Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 954

ตอนที่ 954

ตะวันและจันทราในเก้าภูเขายมโลก!

เวทรุ่นแปด คือเวทแห่งร่างกาย และสามารถจะเรียกว่าเวทผนึกร่าง!

เวทรุ่นเจ็ด คือเวทผนึกกรรม!

เวทรุ่นหก คือเวทเป็นตาย!

เวทผนึกอสูรทั้งสามนี้ที่เมิ่งฮ่าวได้เรียนรู้มา หมุนคว้างอยู่ในจิตใจ แต่ละเวทมีคุณสมบัติที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร และแต่ละเวทสามารถจะถือได้ว่าเป็นเวทลับที่แข็งแกร่ง!

พันธมิตรแห่งผู้ผนึกอสูรช่างน่าหวาดกลัวยิ่ง และในตอนนี้เมิ่งฮ่าวก็สามารถจะกล่าวได้ว่า ได้มีประสบการณ์ด้วยตนเอง อันที่จริงเขารู้สึกว่าการตัดกรรมของตระกูลจี้ จริงๆ แล้วก็เป็นการสร้างเลียนแบบมาจากเวทรุ่นเจ็ด

“ไม่รู้ว่าเวทรุ่นห้า…จะเป็นเวทเกี่ยวกับอะไร!?” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้น และสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ไม่สนใจฟางเต้าหง เขาส่งเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์บางส่วนเข้าไปในร่างนักรบศิลา ทำให้มันพุ่งทะยานขึ้นไปในอากาศ และมุ่งหน้าตรงไปยังยอดเขา สำหรับค่ายกลเวทที่ฟางเต้าหงติดกับอยู่ นักรบศิลาได้ทำให้มันแตกกระจายไปแล้ว

เมื่อฟางเต้าหงได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ก็ทำให้มันต้องสั่นสะท้านอยู่ภายในใจ และตระหนักขึ้นในทันทีว่า การตัดสินใจของมันเมื่อครู่นี้ถูกต้องแล้ว โดยไม่ลังเลใดๆ มันเริ่มติดตามเมิ่งฮ่าวไป

หลังจากที่บรรลุถึงยอดเขา เมิ่งฮ่าวก็มองเห็นดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่ถูกแกะสลักอยู่ตรงหน้าผา และอีกครั้งที่ภาพซึ่งได้ประทับอยู่ในจิตใจเขาเริ่มชัดเจนมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นภาพของดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวในตอนนี้ก็เริ่มมองเห็นอยู่บนหน้าผากของเขา

“เวทลับจันทร์อเวจี!” ฟางเต้าหงอ้าปากค้าง ทันใดนั้นมันก็นึกย้อนไปถึงการที่เมิ่งฮ่าวได้พุ่งผ่านภูเขาอีกเจ็ดลูกมา และจากนั้นแววตาของมันก็เริ่มเต็มไปด้วยความอิจฉา

“เวทจันทร์อเวจีแข็งแกร่งมากหรือไม่?” เมิ่งฮ่าวถามขึ้น

ฟางเต้าหงรีบอธิบายในทันที “ท่านปรมาจารย์รุ่นแรกได้ทิ้งเวทแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่ไว้ห้าชนิดและเวทลับอีกสามชนิด เวทจันทร์อเวจีคือหนึ่งในวิชาเวทลับอันยิ่งใหญ่ทั้งสามนั้น”

“ยิ่งท่านมีพื้นฐานฝึกตนสูงมากเท่าใด เวทจันทร์อเวจีก็จะยิ่งมีพลังทำลายล้างที่รุนแรงมากขึ้นเท่านั้น มันสามารถจะเปลี่ยนแปลงดวงตะวันและจันทราได้ และสามารถปลดปล่อยพลังออกมาได้มากกว่าพื้นฐานฝึกตนของท่านหลายเท่าตัว มันคือไพ่ไม้ตายอันยอดเยี่ยมที่จะใช้ในการต่อสู้!”

“ย้อนกลับไปในตระกูล มีหนทางเดียวที่จะได้เวทลับจันทร์อเวจีนี้มาครอบครอง ก็คือต้องใช้คะแนนความดีจำนวนมากมายมหาศาลมาแลกเปลี่ยน อันที่จริง…ทั่วทั้งตระกูลมีคนแค่หยิบมือเท่านั้นที่จะเคยฝึกฝนเวทลับนี้!” แววตาอิจฉาของมันเริ่มมองเห็นได้เด่นชัดมากขึ้น

ดวงตาเมิ่งฮ่าวแวบขึ้น และหัวเราะหึๆ ออกมา มองออกไปยังภูเขายมโลกลูกที่เก้าด้วยความมุ่งหวัง จากนั้นนักรบศิลาก็เริ่มพุ่งตรงไปยังภูเขาลูกที่เก้า พร้อมกับฟางเต้าหงที่บินมาติดๆ อยู่ด้านหลัง

ฟางเต้าหงหอบหายใจไปตลอดทาง ในที่สุดมันก็เข้าใจว่าเมิ่งฮ่าวสามารถจะเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ภูเขาแรกมาจนถึงภูเขาที่แปดได้อย่างไร ผู้พิทักษ์เต๋าของตระกูลสามารถจะกวาดล้างทุกสิ่งทุกอย่างได้ทั้งหมด เมื่อมีสิ่งใดมาปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า มันก็จะบดขยี้ลงได้อย่างง่ายดาย

ไม่กี่ชั่วยามต่อมา เมิ่งฮ่าวก็ไปถึงภูเขายมโลกลูกที่เก้า สิ่งที่เขาเห็นคือสัตว์อสูรที่มีขนอันงดงามกลุ่มใหญ่ พวกมันกำลังส่งเสียงแผดร้องระงม และดวงตาก็กลายเป็นสีแดงก่ำ ขณะที่ถูกไล่ล่าโดยนกแก้ว

นกแก้วพุ่งทะยานฝ่าอากาศไป ส่งเสียงร้องแหลมเล็กออกมาเป็นระยะ มันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ และมักจะกลายเป็นลำแสงหลากสี พุ่งเข้าไปที่ด้านหลังของกลุ่มสัตว์อสูร เมื่อมันโผล่ออกมา ก็มีท่าทางพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง และจะโห่ร้องเป็นเสียงดังออกมา

พฤติกรรมที่กระตือรือร้นของนกแก้วนี้ ทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกเสียใจต่อสัตว์อสูรที่อยู่ในภูเขาลูกที่เก้านี้เล็กน้อย แต่นกแก้วก็ได้ช่วยจัดการฝูงสัตว์อสูรของภูเขาลูกนี้ให้ ทำให้เมิ่งฮ่าวสามารถเดินทางฝ่าไปด้วยความราบรื่น

บนยอดเขาคือหน้าผาสุดท้าย และเป็นภาพสุดท้ายของดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยว ทำให้จิตใจเมิ่งฮ่าวต้องสั่นสะท้าน

ดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวบนหน้าผากของเมิ่งฮ่าวส่องแสงเจิดจ้าขึ้น และจากนั้นก็จางหายไป แต่ขณะที่ไม่อาจจะมองเห็นนั้น ก็ดูเหมือนว่าดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวได้ประทับลึกลงไปในความทรงจำของเขาตราบชั่วนิรันดร์ แสงแห่งความรู้แจ้งได้แวบขึ้นอยู่ในจิตใจของเขาด้วยเช่นกัน

หลังจากที่เวลาผ่านไปชั่วขณะ เมิ่งฮ่าวก็ลืมตาขึ้นมา และกลิ่นอายของเขาก็ดูเหมือนจะแตกต่างออกไปจากก่อนหน้านี้ เขายกมือซ้ายขึ้นไป และดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผาก ในเวลาเดียวกันนั้นดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวสีดำก็ลอยอยู่เหนือฝ่ามือของเขา

การปรากฏขึ้นในทันใดของดวงจันทร์ ทำให้สีหน้าของฟางเต้าหงต้องเปลี่ยนไป แต่ชั่วขณะต่อมา ดวงตามันก็ต้องเบิกกว้างขึ้นเมื่อจู่ๆ ก็มองเห็น…แสงลูกทรงกลมได้ปรากฏขึ้นอยู่เหนือฝ่ามือของเมิ่งฮ่าว

ลูกทรงกลมนั้นเป็นสีขาว และดูคล้ายกับเป็นดวงตะวัน แสงของมันสะท้อนไปที่พื้นผิวสีดำของดวงจันทร์ ขณะที่ทั้งคู่ได้หมุนวนกันไปมาอยู่เหนือฝ่ามือของเขา ดำและขาว ดวงตะวันและจันทรา ในตอนนี้เองที่พวกมันได้กระจายแรงกดดันอันน่าตกใจออกมา

แม้แต่ฟางเต้าหงก็สามารถรู้สึกได้ และประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ครุ่นคิดขึ้น

“วิชาเวทรวมเป็นหนึ่ง ไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะสามารถรวมวิชาเวททั้งสองเข้าด้วยกันได้ มีแต่คนซึ่งมีตะเกียงวิญญาณที่ดับไปแล้วหลายดวงเท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าใจแก่นแท้ของการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ และต้องเป็นคนที่มีภาพของเต๋าอันยิ่งใหญ่อยู่ในจิตใจเท่านั้น ถึงจะสามารถรวมวิชาเวทและสร้างเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แข็งแกร่งเช่นนี้ขึ้นมาได้ แต่มัน…มันกลับรวมกันได้จริงๆ! มันไม่ได้อยู่แม้แต่ในอาณาจักรเซียน! แล้วมันจะมีภาพของเต๋าอันยิ่งใหญ่อยู่ในจิตใจได้อย่างไรกัน?”

ฟางเต้าหงแทบไม่อยากจะเชื่อ การที่จะสร้างวิชาเวทที่รวมตัวกันได้เช่นนี้ เป็นสิ่งที่ซับซ้อนมากเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่มันก็ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ สิ่งที่มันรู้ทั้งหมดก็คือต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับภาพแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่ รวมทั้งแก่นแท้ในตำนาน

เมิ่งฮ่าวมองไปยังดวงตะวันและจันทราที่กำลังลอยอยู่เหนือฝ่ามือ และพึมพำกับตนเองด้วยความครุ่นคิด ในตอนนี้เองที่ทันใดนั้น ภูเขาลูกเล็กๆ ก็ได้ปรากฏขึ้นอยู่ที่ด้านข้างของดวงตะวันและจันทรา

นี่ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเป็นภาพสะท้อนของขุนเขาที่เก้า ซึ่งเมิ่งฮ่าวได้มองเห็นในช่วงของการเดินทางที่คล้ายกับเป็นความฝัน ตอนที่อยู่บนเรือเมื่อปีนั้น

ภาพของขุนเขาที่เก้าดูเหมือนจะมีความแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่จริงๆ แล้วก็อ่อนแอเป็นอย่างมากสำหรับสถานะในตอนนี้ของเมิ่งฮ่าว อย่างไรก็ตามการปรากฏขึ้นของมันในตอนนี้ ก็ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับกฎธรรมชาติบางอย่าง ขณะที่ดวงตะวันและจันทราได้โคจรหมุนวนไปมาอยู่รอบๆ มัน ทำให้ขุนเขาที่เก้ากระจายพลังอันยิ่งใหญ่ออกมามากขึ้นกว่าเดิม

พลังที่แข็งแกร่งนั้นทำให้ฟางเต้าหงต้องอ้าปากค้าง และสีหน้ามันก็เปลี่ยนไป

“นะ-นะ-นั่นคือการรวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง! เด็กผู้นี้เป็นสัตว์ประหลาดอะไรกัน!? ถึงแม้จะมีพื้นฐานฝึกตนที่ต่ำต้อย แต่มันก็ยังสามารถรวมวิชาเวททั้งสองชนิดเข้าด้วยกันได้!! มันมีภาพแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่มากมายเท่าใดกันแน่…?” ฟางเต้าหงสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ มันรู้ว่าภาพแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่ต้องใช้ความรู้แจ้งที่ลึกลับ แม้แต่ตัวมันเอง ซึ่งอยู่ในอาณาจักรโบราณ ก็เคยมีภาพแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นภายในใจแค่ภาพเดียวเท่านั้น แต่มันเพิ่งจะได้เห็นด้วยสองตาของตนเองถึงภาพแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่ที่ได้ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือของเมิ่งฮ่าวภาพแล้วภาพเล่า ช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อนัก

สิ่งที่ทำให้มันต้องตกตะลึงมากไปกว่านั้นก็คือ ความรู้สึกที่ถูกคุกคามเมื่อมองไปยังขุนเขาที่เก้า ดวงตะวันและจันทรา!

ฟางเต้าหงหอบหายใจออกมา และมองไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง แต่ในตอนนี้เองที่เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าครุ่นคิดขึ้น ทำให้จิตใจฟางเต้าหงต้องเริ่มเต้นรัวขึ้นมาอีกครั้ง

“เป็นไปได้หรือไม่ว่า…มัน…มันกำลังจะ…รวมวิชาเวทชนิดที่สามขึ้นมาอีก!?” แค่คิดเช่นนี้ก็แทบจะทำให้จิตใจของฟางเต้าหงต้องระเบิดออกมา

ขณะที่ความคิดวิ่งผ่านจิตใจมันไป ไข่มุกสองลูกก็ได้ปรากฏขึ้นที่ด้านนอกของขุนเขาที่เก้า ดวงตะวันและจันทรา ไข่มุกนั้นเป็นสีดำและสีขาว พวกมันเริ่มหมุนวนไปมาอย่างไร้เสียง อยู่รอบๆ ขุนเขาที่เก้า ดวงตะวันและจันทรา

ขุนเขาที่เก้าเป็นจุดศูนย์กลาง รอบๆ ถูกโคจรหมุนเวียนด้วยดวงตะวันและจันทรา โดยมีไข่มุกสองลูกโคจรเป็นรูปวงกลมอยู่ที่ด้านนอก พวกมันไม่ได้โคจรด้วยเส้นทางที่ทับซ้อนกัน แต่โคจรเป็นหนึ่งเดียวกัน สร้างเป็นภาพที่งดงามขึ้นมา

จากนั้นกลิ่นอายอันทรงพลังที่น่าเหลือเชื่อมากขึ้นกว่าเดิมได้ระเบิดออกมา

เพียงแค่หนึ่งอึดใจ ไข่มุกดำขาวก็จางหายไป ขุนเขาที่เก้าพังทลายลง ดวงตะวันและจันทรามืดมิดไป เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้วและพึมพำกับตัวเองอยู่ชั่วขณะ

เขาไม่ได้สังเกตดูสีหน้าอันหวาดกลัวบนใบหน้าของฟางเต้าหง ซึ่งได้ยืนห่างออกไปที่ด้านข้าง ด้วยความตกตะลึงและจิตใจที่หมุนคว้าง

“สามการควบรวม…มันทำได้สามครั้งจริงๆ…”

ก่อนหน้านี้ กลิ่นอายที่มันรู้สึกได้ ทำให้ต้องเต็มไปด้วยความประหลาดใจโดยสิ้นเชิง มันเป็นผู้แข็งแกร่งอาณาจักรโบราณ แต่ก็ถูกทำให้ประหลาดใจโดยวิชาเวทของผู้ฝึกตนที่ไม่ได้อยู่ในอาณาจักรเซียนด้วยซ้ำ เรื่องเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนโดยสิ้นเชิง!

“มันยังไม่ได้เป็นเซียนแท้ แต่ก็จะเป็นในที่สุด…เมื่อไหร่ที่เป็นเซียนแท้ มันจะเปิดจุดชีพจรได้เท่าใดกันแน่? ข้าบอกได้เลยว่าต้องไม่ต่ำกว่าเก้าสิบจุด!”

ขณะที่ฟางเต้าหงมองไปยังเมิ่งฮ่าว จู่ๆ มันก็ตระหนักว่าทำไมฟางซิ่วซานถึงได้ทุ่มสุดตัว พยายามที่จะสังหารเมิ่งฮ่าวไปให้จงได้

“มันไม่ใช่มนุษย์แล้ว…”

เมิ่งฮ่าวกำลังจะลองพยายามอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นเสียงเรียกจากพันธมิตรแห่งผู้ผนึกอสูรก็ดังขึ้นมาอยู่ภายในใจด้วยความเข้มข้นอย่างน่าเหลือเชื่อ

เขาลดมือลง และมองออกไปจากตำแหน่งที่อยู่บนยอดเขาของภูเขายมโลกลูกที่เก้านี้

จากสถานที่ซึ่งเขากำลังยืนอยู่นี้ สามารถมองเห็นอาณาเขตที่กว้างใหญ่ ซึ่งได้ขยายยืดยาวออกไปที่เบื้องหน้าตรงด้านล่างของภูเขา พื้นดินเป็นสีดำสนิทและท้องฟ้าก็ดูเหมือนจะถูกแยกออกเป็นสองส่วน ทุกหนทุกแห่งอยู่ในช่วงยามเที่ยงวัน แต่ในอาณาเขตแห่งนี้กลับเป็นช่วงยามราตรีอันมืดมิด

บริเวณที่เป็นยามราตรีจริงๆ แล้วก็เป็นจุดศูนย์กลางของอาณาเขตพื้นดินสีดำ มีบุรุษหนุ่มกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่หนึ่งคน ด้วยใบหน้าที่ซีดขาวและมีเส้นผมที่ยาวพลิ้วไปมาอยู่รอบๆ ตัว สวมใส่ชุดยาวและถูกห้อมล้อมด้วยซากศพนับไม่ถ้วน ซึ่งมีใบหน้าที่บิดเบี้ยวและผิดรูป ราวกับว่าพวกมันเคยพบเจอกับความทุกข์ทรมานอย่างที่ไม่อาจจะอธิบายออกมาได้ ก่อนที่จะตกตายไป

มีทั้งบุรุษและสตรี และมีผู้ฝึกตนอยู่ด้วย บางคนมีร่างเป็นสัตว์อสูร บางคนก็มีรูปร่างหน้าตาที่แปลกมากเป็นอย่างยิ่ง ดูน่ากลัวและโหดร้าย เป็นสิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มาจากเก้าขุนเขาทะเลอันยิ่งใหญ่

ซากศพนั้นสวมใส่เสื้อผ้าในชุดโบราณ จนทำให้เมิ่งฮ่าวต้องคิดย้อนกลับไปยังกลุ่มคนที่เขาเคยเห็นตอนที่อยู่ในวิหารพิธีเต๋าเซียนโบราณ!

เขาเคยเห็นสิ่งมีชีวิตเช่นนี้ ในภาพของสงครามสวรรค์ขนาดใหญ่ ที่มีดวงตะวันเก้าดวง และผีเสื้อเก้าตัวปรากฏขึ้น!

ความรู้สึกที่เก่าแก่โบราณอย่างถึงที่สุด ได้กระจายออกมาจากร่างของบุรุษหนุ่ม และบริเวณรอบๆ ตัวมันก็เต็มไปด้วยรอยแตกภาพลวงตา ซึ่งแทบจะดูคล้ายกับเป็นปากขนาดใหญ่ ซึ่งได้เปิดออกและปิดลงเป็นระยะ จากที่มองไป ก็จะเห็นรอยแตกเช่นนั้นอยู่ประมาณหนึ่งแสนแห่ง

บุรุษหนุ่มถูกห้อมล้อมไว้ด้วยรอยแตกเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองไปยังมัน บุรุษหนุ่มก็มองกลับมา และแสงแห่งความมุ่งหวังก็มองเห็นได้ในแววตาของมัน

“มา…” มันกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบา ดูเหมือนจะถ่ายทอดมายังเมิ่งฮ่าวผ่านอากาศ ล่องลอยออกมาจากส่วนลึกของห้วงกาลเวลา ไหลซึมเข้าไปในหูของเขา

แรงสั่นสะเทือนวิ่งผ่านไปทั่วร่าง เมิ่งฮ่าวกระพริบตา และเมื่อลืมตาขึ้นมา ทั่วทั้งบริเวณที่อยู่เบื้องหน้าก็ว่างเปล่าไป ไม่มีอะไรนอกจากเป็นรอยแตกในอากาศ มองไม่เห็นแม้แต่เงาร่างของคนผู้นั้น

ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เมิ่งฮ่าวเพิ่งจะมองเห็นนั้น คือภาพลวงตา!

มีสิ่งที่น่าสังเกตอยู่อย่างเดียวก็คือ เขาสามารถมองเห็นแท่นศิลาตัวอักษรขนาดใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่ที่ด้านขวามือของอาณาเขตตรงกลางยามราตรี ถึงแม้ว่ามันจะอยู่ห่างไกลออกไปมาก แต่เมิ่งฮ่าวก็ยังคงรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่ของแท่นศิลานั้นได้ และสามารถมองเห็นได้ชัดเจนด้วยเช่นกันว่า…มันกำลังเดือดพล่านไปด้วยปราณอสูร!

เหตุผลที่อาณาเขตแห่งนี้แตกต่างออกไป ก็เนื่องมาจากอิทธิพลของปราณอสูรอันเข้มข้นนี้ ทำให้มันกลายเป็นดินแดนแห่งยามราตรีไปตลอดกาล

เมิ่งฮ่าวยืนเงียบๆ อยู่ที่นั่นชั่วขณะ จากนั้นก็มองไปยังฟางเต้าหง เพื่อให้มั่นใจว่ามันไม่อาจจะมองเห็นภาพที่เขาเพิ่งจะเห็นเมื่อครู่นี้ เขายืนเข้าฌาณอยู่ที่นั่นชั่วระยะเวลาธูปไหม้หมดไปครึ่งดอก ก่อนที่แววตามุ่งมั่นจะปรากฏขึ้น

โดยไม่ลังเลใดๆ อีกต่อไป เขาส่งกระแสเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ออกไป ดวงตานักรบศิลาสาดประกายขึ้น ขณะที่นำเมิ่งฮ่าวพุ่งตรงไป เสียงกระหึ่มดังเต็มอยู่ในอากาศ ขณะที่มันกลายเป็นดาวตกพุ่งออกไปด้วยความรวดเร็วสูงสุด

ฟางเต้าหงติดตามไปในเวลาเดียวกัน

ไม่กี่ชั่วยามต่อมา อาณาเขตยามราตรีใกล้เข้ามามากขึ้น เมิ่งฮ่าวมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบริเวณนั้นเต็มไปด้วยรอยแยกหนึ่งแสนแห่งอยู่ที่เบื้องหน้า เขายืนอยู่ที่ชายขอบของอาณาเขตแห่งนั้น รู้สึกราวกับว่ากำลังยืนอยู่บนจุดสิ้นสุดระหว่างยามราตรีและช่วงกลางวัน ด้วยการก้าวตรงไปแค่ก้าวเดียว เขาก็จะไปอยู่ในความมืดของยามราตรี

เสียงร้องไห้ดังขึ้นมา กระจายเต็มอยู่ในความมืดมิด

แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น เมื่อเขามายืนอยู่ตรงชายขอบระหว่างกลางคืนและกลางวัน ความรู้สึกของเสียงร้องเรียกก็ดังขึ้นมาอีกครั้งอยู่ภายในใจ ราวกับว่ามีมือขนาดใหญ่ได้พุ่งเข้ามาในหน้าอกและคว้าจับไปที่หัวใจเขาไว้ เมิ่งฮ่าวหอบหายใจ มองขึ้นไปยังภาพลวงตาของรอยแตกที่อยู่ข้างหน้าขึ้นไป และมองเห็นบุรุษหนุ่มกำลังนั่งอยู่ที่นั่น ในท่ามกลางทุกสรรพสิ่งอีกครั้ง

ไม่อาจจะมองเห็นใบหน้าของมันได้ชัดเจน แต่เสียงของมันก็ดังก้องอยู่ในจิตใจของเมิ่งฮ่าว

“มา…”

“ผู้สืบทอดแห่งพันธมิตรผู้ผนึกอสูร…เข้ามา…”

“ข้าคือ…ผู้ผนึกอสูรรุ่นที่ห้า…”

——————–

หมายเหตุ : ภาพที่เมิ่งฮ่าวมองเห็นดวงตะวันเก้าดวง อยู่ในตอนที่ 819 : ภาพแห่งสมัยโบราณแวบขึ้น และภาพเช่นเดียวกันนี้เคยมีพูดถึงในตอนที่ 587 : ทำไมถึงทำเช่นนี้? ด้วยเช่นกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version