บทที่ 1317 ตราเทพบรรพกาลแปรสภาพ
ครั้นแน่ใจว่าเหรียญทองแดงโบราณเหรียญนี้สามารถรับรู้ถึงแมวขโมยน้อยได้แล้ว จ้าวเฟิงก็เริ่มสังเกตอย่างละเอียด เหรียญทองแดงเหรียญนี้คือของขวัญที่หลิวฉินซินมอบให้เขาในครั้งบุกตำหนักฟั่นหลุนกู่อินตอนนั้น
ด้วยเหตุนี้หลังจากใช้พลังข้างในไปหมดแล้ว จ้าวเฟิงก็ไม่ได้โยนทิ้งและไม่ได้ให้แมวขโมยน้อยไป ตอนนั้นจ้าวเฟิงก็พิสูจน์อยู่หลายรอบแล้วว่าพลังในเหรียญทองแดงเหรียญนี้หายไปอย่างสมบูรณ์ แต่ทำไมหลังจากผ่านไปหลายสิบปี เหรียญทองแดงเหรียญนี้กลับมีพลังขึ้นอีกครั้ง นี่ช่างแปลกประหลาดเสียจริง อีกทั้งพลังกลุ่มนี้ไม่เหมือนกับพลังที่เคยมีอยู่ข้างใน พลังที่อยู่ในเหรียญทองแดงโบราณตอนนี้เป็นพลังศาสตร์แห่งโชคชะตาที่ล้ำลึกยิ่งกว่า
จ้าวเฟิงไม่มีพรสวรรค์ใดๆ ในศาสตร์แห่งโชคชะตา เมื่อคิดไม่ออกก็ไม่ไปคิดอะไรให้มาก แต่ว่าเหรียญโบราณเหรียญนี้ช่วยจ้าวเฟิงเอาไว้อย่างมหาศาลอีกครั้ง ใจของเขานึกขอบคุณหลิวฉินซินหรือหลิ่วฉินอินที่มาเกิดใหม่ตามสังสารวัฏ
“รอให้เรื่องพวกนี้เรียบร้อยแล้วจะกลับไปที่ดินแดนทวีปสักหน่อย!”
ใบหน้าของจ้าวเฟิงเผยแววหนักแน่น
อำนาจอิทธิพลของเผ่าพันธุ์วิญญาณสามารถเปิดทางไปสู่ดินแดนทวีปได้ เพียงแต่คนธรรมดาไม่มีสิทธิใช้เท่านั้น แต่จ้าวเฟิงตอนนี้คือเทพโบราณ และยิ่งเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดเผ่าพันธุ์วิญญาณ หากจะให้เผ่าพันธุ์วิญญาณส่งเขากลับไปดินแดนทวีปก็ไม่ยากลำบากใดๆ ทั้งนั้น
ถึงแม้เวลาที่จ้าวเฟิงอยู่ในดินแดนเทพรกร้างจะนานกว่าดินแดนทวีป แต่เขามีความรู้สึกพิเศษกับดินแดนทวีป และทวีปบุปผาคราม
เขาอยากกลับไปหาพ่อแม่ พบเจอเพื่อนฝูงครูบาอาจารย์ ดูว่าทวีปบุปผาครามสุขสงบดีหรือไม่ สถานการณ์ของราชวงศ์ต้าเฉียนและราชวงศ์จันทราทมิฬเป็นเช่นไร ทั้งยังอยากกลับไปดูว่าตอนนี้หลิ่วฉินอินเป็นอย่างไรด้วย…
หากกลับไปดินแดนทวีป จ้าวเฟิงจะต้องอยู่นานสักระยะหนึ่ง ดังนั้นต้องจัดการเรื่องของแมวขโมยน้อยให้เรียบร้อยก่อนแล้วจึงค่อยว่ากัน แต่ทว่า คิดอยากจะช่วยแมวขโมยออกไปจะต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่ไม่ธรรมดา
อีกฝ่ายให้ความสำคัญกับแมวความลับสวรรค์เช่นนี้ จะต้องซ่อนแมวขโมยน้อยไว้ในที่ที่ลับตาและมิดชิดที่สุดแน่
“ด้วยพลังของข้าในตอนนี้ อันตรายเกินไป!” จ้าวเฟิงส่ายหน้า
ก่อนอื่น สมาชิกในขั้วอำนาจของอีกฝ่าย ควบคุมวิชารวมเนตรเทพเจ้า นี่ก็เป็นอุปสรรคใหญ่หลวงอย่างยิ่ง หากไม่ใช่ว่าจ้าวเฟิงมีดวงตาเทพเจ้าที่สามารถรับมือพลังกลุ่มนั้นได้พอดี เขาไม่กล้าเข้าร่วมแน่นอน ต่อมาดูจากเทพโบราณเสวียนหมัวทั้งหกคน ก็สามารถมองออกว่าขั้วอำนาจของฝ่ายตรงข้ามไม่ธรรมดาเป็นแน่ ในขั้วอำนาจต้องมีผู้แข็งแกร่งมากมาย
ถึงแม้จ้าวเฟิงจะมีแรงสนับสนุนเช่นเผ่าพันธุ์กิเลนเพลิงโลหิต แต่หากงัดข้อกันซึ่งๆ หน้าคงไม่มีทางเป็นคู่มือของอีกฝ่ายได้เลย อีกทั้งหากไม่จำเป็นจริงๆ จ้าวเฟิงก็ไม่อยากใช้พลังกลุ่มนี้
สรุปแล้วภารกิจนี้อันตรายมากนัก
“หากพลังของตัวเองแข็งแกร่ง อะไรก็ไม่ใช่ปัญหา”
ฟุ่บ ฟุ่บ! ผลึกเสวียนอ้าวประเภทต่างๆ และของล้ำค่าสำหรับฝึกฝนเสวียนอ้าวปรากฏขึ้นเบื้องหน้าจ้าวเฟิงทันที
เขาควบคุมพลังเสวียนอ้าวห้าธาตุ วายุอัสนี และมิติเวลา ทรัพยากรที่ต้องใช้ฝึกฝนกำหนดไว้น่าตื่นตกใจเป็นอย่างมาก ลำพังเพียงแค่ของพวกนี้ที่จ้าวเฟิงใช้ก็แทบจะเป็นทรัพย์สินทั้งหมดในบ้านของเทพโบราณขั้นเจ็ดคนหนึ่งแล้ว
เมื่อค่าแลกเปลี่ยนสูง ผลที่ได้ก็ชวนให้ตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
เวลาสองเดือนกว่า จ้าวเฟิงยกระดับเสวียนอ้าวห้าธาตุ วายุอัสนี และมิติเวลาถึงขั้นหก
วิชาที่สอดคล้องกับ ‘พลังฟ้าประสานหนึ่ง’ ก็ยกระดับถึงขั้นสอง พลังเทพรวมศูนย์ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น น่าจะสามารถทัดเทียมกับพลังเทพของเทพโบราณขั้นแปดได้
จนถึงตอนนี้ จ้าวเฟิงจึงหยุดการฝึกฝนบรรลุพลังเสวียนอ้าว
ฟุ่บ! ฝ่ามือของเขาเพียงพลิก ชิ้นเหล็กสามเหลี่ยมสีดำก็ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ
“ให้ข้าดูซิว่าเจ้าซ่อนความลับอะไรเอาไว้กันแน่!” ตาซ้ายของจ้าวเฟิงโคจรขึ้น
ตราเทพบรรพกาลถือเป็นระดับสุดยอดในบรรดาอาวุธเทพระดับต่ำ ในตอนที่จ้าวเฟิงเพิ่งมายังดินแดนเทพรกร้างมันก็มีประโยชน์เป็นอย่างมาก พลานุภาพบดขยี้อาวุธเทพระดับต่ำทั่วไปได้ แต่จากการที่จ้าวเฟิงทะลวงถึงเทพโบราณเลย อาวุธชิ้นนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรใดๆ แล้ว
แต่เทพโบราณเฮยเทียนมุ่งหน้าเดินทางมาไกลเพื่อสังหารจ้าวเฟิงก็เพื่อเอาตราเทพบรรพกาลนี้ไป
นี่พิสูจน์ว่าอาวุธเทพชิ้นนี้ไม่ได้ธรรมดาเหมือนอย่างที่เห็น
“จากระดับความแข็งแรงทนทาน ตราเทพบรรพกาลเทียบเคียงได้กับอาวุธเทพระดับสูงได้เลย!”
จ้าวเฟิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
อาวุธเทพระดับต่ำชิ้นหนึ่งกลับมีระดับความแข็งแรงเช่นอาวุธเทพระดับสูง มิน่าเล่าตราเทพบรรพกาลจึงอยู่ในระดับสุดยอดในบรรดาอาวุธเทพระดับต่ำ แต่ว่าการแบ่งระดับของอาวุธเทพก็ไม่ได้ดูจากระดับความแข็งแรงทนทานเพียงอย่างเดียว
“ข้าจำได้ว่าในตราเทพบรรพกาลยังมีตราผนึกอยู่อีกสายหนึ่ง!” เมื่อความคิดดิ่งลึกเข้าไปข้างใน จ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงตราผนึกสายหนึ่งในตราเทพบรรพกาลอีกครั้ง
เป็นไปตามคาด มันเป็นตราผนึกที่เกี่ยวกับเผ่าความลับสวรรค์ อีกทั้งยังสลับซับซ้อนมาก ตราผนึกนี้ยังเกี่ยวพันไปถึงชั้นดวงวิญญาณอีกด้วย หากมีกลวิธีพิเศษเฉพาะก็ยังสามารถทำลายได้สบายๆ แต่จ้าวเฟิงตอนนี้ไม่ได้ศึกษาด้านนี้ และยิ่งไม่อาจป่าวประกาศความลับของตราเทพบรรพกาลได้ตามใจ ทำได้เพียงแค่อาศัยกำลังเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงต้องใช้เวลาสักหน่อย
ครืน! จ้าวเฟิงโคจรพลังเทพรวมศูนย์และพลังวิญญาณเข้าไปในตราเทพบรรพกาล ทะลวงผ่านตราผนึกกลุ่มนั้นไป
ในช่วงเวลาที่จ้าวเฟิงทะลวงตราผนึก ในมิติเนตรเทพเจ้าของเขาก็ยังคงคัดลอกทรัพยากรฝึกฝนทั้งหลายอยู่
หลังจากนั้นสิบวัน
“ตราผนึกสลายไปแล้ว!”
ตราเทพบรรพกาลในมือของจ้าวเฟิงพลันส่งคลื่นพลังมหาศาลออกมา ทำให้มังกรวารีล้างโลกาที่อยู่อีกด้านหนึ่งตื่นตกใจ เพราะพลังกลุ่มนั้นเป็นของขั้นเทพโบราณอย่างเห็นได้ชัด
วู้ม วู้ม! อักขระสีดำแต่ละสายทะลักออกมาจากใจกลางของตราเทพบรรพกาล และหมุนวนล้อมรอบมันไว้
“ช่างอัศจรรย์ยิ่งนัก เหมือนมันกำลังเปลี่ยนแปลงตราเทพบรรพกาล!”
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงสังเกตตราเทพบรรพกาลอย่างละอียด
ระดับความแข็งแรงของตราเทพบรรพกาลสูงถึงขั้นอาวุธเทพระดับสูง แต่ประสิทธิภาพกลับค่อนข้างต่ำ และในตอนนี้ หลังจากที่แหล่งกำเนิดพลังกลุ่มนี้ล้นทะลักออกมา ก็เหมือนว่ามันจะเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของตราเทพบรรพกาล อีกนานหลังจากนั้น ความเคลื่อนไหวของตราเทพบรรพกาลค่อยๆ หายไป
ความคิดของจ้าวเฟิงหลั่งไหลเข้าไปข้างในทันทีแล้วตรวจดูอย่างละเอียด
ตรงที่ตราผนึกแตกออกเป็นมิติเอกเทศขนาดเล็กๆ ในมิตินั้นมีแหล่งกำเนิดพลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งและตราผนึกเทพโบราณทั้งส่วนอยู่
“เอ๋? นั่นมัน?” สายตาของจ้าวเฟิงเพ่งไปยังกำแพงเบื้องหน้าในมิติแห่งนี้
เห็นเพียงแผนที่เล็กๆ เรียบง่ายสลักอยู่ข้างบน ข้างๆ ยังมีอักษรของเผ่าความลับสวรรค์เขียนอธิบายอยู่
“หรือว่าสิ่งที่ตำหนักวิญญาณบรรพกาลต้องการหาก็คือแผนที่เล็กๆ นี้?”
จ้าวเฟิงสงสัยเล็กน้อย
แผนที่นี้ไม่นับว่าใหญ่ โครงสร้างก็ไม่นับว่าซับซ้อนนัก จุดที่จำเป็นต้องใช้แผนที่จริงๆ ปกติแล้วล้วนเป็นสถานที่ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่หรือภูมิประเทศซับซ้อน แผนที่ที่เรียบง่ายเช่นนี้ จะมีหรือไม่มีก็ได้กระมัง
จ้าวเฟิงอ่านอักษรเผ่าความลับสวรรค์ที่อยู่ข้างๆ แผนที่ไม่ออก จึงไม่รู้ว่ายังมีเหตุผลอะไรอื่นอีกหรือไม่สำหรับจ้าวเฟิงแล้ว การไขความลับของตราเทพบรรพกาลก็ไม่ได้มีประโยชน์มากนัก ประโยชน์เพียงหนึ่งเดียวก็คือหลังจากทำลายผนึกแล้ว ตราเทพบรรพกาลก็ได้รับการปรับปรุงแก้ไข ระดับขั้นยกขึ้น ก้าวสู่อันดับของอาวุธเทพขั้นเทพระดับสูงแล้ว
เช่นนี้แล้ว จ้าวเฟิงก็มีอาวุธเทพที่เหมาะมือ พลังเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
“อาวุธเทพระดับสูง!” ดวงตาของมังกรวารีล้างโลกาตะลึงไปเล็กน้อย
อาวุธเทพชิ้นนี้ในมือของจ้าวเฟิง เขาพอรู้จักอยู่บ้าง แต่เดิมเป็นเพียงแค่อาวุธเทพระดับต่ำแต่จู่ๆ กลับเปลี่ยนเป็นอาวุธเทพระดับสูงเสียแล้ว
“ถึงเวลาลงมือแล้ว!” จ้าวเฟิงลุกยืน ยุติการปิดด่านฝึกตน
แมวขโมยน้อยโดนจับตัวไปแล้วสามเดือนกว่า กลุ่มเทพโบราณเสวียนหมัวทั้งหกคนก็ใกล้จะกลับไปถึงฐานที่มั่นแล้ว จากการรับรู้ของเหรียญทองแดงโบราณ จ้าวเฟิงยืนยันทิศทางคร่าวๆ ของของแมวขโมยน้อยได้ว่าอยู่ทิศทางเดียวกับซากโบราณสถานเผ่าความลับสวรรค์ที่เขาเคยไปสำรวจ
ที่แห่งนั้นใกล้กับบริเวณด้านนอกเขตเทพสวรรค์มาก จากการอนุมาน จ้าวเฟิงรู้สึกว่าพวกเขาอาจจะไปจากเขตเทพสวรรค์แล้ว และหากเป็นทิศนั้นแล้วละก็ เขตพื้นที่ที่อยู่ข้างเขตเทพสวรรค์ก็คือเขตพยับฟ้า!
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว จ้าวเฟิงก็ไปเยี่ยมเยือนจ้าวหยูเฟยก่อน
ผู้อาวุโสสามเผ่าพันธุ์วิญญาณอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามของเผ่า ต่อให้เป็นจ้าวเฟิงก็ต้องแจ้งก่อนจึงจะสามารถเข้าไปข้างในได้
“พี่เฟิง ท่านจะไปอีกแล้วรึ?” จ้าวหยูเฟยไม่ค่อยยินยอม
จ้าวเฟิงเพิ่งกลับมาเผ่าพันธุ์วิญญาณ อยู่ได้ไม่นานเท่าไหร่ ทั้งสองคนยังเจอกันครั้งนี้ครั้งแรก ผลสุดท้ายจ้าวเฟิงก็จะจากไปอีกแล้ว
จ้าวเฟิงพูดได้เพียงแค่ว่าเขาทำแมวขโมยตัวน้อยหายไปที่งานชุมนุมเนตรเทพเจ้า จากการตอบสนอง แมวขโมยน้อยเป็นไปได้เป็นอย่างมากว่าจะอยู่ที่เขตพยับฟ้า
“เจ้าแมวขโมยสมควรตายนั่น…ข้าจะไปกับท่านด้วย!”
จ้าวหยูเฟยจำแมวขโมยน้อยได้อย่างแม่นยำ นางเห็นจ้าวเฟิงจะมุ่งหน้าไปยังเขตพยับฟ้า เส้นทางไกลแสนไกลเพียงนั้น จึงเอ่ยอย่างอาลัยอาวรณ์ยิ่ง
“หยูเฟย จำสิ่งที่เจ้ารับปากข้าเอาไว้!”
ในเวลานี้เอง เสียงชราเสียงหนึ่งดังมาจากส่วนลึกในพื้นที่ต้องห้าม
ครั้นได้ยินคำพูดนี้ จ้าวหยูเฟยเผยสีหน้าจนปัญญาทันที
สีหน้าของจ้าวเฟิงฉายแววพิลึก จากการสืบข่าวจึงได้รู้ว่าจ้าวหยูเฟยเคยรับปากอาจารย์ว่าจะมุมานะฝึกฝนจนถึงขั้นเทพโบราณ จึงจะก้าวออกจากเผ่าพันธุ์วิญญาณได้
สำหรับเหตุผลก็เป็นเพราะจ้าวเฟิงปฏิเสธเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสสาม และจ้าวเฟิงตอนนี้มีระดับพลังฝึกตนขั้นเทพโบราณ ดังนั้น ผู้อาวุโสสามจึงกำหนดไว้ว่าลูกศิษย์ของตนจะต้องไล่ตามจ้าวเฟิงให้เร็วที่สุด กระทั่งล้ำหน้าเขาไปอีก
จ้าวเฟิงอดมองประเมินจ้าวหยูเฟยไม่ได้ เขาพบว่านางเพิ่งทะลวงเทพแท้จริงขั้นห้าได้ไม่นาน แต่พลังฝึกตนกลับถึงขั้นห้าสุดยอดแล้ว
‘สมกับที่เป็นสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณ อีกทั้งผู้อาวุโสสามยังฝากความหวังไว้ที่จ้าวหยูเฟย เหมือนว่าจะบ่มเพาะอย่างเต็มกำลัง’
จ้าวเฟิงทอดถอนใจอยู่ภายใน
เขาเชื่อว่าต่อให้ตนคาระวะผู้อาวุโสสามเป็นอาจารย์ ก็ไม่มีทางได้รับการดูแลเช่นจ้าวหยูเฟย ในเมื่อจ้าวหยูเฟยเป็นสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณ นี่ต่างหากจึงจะเป็นสิ่งที่ทางเผ่าให้ความสำคัญ
“ข้าไม่ไปแล้ว พี่เฟิงท่านต้องรักษาตัว…” จ้าวหยูเฟยรีบเปลี่ยนคำพูดทันที
“พี่เฟิง ช่วงนี้เผ่าพันธุ์วิญญาณน่าจะมีกองกำลังกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าไปยังเขตพยับฟ้า ท่านไปกับพวกเขาจะยิ่งปลอดภัย!”
จ้าวหยูเฟยเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงพูดออกมาทันที
“ได้!” จ้าวเฟิงพยักหน้า ก่อนจะจากพื้นที่ต้องห้ามเผ่าพันธุ์วิญญาณไป
การจากเผ่าพันธุ์วิญญาณไปครั้งนี้มีเวลาไม่แน่นอน ดังนั้นจ้าวเฟิงเลยตัดสินใจบอกกล่าวทางเผ่าก่อน และถือโอกาสถามเรื่องที่จ้าวหยูเฟยพูดเมื่อครู่ด้วย
“ใช่แล้ว มีเรื่องนี้จริงๆ เผ่าพันธุ์วิญญาณมีการค้าขายไปมากับ ‘เขามารทมิฬ’ ขั้วอำนาจห้าดาวในเขตพยับฟ้ามาโดยตลอด หนึ่งเดือนหลังจากนี้ เผ่าพันธุ์วิญญาณจะส่งสินค้าไปยังเขามารทมิฬ!”
เทพโบราณฝูหลิงพูดเรื่องนี้ออกมา
สุดท้าย จ้าวเฟิงก็เข้าร่วมกับกองกำลังกลุ่มนี้ เพราะเส้นทางไกลลิบ กองกำลังที่มุ่งหน้าไปค้าขายจึงล้วนนั่งเรือศึกลำใหญ่บินไป และจ้าวเฟิงก็ไม่ได้รีบร้อนไล่ตาม เขานั่งเรือรบทั้งสามารถเดินทางไป แล้วยังดึงเวลาออกมาฝึกฝนยกระดับพลังได้อีกด้วย
ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงยื่นคำประสงค์เข้าร่วมกองกำลังกลุ่มนี้
ก่อนออกเดินทาง จ้าวเฟิงเดินเล่นในเผ่าพันธุ์วิญญาณรอบหนึ่งแล้วไปพบกับพานฮ่าว ทั้งยังพาจ้าวหุยไปด้วย
ก่อนหน้านี้ ในตอนที่จ้าวเฟิงพาจ้าวหุยกลับมายังเผ่าพันธุ์วิญญาณ ก็จัดการให้เขาไปอยู่ในอันดับของลูกหลานในเผ่า ช่วงระยะนี้พลังฝึกตนของจ้าวหุยเพิ่มขึ้นไม่น้อย ศาสตร์แพทย์ก็เข้าขั้นแล้ว
ตอนนั้นเขาไม่มีเวลามาสนใจจ้าวหุย ครั้งนี้พามาด้วยก็เพราะอยากจะยกระดับพลังของเขาอย่างรวดเร็ว ไม่แน่ว่าอาจจะได้ใช้ประโยชน์อะไร
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน จ้าวเฟิงก็นั่งเรือรบเหล็กสีฟ้าขาวของเผ่าพันธุ์วิญญาณมุ่งหน้าไปยังเขตพยับฟ้า!