บทที่ 1000 หอคอยดาราม่วง
“จ้าวเฟิง? ในมิติเทพลวงตา เจ้าชิงทรัพยากรล้ำค่าของตระกูลจีของข้าข้าไม่สน แต่ต่อไปนี้ห้ามเจ้าใกล้ชิดกับจีหลานเช่นนี้!”
น้ำเสียงของจีเหลียนเปลี่ยนทันใด
ต่อให้จ้าวเฟิงในยามนี้เป็นแขกของตระกูลจี เขาก็ไม่ต้องเกรงใจอะไรจ้าวเฟิง นี่คือความทระนงของแปดตระกูลใหญ่
จีหลานสีหน้าตะลึงเล็กน้อย เตรียมเปิดปากหยุดจีเหลียน
ด้วยฐานะของจ้าวเฟิงในยามนี้ รวมกับขั้วอำนาจเบื้องหลังเขา ต่อให้เป็นตระกูลจีก็ไม่คิดจะก่อเรื่องทะเลาะกับเขาต่อหน้า
หากองค์ชายเก้าขึ้นครองราชย์ได้อย่างราบรื่น ขั้วอำนาจเบื้องหลังจ้าวเฟิงจะยิ่งแข็งแกร่ง ใช้เวลาเพียงไม่กี่ร้อยปี บางทีก็อาจสามารถล้ำหน้าตระกูลจีได้
แต่จีหลานกำลังคิดว่า ไม่แน่ว่าจ้าวเฟิงอาจจะช่วยให้นางหลุดพ้นจากการตามตอแยของจีเหลียนได้
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน จีหลาน!”
ใบหน้าจ้าวเฟิงไม่เปลี่ยนสี เอ่ยลาจีหลาน
จีหลานตกตะลึง นางไม่คิดว่าจ้าวเฟิงจะนิ่งสงบเช่นนี้แล้วจากไปทันที
นางไม่อยากเผชิญหน้ากับจีเหลียนเพียงลำพัง เตรียมที่จะพูดอะไรกับจ้าวเฟิง กลับพบว่านางไม่สนิทสนมกับจ้าวเฟิงจริงๆ
จ้าวเฟิงมองจีเหลียนเพียงแวบเดียวก็จากไป
ที่นี่คือถิ่นของตระกูลจี อีกทั้งจ้าวเฟิงยังรับน้ำใจที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้จากเซียนซิงหมัว ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงไม่คิดจะหาเรื่องใส่ตัว
“คำพูดของข้าเมื่อครู่ เจ้าได้ยินชัดแล้วใช่หรือไม่?”
จีเหลียนเห็นจ้าวเฟิงมีใบหน้าเรียบนิ่งแล้วจากไปทันที เหมือนกับเมินเฉยคำพูดของเขา จึงตะโกนออกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เรื่องของข้าแซ่จ้าว ไม่ต้องให้เจ้ามายุ่ง!”
น้ำเสียงของจ้าวเฟิงเย็นชา เดินจากไปไกล
“อะไรนะ? เจ้า!” จีเหลียนหน้าแดงก่ำ
ประโยคนี้ของจ้าวเฟิงไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง
“ในตระกูลจี เจ้าเอาอิสระมาจากไหน?”
จีเหลียนหมุนกายทันใด เนตรดาราสีม่วงอ่อนมีพลังดวงตากระเพื่อมอยู่ชั่วขณะ
“อย่านะ!” จีหลานรีบร้องห้าม นางคิดไม่ถึงว่าจีเหลียนจะลงมือทันที
แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ทันการณ์แล้ว การกระตุ้นวิชาดวงตาเกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีเท่านั้น
เห็นเพียงโซ่หมอกสีม่วงไร้รูปร่างปรากฏอยู่รอบกายของจ้าวเฟิง
ทว่าจ้าวเฟิงกลับยังคงจากไปอย่างช้าๆ ราวกับว่าไม่ได้รับผลกระทบอย่างไรอย่างนั้น
“ฮึ!” สีหน้าของจีเหลียนเขียวคล้ำ ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยมุมานะฝึกตนสักเท่าไหร่
แต่เขาลงมือไปแล้ว กลับไม่มีผลอะไรสักนิด ข้างกายเขายังมีคนรุ่นเดียวกันอีกสองสามคนดูอยู่ด้วย นี่จะให้เขาเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน
จีเหลียนพลันปลดปล่อยพลังดวงตาทั้งหมดออกมา
แต่เดิมจีเหลียนคือขอบเขตจักรพรรดิ ถึงแม้ความลึกซึ้งในวิชาดวงตาจะธรรมดาท่ามกลางเหล่าลูกหลานตระกูลจี แต่ถ้าอยู่ภายนอก กระบวนท่าดวงตานี้สามารถกักขังจักรพรรดิชั้นยอดเอาไว้ในโลกมายาได้อย่างแน่นอน
จ้าวเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ถึงแม้เขาในยามนี้ยังคงไม่ได้รับผลกระทบจากวิชาดวงตาของจีเหลียน แต่การขัดขวางซ้ำซากของจีเหลียนชวนให้หงุดหงิดรำคาญ
ต่อให้จ้าวเฟิงจากไปในวันนี้ ก็ไม่รับประกันว่าครั้งหน้าจีเหลียนจะไม่มาหาเรื่องเขาอีก ในเมื่อจ้าวเฟิงยังต้องอยู่ที่ตระกูลจีไปอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง
จ้าวเฟิงหมุนกายไปทันใด ประกายสีม่วงทองของดวงตาซ้ายขับเคลื่อน ขยายออกก่อนแปรเปลี่ยนเป็นหุบเหวไร้ก้นบึ้ง แผ่กระจายแรงดึงดูดใจที่แข็งแกร่งถึงแก่ชีวิตออกมา
ชั่วพริบตาเดียว วิชาลวงตาของจีเหลียนพังทลายลง
“อะไรกัน?” ดวงตาทั้งสองของจีเหลียนเต้นกระตุกขึ้นทันใด มองไปยังดวงตาของจ้าวเฟิงโดยสัญชาตญาณ
ชั่ววินาทีต่อมา จีเหลียนก็เข้ามาในเขาวงกตสีม่วงแห่งหนึ่ง หมอกในเขาวงกตลงหนา ข้างบนมีสายฟ้าฟาดคำราม
“จีเหลียน เจ้าเป็นอะไรไป?”
เชื้อสายตระกูลจีผู้หนึ่งข้างกายจีเหลียน เห็นว่าจีเหลียนยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ที่เดิมราวกับคนโง่งม
จีเหลียนไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกับคำพูดของพวกเขาแม้แต่น้อย
ทั้งสองลองสำแดงวิชาดวงตาทุกชนิด ก็ยังคงไม่มีผลเช่นเดิม
“เจ้าทำอะไรจีเหลียน?” ในใจของคนทั้งสองออกจะร้อนรน
จากภาพเหตุการณ์นี้ แน่นอนว่าพวกเขามองออกถึงพลังที่แท้จริงของจ้าวเฟิง แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ จ้าวเฟิงกล้าที่จะลงมือกับจีเหลียน เขาย่อมไม่มีจุดจบที่ดีแน่
จ้าวเฟิงหมุนตัวจากไปโดยไม่สนใจ
ในยามนี้ จีหลานก็รีบตามจ้าวเฟิงจากไป
“เจ้าไม่ได้ทำอะไรเขาใช่หรือไม่?”
จีหลานมองจ้าวเฟิง ในใจยังหวาดหวั่น
จากความลึกซึ้งในวิชาลวงตาของนางยังรู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง จ้าวเฟิงสำแดงวิชาลวงตาอะไรกันแน่ จึงสามารถทำให้เกิดผลเช่นนี้ขึ้นกับลูกหลานตระกูลจีได้
ต้องรู้ก่อนว่าทายาทตระกูลจีมีเนตรดาราม่วง มีแรงต้านต่อวิชาลวงตาสูงเป็นอย่างมาก ยิ่งรวมกับพวกเขาเดิมก็เชี่ยวชาญวิชาลวงตาศาสตร์วิญญาณ สามารถแก้ได้อย่างง่ายดายแน่นอน
“อีกสักประเดี๋ยวเขาก็ฟื้นกลับมา!”
จ้าวเฟิงคิดไปชั่วครู่จึงพูดขึ้น
วิชาลวงตาเมื่อครู่ คือความเข้าใจในบางส่วนที่จ้าวเฟิงนำเนตรคุกลวงตาและดาราม่วงลวงจิตที่ลักลอบเรียนครั้งก่อนมาผสมผสานขึ้นที่ในตำหนักลับของเซียนซิงหมัว สร้างเป็นวิชาลวงตาวิชาใหม่
ไม่เพียงแต่สามารถดึงความคิดจิตวิญญาณของศัตรูเข้าสู่มิติวิชาลวงตาของตนเอง อีกทั้งยังเปลี่ยนสัมผัสทั้งห้าและประสาทสัมผัสวิญญาณของศัตรู สร้างความรู้สึกเหมือนกับโลกแห่งความจริง ทำให้ศัตรูจมลงสู่โลกวิชาลวงตาโดยสมบูรณ์
คนทั่วไปที่ดำดิ่งลงสู่วิชาลวงตา ล้วนรู้อย่างชัดเจนยิ่งว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าทั้งหมดล้วนเป็นภาพมายา จึงยังสามารถดิ้นรนได้ แต่หากผู้ที่ตกอยู่ในวิชาลวงตาคิดว่าสรรพสิ่งรอบกายล้วนเป็นของจริงเล่า?
แน่นอนว่า วิชาเมื่อครู่เป็นเพียงแค่การทดลองขั้นแรกของจ้าวเฟิง เขายังต้องใช้เวลาศึกษาอ่านตำราวิชาลวงตาและวิชาดวงตาให้มากขึ้นอีก จึงจะสมบูรณ์ได้
จ้าวเฟิงรู้สึกว่า การเดินทางครั้งนี้จะต้องตามเก็บวิชาลวงตาศาสตร์วิญญาณที่หล่นหายไปในอดีตกลับมาอีกครั้ง
“อ้อ!” จีหลานพยักหน้า
ถึงแม้ว่านางจะรู้ว่าวิชาดวงตาของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งจนน่าอัศจรรย์ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าในด้านวิชาลวงตา เขาก็มีความเข้าใจที่ล้ำลึกเช่นนี้ด้วย
“แต่ว่าเจ้าต้องระวังจีเหลียนเอาไว้ให้ดี เขาอาจจะมาหาเรื่องเจ้าอีก!”
จีหลานเอ่ยเตือนขึ้น แต่ต่อจากนั้นก็รู้สึกว่าไม่มีความจำเป็น
จ้าวเฟิงเป็นผู้ที่เซียนซิงหมัวเชิญมา รวมกับพลังความสามารถของตัวจ้าวเฟิงเอง จีเหลียนก็ยากจะทำอะไรจ้าวเฟิงได้ ต่อให้เป็นผู้นำระดับสูงของตระกูลที่หนุนหลังจีเหลียน ก็ไม่น่าจะไปทำให้จ้าวเฟิงลำบากเพื่อเขา
หลังจากกลับที่พักแล้ว จ้าวเฟิงก็เริ่มศึกษาทำความเข้าใจเนื้อหาที่ได้อ่านไปทั้งหมดในวันนี้ นอกจากนั้น แน่นอนว่าเขาต้องแบ่งความคิดบางส่วนไปฝึกฝน ‘หมื่นห้วงคิดเซียน’ และทำความเข้าใจเสวียนอ้าวแห่งการทำลายล้างในอัสนีเทวะ เป็นต้น
วิชาศาสตร์ลวงตา หลักๆ มีแนวทางพัฒนาอยู่สองสาย หนึ่งคือศาสตร์ลวงตาโจมตี จะสร้างส่งผลกระทบที่แน่นอนให้กับจิตใจและวิญญาณ สองคือศาสตร์ลวงตากักขัง จะใช้วิชาลวงตาจับกุม ควบคู่ไปกับวิธีการโจมตีอื่นๆ แต่ปกติลูกหลานตระกูลจีล้วนเลือกสายวิชาลวงตาโจมตี
“ในตำราตระกูลจี ด้านความเข้าใจวิชาลวงตา แน่นอนว่าจะต้องสุดยอดในแผ่นดินทวีป!”
จ้าวเฟิงทอดถอนใจเล็กน้อย
เขาในยามนี้ยังจำเมิ่งซีแห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดายได้ นางครอบครองสายเลือดเผ่าพันธุ์ฝันมายาที่อยู่อันดับสามร้อยสามสิบเก้าในรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ ใช้พลังวิชาลวงตามาสร้างผลกระทบต่อความเป็นจริง
นั่นคือพลังพิเศษเฉพาะของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ แต่ก็นับเป็นวิชาลวงตาได้
หากฝึกฝนศาสตร์ลวงตาจนถึงขอบเขตที่แน่นอน ก็อาจจะมีพลังรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณก็เป็นได้
“นายท่าน!” ใกล้ๆ แถวนั้น เสียงของปี้ชิงเยวี่ยดังมา
“มีเรื่องอะไร?”
จ้าวเฟิงสื่อสารกับปี้ชิงเยวี่ยโดยตรงผ่านตราผนึกดวงใจทมิฬ
“หากนายท่านคิดอยากจะศึกษาวิชาศาสตร์ลวงตา สามารถไปดูที่หอคอยดาราม่วงของตระกูลจีได้!”
ปี้ชิงเยวี่ยเอ่ยแนะนำ
หอคอยดาราม่วงของตระกูลจีเป็นสถานที่ฝึกฝนวิญญาณและวิชาลวงตาที่มีชื่อเสียงบนดินแดนทวีป
ลูกหลานตระกูลจีไม่น้อยล้วนใช้คุณูปการของตระกูลแลกกับเวลาเข้าไปในหอคอยดาราม่วง แต่นางเชื่อว่าจ้าวเฟิงไม่รู้จักหอคอยดาราม่วงอย่างแน่นอน
“หอคอยดาราม่วง?” จ้าวเฟิงอึ้งไป เขาก็ไม่รู้จักมันจริงๆ นั่นแหละ
จากนั้นปี้ชิงเยวี่ยจึงอธิบายข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหอคอยดาราม่วงให้จ้าวเฟิงฟัง
วันที่สอง ยามรุ่งสาง
จีหลานมาเยือนอีกครั้ง “จ้าวเฟิง เซียนซิงหมัวให้มาเชิญเจ้า!”
หลังจากนั้น ทั้งสองมายังตำหนักส่วนตัวของเซียนซิงหมัว ศึกษาเรียนรู้ที่นี่เหมือนกับเมื่อวาน
ในใจของจีหลานตื่นเต้น ไม่คิดว่าวันนี้นางจะยังคงอยู่ที่นี่ได้ และอ่านตำราล้ำค่าของที่นี่ด้วยกันกับจ้าวเฟิง
ขณะเดียวกัน จีหลานก็เดาได้ถึงจุดประสงค์ของเซียนซิงหมัว
เข้าใจได้ว่านี่เป็นการสร้างโอกาสให้นางได้อยู่เพียงลำพังกับจ้าวเฟิง
จีหลานยิ้มเฝื่อน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอัจฉริยะชั้นยอดอย่างจ้าวเฟิง ไม่ว่าสตรีนางใดก็อาจไหวหวั่นด้วย แต่นางไม่มั่นใจเลยว่าจะทำให้จ้าวเฟิงชอบนางได้
นอกจากนั้น จีหลานก็รู้สึกแปลกใจยิ่งนัก เหตุใดเซียนซิงหมัวจึงชมชอบจ้าวเฟิงเช่นนี้
แสงค่อยๆ มืดสลัวลง ในห้องมืดมิด
“ผู้อาวุโสซิงหมัว ผู้น้อยอยากอ่านเนื้อหาในชั้นหนังสือด้านขวา!”
จ้าวเฟิงส่งกระแสจิตให้กับเซียนซิงหมัวที่อยู่ห้องข้างๆ
“หืม?” ร่างของเซียนซิงหมัวมาปรากฏอยู่ข้างกายของจ้าวเฟิงเพียงพริบตา ใบหน้ามีความคาดหวัง
จ้าวเฟิงมอบ ‘ตำราหมิงถง’ ที่คัดสำเนาเสร็จไว้นานแล้วให้กับเซียนซิงหมัว
“‘ตำราหมิงถง’? เนตรมรณะ!” เซียนซิงหมัวรับตำราในมือของจ้าวเฟิงมาเปิดอ่าน
“สหายน้อยจ้าว ในนี้ล้วนเป็นทฤษฏีความรู้ที่เกี่ยวกับประเภทมรณะและวิญญาณ ค่อนข้างไม่ชัดเจน เนื้อหาในนี้ บางทีอาจจะมีประโยชน์อย่างมากกับทายาทตระกูลจีบางคนก็เป็นได้!”
เซียนซิงหมัวยิ้มน้อยๆ คำพูดอ้อมค้อม
จ้าวเฟิงยิ้ม เดิมทีเขาก็ไม่คาดหวังอะไรมากอยู่แล้ว
เขาในตอนนั้นที่ได้รับ ‘ตำราหมิงถง’ ก็เพิ่งจะเป็นผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำ อีกทั้งความเข้าใจลึกซึ้งของจักรพรรดิแห่งความตายแม้จะสูงส่ง แต่ย่อมไม่อาจเทียบได้กับตระกูลสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งของดินแดนทวีปได้
เซียนซิงหมัวดูแคลน ‘ตำราหมิง’ ก็เป็นสิ่งที่จ้าวเฟิงคาดคิดเอาไว้อยู่แล้ว
แต่ว่าหลักการการแยกส่วนประกอบของดวงตาจ้าวเฟิง เขาไม่มีทางเปิดเผยออกไป
เช่นนั้น ‘วิชาวิญญาณหลอมดวงตา’ เล่า? จ้าวเฟิงคิดไปชั่วครู่ ยังไม่ได้นำมันออกมา
‘วิชาวิญญาณหลอมดวงตา’ คือสิ่งล้ำค่าที่สุดในบรรดาวิชาต้องห้ามประเภทวิญญาณทั้งหลายของเมืองความลับสวรรค์ อีกทั้งวิชาต้องห้ามชิงดวงตา โดยตัวของมันเองก็ทำลายกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ ตัวจ้าวเฟิงยังมีเนตรเทพเจ้าอยู่ด้วย
ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงหยิบวิชาฝึกวิญญาณอีกเล่มออกมาแทน
“วิชาแยกวิญญาณ?”
เซียนซิงหมัวรู้สึกใคร่รู้เล็กน้อย รับของในมือจ้าวเฟิงมา
“เยี่ยม!” เซียนซิงหมัวพลันส่งเสียงขึ้น ทำเอาจีหลานที่อยู่อีกด้านตกใจไม่น้อย
‘ตกลงแล้วคือวิชาลับอะไรกัน ถึงทำให้เซียนซิงหมัวตื่นเต้นเช่นนี้?’
ใจของจีหลานเต้นโครมคราม ยิ่งเพิ่มความนับถือจ้าวเฟิงมากขึ้นอีก
นานนักกว่าเซียนซิงหมัวจะปิดตำราในมือลง ยิ้มพูดขึ้นว่า “สหายน้อยจ้าวมีเวลาสามวัน เข้าไปยังชั้นหนังสือด้านขวา!”
จ้าวเฟิงยิ้มน้อยๆ ถึงแม้ว่า ‘วิชาแยกวิญญาณ’ จะมีเพียงแค่เศษเสี้ยววิชาฝึกชั้นแรก แต่แนวคิดหลักการของวิชาเล่มนี้สร้างความอัศจรรย์ใจให้กับผู้คน สร้างสรรค์ขึ้นอย่างอาจหาญ แหกธรรมเนียมดั้งเดิม
อีกทั้งหุ่นเชิดกลไกในเมืองความลับสวรรค์ยังวิจารณ์มันไว้อย่างดี เชื่อว่าเซียนซิงหมัวก็เป็นผู้ที่สายตามีแวว
ด้านข้าง จีหลานจิตใจสั่นสะท้าน ในความทรงจำของนาง ชั้นหนังสือด้านขวาของเซียนซิงหมัวจะเปิดออกให้คนผู้หนึ่งเท่านั้น
หนังสือล้ำค่าที่สะสมในนั้นมีน้อยมาก แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามูลค่าล้วนสูงลิบ หายากยิ่งในทวีป
“นอกจากนั้น หากสหายน้อยจ้าวอยากเติมเต็ม ‘วิชาแยกวิญญาณ’ ให้สมบูรณ์ ในนั้นอาจจะมีสิ่งที่เจ้าต้องการ!”
เซียนซิงหมัวเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่งก็จากไปทันที
….
ณ ตำหนักอันวิจิตรที่มีทิวทัศน์งดงามน่าหลงใหลอีกแห่งของตระกูลจี
“ท่านปู่ทวด เจ้าจ้าวเฟิงนั่นลงมือกับข้า ทำให้เหลียนเอ๋อร์ต้องขายหน้า!”
จีเหลียนคุกเข่าอยู่มุมหนึ่งด้านนอกตำหนัก
“เจ้าทำให้ตระกูลจีขายหน้า!” เสียงแก่ชราเลือนรางก้องดังในอากาศ
“ขอรับ เหลียนเอ๋อร์ผิดไปแล้ว แต่ว่าจ้าวเฟิงนั่น….”
จีเหลียนหัวใจเต้นระรัว พูดขึ้นต่อ
“เขาเป็นแขกที่ซิงหมัวเชิญมา!” เสียงแก่ชรานั่นตัดบทจีเหลียน
จีเหลียนอึ้งไปในทันใด แววตาฉายความผิดหวัง ไม่พูดอะไรอีก
“แต่ว่าตระกูลจีของข้าเป็นขั้วอำนาจเบื้องหลังองค์ชายแปด ซิงหมัวไม่ได้ปรึกษาข้าก็คบค้าสมาคมกับขั้วอำนาจเบื้องหลังองค์ชายเก้า….”
เสียงแก่ชราดังมาอีกครั้ง