Skip to content

King of Gods 1121

King Of Gods

บทที่ 1121 ทางเลือกของหลิ่วฉินอิน

“เจ้าฆ่าอาจารย์ของข้า!”

ใบหน้าของหลิ่วฉินอินไร้จิตวิญญาณ ดวงตาสุกสกาวมีน้ำตาเอ่อคลอ แฝงด้วยความโศกเศร้าและขาดที่พึ่งพิง

นับตั้งแต่หลิ่วฉินอินรู้ความ นางก็ติดตามอาจารย์มาโดยตลอด

สำหรับนาง อาจารย์ก็คือญาติคนเดียวบนโลกใบนี้ เป็นเหมือนกับบิดาของนาง

ถึงแม้จักรพรรดิแห่งความตายจะพูดว่าราชาเซียนสังสารวัฏส่งเขามาสังหารตน แต่หลิ่วฉินอินก็ยังคงไม่เชื่อ นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดอาจารย์จึงทำเช่นนั้น

“เขาคิดจะฆ่าข้า และก็คิดจะฆ่าเจ้า ดังนั้นข้าเลยต้องฆ่าเขา!”

จ้าวเฟิงไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหน ได้เพียงแต่อธิบายง่ายๆ เช่นนี้

หลิ่วฉินอินยืนตะลึงอย่างโดดเดี่ยวอยู่ที่เดิม ไม่ได้เอ่ยอะไร

ครั้งนี้ได้ยินจ้าวเฟิงพูดว่าราชาเซียนสังสารวัฏต้องการสังหารตน ไม่รู้ว่าทำไมหลิ่วฉินอินถึงอยากจะเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง

เพราะนางหวังว่าชายเบื้องหน้านางผู้นี้จะไม่โกหกตน

แต่หากนี่เป็นเรื่องจริง ในโลกใบนี้แม้ญาติเพียงคนเดียวนางก็ไม่เหลือแล้ว

ความรู้สึกเศร้าโศกและจนปัญญาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนวนเวียนอยู่ในหัวของหลิ่วฉินอิน

“ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องจริง ข้าไม่มีทางโกหกเจ้าอีกครั้งแน่นอน!”

จ้าวเฟิงคิดว่าหลิ่วฉินอินไม่เชื่อ จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

ที่จริงแล้วไม่ว่าเป็นคนทั่วไปคนใด เจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ก็ไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน

“เจ้าเคยโกหกข้า?”

ดวงตาทั้งสองของหลิ่วฉินอินจ้องจ้าวเฟิง แฝงด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ

จ้าวเฟิงยืนตะลึงอยู่กับที่ มองหลิ่วฉินอินอย่างโง่งม

หลิ่วฉินอินในขณะนี้กับหลิวฉินซินในความทรงจำของจ้าวเฟิงซ้อนทับด้วยกันโดยสมบูรณ์

ระหว่างทั้งสองคล้ายกันถึงเพียงนั้น ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉม บุคลิก หรือแววตา

เสี้ยวขณะนี้ จ้าวเฟิงสะเทือนอารมณ์อย่างลึกซึ้ง

“ภพที่แล้วของเจ้า ข้าเคยโกหกเจ้า!”

จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างไม่ลังเล

ไม่ว่าหลิ่วฉินอินจะเชื่อหรือไม่ เขาก็จะตอบตามความจริง จ้าวเฟิงจะไม่โกหกนางอีก และไม่คิดจะโกหกอีกเช่นกัน

จ้าวเฟิงสามารถสัมผัสได้ว่าชีวิตนี้ของหลิ่วฉินอินโชคร้ายเพียงใด เขาแทบเข้าใจถึงความรู้สึกของหลิ่วฉินอินในยามนี้ได้

จ้าวเฟิงสงสารเป็นอย่างยิ่ง คิดอยากช่วยรักษาบาดแผลในใจของหลิ่วฉินอิน คิดอยากปกป้องนาง ไม่ว่านางจะจำเรื่องที่ผ่านมาได้หรือไม่ เขาก็ไม่อยากให้นางได้รับบาดเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น

“ภพที่แล้ว?”

ร่างของหลิ่วฉินซินสั่นสะท้านเบาๆ

“นี่ก็คือภพที่แล้วของเจ้า ในตอนนั้นเจ้าชื่อว่าหลิวฉินซิน!”

จ้าวเฟิงรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของตนออกจะประหลาดและไม่ใกล้เคียงกับความจริง

ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงโบกมือ ดึงเอาเรื่องในอดีตที่มีฝุ่นเกาะออกมาจากความทรงจำ

วูบ วูบ วูบ!

รอบกายของหลิ่วฉินอินปรากฏฉากแสงสีม่วงทอง ในฉากแสงฉายภาพมากมายนับไม่ถ้วน

ในทุกๆ ภาพจะมีสตรีชุดขาวนางหนึ่ง ช่างคล้ายคลึงกับนางเสียเหลือเกิน

ยามนี้แม้กระทั่งจ้าวเฟิงก็จมอยู่กับเรื่องราวในอดีตเหล่านี้

“นี่คือภาพความทรงจำของข้า ไม่มีทางหลอกลวงแน่!”

จ้าวเฟิงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“นี่คือความทรงจำของเจ้า?”

หลิ่วฉินอินมองภาพทั้งหมด น้ำตาเปล่งประกายอยู่ในตาทั้งสองข้าง

ภาพเหล่านี้ล้วนเป็นความทรงจำของจ้าวเฟิง แต่นี่ก็คือภาพที่เกิดขึ้นในความฝันของนางเหมือนกัน!

หลิ่วฉินอินเข้าใจโดยทันที เด็กหนุ่มในภาพนี้ก็คือจ้าวเฟิง คือเด็กหนุ่มในความฝันคนนั้นที่จนแล้วจนรอดนางก็จำชื่อไม่ได้

“ที่แท้แล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนมีอยู่จริง เป็นภพที่แล้วของข้า…”

หลิ่วฉินอินพึมพำเสียงเบา

สำหรับข้อสรุปนี้ จริงๆ ในใจของนางก็สังหรณ์อยู่นานแล้ว

สีหน้าของจ้าวเฟิงตื่นตะลึง หลิ่วฉินอินเหมือนจะเข้าใจในภพที่แล้วอยู่บ้าง

“หลิ่วฉินอิน เจ้าไปกับข้าเถอะ!”

จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างจริงจัง

นับแต่นี้เป็นต้นไป เขาจะปกป้องหลิ่วฉินอิน ไม่ให้นางต้องลำบาก

“ข้าไม่อาจไปกับเจ้าได้!”

แววตาของหลิ่วฉินอินพลันกระจ่างชัด

“ทำไม? เจ้าไม่เชื่อหรือว่านั่นคือเรื่องจริง?”

จ้าวเฟิงจิตใจสั่นสะท้าน

“ข้าเชื่อ แต่ข้าไม่ใช่หลิวฉินซินแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องทำตามสัญญาในตอนนั้นอีกต่อไป!”

หลิ่วฉินซินเอ่ยอย่างหนักแน่น

จริงๆ แล้ว หลิ่วฉินอินเองก็ไม่แน่ใจว่านางควรจะเผชิญหน้ากับจ้าวเฟิงเช่นไร

จะใช้ฐานะในวันนี้ หรือฐานะในภพที่แล้ว

พูดจบ หลิ่วฉินอินก็เดินจากไปจากจ้าวเฟิง

“เจ้าจะไปไหน?” จ้าวเฟิงถามขึ้นทันที

หลิ่วฉินอินผู้ไร้ซึ่งที่พึ่งจะไปที่ไหนได้?

“ข้าจะไปตามหาจุดจบของความฝัน!”

หลิ่วฉินอินพูดด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว

ในชั่วขณะที่ความทรงจำของนางแจ่มชัดและตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ นางเหมือนจะเห็นอะไรบางอย่าง ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ นางต้องไปทำความเข้าใจเรื่องราวให้ชัดเจนด้วยตนเองให้ได้

จ้าวเฟิงตะลึงอยู่ที่เดิม เขาไม่รู้ว่าที่ที่หลิ่วฉินอินพูดคือที่ไหน และเขาก็ไม่มีสิทธิ์ไปขัดขวางนาง

เขาจึงมองหลิ่วฉินอินค่อยๆ จากไปไกลเช่นนั้น

“ปี้ชิงเยวี่ย ให้สมาชิกหน่วยข่าวกรองทั้งหมดของดินแดนทวีปจับตาดูร่องรอยของคนผู้นี้เอาไว้!”

จ้าวเฟิงติดต่อกับปี้ชิงเยวี่ยผ่านตราผนึกดวงใจทมิฬ พร้อมส่งภาพวาดและตำแหน่งของหลิ่วฉินอินในตอนนี้ให้กับปี้ชิงเยวี่ย

“เช่นนี้ยังไม่พอ!” จ้าวเฟิงพูดกับตัวเอง

“เฒ่าประหลาดสวี ตอนนี้ข้ามอบภารกิจหนึ่งให้เจ้า คอยปกป้องคนผู้หนึ่งแทนข้า!”

จ้าวเฟิงรีบติดต่อกับเฒ่าประหลาดที่ยิ่งอยู่ห่างไกลออกไป

ขณะนี้ พลังวิญญาณของจ้าวเฟิงสูงถึงขั้นราชาเซียน ขอบเขตที่ตราผนึกดวงใจทมิฬสามารถรับรู้ได้กว้างไกลมาก

ในบรรดาบริวารมากมายของจ้าวเฟิง ภารกิจของปี้ชิงเยวี่ยและเซียนราตรีทมิฬค่อนข้างหนัก อีกทั้งจ้าวเฟิงไม่อาจสุ่มสี่สุ่มห้าส่งคนไปแอบปกป้องหลิ่วฉินอิน ดังนั้นจึงเลือกเฒ่าประหลาดสวี

หลังจากที่ทำทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว จ้าวเฟิงกลับไปยังตำหนักราชัน

แต่เดิมหากไม่มีวังเก้านิรยและศัตรูที่แอบซุ่มอยู่เหล่านั้น จ้าวเฟิงจะคอยตามหลิ่วฉินอินด้วยตนเอง

วูบ! จ้าวเฟิงใช้มนตราอากาศ กายหายวับไปในแสงสีเงินยวง

ไม่นานนัก จ้าวเฟิงก็กลับมายังตำหนักราชัน

“ในยามนี้ ขั้วอำนาจส่วนใหญ่ของสองราชวงศ์แทบจะรวมตัวอยู่ตรงพื้นที่อันตรายอัสนีเทวะบนสนามรบ เรื่องที่ข้าสังหารราชาเซียนสังสารวัฏน่าจะใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะกระจายไปทั่ว!”

จ้าวเฟิงแอบคาดเดากับตัวเอง

การสังหารราชาเซียนสังสารวัฏ สำหรับจ้าวเฟิงกลับเป็นเรื่องไม่ดี

ขั้วอำนาจทั้งหมดของสองราชวงศ์จะต้องคิดว่าเขาสังหารราชาเซียนสังสารวัฏเพื่อรวบรวมเคล็ดวิชาลับที่สามารถรวมพลังของผู้สืบทอดเนตรเทพเจ้า

เช่นนั้นแล้ว สองราชวงศ์จะเกิดความสงสัยว่าจ้าวเฟิงได้เคล็ดวิชานั่นแล้วใช่หรือไม่

วิชานั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่ง คาดว่าตำหนักไท่หวงจะนั่งไม่ติด ต้องเคลื่อนไหวแน่นอน

จ้าวเฟิงคิดในแง่ร้ายเอาไว้ก่อน

แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ไม่กล้าล่วงเกินจ้าวเฟิงง่ายๆ!

“พลังจึงจะเป็นทุกสิ่ง หากพลังของข้าแข็งแกร่งจนถึงระดับที่สองราชวงศ์ใหญ่หวาดกลัว ข้าทำอะไรก็ไม่ต้องพะวง!”

ความมุ่งมั่นที่จะแข็งแกร่งขึ้นไม่หยุดของเขายิ่งเด็ดเดี่ยวมากขึ้นแต่พลังของคนคนเดียว หากอยากให้แข็งแกร่งจนถึงขั้นสองราชวงศ์หวาดกลัวนั้นยากมากจริงๆ

ดังนั้นตอนนี้จ้าวเฟิงจะต้องเพิ่มความแข็งแกร่งให้ขั้วอำนาจของตนเอง

พรึ่บ! จ้าวเฟิงดูดวารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวนขวดสุดท้ายเข้าไปในมิติตาซ้าย และทำการลอกเลียนแบบ

หลังจากที่ดวงตาเทพเจ้าแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อย พลังลอกเลียนแบบของจ้าวเฟิงก็พัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก

ห้าวันหลังจากนั้น

“ทรัพยากรพวกนี้ ให้เจ้าเอาไปพัฒนาเซียนที่มีศักยภาพกลุ่มหนึ่งด้วยเวลาที่สั้นที่สุด!”

จ้าวเฟิงมอบแหวนเก็บของวงหนึ่งให้ปี้ชิงเยวี่ย

ในแหวนนอกจากจะมีวารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวนที่สามารถเพิ่มอัตราการทะลวงขอบเขตเซียนแล้ว ยังมีทรัพยากรที่ได้จากห้วงฝันบรรพกาลและร่างเทพด้วย

แน่นอน ทรัพยากรพวกนั้นเป็นสิ่งที่จ้าวเฟิงใช้ไม่ได้แทบทั้งหมด แต่กลับเป็นของล้ำค่าที่มีประโยชน์มหาศาลต่อจักรพรรดิชั้นยอดและเซียนทั่วไป

จ้าวเฟิงเชื่อว่าปี้ชิงเยวี่ยจะจัดการสิ่งเหล่านี้ได้ดี

หลังจากที่สั่งในสิ่งที่ควรจะสั่งแล้ว จ้าวเฟิงก็ปิดด่านทันที

“ข้าได้ผลประโยชน์มามากมายยิ่งจากการเดินทางในร่างเทพ หากใช้สิ่งที่เก็บเกี่ยวมาได้ให้หมด พลังทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นมหาศาล!”

จ้าวเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว

หลังจากที่โคจร ‘หมื่นห้วงคิดเซียน’ แล้ว จ้าวเฟิงหนึ่งจิตใจใช้หลากหลาย นำมาฝึกฝนในหลายๆ ด้าน

ความคิดกลุ่มแรกนำมาฝึกฝน ‘วิชาแปลงเทพ’ เคล็ดวิชานี้จ้าวเฟิงเริ่มฝึกเข้าขั้นแล้ว ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ จ้าวเฟิงก็จะสามารถนำพลังเทพอื่นๆ มาฝึกฝนเป็นพลังเทพของตนได้

หลังจากที่มีพลังเทพแล้ว พลังชั้นกายเนื้อจ้าวเฟิงก็จะยกระดับขึ้น ในขณะเดียวกัน เขาจะสามารถใช้พลังของอาวุธเทพอย่าง ‘ตราเทพบรรพกาล’ ได้

จ้าวเฟิงคาดหวังกับพลังที่แท้จริงของอาวุธเทพชิ้นแรกของตนเป็นอย่างยิ่ง

ความคิดกลุ่มที่สอง จ้าวเฟิงนำมาทบทวนกลั่นกรองวิธีของร่างแยกร่างที่สอง

ก่อนหน้านี้ไม่นาน ปี้ชิงเยวี่ยส่งเคล็ดวิชาลับมากมายและตำราทฤษฎีจำนวนหนึ่งให้จ้าวเฟิง จ้าวเฟิงเชื่อว่า อีกไม่นาน ร่างแยกร่างที่สองของเขาก็จะสร้างขึ้นมาได้ อีกทั้งกำลังรบของร่างแยกร่างนี้จะใช้ประโยชน์ได้ทันที

ความคิดกลุ่มที่สาม จ้าวเฟิงนำมาดูดซับผสานพลังอัสนีเทวะ

ก่อนอื่น จ้าวเฟิงจัดการพลังอัสนีเทวะทั้งหมดในกะโหลกร่างเทพให้เสร็จสิ้น

“ผลึกเทพอัสนี!”

จ้าวเฟิงนำมุกแวววาวที่ส่องประกายอัสนีขาวทองออกมาเม็ดหนึ่ง

เสี้ยวขณะที่ผลึกเทพอัสนีปรากฏขึ้น พลังอัสนีทำลายล้างที่น่าหวาดกลัวราวอำนาจสวรรค์แผ่กระจายออก

ขณะนั้น ร่างกายและวิญญาณของคนทั้งตำหนักราชันสั่นสะท้านเบาๆ

พรึ่บ! จ้าวเฟิงเก็บผลึกเทพก้อนนี้เข้าไปในมิติตาซ้ายทันใด

“ขอบใจมาก ซินอู๋เหิน!” จ้าวเฟิงยิ้มเอ่ย

เขารู้สึกว่าผลึกเทพอัสนีก้อนนี้เป็นสิ่งที่ซินอู๋เหินเตรียมไว้ให้ตนเป็นพิเศษ

ผลึกเทพอัสนีที่แฝงด้วยพลังอัสนีเทวะ ไม่ใช่สิ่งที่ผลึกทั่วไปจะมาเปรียบเทียบกันได้

อีกทั้งจำนวนและคุณภาพของพลังอัสนีเทวะในผลึกเทพอัสนีก้อนนี้ก็มากเกินกว่าจินตนาการของจ้าวเฟิง มากเพียงพอให้เขาใช้

……

ในช่วงที่จ้าวเฟิงปิดด่าน พลังอัสนีเทวะใน ‘พื้นที่อันตรายอัสนีเทวะ’ บนสนามรบก็ค่อยๆ หายไป

ทั่วทั้งร่างเทพแทบจะถูกด่านเคราะห์อัสนีฟาดผ่าจนเละ จึงไม่มีของวิเศษล้ำค่าอะไรเหลือไว้ แต่ภาชนะเก็บอัสนีเทวะที่ใช้ได้ถูกผู้แข็งแกร่งของสองราชวงศ์เอาไป

หลังจากนั้น ผู้แข็งแกร่งชั้นยอดของสองราชวงศ์ก็กลับไปยังถิ่นของตน จากนั้นฟื้นฟูอาการบาดเจ็บหรือไม่ก็ทะลวงขอบเขตพลัง

แต่ในยามนี้ ข่าวอันน่าตกใจก็เป็นดุจลมพายุพัดเข้ามา ในบรรดาผู้แข็งแกร่งที่ต้านทานเทพแท้จริง ราชาเซียนสังสารวัฏที่สร้างคุณูปการมากที่สุดถูกจ้าวเฟิงสังหารลงแล้ว

ข่าวนี้ทำให้ขั้วอำนาจชั้นยอดทั้งหมดของทั้งสองราชวงศ์ตื่นตะลึงเป็นที่สุด

และขณะเดียวกันนั้น ในตำหนักราชัน ปี้ชิงเยวี่ยเลือกสมาชิกที่มีศักยภาพอีกทั้งสร้างคุณูปการค่อนข้างมากบางคนมา และมอบทรัพยากรทะลวงขั้นเซียนให้

ชั่วขณะนั้น เลือดร้อนระอุและความรู้สึกองอาจของเหล่าสมาชิกและลูกศิษย์ตำหนักราชันถูกปลุกขึ้น ยิ่งรู้สึกเคารพนับถือผู้อาวุโสสูงสุดจ้าวเฟิง

และผู้แข็งแกร่งที่ทะลวงขั้นเซียน ภายใต้การปกป้องจากของวิเศษชั้นเยี่ยมอย่างวารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวนและพลังชะตามังกร อัตราความสำเร็จของการทะลวงขั้นสูงมากกว่าแปดส่วน

พลังทั้งหมดของตำหนักราชันแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วอีกครั้ง

หลังจากนั้นหลายสิบวัน จ้าวเฟิงลืมตาทั้งสองขึ้น

วู้ม! ในมือของจ้าวเฟิง แสงเทพขาวทองเจิดจ้าปรากฏขึ้น แผ่กระจายพลังเทพสูงสุดที่สยบฟ้าดินออกมา

นี่ก็คือพลังเทพของตนกลุ่มแรกที่จ้าวเฟิงใช้ ‘วิชาแปลงเทพ’ ขั้นต้นและผลึกเซียนทั่วไปฝึกฝนออกมา

พรึ่บ! เหล็กสามเหลี่ยมสีดำชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเขา

จ้าวเฟิงอดใจรอไม่ไหว อยากจะลองใช้อาวุธเทพของตนเสียเหลือเกิน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version