บทที่ 1042 หลักฐานชี้ผิด
เสืออัคคีปีกทอง เผ่าพันธุ์สายเลือดของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณอันดับที่เก้าพันแปดร้อยกว่า แต่ในยามนี้ พลังแท้จริงของเสืออัคคีปีกทองที่อยู่เบื้องหน้าจ้าวเฟิงกลับสู้กับวานรทองสะท้านฟ้าที่มีสายเลือดเผ่าพันธุ์วานรยักษ์ทรงพลังได้อย่างสูสี
ต้องรู้ไว้ว่า สายเลือดเผ่าพันธุ์วานรยักษ์ทรงพลังอยู่ในอันดับที่สี่ร้อยยี่สิบเอ็ด
ทั้งที่ความแตกต่างของอันดับทั้งสองห่างชั้นกันเป็นอย่างมาก แต่เสืออัคคีปีกทองกลับทำให้จ้าวเฟิงรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ทรงพลังกว่า แสดงกลิ่นอายของสัตว์ดุร้ายได้ชัดเจน
“สาเหตุน่าจะเป็นเพราะร่างกายและสายเลือด!”
ดวงตาทั้งสองของจ้าวเฟิงเพ่งมอง
ในห้วงฝันบรรพกาล เลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตธรรมดาล้วนมีประโยชน์มากมายเหลือคณนาสำหรับผู้แข็งแกร่งขั้นต่ำกว่าราชาลงไป
ด้านสายเลือด คนหรือสัตว์อสูรในดินแดนทวีปล้วนเป็นคุณสมบัติสายเลือดที่ดูดซับหรือปลุกตื่น ได้รับสายเลือดบรรพกาลมาอย่างเจือจางยิ่ง
แต่เสืออัคคีปีกทองเบื้องหน้านี้ ในกายอาจมีสายเลือดเสืออัคคีปีกทองที่สมบูรณ์แบบไหลเวียนอยู่ สิ่งมีชีวิตบรรพกาลชนิดนี้ไม่มีทางมีอยู่ในดินแดนทวีป
“ไม่รู้ว่าเนื้อของเสืออัคคีปีกทองจะเป็นเช่นไร?”
จ้าวเฟิงนึกถึงงูลายจุดที่เขาฆ่าเป็นอย่างแรกในห้วงฝันบรรพกาล
ในตอนนั้น เลือดเนื้อของงูลายจุดธรรมดามีเจ้าแมวขโมยน้อยและคุนอวิ๋นน้อยแย่งชิงกัน
เช่นนั้นเผ่าพันธุ์สายเลือดบรรพกาลเบื้องหน้าตัวนี้เล่า?
แววตาของจ้าวเฟิงฉายประกายตื่นเต้น
โฮก! เสืออัคคีปีกทองตะปบไปในอากาศ เสี้ยวเงาสีแดงทองทะยานมายังจ้าวเฟิงอย่างรวดเร็ว
วู้ม ฟู่!
จ้าวเฟิงโคจรกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์เต็มพลัง ไม่ยั้งมืออีกต่อไป
“ฝ่ามืออัสนีศักดิ์สิทธิ์!”
จ้าวเฟิงซัดเงาฝ่ามือแดงทองขนาดประมาณเท่าคนออกมาสายหนึ่ง
ครืน ฟุ่บ! เสืออัคคีปีกทองถูกฝ่ามือของจ้าวเฟิงโจมตีจนล่าถอยไปอีกครั้ง
โฮก! แววตาเสืออัคคีปีกทองฉายแววหวาดหวั่น แต่จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นดุร้าย
วู้ม! ทั่วทั้งตัวของเสืออัคคีพลันส่องประกายสีทอง ราวกับว่าในชั่วขณะนี้ พลังทั้งหมดของมันได้รับการยกระดับให้สูงขึ้น
“พลังสายเลือดแข็งแกร่งนัก!” จ้าวเฟิงอดไม่ได้ อุทานอย่างตกใจ
ผู้แข็งแกร่งหรือสัตว์อสูรที่มีสายเลือดบรรพกาลในดินแดนทวีป เมื่อกระตุ้นพลังสายเลือดแล้วก็ทำได้เพียงเพิ่มกำลังรบในระดับหนึ่งเท่านั้น
เสืออัคคีปีกทองเบื้องหน้าตัวนี้จัดอยู่ในอันดับที่เก้าพันกว่าในเผ่าพันธุ์บรรพกาล พลังสายเลือดที่ปะทุออกมาทำให้กำลังรบของมันเพิ่มขึ้นอีกเกือบสองเท่า ต่อให้เป็นจ้าวเฟิงกระตุ้นสายเลือดเพลิงมารโลหิตที่สมบูรณ์แบบ อย่างมากก็เพิ่มกำลังรบได้เพียงสี่หรือห้าส่วนเท่านั้น แต่เจ้าเสืออัคคีปีกทองตัวนี้ยิ่งทำให้จ้าวเฟิงประหลาดใจ จ้าวเฟิงก็ยิ่งสนใจในตัวมัน อยากจะลองลิ้มชิมรสดูสักคำ
ฟู่! เปลวเพลิงวาววับดุจสีแดงสดที่ลุกไหม้ ห้อมล้อมไปทั่วกายของจ้าวเฟิงดั่งแสงอรุโณทัยสีเลือด
จ้าวเฟิงกระตุ้นสายเลือดเพลิงมารโลหิต ปะทะเข้ากับเสืออัคคีปีกทอง
ครืน ฉัวะ ฉึก!
ร่างของเสืออัคคีปีกทองถูกเพลิงโลหิตของจ้าวเฟิงแผดเผาบางส่วน เช่นเดียวกัน หลังจากที่เสืออัคคีปีกทองกระตุ้นพลังสายเลือดแล้ว กรงเล็บทั้งสองก็ฝากรอยเอาไว้บนกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิงด้วย
“วิญญาณพิศวง!”
ตาซ้ายของจ้าวเฟิงทะลักพลังดวงตาและพลังจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งออกมา
ทันใดนั้น วิญญาณของเสืออัคคีปีกทองเริ่มสับสน การควบคุมร่างกายก็ปั่นป่วนไปหมด
“โจมตีวิญญาณมายา!” จ้าวเฟิงสำแดงวิชาเนตรในศาสตร์ลวงตาขึ้นอีกครั้ง
เขาอ่านตำราของสะสมประเภทวิญญาณ ลวงตา และดวงตาของเซียนซิงหมัวที่ตระกูลจีมามากมาย
วิชาดวงตาวิญญาณที่ค่อนข้างง่ายบางส่วน จ้าวเฟิงสามารถใช้ได้ทุกเมื่อ
“เพลิงอัสนีวายุเนตรเทพเจ้า!”
ในตาซ้ายของจ้าวเฟิงทะลักเปลวเพลิงพลังดวงตาอันน่าหวาดกลัวออกมา แสงสีม่วงระยิบระยับหมุนวน ลวดลายอัสนีเทวะมืดมนแต่ละเส้นลอยกระเพื่อม
ครืน——
เพลิงอัสนีมืดดำที่โปร่งแสงทั้งกลุ่ม พร้อมด้วยกลิ่นอายอัสนีเทวะทำลายล้าง โจมตีไปที่หัวของเสืออัคคีปีกทอง
ในขณะเดียวกัน จ้าวเฟิงก็รีบทะยานออกไปทันที โคจรแก่นแท้พลังและปราณที่แท้จริง ปลดปล่อยพลังออกไปอย่างสุดแรง
โฮก! ครั้งนี้เสืออัคคีปีกทองส่งเสียงร้องครวญครางอย่างทรมาน ใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด
โฮกกก! ทันใดนั้น ลึกเข้าไปในป่า เสียงคำรามโกรธแค้นชวนให้ใจหวาดหวั่นลอยออกมา เสียงคำรามน่ากลัวดุจคลื่นเสียงสีทองพุ่งโจมตีมายังจ้าวเฟิง
“แย่แล้ว เสืออัคคีปีกทองเป็นเผ่าพันธุ์บรรพกาล เช่นนั้นที่นี่น่าจะยังมีเสืออัคคีปีกทองตัวอื่นอยู่อีก!”
ใจจ้าวเฟิงสั่นสะท้าน
ฟู่ แซ่ด!
จ้าวเฟิงสำแดงฝ่ามือสายฟ้าทลายนภาสุดกำลัง ควบคู่ไปกับเพลิงอัสนีวายุเนตรเทพเจ้า สังหารเสืออัคคีปีกทองเบื้องหน้าลง
ฟู่! มือหนึ่งของจ้าวเฟิงคว้าเสืออัคคีปีกทองไว้แล้วหายไปจากที่ตรงนั้น
และในยามนี้เอง เสืออัคคีปีกทองที่ขนาดตัวใหญ่ยิ่งกว่าสองตัวก็เข้ามาใกล้ๆ แต่กลับไม่พบอะไร หลังจากที่พวกมันสื่อสารกันชั่วขณะหนึ่งถึงคำรามออกมาอย่างโกรธแค้น
ในมนตราอากาศ
เมี้ยว เมี้ยว!
ยามจ้าวเฟิงปรากฏกายขึ้น แมวขโมยน้อยรีบพุ่งเข้ามา ดวงตาราวกับอัญมณีสีนิลฉายแววเจ้าเล่ห์ ในมือของมันมีมีดเล็กที่คมกริบปรากฏขึ้นทันใด มุมปากน้ำลายไหลยืด
“ช้าก่อน!” จ้าวเฟิงรีบหยุดแมวขโมยน้อย
ในมนตราอากาศ ขวดแก้วโปร่งใสใบหนึ่งลอยมาที่มือของจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงหาบาดแผลแห่งหนึ่งของเสืออัคคีปีกทอง จากนั้นใช้ขวดแก้วเก็บเลือดของมันเอาไว้
หลังจากเก็บเลือดของเสืออัคคีปีกทองได้เต็มแล้ว จ้าวเฟิงก็หยุดมือ
“หน้าที่ปรุงมันเป็นของเจ้าแล้ว ห้ามแอบกินเด็ดขาด!”
จ้าวเฟิงจ้องแมวขโมยน้อยพลางเอ่ย
เมื่อครู่ในขณะที่สู้กับเสืออัคคีปีกทองตัวนี้ เพลิงอัสนีวายุเนตรเทพเจ้าของจ้าวเฟิงไม่ได้ส่งผลลุกไหม้เลือดเนื้อของมันมากเท่าใดนัก เห็นได้ว่าเนื้อของมันสุกยากยิ่ง
เมี้ยว เมี้ยว! เจ้าแมวขโมยน้อยทำท่าทำทางโบกมีดคมกริบในมือ
เจ้าแมวเสนอว่าให้แล่เนื้อของเจ้าสิ่งมีชีวิตนี่ แล้วค่อยๆ ย่างให้สุก
“ดี เช่นนี้ก็แล้วกัน!” จ้าวเฟิงตอบตกลง
จากนั้น เสืออัคคีปีกทองตัวนี้ก็มอบให้เจ้าแมวขโมยน้อยเป็นผู้ลงมือปรุงเอง
จ้าวเฟิงมายังที่อีกแห่งในมนตราอากาศ ดวงตาทั้งสองจับจ้องไปยังเลือดของเสืออัคคีปีกทองที่อยู่ในมือ
พลังสายเลือดกลุ่มนี้เข้มข้นเป็นอย่างมาก กลิ่นอายโบราณดั้งเดิมแผ่กระจายออกมา
จ้าวเฟิงนำออกมาสองสามหยด ทาไปบนกาย จากนั้นก็โคจรกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์
“ได้ผล!” จ้าวเฟิงพบว่าร่างของเขาดูดซึมพลังสายเลือดกลุ่มนี้ได้รวดเร็วเป็นอย่างมาก มันหล่อเลี้ยงร่างกายและเลือด กระทั่งอวัยวะภายในทั้งหมดของจ้าวเฟิง เพียงแต่ผลค่อนข้างเบาบาง
จ้าวเฟิงนำสายเลือดเสืออัคคีปีกทองออกมาหนึ่งส่วน ก่อนทาไปบนร่าง
ครั้งนี้จ้าวเฟิงไม่ได้โคจรกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับกระตุ้นสายเลือดเพลิงมารโลหิต
ฟู่ แซ่ด แซ่ด!
เลือดเสืออัคคีปีกทองค่อยๆ ซึมเข้าไปในสายเลือดเพลิงมารโลหิตของจ้าวเฟิง
ครืน บึ้ม!
ทันใดนั้น อาทิตย์เพลิงโลหิตที่ลุกไหม้ทั่วร่างจ้าวเฟิงพลันเพิ่มความร้อนขึ้นอีกหลายองศา
“เหมือนจะสามารถพัฒนาและฝึกฝนสายเลือดได้”
สีหน้าจ้าวเฟิงเผยแววยินดี
หลายชั่วยามหลังจากนั้น แมวขโมยน้อยยกเนื้อสดใหม่ที่หอมเตะจมูกมายังหน้าจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงรีบหยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ค่อยๆ ลิ้มรสกินมันลงไป
“ผลของมันสูงกว่าผลไม้ห้วงฝันสี่เท่าขึ้นไป อีกทั้งในนี้ยังแฝงด้วยแก่นสำคัญของเลือดเนื้อที่แข็งแกร่งยิ่ง”
จ้าวเฟิงตะลึงไปเล็กน้อย กระตุ้นปราณที่แท้จริงแล้วดูดซับพลังในนั้น
จ้าวเฟิงดูดซับกลิ่นอายบรรพกาลมากเกินไป ของล้ำค่าและเลือดบริสุทธิ์ที่ดื่มกินลงไปก็มากมายนับไม่ถ้วน ดังนั้นผลลัพธ์ของเนื้อเสือจึงถูกหักกลบไปมาก
นอกจากนั้น จ้าวเฟิงยังคาดว่าผลลัพธ์ของเนื้อเสือชิ้นนี้ ส่วนมากจะต้องมาจากพลังสายเลือดในตัวเสืออัคคีปีกทองแน่นอน
“ถึงแม้ผลลัพธ์จะถูกหักลบไป แต่ก็ดีกว่าสิ่งล้ำค่าที่แลกมาจากตำหนักรบมณฑลหลานหลายเท่า!”
จ้าวเฟิงรู้จักพอใจในสิ่งที่มี
การล่าสังหารเสืออัคคีปีกทองตัวนี้ เขาได้เสี่ยงอันตรายไปแล้วในระดับหนึ่ง ครั้งต่อไปหากไปล่าสังหารอีกก็อาจจะยิ่งยากมากขึ้น
อีกทั้งกำลังรบอันแข็งแกร่งของเสืออัคคีปีกทองก็ทำให้จ้าวเฟิงคิดจะจับมันมาเป็นทาสรับใช้ แต่ก็ต้องล้มเลิกไปทันที
หากเสืออัคคีปีกทองที่ถูกจับมาเป็นทาส เกิดตราผนึกดวงใจทมิฬสูญสลายเพราะเหตุสุดวิสัย ดังเช่นเหตุการณ์ของครึ่งเซียนคุนอวิ๋น
ทันทีที่นักฝึกสัตว์คนอื่นได้เสืออัคคีปีกทองตัวนี้ไป เช่นนั้นความลับเรื่องห้วงฝันบรรพกาลของจ้าวเฟิงก็จะถูกเปิดเผย
ดังนั้นนกอสูรโบราณ เหยี่ยวดำ และงูหลามยักษ์ที่เคยจับเป็นทาส จ้าวเฟิงจึงไม่เคยนำพวกมันออกมาต่อสู้เลย
อีกด้านหนึ่ง แมวขโมยตัวน้อยอาศัยช่วงที่จ้าวเฟิงเผลอสวาปามเนื้อเกือบทั้งหมดลงไป จากนั้นก็แอบหนีไปทางหนึ่ง ก่อนตบพุงนอนกรนเสียงดัง
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน
ภายใต้วัตถุดิบยาล้ำค่าในปริมาณมาก ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ของจ้าวเฟิง ก็ฝึกฝนวายุอัสนีธาตุไฟขั้นแปดไปถึงระดับสุดยอดแล้ว
เลือดเนื้อของเสืออัคคีปีกทองถูกจ้าวเฟิงและแมวขโมยน้อยกินจนหมด พลังของทั้งสองพัฒนาไปไม่น้อย
ในวันนี้ จ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของโลกภายนอก จึงออกมาจากมนตราอากาศ
“ในที่สุดวังเก้านิรยก็มาแล้ว!”
จ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสายมารที่กดดันไปทั่วฟ้าดิน
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เซียนวังเก้านิรยมาเยือน แต่ทว่าที่นี่คือตำหนักย่อยหอควันสมุทร รบกวนเก็บงำกลิ่นอายลงไปด้วย!”
คำพูดของจ้าวเฟิงดังขึ้นในตำหนักที่เงียบสงัด
ทันใดนั้น เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นในตำหนักของจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายกดดันสายมารที่น่าหวาดหวั่น ในกายของเขาพลันกระตุ้นพลังสายเลือดและปราณที่แข็งแกร่งขึ้นทันใด ร่างกายตระหง่านไม่ไหวติง
ช่วงระยะนี้เขาดูดซับปราณและเลือดของเสืออัคคีปีกทอง คุณสมบัติของร่างกายจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
“จ้าวเฟิง เจ้าบังอาจนัก กล้าข่มขู่สำนักสังกัดของวังเก้านิรย!”
เซียนโม๋ยวนส่งกระแสจิตทุ้มต่ำออกไป
“ผู้อาวุโสสูงสุดสำนักฟ้าทมิฬเป็นผู้เอ่ยปากรับผิด จะชดเชยให้กับหอควันสมุทร นี่ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว!”
แววตาของจ้าวเฟิงเด็ดเดี่ยว เขาเคยได้ยินหนานเฟิงอ๋องและปี้ชิงเยวี่ยกล่าวเอาไว้
เซียนโม๋ยวนคือผู้นำระดับสูงของวังเก้านิรยที่เข้าสกัดกั้นสมาชิกหอควันสมุทรในวันนั้น
ยามนั้นหากไม่ใช่เพราะเซียนกระบี่เคราขาวของวังลอยฟ้า ขั้วอำนาจเบื้องหลังจ้าวเฟิงคงโดนวังเก้านิรยทำลายย่อยยับไปนานแล้ว
“จ้าวเฟิง หยุดปลิ้นปล้อนได้แล้ว หากไม่ใช่เจ้าข่มขู่เซียนอั้นกุ่ย เขาจะยอมรับความผิดที่ไม่มีจริงนี่งั้นรึ!”
เซียนโม๋ยวนถลึงตามองจ้าวเฟิง แรงกดดันวิญญาณที่ไร้รูปร่างแผ่ซ่าน
แต่จ้าวเฟิงที่อยู่หน้าเขา สีหน้าท่าทางกลับไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ
“เจ้าเด็กคนนี้!”
เซียนโม๋ยวนตะลึงไปเล็กน้อย ระยะเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่ปี พลังของจ้าวเฟิงก็พัฒนาเพิ่มขึ้นมาก
ไม่ว่าจะเป็นชั้นวัตถุหรือชั้นวิญญาณ จ้าวเฟิงล้วนสามารถเมินเฉยแรงกดดันอันไร้รูปร่างของเขาได้อย่างหน้าตาเฉย
“ฮ่าๆ นี่ไม่ใช่ความผิดที่ไม่มีจริง ข้ามีหลักฐานชี้ความผิดที่เขาใส่ร้ายหอควันสมุทรของข้า!”
มุมปากจ้าวเฟิงยกยิ้มขึ้น ท่าทางมั่นอกมั่นใจ
“หลักฐานชี้ความผิด!” เซียนโม๋ยวนเผยสีหน้าตื่นตะลึง
คดีที่สำนักฟ้าทมิฬใส่ร้ายหอควันสมุทร สมาชิกที่เกี่ยวข้องในนั้นล้วนถูกกำจัดสิ้น
อีกทั้งจ้าวเฟิงกลับมาจากสนามรบ จะมีหลักฐานชี้ผิดไปได้อย่างไร!
“เพ้อเจ้อทั้งสิ้น จ้าวเฟิง เจ้าหยุดบิดเบือนความจริงเสีย!”
เซียนโม๋ยวนพลันคำรามอย่างแค้นเคือง กลิ่นอายสายมารไร้รูปร่างพลันแผ่กระจายออก ทั้งฟ้าดินมืดสลัว ต่อให้จ้าวเฟิงมีร่างกายแข็งแกร่ง ก็ยังเกือบจะรับกลิ่นอายพลังที่เหมือนกับอำนาจสวรรค์กลุ่มนี้ไม่ไหว
ฟิ้ว!
ในมนตราอากาศ เซียนเกราะดำซัดแสงเย็นเยือกออกมาสายหนึ่ง แสงนี้สาดส่องออกมาจากเกราะแขนของจ้าวเฟิง ก่อเป็นม่านแสงขึ้นในอากาศ
บนม่านแสงมีภาพของปฐมเซียนและเซียนทั้งหลาย
“เรื่องนี้ปล่อยให้ข้าจัดการเอง จับสมาชิกหอควันสมุทรมาส่งๆ สองสามคน หลังจากฆ่าทิ้งก็ใส่ร้ายพวกมันก็ได้แล้ว!”
ในภาพ เสียงของเซียนอั้นกุ่ยลอยออกมา
จ้าวเฟิงยิ้มน้อยๆ มองสีหน้าท่าทางหลากหลายอารมณ์ของเซียนโม๋ยวน
ภาพเหตุการณ์ในม่านแสงนี้ก็คือภาพความทรงจำของเซียนเกราะดำนั่นเอง