”

“จงเต้ามู่ (ต้นกลางเต๋า) ไม่อาจจะใช้เป็นส่วนผสมหลักได้ แต่ก็สามารถเพิ่มมันเข้าไปในส่วนผสมช่วงของการปรุงยาเพื่อเพิ่มธาตุทอง และมันก็จะช่วยทำให้เม็ดยากลายเป็นสีทอง”

ตอนนี้เมิ่งฮ่าวกำลังยืนอยู่บนแท่นเวที เขาเพิ่งจะทำการแนะนำต้นสมุนไพรต่างๆ ที่ยากต่อการแยกแยะ และกำลังตอบคำถามจากเด็กฝึกหัดปรุงยามากมาย

ฟางฉวิน ที่เป็นชายชรานักปรุงยาระดับแรกนั่งอยู่ที่ด้านล่าง กำลังสอบถามเกี่ยวกับต้นสมุนไพรต่างๆ ที่มันไม่ค่อยเข้าใจนักอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่ามันจะรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

“เทียนเหอสือ (ศิลาทางช้างเผือก) ไม่ใช่เป็นศิลาจริงๆ มันคือตะไคร่ทะเลที่เติบโตอยู่ในรอยแตกแคบๆ ของก้อนศิลา ยิ่งก้อนศิลานั้นมีรอยแตกมากขึ้นเท่าใด คุณภาพของมันก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น”

“จิ่วหลงเซียง (กลิ่นหอมเก้ามังกร) ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มันเป็นผลลัพธ์มาจากการตอนกิ่งของต้นสมุนไพรที่แตกต่างกันเก้าชนิด สูตรของการตอนกิ่งนี้จริงๆ แล้วก็เป็นความลับ ดังนั้นสิ่งที่ข้ารู้ทั้งหมดเกี่ยวกับสูตรนี้ ก็มาจากข้อสรุปของตัวเอง ในสิ่งที่ได้ยินมาเกี่ยวกับยาตัวนี้ จึงไม่อาจจะมั่นใจได้เต็มร้อยถึงวิธีการตอนกิ่งที่แท้จริงของมัน”

เมิ่งฮ่าวพูดคุยด้วยความอดทนต่อเด็กฝึกหัดปรุงยา และฟางฉวินที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ท้องฟ้าเริ่มมืดลง แต่กลุ่มผู้ฟังก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เหน็ดเหนื่อยมากเท่าใด แต่กลับเป็นตรงกันข้าม พวกมันหลายคนกำลังจดบันทึกข้อมูลที่เมิ่งฮ่าวพูดออกมาลงไปบนแผ่นหยกด้วยความตื่นเต้น

ในที่สุดดวงจันทร์ก็ลอยอยู่สูงในท้องฟ้า แต่ก็ไม่มีใครจากไป สุดท้ายเด็กฝึกหัดปรุงยาที่อยู่บนภูเขาใกล้เคียงได้สังเกตเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ และมาเข้าร่วมด้วย เมื่อได้เห็นนักปรุงยากำลังรับฟังการบรรยายเกี่ยวกับต้นพืชสมุนไพร พวกมันก็รู้สึกตกตะลึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีอยู่หลายคนจำได้ว่านั่นคือฟางฉวิน ในที่สุดพวกที่มาใหม่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเหล่านี้…ก็ไม่ได้จากไปเช่นกัน

ไม่นานนักก่อนที่ลานสี่เหลี่ยมจัตุรัสบนภูเขาจะเนืองแน่นเต็มไปด้วยผู้คน ไม่ใช่แค่ไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น แต่มีนับพันคน คำถามหลากหลายรูปแบบทั้งหมดถูกถามออกไป แต่ก็ไม่มีแม้แต่คำถามเดียวที่เมิ่งฮ่าวไม่อาจจะตอบได้

บางคนยังได้เริ่มตั้งใจที่จะหลอกถามปัญหาอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม แต่เมิ่งฮ่าวก็ไม่ต้องขบคิดแม้แต่น้อย ก่อนที่จะให้คำตอบไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูดออกมาถูกต้องและแม่นยำ ทำให้แม้แต่บางคนที่พยายามจะหลอกเขาด้วยคำถามต่างๆ ต้องเกิดความรู้สึกประหลาดใจขึ้นโดยสิ้นเชิง

ในที่สุด ยอดเขานั้นก็อัดแน่นเต็มไปด้วยผู้คน ผู้ที่มาใหม่อื่นๆ แน่นอนว่าไม่ต้องการที่จะจากไป จึงได้ลอยตัวอยู่ในกลางอากาศใกล้ๆ บริเวณนั้นเพื่อรับฟังคำบรรยาย

เมิ่งฮ่าวพยายามที่จะสรุปคำบรรยายอยู่หลายครั้ง แต่ก็มีคนมารับฟังมากเกินไป จึงทำให้มีคำถามอยู่มากมาย เขาต้องการจะจากไป แต่เมื่อคิดว่าเขาต้องสร้างชื่อเสียงขึ้นมาในตระกูล เต๋าแห่งการปรุงยาก็อาจจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะกระทำเช่นนั้นได้ ดังนั้นเขาจึงอยู่ต่อไป

ตลอดทั้งยามราตรีได้ผ่านไปอย่างช้าๆ สำหรับเด็กฝึกนักปรุงยาเหล่านี้ การบรรยายของเมิ่งฮ่าวแทบจะคล้ายกับเป็นคำเทศนาเกี่ยวกับเต๋า กลุ่มเด็กฝึกปรุงยามารวมตัวกันมากขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อถึงยามรุ่งอรุณ ก็มีผู้คนอยู่ในที่แห่งนั้นมากกว่าหนึ่งหมื่นคน

ทำให้รอบๆ บริเวณนั้นตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย มีผู้คนเข้ามาฟังคำบรรยายของเมิ่งฮ่าว และสอบถามปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงตอนนี้ ก็ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรที่เมิ่งฮ่าวไม่รู้ และไม่มีคำถามใดที่เขาไม่อาจจะตอบได้ หรือแม้แต่จะทำให้เขาต้องหยุดชะงักเพื่อขบคิดแม้แต่น้อย

ความตกตะลึงได้กระจายออกไปทั่วในจิตใจของคนทั้งหมด และในที่สุดก็มีนักปรุงยาคนอื่นๆ บางคนที่อยู่ในบริเวณนั้น ซึ่งกำลังเตรียมตัวที่จะขึ้นบรรยายได้สังเกตเห็น ตอนแรกพวกมันแค่หัวเราะหึๆ ด้วยเสียงเย็นชา แต่ในที่สุดดวงตาพวกมันก็เริ่มเบิกกว้างขึ้นด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

“ทักษะเกี่ยวกับต้นสมุนไพรของมัน…ช่าง…ช่างสูงส่งอย่างน่าเหลือเชื่อนัก!!”

“สวรรค์! มีคำถามอย่างไม่รู้จักจบสิ้น และครอบคลุมไปทั่วทุกด้านของต้นสมุนไพร แต่คนผู้นี้ก็สามารถจะให้คำตอบได้ทั้งหมด! ช่างมีพื้นฐานความรู้อย่างน่าเหลือเชื่อนัก!”

จำนวนของกลุ่มผู้ฟังเริ่มขยายขนาดมากขึ้นไปเรื่อยๆ เมิ่งฮ่าวพูดมาแล้วติดต่อกันถึงสามวัน และในที่สุดก็มีผู้ฟังถึงสามหมื่นคน ทั่วทั้งโลกของเด็กฝึกปรุงยาในแผนกเต๋าแห่งการปรุงยาสั่นสะเทือน แม้แต่นักปรุงยาระดับหนึ่งก็ยังมาเข้าร่วมรับฟังอยู่มากมาย แต่สำหรับนักปรุงยาระดับสอง ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ลึกเข้าไปในเขตภูเขาด้านใน พวกมันแทบจะไม่ค่อยเข้ามายุ่งเกี่ยวกับงานของภูเขาส่วนนอก ทำให้พวกมันไม่ค่อยให้ความสนใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในเขตภูเขาส่วนนอกเท่าใดนัก นอกจากนั้นนักปรุงยาส่วนใหญ่ก็มักจะใช้เวลาของพวกมันในการปรุงยาอย่างสันโดษมากกว่า

“ซานเซียนเยี่ย (ใบสามเซียน) เป็นสมุนไพรที่ค่อนข้างจะหายาก ข้าไม่เคยคิดเลยว่าแผนกเต๋าแห่งการปรุงยาของตระกูลฟาง จะสามารถปลูกพวกมันขึ้นมาได้ ถ้าใช้ต้นสมุนไพรนี้มาเป็นส่วนผสมหลัก ก็สามารถจะปรุงเป็นเม็ดยาได้จำนวนมากมาย ถึงแม้ว่าข้าจะไม่เคยปรุงยาโดยใช้ซานเซียนเยี่ยนี้ด้วยตนเองมาก่อน แต่ก็รู้ดีว่ามีสูตรยาประมาณหนึ่งพันสูตรที่ใช้มันเป็นส่วนผสม”

“ไท่หยางฮวา? (ดอกตะวันฉาย) นั่นคือต้นสมุนไพรในตำนานที่หายสาบสูญไปนานแล้ว จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าไม่เคยเห็นมันมาก่อน แต่ก็รู้มาว่าถ้าเพิ่มไท่หยางฮวาเข้าไปในเม็ดยา ก็จะทำให้ตัวยามีความเข้มข้นถึงหนึ่งร้อยส่วนเต็ม”

ตอนนี้เมิ่งฮ่าวนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นเวที กล่าวไปยิ้มไป คนทั้งหมดที่กำลังฟังอยู่ยังคงรู้สึกตื่นเต้น ถึงแม้จะผ่านมาสามวันแล้วก็ตามที ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย คนทั้งหมดต่างก็ตระหนักดีว่า นี่คือโอกาสที่หาได้ยากเป็นอย่างยิ่งสำหรับตนเอง

ในเวลาเดียวกันนั้น ก็มีคำพูดแพร่กระจายไปยังคฤหาสน์โบราณตระกูลฟาง ฟางอวิ๋นอี้นั่งอยู่ในถ้ำแห่งเซียนของมัน รับฟังเด็กฝึกปรุงยา กำลังอธิบายถึงคำบรรยายของเมิ่งฮ่าวเกี่ยวกับต้นสมุนไพรอย่างมีชีวิตชีวา

สีหน้าฟางอวิ๋นอี้สลดลง หลังจากผ่านไปชั่วครู่ มันก็ยิ้มอย่างเย็นชาออกมา

“นั่นจะพิสูจน์อะไรได้? นักปรุงยาระดับสองจากยอดเขาด้านในของแผนกเต๋าแห่งการปรุงยาก็สามารถจะออกมาให้คำบรรยายเกี่ยวกับต้นสมุนไพรได้ ใครก็ตามในพวกมันสามารถจะสร้างความสนใจให้กับผู้คนได้นับหมื่น หรืออาจจะมากกว่านั้น” ฟางอวิ๋นอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“เมิ่งฮ่าวอันกระจ้อยร่อย เจ้ามาจากสถานที่เล็กๆ เช่นดาวหนานเทียน ถึงแม้ว่าจะมีทักษะมาบ้าง แต่ก็ยังคงมีขอบเขตที่ค่อนข้างจะจำกัด เจ้าเพิ่งจะไปยังแผนกเต๋าแห่งการปรุงยา แต่ก็กล้าที่จะกระทำตัวอย่างเย่อหยิ่งอวดดีเช่นนี้? เจ้ามันก็แค่เป็นพวกขี้แพ้ที่คิดว่าตนเองยิ่งใหญ่เท่านั้น” มันยังคงครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนดาวหนานเทียนอยู่ตลอดเวลา และรู้สึกเกลียดชังเมิ่งฮ่าวจนลึกลงไปถึงกระดูก

มันอยากจะให้เว่ยกงจื่อไปลงโทษเมิ่งฮ่าวอย่างแท้จริง แต่น่าเสียดายที่เว่ยกงจื่อไม่เคยจะกล่าวอะไรออกมา ไม่ว่าฟางอวิ๋นอี้จะผลักดันมากแค่ไหนก็ตามที ตอนนี้ขณะที่มันเพิ่งจะระงับความขุ่นเคืองไว้ได้ เด็กฝึกปรุงยาผู้นี้ก็มาบอกมันเกี่ยวกับเรื่องที่เมิ่งฮ่าวไปสร้างความปั่นป่วนอยู่ในแผนกเต๋าแห่งการปรุงยา ในที่สุดมันก็แค่นเสียงและให้เด็กฝึกปรุงยาออกไป จากนั้นมันก็นั่งขมวดคิ้วอยู่ที่นั่น

“เจ้าบัดซบเมิ่งฮ่าว ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าอยู่อย่างมีความสุข!” ฟางอวิ๋นอี้กัดฟันแน่น หยิบเอาแผ่นหยกถ่ายทอดข้อความออกมา ประทับสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ลงไป รวมทั้งคำมั่นสัญญาต่างๆ และจากนั้นก็โยนมันออกไป

ฉับพลันนั้นแผ่นหยกก็พุ่งขึ้นไปในอากาศ

หลังจากนั้นไม่นาน สถานที่บางแห่งซึ่งอยู่ที่เขตภูเขาด้านในหนึ่งหมื่นแห่งของแผนกเต๋าแห่งการปรุงยา บนยอดเขาหนึ่งที่อยู่ค่อนข้างจะใกล้กับเขตภูเขาด้านนอก บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่ง ซึ่งสวมใส่ชุดนักปรุงยาที่มีมังกรสองตัวถูกปักอยู่บนปกเสื้อกำลังทำการปรุงเม็ดยาอยู่

กระถางปรุงยาที่อยู่เบื้องหน้ามันส่องประกายด้วยแสงสีแดงจ้าออกมา และมีแสงแวบขึ้นมา กลิ่นหอมของตัวยาลอยขึ้นมาจากกระถางปกคลุมไปทั่วทั้งภูเขา ดูเหมือนจะไปหล่อเลี้ยงต้นไม้ใบหญ้าทั้งหมดในบริเวณนั้น

ในท่ามกลางการปรุงยาของมัน จู่ๆ แผ่นหยกก็ปรากฏขึ้น ลอยตัวอยู่ที่ด้านนอก แต่บุรุษวัยกลางคนก็ไม่สนใจโดยสิ้นเชิง ทำการปรุงเม็ดยาของมันต่อไป หนึ่งชั่วยามผ่านไปก่อนที่แสงสีแดงจ้าของกระถางปรุงยาจะเริ่มจางหายไป เมื่อกระถางเย็นลง บุรุษผู้นั้นก็เริ่มพึมพำกับตัวเอง

“ข้าพยายามปรุงเม็ดยากุยฝาน (กลับจากความตาย) มานานถึงสามเดือน แต่ก็แย่นักที่ข้าต้องสูญเสียส่วนผสมไปมากมาย…ครั้งนี้ข้าจะทำได้สำเร็จหรือไม่ ถ้าไม่ ข้าก็คงต้องไปหาส่วนผสมต้นสมุนไพรมาเพิ่มอีกแล้ว” บุรุษผู้นั้นขมวดคิ้ว จากนั้นก็โบกสะบัดมือทำให้แผ่นหยกนั้นลอยตรงมา หลังจากที่ใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์กวาดผ่านไป ดวงตามันก็เริ่มสาดประกายขึ้น

“ฟางฮ่าว? แม้แต่ข้าก็ยังเคยได้ยินชื่อนี้มาเมื่อเร็วๆ นี้ มันมีลำแสงสายโลหิตสูงหมื่นจ้าง แต่ในตระกูลฟางไม่อาจจะพึ่งพาเพียงแค่สายโลหิตอย่างเดียวเท่านั้น”

“ฟางฮ่าวอาจจะเป็นผู้ถูกเลือก…”

“แต่นี่คือแผนกเต๋าแห่งการปรุงยา เมื่ออยู่ในที่แห่งนี้เรื่องราวก็จะแตกต่างกันออกไป ไม่มีใครสนใจว่าเจ้าจะเป็นผู้ถูกเลือกหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่เคยมีข้อขัดแย้งกับฟางอวิ๋นอี้ เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่มันเสนอมา ก็คงไม่เป็นไรที่จะช่วยมันสักครั้ง” มันลังเลอยู่ชั่วขณะ และมองไปยังกระถางปรุงยา ถ้าการปรุงยาในครั้งนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ มันก็คงต้องไปหาส่วนผสมต้นสมุนไพรมาเพิ่มเติม ซึ่งมันไม่ต้องการจะทำเช่นนั้น หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพัก ก็ตัดสินใจที่จะไม่ปฏิเสธข้อเรียกร้องของฟางอวิ๋นอี้ มันรีบมุ่งหน้าตรงไปยังเขตภูเขาด้านนอกอย่างรวดเร็ว

“คนในตระกูลอันกระจ้อยร่อยจากดาวหนานเทียนจะมีความสามารถเท่าใดกัน? นอกจากนี้ ทักษะเรื่องพืชสมุนไพรก็เป็นแค่ทักษะขั้นพื้นฐานต่ำสุด นักปรุงยาระดับสองใดๆ ก็ตาม สามารถจะทำให้เด็กฝึกปรุงยาทั้งหมดมารวมตัวกันได้อยู่แล้ว”

“สำหรับนักปรุงยาระดับแรก…” มันแค่นเสียงเย็นชา ในแผนกเต๋าแห่งการปรุงยาของตระกูลฟาง มีแต่นักปรุงยาระดับแรกเท่านั้นที่จะอาศัยอยู่ในเขตภูเขาด้านนอก ซึ่งจะเป็นพวกที่ไร้ความหวังที่จะก้าวหน้าขึ้นไปยังระดับที่สูงกว่านั้น

“เจ็ดหนึ่งเก้าหนึ่ง…ข้าจำได้แล้ว นั่นเป็นสถานที่ที่อยู่ในความดูแลของฟางฉวิน” บุรุษผู้นั้นหัวเราะหึๆ ฟางฉวินอยู่ในระดับที่ต่ำมากที่สุดของนักปรุงยาระดับแรกทั้งหมด อันที่จริงมันแค่ผ่านการทดสอบมาได้อย่างโชคช่วยเท่านั้น

บุรุษผู้นั้นบินออกมาจากเขตภูเขาด้านในด้วยความรวดเร็วสูงสุด เมื่อเด็กฝึกปรุงยาใดๆ ก็ตามมองเห็นมัน ก็จะต้องประสานมือและโค้งตัวลงด้วยความเคารพ มันรีบตรงไปยังเขตภูเขาด้านนอกอย่างรวดเร็วมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หลังจากที่เวลาผ่านไปชั่วธูปไหม้หมดหนึ่งดอก มันก็มองเห็นกระท่อมปรุงยาบนยอดเขาที่เจ็ดหนึ่งเก้าหนึ่ง สิ่งแรกที่มันเห็นคือกลุ่มเด็กฝึกปรุงยานับหมื่น กำลังรวมตัวกันอยู่ที่นั่น แทบจะดูคล้ายกับเป็นลมพายุที่สงบนิ่ง

ภาพที่เห็นนี้ทำให้บุรุษวัยกลางคนต้องแค่นเสียงเย็นชาออกมา มันรู้สึกถูกล่วงละเมิดอยู่เล็กน้อย เมื่อไหร่ที่มันมาบรรยายที่เขตภูเขาด้านนอก ก็มักจะมีกลุ่มฝูงชนมานั่งฟังอยู่ประมาณหนึ่งหมื่นคน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าตอนนี้มีเด็กฝึกปรุงยามานั่งฟังอยู่ถึงสามหมื่นคน

เมื่อมันเข้าไปใกล้ แต่เนื่องจากเด็กฝึกปรุงยาทั้งหมดกำลังให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับเมิ่งฮ่าว จึงไม่มีใครสังเกตเห็นผู้ที่มาใหม่นี้

บุรุษวัยกลางคนขมวดคิ้ว และจากนั้นก็แค่นเสียงอย่างเย็นชาดังก้องออกไป ทำให้เด็กฝึกปรุงยาที่อยู่ใกล้บริเวณนั้นจำนวนมาก ต้องหันหน้ามองไปรอบๆ ด้วยความตกตะลึง เมื่อพวกมันมองเห็นบุรุษผู้นั้น สีหน้าก็สลดลง และรีบประสานมือเพื่อแสดงความคารวะขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ขอคารวะ สวีจงตานซือ! (นักปรุงยาสวีจง)”

“ฟางสวีจงตานซือนั่นเอง!!”

ไม่นานนักก่อนที่คนทั้งหมดจะหันหน้ามายังฟางสวีจง และโค้งตัวลงเพื่อแสดงความคารวะ มันพยักหน้าให้ด้วยความภาคภูมิใจ และเดินตรงไปข้างหน้า กลุ่มคนถอยออกไป เปิดเป็นเส้นทางให้มันเดินไปจนกระทั่งถึงยอดเขา ไปยืนอยู่บนแท่นเวทีที่ข้างกายเมิ่งฮ่าว

มันมองไปยังเมิ่งฮ่าวอยู่ชั่วขณะ

เด็กฝึกปรุงยาทั้งหมด แม้แต่ฟางฉวิน ต่างก็ลุกขึ้นมายืน พร้อมกับประสานมือโค้งตัวลงให้กับฟางสวีจง

มีแต่เมิ่งฮ่าวคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงนั่งอยู่ เห็นได้ชัดว่าบุรุษผู้นี้มาพร้อมกับความตั้งใจที่ไม่ดี และแววตาที่มองประเมินมาของมันก็ประกอบไปด้วยความดูถูกอยู่เล็กน้อย

“เจ้าคือฟางฮ่าว?” มันถามเสียงเย็นชา

เมิ่งฮ่าวพยักหน้า หลังจากที่ฟางสวีจงยิ้มออกมา ท่าทางดูถูกก็มองเห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นในรอยยิ้มนั้น มันโบกสะบัดชายแขนเสื้อและประกาศเป็นเสียงเย็นชาขึ้น “เจ้าเป็นแค่เด็กฝึกปรุงยาเท่านั้น แต่ก็กล้าที่จะมาบรรยายเกี่ยวกับต้นพืชสมุนไพร? ช่างน่าอัปยศนัก!”

“อย่างไรก็ตาม ฟางโหม่วจะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบากใจ ข้าจะถามเจ้าเกี่ยวกับต้นสมุนไพรสามชนิด ถ้าเจ้าไม่สามารถจะตอบได้ ก็ต้องยกเลิกความวุ่นวายนี้ไปในทันที ให้มุ่งเน้นไปที่การเป็นเด็กฝึกปรุงยาที่ดี แทนที่จะมาทำท่าเย่อหยิ่งราวกับเป็นนักปรุงยาจริงๆ!”

หลังจากที่กล่าวเช่นนี้ ฉับพลันนั้นฟางสวีจงก็นึกขึ้นได้ถึงข้อเรียกร้องเพิ่มเติมที่ฟางอวิ๋นอี้ได้บันทึกอยู่ในแผ่นหยก มันจึงกล่าวต่อด้วยเสียงเย็นชา

“นอกจากนี้ การที่เจ้ามาบรรยายสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายอยู่ในแผนกเต๋าแห่งการปรุงยานี้มากเท่าใด เจ้าก็ต้องคุกเข่าไปเท่ากับจำนวนวันนั้น!”

เมิ่งฮ่าวมองไปยังบุรุษผู้เย่อหยิ่งซึ่งกำลังยืนอยู่ที่เบื้องหน้า และขมวดคิ้วขึ้น

“ข้าเป็นแค่เด็กฝึกปรุงยา และท่านก็เป็นนักปรุงยาเต็มตัว นี่ถือว่าเป็นคำข่มขู่หรือไม่? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าข้าตอบคำถามท่านได้อย่างถูกต้อง?”

“เจ้าก็สามารถจะบรรยายต่อไปได้!” ฟางสวีจงกล่าวตอบพร้อมกับหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา

เมิ่งฮ่าวลังเล ราวกับเขากำลังคิดว่าจะรับคำท้านี้ดีหรือไม่ จากนั้นก็มองไปรอบๆ ราวกับกำลังพิจารณาว่าจะต้องเสียหน้าต่อคนทั้งหมดนี้ถ้าเขาไม่ยอมรับ จากนั้นก็กัดฟันแน่น หยิบถุงสมบัติออกมา และวางลงไปที่ด้านข้าง ดวงตาเป็นสีแดงก่ำ มองไปยังฟางสวีจง

“ข้ามาที่นี่ด้วยความตั้งใจดี ที่จะช่วยอธิบายเรื่องของต้นสมุนไพรให้กับสหายร่วมตระกูล แต่ท่านก็มาขัดขวาง ถ้าข้าแพ้ ท่านให้ข้าคุกเข่าเพื่อให้ได้รับความอัปยศ แต่ถ้าท่านแพ้ ท่านไม่ได้เสียอะไรเลย นั่นไม่ยุติธรรม ทำไมพวกเราถึงไม่มาต่อสู้กันจริงๆ? ถ้าท่านใช้หินลมปราณในถุงสมบัติมาเดิมพัน ข้าก็จะยอมรับคำท้าของท่าน!”

“ถ้าไม่ ข้าก็แค่จากไป”

ฟางสวีจงขมวดคิ้ว การมายังที่แห่งนี้ในฐานะที่เป็นนักปรุงยาเต็มตัว จริงๆ แล้วก็ถือได้ว่าเป็นผู้ใหญ่มารังแกเด็ก มีผู้คนมากมายกำลังมองดูอยู่ มันต้องพิจารณาว่าเรื่องนี้จะมีผลกระทบต่อมุมมองของคนเหล่านั้นกับมันอย่างไรบ้าง แต่ถ้ามันไม่อาจจะทำให้เมิ่งฮ่าวคุกเข่าลงไปได้ ก็จะไม่ตรงกับความต้องการของฟางอวิ๋นอี้ ในที่สุดมันก็มองไปยังเมิ่งฮ่าวและหัวเราะอย่างเย็นชา กำลังจินตนาการไปว่าเขาจะมีท่าทางอย่างไร เมื่อต้องได้รับความอัปยศและคุกเข่าลงไปบนพื้น มันจะต้องทำให้ฟางอวิ๋นอี้ยินดีที่จะมอบของรางวัลเป็นสิ่งตอบแทนเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน โดยไม่ลังเลใดๆ มันหยิบเอาถุงสมบัติออกมา และโยนลงไปอยู่ที่ด้านข้างถุงสมบัติของเมิ่งฮ่าว

มันไม่กล่าวอะไรออกมา แต่ดวงตาสาดประกายด้วยแสงอันเย็นชา

เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และเลียริมฝีปาก รอยยิ้มเขินอายปรากฏขึ้นบนใบหน้า และยังมีท่าทางกระอักกระอ่วนใจอยู่เล็กน้อยอีกด้วย

“ขอบคุณมาก ฟางตานซือ ตอนนี้พวกเรามาต่อสู้กันได้แล้ว”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version