บทที่ 1393 กายเทพมารบรรพกาล
แสงมายาดุจความฝันแต่ละเส้นลอยเอ่อออกมาจากในดวงตาของจ้าวเฟิง โจมตีไปในท้องฟ้า
โพละ~ โพละ~
ภายใต้การโจมตีของแสงมายา ท้องฟ้าแตกกระจายเช่นฟองอากาศ
ฉากนี้ทำเอาเผ่าเทพยักษ์ทั้งสามตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน สายเลือดในกายสั่นสะท้านหวาดกลัว
“สหายจ้าว เจ้าเป็นอะไรไป…” เทพโบราณพั่วเยวี่ยถามหยั่งเชิง
“ตาของเขา” เทพโบราณหวาไฉ่จ้องตาซ้ายของจ้าวเฟิง หัวใจสั่นสะท้าน ถอยหลังไปหลายก้าวอย่างอดไม่ได้ ต้องรู้ว่า ต่อให้เป็นจอมเทพก็ไม่อาจทำลายมิติระดับสูงแห่งนี้ได้ แต่พลังที่ปลดปล่อยออกมาจากตาซ้ายของจ้าวเฟิง กลับทำให้มิติแห่งนี้เกิดรอยแตกร้าวขึ้น
วู้ม! ภายใต้การควบคุมอย่างสุดกำลังของจ้าวเฟิง ตาซ้ายของเขาค่อยๆ สงบลง แสงมายาก็หายวับไปทันที
“ข้าไม่เป็นไร!” ความรู้สึกมึนงงสับสนของวิญญาณเขาก็หายไปแล้วเช่นกัน จากนั้นจ้าวเฟิงมองไปยังใกล้ๆ ต้นไม้แห่งกาลเวลา แววตาเคร่งเครียดอยู่บ้าง
“พวกเราดูถูกคนของตำหนักวิญญาณบรรพกาลและเผ่าความลับสวรรค์ไปแล้ว!”
ซินอู๋เหินทอดถอนใจเบาๆ
“ก็ไม่ใช่จะไร้โอกาสเสียทีเดียว อย่างน้อยสามครึ่งก้าวสู่จอมเทพตำหนักวิญญาณบรรพกาลร่างกายก็บาดเจ็บ กำลังรบถูกทำลาย ส่วนพลังเผ่าบรรพกาลของอวี่เหิงก็มีเวลาจำกัด…”
จ้าวเฟิงไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่จึงค่อยพูดขึ้น
ทุกคนล้วนถูกพลังแข็งแกร่งที่อวี่เหิงแสดงออกมาสยบ ทำให้ไม่อาจวิเคราะห์ตัดสินอย่างเยือกเย็นได้
“ดี…” ซินอู๋เหินเข้าใจความหมายของจ้าวเฟิง ตอนนี้พวกเขายังมีโอกาส
ฟุ่บ… จากนั้น กลุ่มคนทั้งสี่ก็บินไปยังต้นไม้แห่งกาลเวลา
ต้นไม้แห่งกาลเวลา
“บัดซบ ยังมีศัตรูคนอื่นอีก…”
ใบหน้าโกรธแค้นเจ็บใจของมู่กู่ฉายแววสิ้นหวัง
“นายท่าน พวกเขาเป็นศัตรูกับตำหนักวิญญาณบรรพกาล!”
เทพโบราณเฉิงอวิ๋นเอ่ยปากพูด
แน่นอน เทพโบราณเฉิงอวิ๋นในตอนนี้ถูกร่างดวงจิตควบคุมอย่างสมบูรณ์แล้ว
“นั่นก็ไม่มีประโยชน์…” มู่กู่ส่ายหน้า
ถึงแม้จะพูดว่าศัตรูของศัตรูคือมิตรสหาย แต่ถึงเผ่าเทพยักษ์ยินดีช่วยพวกเขา โอกาสชนะก็ยังคงรางเลือนเช่นเดิม
อวี่เหิงจากเผ่าความลับสวรรค์ควบคุมพลังเผ่าบรรพกาลบางส่วนได้เชียว
พลังของเผ่าบรรพกาล ต่อให้เป็นเผ่าแสงก็ยากจะต้านทานได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเผ่าเทพยักษ์พวกนั้นเลย
“มู่กู่ เจ้าเด็กผมเงินนั่นไม่ค่อยธรรมดานัก ทั้งยังฝึกแมวความลับสวรรค์จนเชื่องอีกด้วย!”
เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนแอบส่งกระแสจิตไป
“เช่นนั้นรึ? แมวความลับสวรรค์?”
มู่กู่อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนมองประเมินจ้าวเฟิง
“ในที่สุดพวกเจ้าก็ออกมาเสียที เช่นนี้ก็ดีเลย จะได้จัดการเสียทีเดียว!”
อวี่เหิงมองไปยังกลุ่มเผ่าเทพยักษ์ที่บินมาจากที่ไกลๆ แล้วพลันหัวเราะขึ้น
หากพวกจ้าวเฟิงไม่ยอมปรากฏตัวขึ้น หลังจากที่พวกเขาจัดการเผ่าแสง ได้เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนมาแล้ว ก็ยังต้องพักอีกช่วงระยะหนึ่งจึงจะกำจัดฝ่ายเผ่าเทพยักษ์ได้
แต่ตอนนี้ ฝ่ายเผ่าเทพยักษ์ไล่ตามมาในตอนที่เขากระตุ้นสายเลือด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จัดการปัญหาทั้งหมดในทีเดียวเสียเลย
ครืน! ในฟ้าดิน กลิ่นอายบรรพกาลอันดึกดำบรรพ์หอบม้วนไปทั่วทิศ ทำให้หายใจไม่ออกไปชั่วขณะ สายเลือดสั่นสะท้านหวาดกลัว
“ตายซะ!” อวี่เหิงซัดฝ่ามือหนึ่งไปอย่างรวดเร็ว เป้าหมายคือพวกจ้าวเฟิง
ครืน ฉัวะ!
เห็นเพียงแสงเทพสีเงินทองเมินเฉยต่อทุกสิ่ง ทะลุผ่านท้องฟ้า ซัดมาเบื้องหน้าคนเผ่าเทพยักษ์ทั้งหลาย
“แย่แล้ว!” สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ซินอู๋เหินก้าวออกมาทันใด สายเลือดเผ่าเทพยักษ์ถูกกระตุ้นขึ้น แสงสีขาวระยับสาดส่องทั่วฟ้า
ในขณะเดียวกัน พลังกฎเกณฑ์ห้าธาตุค่อยๆ แผ่กระจายออกมา
พลังทั่วไปเมื่ออยู่ต่อหน้าอวี่เหิงก็รับไม่ได้แม้แต่หนึ่งกระบวนท่า มีเพียงพลังกฎเกณฑ์เท่านั้นถึงจะพอต้านทานได้
“ฝ่ามือห้าธาตุทลาย!”
ซินอู๋เหินยื่นฝ่ามือออกไป บนนิ้วมหึมาทั้งห้าพลันมีคลื่นวนพลังห้าสีที่แตกต่างกันปรากฏขึ้น
ครืน! เมื่อซัดมันออกไป ก็เห็นฝ่ามือแสงคลื่นวนห้าสีขนาดมหึมารับการโจมตีของอวี่เหิงด้วยท่าทีที่ทำลายล้างทุกสิ่ง
แต่ทว่า ไม่ถึงเสี้ยวขณะหนึ่ง
ครืน บึ้ม!
การโจมตีของซินอู๋เหินถูกบดขยี้ทันที แสงเทพเงินทองสายนั้นทะลุผ่านมา
แต่ซินอู๋เหินสกัดกั้นการโจมตีของอวี่เหิงเอาไว้ได้ชั่วขณะ คนอื่นๆ ที่เหลือก็มีเวลาหลบหลีก
ครืน ตูม ตูม! แสงเทพสีเงินทองสายนั้นโจมตีไปบนผืนดิน ทุกสิ่งตามรายทางที่ถูกสัมผัสโดนทำลายทันที
“ต้านทานไว้ได้ครู่หนึ่งงั้นรึ?”
อวี่เหิงตกใจเล็กน้อย
ซินอู๋เหินในตอนนี้ก้าวเข้าสู่ขั้นครึ่งก้าวสู่จอมเทพแล้ว และชาติที่แล้วของเขาคือจอมเทพ จึงรู้ถึงการใช้กฎเกณฑ์ รวมกับสายเลือดของเผ่าเทพยักษ์ ในสถานการณ์ปกติ คนขั้นต่ำกว่าจอมเทพแทบจะไร้พ่าย
“เผ่าความลับสวรรค์ ตายซะ!” อีกด้านหนึ่ง มู่กู่ฉวยโอกาสเข้าประชิดไปยังอวี่เหิง
“คมเวลาพิฆาต!” มู่กู่สะบัดเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชน ฟันคมมีดเวลาที่บิดเบี้ยวออกมาสายหนึ่ง
วู้ม ฟู่ ฟู่! คมมีดเวลานั้นทะลวงผ่านท้องฟ้ามาปรากฏต่อหน้าอวี่เหิงในพริบตา ฟาดฟันออกไปทันที
ตอนมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยมู่กู่ก็เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นจอมเทพ เข้าใจถึงการใช้กฎเกณฑ์ ตอนนี้เขาใช้เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนสำแดงการโจมตีที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานออกมาหากเปลี่ยนเป็นครึ่งก้าวสู่จอมเทพทั่วไป ในยามที่เผชิญกับการโจมตีสายนี้ เกรงว่าคงไม่มีแรงต้านทานแม้แต่น้อย และจะถูกสังหารในเสี้ยววินาทีอย่างแน่นอน
แม้กระทั่งคนตำหนักวิญญาณบรรพกาลทั้งสามก็ยังค่อนข้างห่วงอวี่เหิง
นั่นเป็นถึงการโจมตีจากผู้แข็งแกร่งเผ่าแสงที่ใช้เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนสำแดงออกมาเชียว!
“ฮ่าๆ!” อวี่เหิงหัวเราะเสียงเย็น กายเทพมารร่างนั้นปะทุกลิ่นอายสายเลือดที่ทรงพลังยิ่งกว่าออกมา
วู้ม ฟิ้ว ฟิ้ว! เส้นแสงสีเงินทองแต่ละสายพลันไหลเวียนบนผิวกายของเขา ทั้งยังแผ่กระจายแสงจางๆ
มองไปแล้วอวี่เหิงราวกับทิวแถวยืนตระหง่าน กำราบทุกสรรพสิ่ง
ครืน บึ้ม!
ในตอนนี้เอง การโจมตีที่มู่กู่สำแดงออกมาโจมตีไปยังร่างของอวี่เหิง
แต่สิ่งที่ทำให้คาดไม่ถึงก็คือ คมมีดเวลาที่บิดเบี้ยวสายนั้นเพิ่งจะเชือดเฉือนเข้าไปได้แค่ครึ่งส่วน พลังก็ลดลงอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ
ฉึก ฉัวะ! คมเวลาบิดเบี้ยวฝังเข้าลึกต่อไป แต่พลังก็หายไปรวดเร็วยิ่งขึ้น
“ฮ่าๆ ต่อให้ข้ามีพลังสายเลือดของเผ่าบรรพกาลเพียงสองสามส่วน พวกเจ้าก็ทำอะไรกายเทพมารบรรพกาลของข้าไม่ได้!”
อวี่เหิงเงยหน้าหัวเราะลั่น
ฉึก ฉัวะ! จากการแทงลึกลงไปไม่หยุด พลังของคมเวลาที่บิดเบี้ยวสูญสลายหายไปเกือบหมด ส่วนบาดแผลบนร่างของอวี่เหิงสมานกันอย่างรวดเร็ว
“นี่มัน…เผ่าบรรพกาล!”
ตำหนักวิญญาณบรรพกาลทั้งสามยืนอึ้งอยู่กับที่ ตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
มิน่าเล่า เผ่าบรรพกาลในตอนนั้นจึงสามารถเรียกได้ว่าทรงอำนาจท่ามกลางเผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วน ไม่มีใครสู้ได้
พลังของเผ่าบรรพกาลช่างคาดไม่ถึงเสียจริง
จ้าวเฟิงมองภาพนี้จากที่ไกลๆ ก็สั่นสะท้านเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน
การโจมตีที่มู่กู่ใช้เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนสำแดงออกมาทำอะไรอวี่เหิงไม่ได้
“เช่นนั้นแล้วก็ลงมือจากชั้นวิญญาณ…” แววตาของจ้าวเฟิงเปล่งประกาย
หลังจากอวี่เหิงกระตุ้นสายเลือดบรรพกาล ถึงแม้จะแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่พลังวิญญาณของตัวเขาน่าจะเป็นขั้นเก้าสุดยอด
ทันใดนั้น!
บนท้องฟ้าเหนือหัวของอวี่เหิง มีเนตรสีเงินมายามหึมาข้างหนึ่งปรากฏขึ้นพร้อมแผ่กระจายกลิ่นอายที่ชวนให้ผู้คนหวาดกลัว
เสี้ยวขณะนี้ กลิ่นอายดึกดำบรรพ์ทรงพลังที่อวี่เหิงแผ่กระจายออกมาอ่อนลงไปหลายส่วนอยู่รางๆ
“นี่มัน?” สายตาของอวี่เหิงฉายแววสงสัย จ้องไปยังท้องฟ้า
ลางสังหรณ์บอกเขาว่าดวงตานี้ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งทำให้ตอนนี้เขาคิดไปถึงแปดเนตรเทพเจ้า
“เนตรเพ่งเทพเจ้า!”
จ้าวเฟิงใช้สภาวะเนตรสวรรค์สำแดงวิชาดวงตาวิญญาณที่แข็งแกร่งออกมา
ทันใดนั้น แรงดูดวิญญาณที่แข็งแกร่งแผ่กระจายออกมาจากในดวงตาข้างนั้น
เมื่อใช้สภาวะเนตรสวรรค์สำแดงเนตรเพ่งเทพเจ้า พลังยิ่งแข็งแกร่ง ต่อให้เป็นครึ่งก้าวสู่จอมเทพก็ยังได้รับผลกระทบ
“วิชาดวงตากระชากวิญญาณ!” สีหน้าของเทพโบราณอวี้ห่ายตื่นตะลึงเล็กน้อย
อาการบาดเจ็บของเขาค่อนข้างสาหัส ต่อให้เป็นกายวิญญาณบรรพกาลก็ยังสัมผัสได้ถึงแรงดูดแข็งแกร่งที่จะฉุดกระชากเขาไป แต่ทว่า รอยยิ้มบนใบหน้าของอวี่เหิงที่อยู่อีกด้านยิ่งฉีกกว้างขึ้น
“เป็นไปได้อย่างไร…ไร้ประโยชน์?”
จ้าวเฟิงเผยสีหน้าตื่นตกใจ เนตรเพ่งเทพเจ้าของเขา ในยามที่ใช้บนร่างของอวี่เหิงแล้วราวกับกำลังฉุดกระชากยอดเขาหมื่นจั้งอย่างไรอย่างนั้น ช่างยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง
แต่อวี่เหิงกลับยืนอยู่ที่เดิม นิ่งสงบไม่ขยับเขยื้อน
“โง่เง่า กายเทพมารบรรพกาล วิญญาณและร่างกายคือร่างเดียวกัน ระดับสูงสุดแข็งแกร่งที่สุด สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ!”
อวี่เหิงหัวเราะเสียงดัง ฝ่ามือพลันสะบัดไปข้างบนทันที
ทันใดนั้น แสงเทพสีเงินทองก็พุ่งไปยังดวงตาสีเงินมายาบนท้องฟ้า
“ไม่ได้การ!”
สีหน้าของจ้าวเฟิงเปลี่ยนไปทันที ตาซ้ายของเขาเต้นกระตุกไม่หยุด
เขาถอนเนตรสวรรค์ออกด้วยความเร็วสูงที่สุด
แต่อย่างไรก็ช้าไปครึ่งส่วน
ครืน!
การโจมตีของอวี่เหิงมีส่วนเล็กๆ บางส่วนที่แผ่ระลอกคลื่นไปถึงเนตรสวรรค์ ส่งผลกระทบอีกขั้นไปยังวิญญาณของจ้าวเฟิง
ตลอดมา จ้าวเฟิงมั่นใจในการป้องกันวิญญาณของตนเป็นอย่างยิ่ง แต่เสี้ยวขณะนี้เขาสัมผัสถึงความเจ็บปวดที่รุนแรงเสียยิ่งกว่าการแยกวิญญาณ
“อ๊าก…” ความเจ็บปวดที่รุนแรงทำเอาจ้าวเฟิงร้องออกมา มือทั้งสองกำหมัด ก่อนร่วงสู่พื้นทันที
วู้ม! แสงเทพสีเงินทองที่อ่อนแรงส่งผลกระทบไปบนวิญญาณของจ้าวเฟิง และทำลายทุกสรรพสิ่ง จนกระทั่งแผ่ระลอกคลื่นไปในดวงตาเทพเจ้า
ฟู่! ทันใดนั้น ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงตลบอบอวลไปด้วยแสงวนมายาชั้นหนึ่ง
สิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็คือ แสงเทพสีเงินทองนั่นพลันสงบลงทันใด
จากนั้นแสงวนมายาแผ่กระจายแรงดึงดูดออกมา แล้วดูดซับพลังเผ่าบรรพกาลที่แผ่ระลอกคลื่นมาถึงวิญญาณของจ้าวเฟิง
“จ้าวเฟิง!” เผ่าเทพยักษ์ทั้งสามเผยสีหน้าร้อนรน
“หืม? การโจมตีวิญญาณแผ่ระลอกคลื่นไปถึงชั้นดวงวิญญาณ แต่กลับไม่ตายงั้นรึ!”
แววตาสงสัยของอวี่เหิงมองไปยังจ้าวเฟิงอย่างลึกซึ้งขึ้น ครรลองสายตาค่อยๆ เบนมายังตาซ้ายของจ้าวเฟิง
“ตาซ้ายของมัน…” จิตใจของอวี่เหิงพลันร้อนรน
“บุก!” ในตอนนี้เอง ซินอู๋เหินร้องคำรามออกมา จากนั้นพุ่งออกไปทันที
“เผ่าเทพยักษ์ทุกคน หากช่วยข้าโจมตีพวกมันจนถอยไปได้ ข้าจะขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง!”
มู่กู่พูดขึ้นทันที
เมื่อครู่ในยามที่ซินอู๋เหินลงมือ เขาก็สังเกตได้ว่าซินอู๋เหินไม่ใช่ครึ่งก้าวสู่จอมเทพทั่วไปแน่นอน เป็นไปได้อย่างมากว่าอาจเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นจอมเทพมาเกิดใหม่ตามสังสารวัฏ
เช่นนั้นแล้ว พวกเขาร่วมมือกันอาจมีพลังต้านทานได้
“คนเดียวก็ไม่ไว้ชีวิต!” อวี่เหิงคำรามเสียงต่ำ
ครึ่งก้าวสู่จอมเทพตำหนักวิญญาณบรรพกาลก็พุ่งออกมาพร้อมกัน
“ไสหัวไป!” ซินอู๋เหินตวาดลั่น ดัชนีหนึ่งแตะออกไปทันที
ดัชนีนั้นแฝงด้วยสายเลือดและพลังแก่นแท้พลังเผ่าเทพยักษ์ที่แข็งแกร่ง ทั้งยังมีการรับรู้กฎเกณฑ์ของซินอู๋เหินอีกด้วย
ครืน ตูม ตูม!
แรงกดดันฟ้าดินที่มหาศาลบดขยี้ไปยังครึ่งก้าวสู่จอมเทพตำหนักวิญญาณบรรพกาลทั้งสามคน
เทพโบราณเมี่ยหลิวและเทพโบราณอวี้ห่ายถูกโจมตีล่าถอยไปทันที อเนจอนาถเป็นอย่างยิ่ง ส่วนเทพโบราณหานอวี้เชี่ยวชาญด้านป้องกัน พลังแข็งแกร่ง จึงค่อยยังชั่วอยู่บ้าง
ฟิ้ว! ในตอนนี้เอง เทพโบราณเฉิงอวิ๋นมาถึงยังข้างกายซินอู๋เหิน
“เจ้าไปช่วยท่านมู่กู่!”
เทพโบราณเฉิงอวิ๋นพูดขึ้นทันที จากนั้นก็โจมตีไปยังครึ่งก้าวสู่จอมเทพตำหนักวิญญาณบรรพกาล
หลังจากมาถึงพื้นที่ต้องห้ามเผ่าแสงแล้ว พลังของเขาก็ยกระดับขึ้นอีกไม่น้อย พลังที่ใช้ไปก่อนหน้านี้ก็ฟื้นฟูขึ้นพอประมาณแล้ว อีกทั้งอยู่ที่นี่เขาไม่ถูกควบคุม พลังจึงยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
ในขณะเดียวกัน เทพโบราณพั่วเยวี่ย เทพโบราณหวาไฉ่ อีกทั้งแมวขโมยน้อยก็เข้าร่วมสถานการณ์รบด้วยเช่นกัน โดยไปช่วยเหลือเทพโบราณเฉิงอวิ๋น
ครึ่งก้าวสู่จอมเทพตำหนักวิญญาณบรรพกาลทั้งสาม เป็นเพราะก่อนหน้านี้ต่อสู้กับมู่กู่ ร่างกายมีบาดแผล ใช้พลังค่อนข้างมาก กำลังรบเลยสูญเสียหนัก
คนฝั่งเทพโบราณเฉิงอวิ๋นก็ไม่หวังที่จะเอาชนะอีกฝ่าย ขอเพียงแค่พยายามตรึงกำลังเอาไว้ให้ได้ก็พอ
ครืน ตูม บึ้ม
บนผืนแผ่นดินรกร้างกว้างใหญ่ ประกายแสงพลังที่น่ากลัวพุ่งไปทั่วทุกทิศ ทั่วทั้งฟ้าดินสั่นไหวอย่างบ้าคลั่ง
แต่มีเพียงจ้าวเฟิงคนเดียวเท่านั้นที่นอนอย่างสงบอยู่ที่ชายขอบสนามต่อสู้
ในมิติเนตรเทพเจ้า หลังจากที่ลูกทรงกลมสีเงินมายาดูดซับพลังเผ่าบรรพกาลแล้วก็ร้อนรนเป็นอย่างยิ่ง มันหมุนวนรวดเร็ว แผ่กระจายหมอกแสงมายาออกมา ย้อมทั่วทั้งมิติเนตรเทพเจ้าจนราวกับภาพความฝัน
ส่วนความคิดของจ้าวเฟิงจมลงไปในลูกทรงกลมมายา มองเห็นภาพแต่ละฉากอย่างเลือนราง