ตอนที่ 945
น้ำตาของเมิ่งฮ่าว
เมื่อผู้อาวุโสที่อยู่ในวิหาร ซึ่งมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนสายโลหิตของฟางเว่ย ได้ยินคำพูดของเมิ่งฮ่าว พวกมันก็มองมาที่เขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก สำหรับกลุ่มสายโลหิตหลัก สีหน้ากังวลใจมองเห็นได้จากบนใบหน้าของพวกมัน อย่างไรก็ตามเมื่อนี่คือการตัดสินใจของเมิ่งฮ่าว พวกมันก็ไม่อาจจะทำอะไรเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เขาเปลี่ยนใจได้
นอกจากนี้ผู้เฒ่าสูงสุดก็ได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า จะมีอันตรายอันยิ่งใหญ่แฝงตัวอยู่ในดินแดนบรรพบุรุษ เมื่อคิดว่าเมิ่งฮ่าวได้เลือกที่จะผ่านเข้าไปภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ก็ทำให้สือจิ่วซูและผู้อาวุโสสายโลหิตหลัก ต่างก็สามารถจะรู้สึกได้ถึงระดับความมุ่งมั่นของเขาได้
พวกมันทั้งหมดได้แต่ต้องแอบถอนหายใจอยู่ภายในเท่านั้น
ผู้เฒ่าสูงสุดมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความลึกซึ้งอยู่ชั่วขณะ สีหน้าไม่เผยให้เห็นถึงสิ่งใดๆ ที่มันกำลังคิดอยู่ แต่วิธีการที่มองไปยังเมิ่งฮ่าวดูเหมือนว่า…จะค่อนข้างแปลกไป
ผู้ที่มีความตื่นเต้นมากที่สุดกว่าคนทั้งหมดก็คือฟางซิ่วซาน มันสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และจ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าว โดยไม่ได้พยายามปกปิดรังสีสังหารที่กำลังเดือดพล่านอยู่ในจิตใจของมันไว้ ปู่ของฟางเว่ยขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด ถึงวิธีการที่ผู้เฒ่าสูงสุดมองไปยังเมิ่งฮ่าว ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้มันรู้สึกไม่สบายใจขึ้น
ผู้เฒ่าสูงสุดเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นก็กล่าวเสียงราบเรียบขึ้น “เมื่อนี่คือการตัดสินใจของเจ้า ถ้าเช่นนั้นก็เข้าไปได้แล้วในตอนนี้”
มันโบกสะบัดมือ และสายลมอันอ่อนโยนก็พุ่งขึ้นมา ม้วนกวาดไปรอบๆ ตัวเมิ่งฮ่าว และส่งให้เขาตรงไปยังกระแสน้ำวนนั้น
“อีกสองเดือน ดินแดนบรรพบุรุษก็จะเปิดออกเองอีกครั้ง และเจ้าก็สามารถจะออกมาได้ ตลอดช่วงเวลาสองเดือนนี้…จงดูแลตัวเองให้ดี” ขณะที่คำพูดเหล่านั้นดังก้องออกมา เมิ่งฮ่าวก็ลอยฝ่าอากาศอยู่ในสายลม ในชั่วพริบตาเขาก็ไปอยู่ที่ด้านนอกของกระแสน้ำวน เมื่อมองเข้าไปที่ด้านใน จิตใจก็ต้องเต้นรัวขึ้นอย่างคลุ้มคลั่ง และความรู้สึกของการหวนรำลึกก็ลอยไปมาอยู่ในจิตใจ
ตูม!
เมื่อร่างเขาสัมผัสไปที่กระแสน้ำวนนั้น ก็จมลงไปราวกับว่ามันเป็นสายน้ำ จากนั้นเขาก็หายตัวไป กระแสน้ำวนหยุดการเคลื่อนไหว และจากนั้นก็จางหายไปจากวิหารหลัก
ในเวลาเดียวกันนั้น ตรงบริเวณที่แตกต่างกันออกไปของดาวตงเซิ่งเก้าแห่ง จู่ๆ ก็สาดประกายขึ้นด้วยแสงสีดำอันลี้ลับ นั่นเป็นแสงที่เกิดขึ้นโดยประตูเคลื่อนย้ายทางไกล ภายในนั่งไว้ด้วยผู้ฝึกตนที่สวมใส่ชุดดำสีหน้าไร้ความรู้สึกและเย็นชาเก้าคน
ผู้ฝึกตนทั้งเก้าเหล่านี้พลุ่งพล่านไปด้วยกลิ่นอายอันน่ากลัว ราวกับว่าภายใต้เงื้อมมือของพวกมัน ได้สังหารศัตรูมาแล้วนับไม่ถ้วน
ถ้าเมิ่งฮ่าวมองเห็นพวกมัน ก็จะต้องจดจำได้ในทันที ชุดสีดำที่บุรุษทั้งเก้านี้สวมใส่ดูเหมือนจะเป็นชุดเดียวกันกับกลุ่มคนที่มาลอบซุ่มโจมตีเขาและสือจิ่วซู บนเส้นทางที่จะมายังดาวตงเซิ่ง!
ขณะที่พวกมันนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่นในประตูเคลื่อนย้ายทางไกล ทันใดนั้นก็มีแสงพุ่งขึ้นมาอยู่รอบๆ ร่าง และพวกมันก็หายตัวไป ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เมิ่งฮ่าวได้หายเข้าไปในดินแดนบรรพบุรุษ
ยังมีอีกสิ่งที่ได้เกิดขึ้นในเวลาเดียวกันนั้น ลึกลงไปที่ชั้นใต้ดินของคฤหาสน์โบราณตระกูลฟาง เงาร่างที่แห้งเหี่ยวเจ็ดคนนั่งขัดสมาธิเข้าฌาณอยู่ หนึ่งในพวกมันเป็นชายชราในชุดสีแดงเข้ม ซึ่งได้ลืมตาขึ้นมาในช่วงของปรากฏการณ์ตงเซิงจือหยาง ถูกแก่นแท้แห่งเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ของเมิ่งฮ่าวกระตุ้นขึ้นมา ในตอนนี้ดวงตามันได้ลืมขึ้นมาอีกครั้ง และพวกมันก็สาดประกายด้วยแสงที่เก่าแก่โบราณอย่างไร้จุดสิ้นสุด
“สายโลหิตของเด็กผู้นี้ช่างแข็งแกร่งนัก…มันคือผู้สืบทอดของพี่ใหญ่ มันต้องเป็นผู้ถูกเลือกของรุ่นนี้ในตระกูลอย่างแน่นอน” ดวงตาของชายชราแวบขึ้น ขณะที่มันรับรู้ได้ถึงบุรุษชุดดำที่หายตัวไป และจากนั้นแสงอันเย็นชาก็สาดประกายขึ้นมาในดวงตาคู่นั้น
“น่าสนใจยิ่ง มีใครบางคนกล้าที่จะละเมิดกฎของตระกูล และทำการต่อสู้อยู่ในตระกูล…ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น แต่พวกมันยังเลือกที่จะต่อสู้อยู่ในดินแดนบรรพบุรุษอีกด้วย!” สายตาอันเย็นชาของมันเริ่มมีความเข้มข้นมากขึ้น
“หรือว่าจะเป็นสายโลหิตของพี่หก…?” คิ้วของชายชราขมวดมุ่นตกอยู่ในภวังค์ชั่วขณะ มันหันหน้ามองไปยังเงาร่างที่หก ซึ่งกำลังนั่งเข้าฌาณอยู่ที่นั่น ในความมืดมิดราวกับน้ำหมึกของถ้ำศิลา
ภายในถ้ำใต้ดินนี้มีอยู่ทั้งหมดเจ็ดคน เดิมทีชายชราที่อยู่ในชุดสีแดงเข้มน่าจะหลับอยู่ และไม่ควรจะตื่นขึ้นมาในยุคนี้ สืบเนื่องจากกฎของตระกูล ก็น่าจะเป็นปรมาจารย์รุ่นหกที่ควรจะมีสติฟื้นคืนมาในรอบพันปีนี้
อย่างไรก็ตาม แก่นแท้แห่งเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ของเมิ่งฮ่าว ได้ไปกระตุ้นกลิ่นอายของมันขึ้นมาในช่วงปรากฏการณ์ตงเซิงจือหยาง ทำให้มันฟื้นคืนชีพขึ้นมา หลังจากนั้นมันก็คิดว่าจะเข้าฌาณต่อไป แต่จากนั้นก็เกิดการเปลี่ยนใจขึ้น
“พี่หกกำลังอยู่ในท่ามกลางการถอดจิต วิญญาณไม่ได้อยู่ในร่างอีกต่อไป” มันคิดอีกชั่วขณะ
“พี่หกฝึกฝนเวทเกิดใหม่ได้จนถึงระดับสูงสุด แต่…มันคุ้มค่าหรือไม่?” ชายชราหลับตาลง การหลับตาในครั้งนี้ไม่ได้กลับเข้าไปในการเข้าฌาณ แต่มันได้ส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปอย่างเงียบๆ ซึ่งได้กลายเป็นกระแสแห่งเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ พุ่งขึ้นไปบนพื้นดิน…ตรงไปยังดินแดนบรรพบุรุษ!
สวรรค์สะท้านปฐพีสะเทือน ขณะที่สายฟ้ากำลังเต้นไปมาอยู่ในกลุ่มเมฆ ราวกับว่ากำลังหาวิธีที่จะฟาดลงมายังพื้นปฐพี ตัวพื้นดินเองกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนทำให้ดูคล้ายกับกำลังเปียกชุ่มไปด้วยโลหิต และยืดยาวออกไปไกลตราบเท่าที่สายตาจะมองเห็นได้
สิ่งที่เป็นส่วนของพื้นดินไม่ได้ปกคลุมไปด้วยรอยแตกร้าวที่ลึกลงไป แต่เต็มไปด้วยต้นวัชพืช
ดูเหมือนว่าบรรยากาศของความเปล่าเปลี่ยวและรกร้างว่างเปล่าอันเป็นนิรันดร์ ได้กระจายออกไปในทั่วทุกทิศทาง ที่ห่างไกลออกไปมองเห็นได้ถึงซากปรักหักพัง และที่ห่างไกลออกไปมากกว่านั้นอีก มองเห็นเป็นปากปล่องภูเขาไฟที่กำลังสำลักกลุ่มควันสีดำที่แน่นหนาออกมา
ได้ยินเสียงร้องคำรามอย่างน่าตกใจดังก้องออกมาเป็นระยะ ซึ่งได้กระจายไปทั่วทั้งดินแดนแถบนี้ราวกับเป็นลมพายุ ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างสั่นสะเทือนไปมา
สถานที่ลึกลับแห่งนี้มาจากการที่มันเคยเป็นส่วนหนึ่งของเศษซากเซียน แต่ก็เริ่มมีศักดิ์ศรีขึ้นมาเพราะว่าตอนนี้มันคือดินแดนบรรพบุรุษของตระกูลฟาง
ปรมาจารย์รุ่นแรกถูกฝังอยู่ในที่แห่งนี้ ปรมาจารย์อาณาจักรเต๋าคนอื่นๆ ของตระกูล ลูกหลานของท่านต่างก็นอนพักอยู่ในที่แห่งนี้ หลังจากที่ตกตายไปในช่วงของการเข้าฌาณ
ดินแดนบรรพบุรุษทั้งหมดมีรูปร่างเป็นเส้นตรง ยิ่งห่างออกไปไกลมากเท่าใด ก็จะยิ่งมีอันตรายมากขึ้นเท่านั้น สำหรับเขตพื้นดินสีน้ำตาลอ่อนที่อยู่ใกล้กับปากทางเข้า มองเห็นเทือกเขาสองลูกได้อย่างชัดเจน
เทือกเขาทั้งสองนี้คล้ายกับเป็นมังกรศิลาสองตัว ที่มีรูปร่างสูงๆ ต่ำๆ ดูสูงส่งและสง่างาม
ระหว่างสองเทือกเขาเป็นเส้นทางที่อยู่ห่างไกลลงไปจากยอดเขา ซึ่งมีท้องฟ้าที่แทบจะดูคล้ายกับเป็นเศษชิ้นส่วนที่อยู่สูงขึ้นไปตรงด้านบน เส้นทางนั้นคล้ายกับเป็นประตูขนาดใหญ่ที่นำไปสู่ดินแดนบรรพบุรุษ ถึงแม้ว่าจะไม่มีประตูอยู่ที่นั่นจริงๆ ก็ตามที มีเพียงแต่…รูปปั้นขนาดใหญ่ที่ใหญ่โตกว่าเทือกเขาทั้งสองนั้น!
รูปปั้นนี้ดูคล้ายกับว่าไม่มีการเชื่อมต่ออยู่กับเทือกเขา มีสีดำสนิท และสวมใส่ชุดเกราะนักรบ สองมือวางอยู่บนส่วนบนสุดของด้ามกระบี่ขนาดใหญ่ และตัวรูปปั้นเองก็ดูเหมือนจะเก่าแก่โบราณอย่างไร้ที่เปรียบ
กระบี่นั้นมีความกว้างหลายสิบจ้าง และแทงทะลุลงไปในพื้นดิน สัญลักษณ์เวทโบราณถูกแกะสลักอยู่บนพื้นผิวของกระบี่ ซึ่งดูเหมือนจะเรียบง่ายและหยาบกร้าน แต่ก็ประกอบไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง จนไม่อาจจะถอดเป็นรหัสออกมาได้
ดวงตารูปปั้นไร้ความรู้สึกใดๆ ทำให้ดูเหมือนจะไร้ชีวิตไปโดยสิ้นเชิง แทบจะดูเหมือนว่าเป็นแค่เครื่องประดับตกแต่ง ที่กำลังยืนเฝ้าพิทักษ์อยู่เหนือดินแดนบรรพบุรุษนี้
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองมาจากที่ห่างไกล ก็จะเห็นว่ารูปปั้นนี้กำลังมองขึ้นไปในท้องฟ้า จ้องมองออกไปยังที่ห่างไกลราวกับว่า…มันกำลังเฝ้ารออะไรบางอย่างอยู่
คนในตระกูลฟางใดๆ ก็ตามที่เข้ามายังดินแดนบรรพบุรุษแห่งนี้ จะรู้เรื่องเกี่ยวกับรูปปั้นนี้ จากตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมา แหล่งกำเนิดของรูปปั้นนี้เป็นความลับที่ไม่มีใครรู้ แต่ก็คาดเดาว่ามันได้ลอยมายังที่แห่งนี้จากที่ไหนสักแห่งในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ซึ่งเป็นช่วงปีเดียวกับที่ตระกูลจี้ได้เปลี่ยนแปลงสวรรค์ และยึดครองขุนเขาทะเลที่เก้า
นับจากนั้นมา รูปปั้นก็ยังคงอยู่ที่จุดนี้ คอยเป็นผู้พิทักษ์ให้กับดินแดนบรรพบุรุษ
ผ่านไปนานหลายปี ก็มีข่าวลือเริ่มแพร่กระจายออกไปว่า รูปปั้นนี้ไม่ได้เป็นแค่ผู้พิทักษ์ในดินแดนบรรพบุรุษแห่งนี้เท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว ยังได้เป็นผู้พิทักษ์ของสายโลหิตตระกูลฟางทั้งหมดอีกด้วย
ปีแล้วปีเล่าได้ผ่านไป และในที่สุด ข่าวลือและเรื่องราวเหล่านั้นได้เงียบหายไป ในทุกรุ่นของตระกูลฟาง มักจะมีผู้คนมากมายมาเห็นรูปปั้นนี้ แต่พวกมันก็ไม่เคยนึกไปถึงเรื่องราวไร้สาระ เมื่อในอดีตเช่นนั้น นอกจากนี้…เรื่องราวเหล่านั้นก็เป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น
สำหรับเหตุผลที่ทำไมรูปปั้นนี้ถึงได้เงยหน้าขึ้นไป ราวกับว่ามันกำลังเฝ้ารอคอยอะไรบางอย่างอยู่ กลุ่มผู้คนได้หยุดคิดสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานแล้ว
ไม่มีใครรู้ว่าทำไมรูปปั้นนี้ถึงได้มายังตระกูลฟางด้วยตัวมันเองที่นี่…และไม่รู้เช่นกันว่ามันกำลังเฝ้ารอคอยอะไรอยู่
มันกระจายกลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งที่ทรงพลัง เป็นกลิ่นอายที่เข้มข้นจนแข็งแกร่งเพียงพอที่จะทำให้สวรรค์สะท้านปฐพีสะเทือนขึ้นมาได้ เมื่อเมิ่งฮ่าวมองไปยังมัน เขาก็มีความรู้สึกที่เข้มข้นจนแม้แต่ผู้เฒ่าสูงสุดก็ยังไม่อาจจะเทียบได้
รูปปั้นนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง…ซึ่งเมื่อในอดีต เมิ่งฮ่าวไม่สามารถที่จะบอกได้ว่ามันมีความแข็งแกร่งมากแค่ไหน แต่ตอนนี้เมื่อเขามองไปยังรูปปั้นนี้ เขาก็เข้าใจแล้วว่า…กลิ่นอายของรูปปั้นนี้แทบจะคล้ายกับเป็นกลิ่นอายของผู้ยิ่งใหญ่!
เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ในดินแดนที่กว้างใหญ่ระหว่างเทือกเขาทั้งสองลูก นี่คือตำแหน่งที่เขาได้ปรากฏตัวขึ้น หลังจากที่ผ่านเข้ามาในดินแดนบรรพบุรุษ ตอนนี้เขากำลังยืนแน่นิ่งไม่ไหวติง มองไปยังรูปปั้นนี้ด้วยความครุ่นคิด
เขาตระหนักดีว่าการเดินทางเข้ามายังดินแดนบรรพบุรุษนี้เป็นกับดัก เขารู้ด้วยว่าทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือไม่ควรจะมายังที่แห่งนี้ แต่เขากลับละทิ้งโอกาสที่ผู้เฒ่าสูงสุดได้มอบให้มา
อันที่จริง เดิมทีเมิ่งฮ่าวไม่มีความคิดที่จะเข้ามาในสถานที่แห่งนี้แม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามหลังจากที่มองเข้าไปในกระแสน้ำวน และได้เห็นรูปปั้นขนาดใหญ่นี้ จิตใจเขาก็เต็มไปด้วยเสียงกระหึ่ม
เป็นเสียงกระหึ่มที่ท่วมท้นอยู่ในจิตใจเขาโดยสิ้นเชิง ฉุดลากเมิ่งฮ่าวให้จมดิ่งลงไปในความทรงจำที่ห่างไกล
เขาสั่นสะท้าน ดวงตาแวบขึ้นด้วยแสงแห่งการหวนรำลึก เขาไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้ ขณะที่เดินตรงไปยืนอยู่ที่เบื้องหน้ารูปปั้น เขามาหยุดอยู่ที่เท้าของมัน หลังจากนั้นก็ยื่นมือออก และลูบไปที่มันอย่างแผ่วเบา
มือเมิ่งฮ่าวสั่นไปมา หลังจากที่แตะสัมผัสไปที่รูปปั้น ทั่วทั้งร่างเขาก็เริ่มสั่นสะท้าน เขาค่อยๆ มองขึ้นไปยังรูปปั้นที่สูงใหญ่มหึมานี้ และจากนั้นก็เริ่มบินขึ้นไปในอากาศ
เมิ่งฮ่าวค่อยๆ เคลื่อนที่ขึ้นไปอย่างช้าๆ ราวกับว่าเขาต้องการจะมองดูให้ชัดเจนไปทั่วทั้งรูปปั้น ในที่สุดเขาก็ไปถึงศีรษะของมัน และมองเข้าไปในดวงตาของมัน ในตอนนี้เองที่…หยดน้ำตาได้ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
“นักรบศิลา…” เมิ่งฮ่าวพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา ในที่สุด หยดน้ำตาก็เริ่มไหลลงมาที่สองแก้มและตกลงไปบนพื้นดิน เขาจำได้ว่านักรบศิลานี้มีความสูงประมาณหนึ่งจ้าง ถึงแม้ว่าในตอนนี้มันจะมีขนาดใหญ่โตกว่าก่อนหน้านี้ แต่เขาก็ไม่เคยลืมนักรบศิลาพร้อมกับคนที่เขามีความสัมพันธ์ด้วยได้
เหตุผลเดียวที่เขาเลือกจะเข้ามาในดินแดนบรรพบุรุษนี้ ถึงแม้จะมีอันตรายใดๆ ก็ตามที…สืบเนื่องมาจากรูปปั้นนี้
ย้อนกลับไปในวิหาร เมื่อเขามองเข้าไปในกระแสน้ำวน และได้เห็นรูปปั้น เขาก็แทบไม่จะอยากจะเชื่อ
เขาจะลืมรูปปั้นนี้ไปได้อย่างไร…? มันจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรกัน??
นี่คือ…หนึ่งในสองนักรบศิลาที่ถูกสร้างขึ้นมาให้กับเขา ในโลกแห่งภาพลวงตาของอาณาจักรที่สองของสำนักเซียนอสูรโบราณ โดยท่านพ่อเคออวิ๋นไห่!
ตลอดชั่วชีวิตนี้ของเมิ่งฮ่าว เขาไม่มีทางจะลืมเลือนชีวิตที่อยู่ในฐานะของเคอจิ่วซือ เมื่อตอนที่อยู่ในสำนักเซียนอสูรโบราณไปได้ตราบชั่วนิรันดร์
“ฟู่จวิน… (ท่านพ่อ)” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้น หยดน้ำตาไหลลงมานองหน้า สั่นสะท้านไปทั้งร่าง และขณะที่มองไปยังรูปปั้น เขาก็ร้องไห้ออกมา ความทรงจำทั้งหมดในสำนักเซียนอสูรโบราณได้ไหลบ่ามาท่วมท้นอยู่ในจิตใจ ทันใดนั้นเองใบหน้าที่เข้มงวดแต่ก็เต็มไปด้วยความรัก ได้ปรากฏขึ้นในจิตใจ
เสียงระฆังเก้าสิบเก้าครั้งในปีนั้น ดูเหมือนจะดังก้องอยู่ในหูเขาอีกครั้งหนึ่ง
เขาคาดคิดว่าคงไม่มีทางจะได้เห็นสองนักรบศิลานี้อีกครั้งมานานแล้ว เขาได้ค้นหาพวกมันในอาณาจักรที่สามของสำนักเซียนอสูรโบราณ รวมทั้งในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ก็ไม่อาจจะหาพวกมันพบได้
ไม่มีทางเป็นไปได้ที่เมิ่งฮ่าวจะคาดคิดว่าเขาอาจจะได้พบเห็นหนึ่งในรูปปั้นในที่แห่งนี้…ในดินแดนบรรพบุรุษของตระกูลฟาง
เคออวิ๋นไห่รู้ดีว่าอายุขัยอันยาวนานของท่านกำลังมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว จึงได้สร้างนักรบศิลานี้เพื่อให้ช่วยปกป้องคุ้มครองเมิ่งฮ่าว จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เมิ่งฮ่าวไร้ความลังเลใดๆ ที่จะเข้ามายังดินแดนบรรพบุรุษแห่งนี้ ถึงแม้รู้ดีว่าจะมีอันตรายก็ตามที
ไม่ว่าอันตรายนั้นจะมีเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่า เมิ่งฮ่าวก็ไม่มีทางลังเลที่จะเข้ามายังที่แห่งนี้
และเหตุผลทั้งหมดนั้น…ก็สืบเนื่องมาจากเคออวิ๋นไห่!