Skip to content

King of Gods 1043

King Of Gods

บทที่ 1043 ตำหนักราชัน

เซียนโม๋ยวนยืนอึ้งอยู่กับที่ มองไปยังภาพที่ปรากฏอยู่บนม่านแสงนั่น

เนื้อหาในภาพแสดงถึงการประชุมขนาดเล็กที่ขั้วอำนาจเบื้องหลังองค์ชายสิบสามหารือกันว่าจะจัดการจ้าวเฟิงอย่างไร

บุคคลที่ปรากฏในภาพล้วนเป็นตัวแทนขั้วอำนาจเบื้องหลังองค์ชายสิบสาม แม้กระทั่งเซียนเกราะดำของวังเก้านิรยเองก็อยู่ในนั้น

จ้าวเฟิงมีภาพนี้ได้อย่างไรกัน? เซียนโม๋ยวนตกใจสงสัย

“กลิ่นอายนั่น….”

หลังจากเซียนโม๋ยวนตื่นตะลึงก็สังเกตอะไรได้ทันควัน

แสงเงาเย็นเยือกที่สาดส่องออกมาจากเกราะแขนของจ้าวเฟิงเมื่อครู่ แฝงด้วยกลิ่นอายสายมารที่แข็งแกร่ง อาศัยกลิ่นอายกลุ่มนี้ เซียนโม๋ยวนก็แน่ใจได้ว่าเจ้าของกลิ่นอายฝึกฝนเคล็ดวิชาลับของวังเก้านิรย

หรือว่าวังเก้านิรยจะมีไส้ศึกที่จ้าวเฟิงจัดวางเอาไว้?

สีหน้าของเซียนโม๋ยวนเคร่งเครียดเหนือสิ่งอื่นใด มิน่าเล่า การล่าสังหารครั้งที่แล้วจึงล้มเหลว

ตามหลักแล้ว เซียนสามคนออกโรงร่วมกับค่ายกลวิญญาณทมิฬ จ้าวเฟิงไม่มีทางหนีรอดได้เด็ดขาด

“จ้าวเฟิง ส่งคนผู้นั้นออกมาซะ!”

แววตาของเซียนโม๋ยวนดุดัน โคจรพลังศักดิ์สิทธิ์เทวาเร้นลับที่แข็งแกร่งในกายขึ้น ราวกับว่าใกล้จะระเบิดออกเต็มที

ในภาพ ขั้วอำนาจพวกนั้นเพียงแค่หารือว่าจะจัดการกับจ้างเฟิงเช่นไร ไม่ได้เอ่ยถึงองค์รัชทายาท แต่หากไส้ศึกนั่นกุมหลักฐานที่วังเก้านิรยวางแผนจัดการองค์รัชทายาทไว้ เช่นนั้นก็ไม่ดีแล้ว

สีหน้านิ่งเฉยของจ้าวเฟิง ทำให้เซียนโม๋ยวนรู้สึกกระวนกระวายขึ้นเป็นครั้งแรก

“เซียนโม๋ยวน ผู้ร่วมมือลอบสังหารครั้งนี้เหมือนว่าจะเป็นขั้วอำนาจเบื้องหลังองค์ชายสิบสามนะ!”

จ้าวเฟิงไม่สนใจคำพูดของเซียนโม๋ยวน บอกเป็นนัยๆ ด้วยน้ำเสียงข่มขู่

“หึ นี่เป็นบุญคุณความแค้นส่วนตัวระหว่างวังเก้านิรยกับเจ้า ขั้วอำนาจพวกนั้นก็ล้วนเป็นพวกที่วังเก้านิรยดึงมา!”

เซียนโม๋ยวนรีบพูดขึ้นทันใด

ขอเพียงแค่ไม่เกี่ยวพันถึงราชวงศ์ วังเก้านิรยก็ไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้นในดินแดนทวีปจริงๆ

“ในเมื่อเจ้ายอมรับว่าทั้งหมดเป็นแผนของวังเก้านิรย เช่นนั้นเรื่องนี้ก็จบลงเท่านี้ไม่ได้กระมัง!”

จ้าวเฟิงเผยรอยยิ้มออกมา

“ฮ่าๆ เจ้าไม่มีคุณสมบัติจะมาเจรจาต่อรองกับข้า!”

เซียนโม๋ยวนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

คำพูดของจ้าวเฟิงคล้ายเจรจาต่อรองกับเซียนโม๋ยวน แต่ความหมายของประโยคนี้คือต้องการให้วังเก้านิรยชดเชยต่อการลอบสังหารในครั้งนั้น

“นอกจากนั้น ข้าจะพูดอีกรอบ ส่งคนผู้นั้นออกมาซะ!”

สีหน้าของเซียนโม๋ยวนเย็นชา จิตสังหารลอยอบอวลออกมา

จากเหตุการณ์เมื่อครู่ เขามองออกได้ว่ายามนี้ไส้ศึกที่แฝงตัวในวังเก้านิรยอยู่ในมนตราอากาศของจ้าวเฟิง

หากจ้าวเฟิงไม่ยอมมอบมนตราอากาศ เช่นนั้นเขาก็ทำได้แค่เพียงชิงมันมาหรือฆ่าจ้าวเฟิงเท่านั้น

ในตำหนักมืดมนราวกับราตรีอันมืดมิด กดดันเป็นที่สุด

“เซียนโม๋ยวน พวกเจ้าวังเก้านิรยคิดว่าข้าใช้ศรสังหารเทพดอกสุดท้ายไปแล้วใช่หรือไม่?”

สีหน้าของจ้าวเฟิงเย็นชา มองตรงมายังเซียนโม๋ยวนพร้อมถามขึ้นด้วยเสียงเย็นเยือก

เซียนโม๋ยวนอึ้งไปเล็กน้อย

ตามรายงานข่าวและการวิเคราะห์ทั้งหลาย ผู้นำระดับสูงของขั้วอำนาจมากมายล้วนคาดเดาว่าจ้าวเฟิงใช้ศรสังหารเทพดอกสุดท้ายไปแล้ว

แต่ไม่มีใครเห็นด้วยตาตัวเอง ดังนั้นผลสรุปนี้จึงยังไม่เป็นที่ยอมรับ

“ด้วยพลังของเจ้า ไม่มีทางทำให้เซียนหมื่นปรากฏการณ์พ่ายแพ้ไปได้แน่!”

เซียนโม๋ยวนไม่ตอบคำถามของจ้าวเฟิง

เซียนหมื่นปรากฏการณ์คือเซียนต่างเผ่าพันธุ์ที่ครอบครองเนตรหมื่นปรากฏการณ์ พลังที่แท้จริงกระทั่งสามารถต้านทานเซียนโม๋ยวนที่เป็นเทวาเร้นลับชั้นสูงได้

“เช่นนั้นเจ้าก็ลองลงมือดูแล้วกัน!”

จ้าวเฟิงยิ้มอย่างมีเลศนัย

ฟู่! ในตำหนักเงียบสงัดนัก

หากไม่มีการเตือนจากจ้าวเฟิง เซียนโม๋ยวนคงลงมือไปนานแล้ว

แต่จ้าวเฟิงดันพูดถึงศรสังหารเทพ ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้ยอมรับว่าตนยังมีศรสังหารเทพอยู่ แต่ยามนี้เซียนโม๋ยวนก็สับสนไปเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรต่อไปดี

กว่าเขาจะฝึกฝนจนถึงเทวาเร้นลับชั้นสูง

กระทั่งอาจสัมผัสถึงตำแหน่งเทพ เซียนโม๋ยวนไม่คิดจะเอาชีวิตของตัวเองมาล้อเล่น

“จ้าวเฟิง หากเป็นศัตรูกับวังเก้านิรย เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปอีกไม่นานหรอก….”

เสี้ยววินาทีต่อมา ร่างของเซียนโม๋ยวนก็เลือนหายไป ทิ้งไว้เพียงเสียงที่ดังสะท้อนในตำหนักย่อยหอควันสมุทร

ในมนตราอากาศ เซียนเกราะดำปาดเหงื่อแทนจ้าวเฟิง

“นายท่าน ท่านยังมีศรสังหารเทพอยู่จริงรึ?”

เซียนเกราะดำถามขึ้น นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาสงสัยเช่นกัน

“มี!” จ้าวเฟิงไม่ปิดบัง

เซียนเกราะดำสั่นสะท้านในใจ ค่อยรู้สึกวางใจได้บ้าง

“ช่วงนี้วังเก้านิรยจะไม่มาก่อกวนนายท่าน หากนายท่านสามารถทะลวงขั้นเซียนได้เร็ว ก็มีสิทธิ์รับมือกับวังเก้านิรยได้บ้าง”

เซียนเกราะดำเสนอ

เขาเชื่อว่าหลังจากที่เซียนโม๋ยวนกลับไปแล้ว เพียงแค่สืบสาวเรื่องนี้ก็จะสามารถรู้ได้ว่าเขาคือไส้ศึก

ในเมื่อสมาชิกวังเก้านิรยที่เข้าร่วมประชุมในตอนนั้นมีไม่มาก อีกทั้งหลังเขาล้มเหลวจากการไล่สังหารจ้าวเฟิงในครั้งนั้นก็ไม่ได้กลับวังเก้านิรยไป

“เหอะ ตอนนี้ข้าจะไปก่อกวนวังเก้านิรย!”

แววตาของจ้าวเฟิงเย็นเยือก

หอควันสมุทรในวันนี้ไม่ใช่ขั้วอำนาจสองดาวที่อ่อนแอเช่นตอนแรกอีกต่อไป

ขณะนี้ขั้วอำนาจหอควันสมุทรมีสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น หน่วยลอบสังหารของเซียนราตรีทมิฬ และสำนักปีศาจเพลิง นอกจากนั้นขั้วอำนาจทางแทบชายทะเลก็ล้วนถูกหอควันสมุทรควบคุมในระดับหนึ่ง

เมื่อรวมกับทรัพยากรที่จ้าวเฟิงมอบให้อย่างไม่ขาดสายและการปกป้องจากพลังชะตามังกรของราชวงศ์ ระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปี หอควันสมุทรจะพัฒนาจนถึงขั้นที่น่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง อิทธิพลแทบจะแผ่ขยายจากชายฝั่งทะเลรุกคืบเข้าถึงใจกลางพื้นที่แผ่นดินใหญ่

อีกทั้งขั้วอำนาจทั้งหมดของหอควันสมุทรย้ายจากแถบชายฝั่งทะเลมาบนดินแดนทวีป ก่อตั้งขึ้นที่ตระกูลจีแห่งมณฑลอวี๋แล้ว

ชายฝั่งทะเลที่หอควันสมุทรและสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นตั้งอยู่กลายเป็นพื้นที่แนวหลังขนาดใหญ่โดยสมบูรณ์

หอควันสมุทรในยามนี้ นับได้ว่าเป็นขั้วอำนาจใหญ่ที่ไม่เป็นสองรองใครในดินแดนทวีปแล้ว นับจากนั้นหลายสิบวัน ปี้ชิงเยวี่ยและเซียนราตรีทมิฬก็เดินทางมาถึง ส่วนเฒ่าประหลาดสวีรออยู่ที่มณฑลอวี่

“คิดไม่ถึงเลยว่านายท่านจะมาถึงก่อน และจัดการกับปัญหาทั้งหมดตั้งนานแล้ว!”

ปี้ชิงเยวี่ยเผยสีหน้าละอายแก่ใจ

จุดมุ่งหมายเดิมที่จ้าวเฟิงสร้างขั้วอำนาจนี้ขึ้นมาก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ตนเอง

แต่จนถึงตอนนี้ ขั้วอำนาจที่จ้าวเฟิงทุ่มทรัพยากรจำนวนมหาศาลเลี้ยงดูกลับเป็นเหมือนภาระของจ้าวเฟิง ต้องให้เขาคอยช่วยเหลืออยู่ทุกเรื่อง

“นายท่าน หน่วยลอบสังหารที่ข้าอยู่เริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น ข้าตั้งชื่อไว้ว่า

‘หอสังหารเดียวดาย’….”

เซียนราตรีทมิฬรายงานสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยลอบสังหารกับจ้าวเฟิง

หน่วยลอบสังหารพัฒนาไปได้อย่างง่ายดายมากบนพื้นฐานของหน่วยข่าวกรองหอควันสมุทร

รวมกับการควบคุมดูแลจากนักฆ่ามืออาชีพของมุมมืดทมิฬ อีกทั้งทรัพยากรที่จ้าวเฟิงมอบให้ ไม่นานนักก็เป็นที่กล่าวขานในหมู่ขั้วอำนาจลอบสังหารทั้งหลาย

จากนั้น ปี้ชิงเยวี่ยก็อธิบายถึงสถานการณ์การพัฒนาในระยะนี้ของหอควันสมุทรและเป้าหมายในอนาคตให้จ้าวเฟิงฟัง

“ไม่เลว!” จ้าวเฟิงเอ่ยขึ้นหลังจากฟังอย่างละเอียดจนจบ

จากการทดสอบคัดเลือกรัชทายาท หอควันสมุทรก็เริ่มมีชื่อเสียง และสองศึกใหญ่สุดท้ายทำให้สายตาส่วนใหญ่ของขั้วอำนาจทั้งหลายจดจ้องมาที่สนามรบ หอควันสมุทรจึงอาศัยโอกาสนี้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด

สิ่งที่ปี้ชิงเยวี่ยเอ่ยมาทั้งหมดถูกต้องและละเอียดมากกว่าผู้อาวุโสชุดเขียวของตำหนักย่อยหอควันสมุทรเสียอีก

“หลังจากนี้ไป ก็ให้เรียกขั้วอำนาจนี้ว่าตำหนักราชัน!”

จ้าวเฟิงครุ่นคิดไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้น

เป้าหมายในตอนแรกของเขาคืออยากจะสร้างขั้วอำนาจขั้นสุดยอดที่กระจายไปทั่วปฐพี ปกครองโลกใบนี้ เป็นที่น่าเกรงขามไปตลอดกาล

“เจ้าค่ะ นายท่าน!”

ปี้ชิงเยวี่ยและเซียนราตรีทมิฬได้ยินชื่อนี้ก็สัมผัสได้ถึงความทะเยอทะยานอันแข็งแกร่งในใจของจ้าวเฟิง

นอกจากนั้น ขั้วอำนาจที่พวกเขาดูแลควบคุมในตอนนี้ผสมปนเปมากเกินไป จำเป็นต้องมีชื่อเรียกโดยรวมหรือการดูแลขั้นสูงสุด

“ปี้ชิงเยวี่ย เจ้าหอก็ยังคงเป็นเจ้า!”

จ้าวเฟิงค่อนข้างพอใจการทำงานของปี้ชิงเยวี่ย

“เจ้าค่ะ!” ปี้ชิงเยวี่ยใจสั่นสะท้าน

นางคิดไม่ถึงเลยว่าจ้าวเฟิงจะเชื่อมั่นในตัวนางถึงเพียงนี้ ราวกับว่าจะฝากฝังเป้าหมายสุดท้ายของตนไว้กับนาง

สำหรับเรื่องนี้ ปี้ชิงเยวี่ยซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก ยินยอมจะรับใช้จ้าวเฟิงอย่างเต็มอกเต็มใจ

“เซียนเกราะดำ หลังจากนี้เจ้าก็ไปเป็นนักฆ่า พัฒนา ‘หอสังหารเดียวดาย’!”

จ้าวเฟิงเพียงสะบัดมือซ้าย

ชายร่างใหญ่กำยำที่มีเกราะเกล็ดดำไปทั้งตัวก็ปรากฏขึ้นตรงนั้น

“เซียน!” ปี้ชิงเยวี่ยและเซียนราตรีทมิฬใจเย็นเยียบ

อีกทั้งพวกเขารู้จักว่าเซียนผู้นี้คือเซียนเกราะดำแห่งวังเก้านิรย กำลังรบของเขาอาจจะแข็งแกร่งมากกว่าเซียนราตรีทมิฬด้วยซ้ำ

คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้านายของพวกเขาจะควบคุมได้กระทั่งเซียนของวังเก้านิรย และยังเก็บไว้รับใช้เอง

พลังของ ‘ตำหนักราชัน’ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ!

“ขอบคุณนายท่าน!” เซียนราตรีทมิฬเอ่ยขึ้น

ถึงแม้ว่าหน่วยลอบสังหารจะพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว แต่หากคิดอยากจะผงาดขึ้นอีกขั้นก็ยังขาดผู้แข็งแกร่งขั้นสุดยอดเช่นนี้อยู่จริงๆ

“ภารกิจต่อไปจะยิ่งลำบากนัก!”

สายตาของจ้าวเฟิงทอดมองไปยังที่ไกล

ขั้วอำนาจที่เขาอยากได้เกือบจะเป็นรูปร่างแล้ว แต่หากคิดจะไปให้ถึงเป้าหมายสุดท้าย ใช่ว่าจะพัฒนาแบบเงียบๆ ไปก็ได้

การก้าวผงาดขึ้นของขั้วอำนาจที่แข็งแกร่ง จะต้องมาพร้อมกับการตกต่ำของอีกขั้วอำนาจหนึ่ง

“นายท่านโปรดบัญชา!” ในตำหนัก สามคนที่เหลือเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

พวกเขาล้วนสัมผัสได้ว่าจ้าวเฟิงกำลังเดินหมากกระดานใหญ่ อีกทั้งพวกเขายังตระหนักได้รางๆ ถึงทิศทางต่อไปของจ้าวเฟิง

“นี่คือรางวัลสำหรับความพยายามของพวกเจ้า”

จ้าวเฟิงโยนแหวนเก็บของสองวงออกไป

เทพราตรีทมิฬและปี้ชิงเยวี่ยล้วนมีศักยภาพเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นในขณะที่จ้าวเฟิงใช้ประโยชน์จากพวกเขา ก็บ่มเพาะฝึกฝนพวกเขาด้วย

ส่วนเซียนเกราะดำเพิ่งเข้าร่วมกับกองกำลัง คุณูปการยังน้อย ดังนั้นจึงไม่มีรางวัล

“ขอบคุณนายท่าน!” ปี้ชิงเยวี่ยและเซียนราตรีทมิฬคำนับอีกครั้ง

ในแหวนเก็บของของปี้ชิงเยวี่ยมีอยู่เพียงสิ่งเดียว แต่กลับทำให้นางซึ้งใจเป็นอย่างมาก

สิ่งนั้นคือวารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวน ของล้ำค่าหายากที่สามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จในการทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับ

ส่วนของที่จ้าวเฟิงมอบให้เซียนราตรีทมิฬก็คือเคล็ดวิชามารขั้นสุดยอดและทรัพยากรสำหรับฝึกฝน

สีหน้าท่าทางของปี้ชิงเยวี่ยและเซียนราตรีทมิฬทำให้เซียนเกราะดำรู้สึกประหลาดใจ ตกลงแล้วจ้าวเฟิงให้อะไรกับทั้งสองคนจึงทำให้พวกเขายินดีปรีดาถึงเพียงนี้

“ปี้ชิงเยวี่ย ต่อไปให้หน่วยข่าวกรองมุ่งไปที่วังเก้านิรยเป็นหลัก….”

หากคิดจัดการวังเก้านิรยจะต้องสนใจพวกมันทุกเวลา และเข้าใจถึงรายงานข่าวลับมากยิ่งขึ้น

จากนั้นปี้ชิงเยวี่ยก็จากที่นี่กลับไปยังมณฑลอวี่

“เซียนราตรีทมิฬ ภารกิจของเจ้าหนักหนากว่าปี้ชิงเยวี่ยยิ่งนัก”

จ้าวเฟิงเผยรอยยิ้มบางออกมา

เขาและเซียนราตรีทมิฬพูดคุยกันตามลำพังหลังจากนั้น

หากคิดเพิ่มความยิ่งใหญ่ให้หน่วยลอบสังหารอย่าง ‘หอสังหารเดียวดาย’ หนึ่งคือนักฆ่าในหน่วยจะต้องแข็งแกร่ง สองคือชื่อเสียง

ขนาดของ ‘ตำหนักราชัน’ มากพอที่จะเป็นกำลังเสริมให้กับ ‘หอสังหารเดียวดาย’ ได้ เช่นนั้นก้าวต่อไปก็ต้องเริ่มจากชื่อเสียง

“ข้าต้องการให้เจ้าแย่งการค้ากับมุมมืดทมิฬ!”

จ้าวเฟิงพูดความคิดของเขาออกไป

มุมมืดทมิฬคือหนึ่งในสามหน่วยใหญ่ของโลกใต้ดิน และเป็นขั้วอำนาจลอบสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดของดินแดนทวีป

เซียนราตรีทมิฬตกใจยกใหญ่เพราะความคิดนี้ของจ้าวเฟิง แต่ยังดีที่ทำเพียงแค่แย่งส่วนแบ่งการค้า ไม่ได้ไปหาเรื่องมุมมืดทมิฬ

ในฐานะที่เป็นสมาชิกของมุมมืดทมิฬ เขารู้ถึงความน่ากลัวของที่นั่นเป็นอย่างดี

“เช่นนั้นเป้าหมาย….”

เซียนราตรีทมิฬเดาความคิดของจ้าวเฟิงออก แย่งส่วนแบ่งการค้าหน่วยลอบสังหาร แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นการลอบสังหาร

เช่นนั้นเป้าหมายการลอบสังหารของหอสังหารเดียวดาย ก็ย่อมเป็นวังเก้านิรยและขั้วอำนาจที่เกี่ยวข้อง

จ้าวเฟิงและวังเก้านิรยเป็นศัตรูกัน หากตนคิดจะพัฒนาก็ต้องลดทอนอำนาจของฝ่ายตรงข้ามลง

จากนั้น จ้าวเฟิงและเซียนมารทมิฬหารือถึงวิธีการดำเนินแผนการครั้งนี้

“ข้าจะอำพรางชื่อไปป่าวประกาศภารกิจลอบสังหารราคาสูงที่หอสังหารเดียวดายสักหลายภารกิจ ในขณะเดียวกัน ข้าก็จะไปประกาศภารกิจเช่นเดียวกันนี้ที่มุมมืดทมิฬเพื่อดึงดูดความสนใจจากพวกนักฆ่า….”

ในเมื่อเป็นการแย่งส่วนแบ่งการค้า เช่นนั้นรางวัลของภารกิจลอบสังหารพวกนี้จะต้องมากมายหลากหลาย จนสามารถดึงดูดผู้แข็งแกร่งได้เป็นจำนวนมาก

ในด้านนี้ จ้าวเฟิงคิดวิธีที่สุดยอดได้วิธีหนึ่งเรียบร้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version