บทที่ 1147 ดูหมิ่น
“รีบออกเดินทางต่อกันเถอะ!”
ยามนี้ เสียงของจ้าวเฟิงดังแว่วออกมาจากในรถ
คุณชายน้อยหลิวอวิ๋นแห่งเผ่าพันธุ์แพะหยกเขียวที่อยู่ข้างจ้าวเฟิง แววตาสองข้างเปล่งประกาย มองจ้าวเฟิงด้วยสายตาเป็นมิตร
ถึงแม้เขาจะยังเด็ก แต่ก็พอรู้เรื่องของตระกูลมาบ้าง เพราะการฆ่าล้างสังหารของเผ่าพันธุ์กวางยักษ์ บิดามารดาของเขาจึงตายจากไป ส่วนเขาต้องติดตามพี่สาวหนีไปที่พื้นที่อื่น
อีกทั้งในดินแดนเทพรกร้างนับถือคนที่ความแข็งแกร่ง ยอดฝีมือทั้งหมดได้รับความเคารพจากทุกเผ่าพันธุ์
“ขอบพระคุณผู้อาวุโสมาก!”
อวี้หลินเอ๋อร์สงบจิตใจลงช้าๆ จากนั้นเข้าไปภายในรถ
แต่เดิมพลังของผู้อาวุโสคนนี้อาจสามารถสังหารผู้อาวุโสที่สองของเผ่าพันธุ์กวางยักษ์ได้อย่างสบายๆ แต่ผู้อาวุโสผู้นี้ทำให้คนพวกนั้นบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น เอื้อให้คนเผ่าพันธุ์แพะหยกเขียวลงมือ จุดนี้ทำให้อวี้หลินเอ๋อร์ซาบซึ้งใจจ้าวเฟิงอย่างยิ่ง
ในตอนนี้ คนเผ่าพันธุ์แพะหยกเขียวแถวรถม้าจึงค่อยมุ่งความสนใจไปที่ ‘ผู้อาวุโส’ ที่อยู่ด้านใน
ไม่ว่าใครก็คาดคิดไม่ถึง ชายผู้เข้าร่วมกลุ่มระหว่างทางที่ดูจะอ่อนแอและรักตัวกลัวตาย กลับเป็นถึงยอดฝีมือผู้โดดเด่นเหนือใคร
คนในเผ่าที่เคยเย็นชาต่อจ้าวเฟิงใจสั่นสะท้าน รู้สึกเสียใจภายหลัง
“ที่แท้ผู้อาวุโสจ้าวฝีมือสูงส่งจริงด้วย มิฉะนั้นคงจะไม่เดินทางรอนแรมเพียงคนเดียวแน่!”
ใบหน้าหมานจื่อเต็มไปด้วยความยำเกรง
“ออกเดินทาง!”
หลังจากจัดการกลุ่มเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดก็เดินทางต่อทันที
ทว่าหลังจากที่ผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว บรรยากาศทั้งกลุ่มหนักอึ้งลงมาก เงียบกริบตลอดทาง
เวลาหลายวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เนื่องด้วยที่นี่อยู่ใกล้อาณาเขตของอิทธิพลเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทอง จึงไม่ถูกลอบโจมตีจากฝูงอสูรใด
“ผู้อาวุโส ถึงแล้ว!”
อวี้หลินเอ๋อร์เอ่ยอย่างสงวนท่าทีเล็กน้อย
ดวงตาทั้งสองข้างของจ้าวเฟิงเปิดออกอย่างเชื่องช้า กลิ่นอายวิญญาณแกร่งกล้าที่ไร้รูปร่างกระจายตัวออกช้าๆ
ตลอดทางที่ผ่านมา ถึงแม้จ้าวเฟิงไม่ได้ฝึกฝนเท่าไหร่นัก แต่จ้าวหวางและจ้าววั่นในมนตราอากาศกลับไม่เคยหยุดนิ่ง
จ้าวเฟิงพบว่าตอนที่พลังวิญญาณของจ้าวหวางและจ้าววั่นเพิ่มขึ้น พลังวิญญาณของตนก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
อีกทั้งขอแค่คนทั้งสามไม่ได้อยู่ไกลกันนัก พลังวิญญาณจะสามารถส่งต่อหากันและกันได้
‘ในเมื่อเป็นเคล็ดวิชาการฝึกฝนวิญญาณ ถึงข้าจะใช้มันเป็นเคล็ดวิชาแยกร่างเท่านั้น แต่มันก็ยังส่งผลช่วยวิญญาณของข้าพอควรด้วย! ‘
จ้าวเฟิงครุ่นคิดในใจ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็สามารถเมินเฉยต่อความอ่อนแอของพลังวิญญาณยามแยกร่างได้โดยสิ้นเชิง
“ข้าจะเข้าไปที่เผ่าพันธุ์แพะเพลิงทองพร้อมกับพวกเจ้า!”
จ้าวเฟิงเอ่ยเรียบๆ
อย่างไรเสีย หากมีจ้าวเฟิงเพียงคนเดียว สถานะจะชวนสงสัยอย่างยิ่ง การติดตามเผ่าพันธุ์แพะหยกเขียวเข้าไปด้านในจะสะดวกและง่ายกว่ามาก
เมื่อจ้าวเฟิงเดินออกจากตัวรถม้า เขาพลันเห็นตำหนักทองทอดตัวเรียงรายสูงต่ำ ตั้งตระหง่านโออ่า แผ่จิตต่อสู้ที่เก่าแก่ออกมา
คนเผ่าพันธุ์แพะหยกเขียวพากันยืนนิ่งด้วยความเคารพ แววตาทอประกายกระตือรือร้นและเฝ้าใฝ่หา
“ผู้มาเยือนคือใคร?”
ในตอนนี้ คนเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทองสองคนโบยบินออกมา
คนของเผ่าพันธุ์ทั้งสองร่างกายแข็งแกร่งกำยำ ผมยาวสีทองแดง บนศีรษะมีเขาหยกสีเดียวกันคู่หนึ่ง แววตาประกายเย็นชา
“พวกเราคือเผ่าพันธุ์แพะหยกเขียว ได้รับคำสั่งจากผู้อาวุโสในเผ่าให้มาขอเข้าพบผู้อาวุโสซือของเผ่าท่าน!”
สีหน้าท่านอาชิงเคร่งขรึมขณะส่งมอบจดหมายฉบับหนึ่งให้
ตามหลักการแล้ว เผ่าพันธุ์สามดาวทั่วไปจะไม่มีสิทธิ์พึ่งพาขั้วอำนาจเผ่าพันธุ์สี่ดาวในป่าไม้แดง
แต่ผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าพันธุ์แพะหยกเขียวในตอนนั้นมีสายสัมพันธ์อันดีกับคนระดับสูงผู้หนึ่งของเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทอง
ในครั้งนี้ เผ่าพันธุ์แพะหยกเขียวนำบรรณาการมา เพื่อขอความคุ้มครองจากผู้อาวุโสซือของเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทอง
ฟุ่บ! คนเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทองผู้หนึ่งกลับเข้าไปภายในเผ่าอย่างรวดเร็ว
ไม่นานเท่าไหร่นัก คนเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทองที่เฝ้าอยู่เบื้องหน้าของทุกคนหยิบป้ายตราคำสั่งชิ้นหนึ่งออกมา เมื่อได้รับข่าวสารข้อมูลก็พาทุกคนเข้าไปในเผ่าทันที
ระหว่างทาง จ้าวเฟิงกวาดตามองรอบๆ
ถึงแม้เผ่าพันธุ์แพะเพลิงทองจะเป็นขั้วอำนาจสี่ดาว แต่ขั้วอำนาจสี่ดาวจำลองอย่างตำหนักไท่หวงหรือวังลอยฟ้าในดินแดนทวีปไม่อาจเปรียบเทียบได้เลย
อย่างไรเสียขั้วอำนาจสี่ดาวที่แท้จริงจำเป็นต้องมีเทพแท้จริงดูแล ลำพังแค่เทพแท้จริงในเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทองก็น่าจะเอาชนะขั้วอำนาจสี่ดาวของปลอมในดินแดนทวีปทั้งหมดได้แล้ว
หนำซ้ำลูกศิษย์รุ่นเยาว์ในเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทองอยู่ในขอบเขตปราณเทวะขั้นแรกเริ่มเป็นจำนวนมาก อย่างน้อยก็อยู่ในขอบเขตปราณเทวะสมบูรณ์
ขอบเขตปราณเทวะขั้นแรกเริ่มก็เทียบเท่าได้กับราชันธรรมดา ส่วนขอบเขตปราณเทวะสมบูรณ์คือจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะ ณ ดินแดนทวีป
ในดินแดนเทพรกร้าง ไม่มีการเรียก ราชัน จักรพรรดิ หรือเซียน อย่างไรปราณเทวะขั้นแรกเริ่มคนหนึ่งในเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทองก็นับเป็นสมาชิกในระดับกลางและล่างเท่านั้น ถึงจะเป็นปราณเทวะสมบูรณ์ก็ยังอยู่ในระดับบนและกลางเท่านั้น
สถานะเช่นนี้จะให้มาเรียกราชันหรือจักรพรรดิได้อย่างไรกัน
“พวกเจ้าอยู่ที่นี่กันไปก่อน หากผู้อาวุโสซือมีเวลาจะเรียกพวกเจ้าไปพบเอง!”
ลูกศิษย์ผู้นี้กล่าวแบบขอไปที แล้วเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะมองพวกเขา
ในสายตาของเขา ถึงตนเองจะเป็นเพียงแค่คนเฝ้าประตูของเผ่า แต่ยังสูงค่ากว่าคนระดับสูงของเผ่าพันธุ์สามดาวมากนัก
คนเผ่าพันธุ์แพะหยกเขียวมองเรือนพักหรูหราหลายหลังด้านหน้า สีหน้าฮึดฮัด
การปรนนิบัติเช่นนี้ ไม่ต่างอะไรกับคนระดับแรงงานของเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทอง
“ทุกคนอยู่ที่นี่ไปก่อนเถอะ อย่างน้อยในวันนี้พวกเราก็ปลอดภัยแล้ว!”
ท่านอาชิงเอ่ยยิ้มๆ ในโลกใบนี้ ไม่มีพลังก็ทำได้เพียงอดทนเท่านั้น
เมื่ออยู่เบื้องหน้าเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทองระดับสี่ดาว สามารถพูดได้ว่าพวกเขาเล็กจ้อยอย่างยิ่ง ฝ่ายตรงข้ามให้พวกเขาเข้ามา ซ้ำยังจัดแจงให้ที่พักอาศัยให้ ก็นับว่าไว้หน้ามากแล้ว
“ผู้อาวุโส ลำบากท่านแล้ว!”
อวี้หลินเอ๋อร์เอ่ยด้วยความรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไร”
จ้าวเฟิงไม่ถือสาเรื่องนี้แม้แต่น้อย เลือกห้องห้องหนึ่งมาส่งๆ และเริ่มฝึกตน
“ระดับไอสวรรค์ฟ้าดินในดินแดนเทพรกร้างสูงส่งกว่าดินแดนทวีปหลายเท่าตัว และไอสวรรค์ในเผ่าสี่ดาวแห่งนี้หนาแน่นยิ่งกว่า!”
จ้าวเฟิงยิ้มน้อยๆ
ที่นี่แทบจะเป็นสถานที่ฝึกดีที่สุดตั้งแต่ที่เขาเคยเจอมา
“เหอะๆ ไม่ว่าที่ตั้งของขั้วอำนาจสี่ดาวใดในดินแดนเทพรกร้าง จะต้องมีสายแร่ผลึกสายหนึ่ง ไอสวรรค์ที่นี่ถึงหนาแน่นและบริสุทธิ์!”
มังกรวารีล้างโลกาเอ่ยปนหัวเราะในมนตราอากาศ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!”
จ้าวเฟิงรู้ชัดแจ้งทันที เหตุใดระหว่างเผ่าพันธุ์สี่ดาวและสามดาวในดินแดนเทพรกร้างจึงแตกต่างขนาดนี้
สายแร่ผลึกยักษ์สายหนึ่ง มากพอที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของทั้งเผ่าพันธุ์
ทว่าหากไม่มีพลังที่แกร่งกล้า จะสามารถปกป้องสายแร่ผลึกเอาไว้ได้อย่างไร
นี่ทำให้เผ่าพันธุ์ที่เก่งกาจในดินแดนเทพรกร้างมีอำนาจมหาศาล ส่วนเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอก็เป็นราวฝุ่นธุลี
ส่วนเผ่าพันธุ์หรือขั้วอำนาจสี่ดาวก็เป็นมาตรฐานเช่นนี้
ดังนั้นเผ่าพันธุ์สามดาวในดินแดนเทพรกร้างจึงแทบจะอยู่ในระดับล่างๆ ส่วนเผ่าพันธุ์สองดาวแทบจะเป็นดังมดปลวก
แต่ทันทีที่กลายเป็นเผ่าพันธุ์สี่ดาว จะนับได้ว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งจนสามารถปกครองเผ่าพันธุ์สองหรือสามดาวจำนวนมากได้
‘เหอะๆ ข้าก็ครอบครองสายแร่ผลึกเซียนระดับล่างสายหนึ่งในห้วงฝันบรรพกาล! ‘
จ้าวเฟิงลำพองใจเล็กน้อย
ในขณะนี้ สายแร่ผลึกเซียนระดับล่างสายนี้ถูกจ้าวเฟิงใช้ไปสองด้านหลักๆ อย่างแรก ใช้เพื่อเพิ่มทรัพยากรในการฝึกให้กับตนเอง อย่างที่สอง หล่อเลี้ยงบำรุงเผ่าพันธุ์โบราณมากมายในห้วงฝันบรรพกาล
จ้าวเฟิงโคจร ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน ‘เพื่อเริ่มฝึกตน
จนถึงตอนนี้ เป้าหมายหลักของจ้าวเฟิงก็คือสร้างความมั่นคงให้กับขอบเขตพลัง
หลังจากมาถึงดินแดนเทพรกร้าง จ้าวเฟิงพบว่าแต่ละด้านของตนยังสามารถพัฒนาไปได้อีกมาก ดังนั้นเขาจึงไม่รีบร้อนทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับระดับบริบูรณ์
แต่กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิงฝึกจนถึงขั้นเจ็ด ยากจะทะลวงผ่านขั้นเทพแท้จริงได้ในเวลาสั้นๆ
จ้าวเฟิงใช้ผลึกเซียนระดับล่างหลายเม็ดและทรัพยากรล้ำค่าโบราณล้ำค่าส่วนหนึ่ง โคจร ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ แล้วทำการดูดซึม
ตอนแรกที่เข้ามาในดินแดนเทพ จ้าวเฟิงรู้สึกปลอดโปร่งมาก ความเร็วในการฝึกเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ไอสวรรค์ที่หนาแน่นกลุ่มหนึ่งหลอมรวมเข้าไปในร่างของจ้าวเฟิง จ้าวเฟิงจึงใช้สามารถผลของยาล้ำค่าเหล่านี้ได้มากกว่าเดิม
อีกด้านหนึ่ง ไอสวรรค์ในมนตราอากาศเหมือนกับด้านนอกไม่มีผิดเพี้ยน จ้าวหวาง จ้าววั่น เจ้าแมวขโมยตัวน้อยและมังกรวารีล้างโลกาก็อยู่ระหว่างการฝึกตนเช่นกัน
ในกลุ่มนั้น ขอบเขตพลังของจ้าวหวางต่ำที่สุด แต่แบบนี้แล้วเขาจะมีโอกาสสร้างพื้นฐานให้แข็งแกร่งมากขึ้น
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่เจ้าแมวขโมยน้อยเข้าไปในดินแดนเทพรกร้างก็อยู่ในสภาวะฝึกตนตลอด ทำให้จ้าวเฟิงประหลาดใจอยู่บ้าง
หลังประเมินอย่างละเอียด จ้าวเฟิงสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายสายเลือดโบราณที่ซุกซ่อนอยู่ในร่างแมวขโมยน้อยชัดเจนมากขึ้น ขอบเขตพลังฝึกตนของเจ้าแมวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย
“ไม่ผิดคาด ประวัติความเป็นมาของแมวขโมยตัวนี้ไม่ธรรมดา มีสายเลือดที่แปลกประหลาดเช่นนี้ด้วย!”
นอกจากการฝึกตน ห้วงความคิดส่วนหนึ่งของจ้าวเฟิงสำรวจเจ้าแมวขโมยน้อย
เพราะการฝึกราบรื่นอย่างยิ่ง และยังไม่ถูกรบกวนจากคนอื่นๆ จ้าวเฟิงจึงปิดด่านฝึกตนตลอดโดยไม่ออกมา
เวลาไหลระเรื่อยราวสายน้ำที่ไม่ไหลคืนกลับมา หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่เผ่าพันธุ์แพะหยกเขียวก็ยังไม่ได้พบหน้าของผู้อาวุโสซือ
จนกระทั่งถึงวันนี้ จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงเสียงร้อนรนจำนวนมากดังมาจากภายนอก เขาถึงค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมา
……
มีสิ่งปลูกสร้างจำนวนมากในเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทอง นอกจากนั้นก็เป็นสนามประลองและเวทีประลอง
ในตอนนี้บริเวณรอบๆ สนามประลองขนาดยักษ์แห่งหนึ่งล้อมรอบไปด้วยคนเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทองหลายร้อยคน
แน่นอนว่าในนั้นยังมีลูกศิษย์ในเผ่าพันธุ์อื่นส่วนหนึ่ง ลูกศิษย์เหล่านี้เป็นคนที่ขั้วอำนาจเบื้องหลังอื่นจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยนมหาศาลส่งพวกเขาเข้ามาฝึกในเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทอง
ใจกลางกลุ่มคน หลิวอวิ๋นจากเผ่าพันธุ์แพะหยกเขียวมีเลือดสดไหลที่มุมปาก มองรอบบริเวณด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“เจ้าหนุ่ม เจ้าเป็นเผ่าพันธุ์ไหนกันแน่? เหตุใดข้าจึงไม่เคยเจอเจ้ามาก่อน?”
คนรุ่นเยาว์ชุดขาวที่บนศีรษะมีเขาแกะสีทองแดงยิ้มเจ้าเล่ห์
“คงไม่ใช่ลักลอบเข้ามากระมัง!”
คนรุ่นเยาว์ในชุดเขียวที่อยู่ข้างกายคนชุดขาวเอ่ยอย่างขึงขัง
ข้างกายของเขามีผู้ติดตามหลายคนรีบตามมาสมทบ
ลูกศิษย์เหล่านี้เป็นคนรุ่นหลังของผู้ดูแลหรือผู้อาวุโสในเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทอง คนชุดขาวผู้นั้นมีนามว่าซือจินหวา เป็นทายาทของซือซูหานผู้เป็นผู้อาวุโสที่สองในเผ่าพันธุ์
ลูกศิษย์ที่มีอภิสิทธิ์เช่นนี้มักรังแกลูกศิษย์คนอื่นในเผ่า เมื่อเบื่อๆ ไม่มีอะไรทำ เห็นใครขัดหูขัดตาก็จะรังแกคนผู้นั้น
วันนี้พวกเขาเจอหลิวอวิ๋นพอดิบพอดี
“แอบดูศิษย์ในเผ่าพันธุ์ข้าฝึกฝนเคล็ดวิชา เป็นเรื่องผิดมหันต์!”
ซือจินหวายิ้มน้อยๆ เอ่ยข่มขู่
ลูกศิษย์เผ่าพันธุ์แพะเพลิงทองรอบๆ หัวเราะเยาะทันที มีเพียงลูกศิษย์จำนวนน้อยนิดที่มองหลิวอวิ๋นอย่างเห็นใจ
“วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าสักหน่อย เพื่อไม่ให้เจ้าทำผิดอีกในวันหน้า!”
ซือจินหวายิ้มอย่างชั่วร้าย
ด้านข้างเขา ลูกศิษย์ในเผ่าพันธุ์จำนวนมากเตรียมจะลงมือ
“ยั้งมือก่อน!”
ท่านอาชิงโบยบินมา พลังอำนาจที่แกร่งกล้ากระแทกฝูงชนกระจายออกไป
สมาชิกคนอื่นของเผ่าพันธุ์แพะหยกเขียวที่เหลือก็เร่งรุดตามมาจากด้านหลัง รวมไปถึงอวี้หลินเอ๋อร์ด้วย
“หลิวอวิ๋น เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม!”
อวี้หลินเอ๋อร์มองไปที่หลิวอวิ๋นอย่างร้อนใจ
ซือจินหวาสัมผัสได้ถึงพลานุภาพกลุ่มนี้ สีหน้าตื่นตะลึงเล็กน้อย มองกลุ่มคนที่ตามมาแล้วเผยรอยยิ้ม
“ที่แท้ก็เป็นเจ้าพวกขยะนี่เอง ท่านปู่เพียงแค่เกรงใจไม่อยากไล่พวกเจ้าไป คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเจ้าจะเกาะอยู่ที่นี่!”
ซือจินหวาหัวเราะร่วนอย่างไม่ปิดบัง
สำหรับเรื่องของเผ่าพันธุ์แพะหยกเขียว ซือจินหวาเคยได้ยินซือซูหานผู้เป็นท่านปู่เอ่ยถึงบ้าง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ คนเผ่าพันธุ์แพะหยกเขียวย่อมเข้าใจความหมายในนั้น สีหน้าทะมึนและขุ่นเคืองยิ่ง
แต่ที่นี่คือเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทอง ถึงแม้คนหนุ่มชุดขาวจะอยู่แค่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง แต่เขาเป็นถึงทายาทของผู้อาวุโสซือ ต่อให้เผ่าพันธุ์แพะหยกเขียวมีดีนับหมื่นชิ้น ก็ยังไม่กล้าจะทำร้ายเขา
“หืม? สตรีนางนี้หน้าตาสวยงามไม่น้อย ถ้าหากพวกเจ้ามอบนางให้ข้า ข้าจะไปอ้อนวอนท่านปู่ให้ดูแลพวกเจ้ามากขึ้นอีกสักหน่อย!”
แววตาซือจินหวามองเรือนร่างแบบบางของอวี้หลินเอ๋อร์ไม่วางตา
“เจ้า…” สีหน้าท่านอาชิงโกรธเกรี้ยว จิตสังหารแผ่กระจาย
“พวกเจ้ากล้าทำร้ายข้า?”
ซือจินหวายืดอกขึ้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันของผู้แข็งแกร่งเทวาเร้นลับ เขาไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย มีแววดูแคลนเสียด้วยซ้ำไป
วูบ! ชายหนุ่มชุดเกราะดำที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดปรากฏขึ้นข้างกายซือจินหวาทันที ก่อนจะส่งแสงเพลิงสายหนึ่งออกไป กระแทกใส่ท่านอาชิงจนถอยร่นไปหลายจั้ง
เห็นได้ชัดเลยว่าคนผู้นี้ก็คือผู้แข็งแกร่งที่คอยปกป้องซือจินหวาในมุมมืด
“เฮยซาน เจ้ามาได้เวลาพอดี ช่วยข้าสั่งสอนพวกมันที ยกเว้นหญิงนางนี้!”
ซือจินหวาแค่นเสียงเย็น แววตาจับจ้องไปบนร่างอวี้หลินเอ๋อร์อีกครั้ง