บทที่ 1407 ร่วมรบ
“น่ากลัวว่านี่คงเป็นสาเหตุที่เผ่าเปลวทองและเผ่าพันธุ์วิญญาณเปิดศึกกันกระมัง!” จ้าวเฟิงใจค่อนข้างหนักอึ้ง
“ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้เผ่าเปลวทองกระทั่งส่งครึ่งก้าวสู่จอมเทพมาพยามยามลอบสังหารจ้าวหยูเฟย แต่ถูกเผ่าเราพบและขัดขวางไว้” ผู้อาวุโสสามพูดออกมาทั้งสีหน้าเย็นชา
“อะไรนะ? เผ่าเปลวทองส่งครึ่งก้าวสู่จอมเทพมาสังหารหยูเฟยงั้นรึ?”
สีหน้าของจ้าวเฟิงตกตะลึงไปเช่นกันคิดไม่ถึงว่าเผ่าเปลวทองจะส่งคนพลังระดับนี้มาจัดการกับคนรุ่นหลังขั้นเทพโบราณ
“ตอนนี้หยูเฟยคือคนสำคัญของเผ่าพันธุ์วิญญาณ แค่เพียงนางพัฒนาขึ้น เผ่าเปลวทองก็ไม่ใช่คู่มือของเผ่าพันธุ์วิญญาณเราอีกต่อไป!”
ผู้อาวุโสที่สามมีสีหน้ายินดี สายตาแฝงไว้ด้วยความหวัง
ก่อนอื่น ในฐานะที่เขาเป็นอาจารย์ของจ้าวหยูเฟย หากนางกลายเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นจอมเทพ เขาก็ได้หน้าด้วยเช่นกัน ต่อมา จ้าวเฟิงเคยปฏิเสธไม่เป็นศิษย์ของเขา แต่จ้าวหยูเฟยลูกศิษย์คนที่สองของผู้อาวุโสสาม ความสำเร็จในวันข้างหน้าของนางจะต้องล้ำหน้าจ้าวเฟิงอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้หากคนภายนอกเอ่ยถึงอัจฉริยะหมายเลขหนึ่งของเผ่าพันธุ์วิญญาณ จะต้องเป็นจ้าวเฟิงแน่นอน แต่หากเป็นหลังจากนี้มันก็ไม่แน่แล้ว
“หลังจากที่หยูเฟยกลับมาจากมิติลับก็ถึงเทพโบราณขั้นเจ็ด ตอนนี้ปิดด่านมานานหลายปีแล้ว…”
เมื่อเห็นสีหน้าตกใจของจ้าวเฟิง ผู้อาวุโสสามรอยยิ้มยิ่งกว้าง ก่อนพูดต่อไป
จ้าวเฟิงพยักหน้า ศักยภาพของจ้าวหยูเฟยเดิมก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ตอนนี้ได้มรดก ‘เผ่าเทพสงคราม’ มา ความสำเร็จในอนาคตไม่แน่ว่าอาจจะนำเผ่าพันธุ์วิญญาณกลับสู่ความรุ่งเรืองเช่นอดีตได้
“จ้าวเฟิง ตอนนี้เผ่าพันธุ์วิญญาณขาดแคลนกำลังรบของผู้นำระดับสูง เจ้ากลับมาได้พอดีเลย มิสู้ไปฝึกฝนที่แนวหน้าสักหน่อย!”
ผู้อาวุโสสามมองไปยังจ้าวเฟิงพลางพูดต่อ
ถึงแม้เขาจะไม่พอใจจ้าวเฟิง แต่ก็เป็นแค่เพราะจ้าวเฟิงปฏิเสธไม่เป็นศิษย์ของเขาในตอนนั้นเท่านั้น
ตอนนี้จ้าวเฟิงเพิ่งกลับมาจากการออกเดินทางฝึกฝน พลังฝึกตนรุดหน้าถึงขั้นแปดสุดยอดอย่างรวดเร็ว พลังแฝงของเขาจะต้องไม่มั่นคงอย่างแน่นอน พลังก็เทียบไม่ได้กับขั้นแปดสุดยอดรุ่นอาวุโส
ดังนั้นผู้อาวุโสสามจึงให้จ้าวเฟิงไปสนามรบเพื่อฝึกฝนสักหน่อย ทำพลังฝึกตนให้มั่นคงขึ้น อีกด้านหนึ่งก็เพื่อช่วยลดสถานการณ์เสียเปรียบของเผ่าพันธุ์วิญญาณด้วย
“ขาดแคลนกำลังรบผู้นำระดับสูง?” จ้าวเฟิงค่อนข้างสงสัย
ตามหลักแล้ว พลังทั้งหมดของเผ่าพันธุ์วิญญาณต้องแข็งแกร่งกว่าเผ่าเปลวทองหนึ่งขั้นถึงจะถูก
“ศึกระหว่างสองเผ่าเริ่มขึ้นจากเผ่าเปลวทองยุยง ตอนนั้นจู่ๆ พวกมันก็ลอบโจมตี สังหารกำลังรบผู้นำระดับสูงเผ่าพันธุ์วิญญาณไปหลายคนอย่างรวดเร็ว ถึงแม้เผ่าพันธุ์วิญญาณจะตอบโต้ได้ในทันที แต่สถานการณ์การรบตอนนี้ก็ยังเป็นเผ่าเปลวทองที่ได้เปรียบ!”
ผู้อาวุโสสามพูดด้วยสีหน้าโกรธแค้น
“เช่นนั้นก็ได้!” จ้าวเฟิงตกลงเข้าร่วมรบ
หลังจากที่เขากลายเป็นลูกศิษย์หลักของเผ่าพันธุ์วิญญาณ ก็อาศัยเผ่าพันธุ์วิญญาณขั้วอำนาจห้าดาวนี้จนได้รับประโยชน์มาไม่น้อย และตอนนี้ศึกระหว่างสองเผ่ายังเกิดขึ้นเพราะจ้าวหยูเฟย จ้าวเฟิงจะปล่อยวางไม่สนใจไม่ได้
นอกจากนั้น หลังจากผ่านสงครามและการสังหารมากมาย ถึงตอนนั้นจ้าวเฟิงสลายผนึกพลังฝึกตน เผยพลังที่แท้จริงออกมา โอกาสที่จะถูกคนสงสัยก็จะน้อยลงไปมาก
“ดี เจ้ารีบไปยัง ‘สำนักเทียนหลัว’ ขั้วอำนาจนี้นับเป็นที่ที่ค่อนข้างสำคัญแห่งหนึ่งในเขตพื้นที่เผ่าพันธุ์วิญญาณ เผ่าเปลวทองคิดจะยึดครองมาโดยตลอด!”
ผู้อาวุโสสามมอบภารกิจสำคัญให้จ้าวเฟิงทันที
หลังออกมาจากพื้นที่ต้องห้ามเผ่าพันธุ์วิญญาณแล้ว จ้าวเฟิงพักเพียงเล็กน้อยก็ออกเดินทางต่อ
ในขณะเดียวกัน ในโถงลับใต้พิภพที่มีแสงไฟร้อนแรงคุกรุ่น
“รายงานผู้อาวุโส จ้าวเฟิงกลับเผ่าพันธุ์วิญญาณแล้ว!”
ชายเกราะทองคนหนึ่งกะพริบวูบไหวก่อนปรากฏขึ้นในตำหนักใต้ดิน ท่าทีเคารพนอบน้อม
ตรงหน้าเขามีแสงเลือนรางสามกลุ่มลอยอยู่
คนตรงกลางอายุค่อนข้างมาก แต่ร่างกายสูงใหญ่แข็งแรง เปลวไฟทองลุกท่วมทั่วร่าง ใบหน้าคร่ำเคร่งทรงอำนาจ
“เจ้าเด็กนั่นปรากฏตัวขึ้นอีกแล้ว!” ผู้อาวุโสจินสายตาเป็นประกายคมกล้า
เขาก็คือผู้อาวุโสจินที่นำเผ่าเปลวทองเข้าร่วมการต่อสู้ของสองเผ่าในตอนนั้น เขาจำจ้าวเฟิงได้แม่นเป็นที่สุด
“เผ่าพันธุ์วิญญาณนี่ช่างโชคดีเสียจริง มีจ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟยอัจฉริยะชั้นยอดสองคนนี้อยู่!”
ด้านซ้ายของผู้อาวุโสจินเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างค่อนข้างเตี้ย สายตาเปล่งประกายชั่วร้ายมากเล่ห์
“สถานการณ์ของจ้าวเฟิงตอนนี้เป็นเช่นไร?” ผู้อาวุโสจินถามขึ้นอีกครั้ง
“จ้าวเฟิงกลับคืนเผ่าพันธุ์วิญญาณ พลังฝึกตนสูงถึงขั้นแปดสุดยอด ตอนนี้ไปจากเผ่าแล้ว เหมือนว่าจะเตรียมตัวเข้าสู่สนามรบ!”
ชายเกราะทองตอบทันใด
“ขั้นแปดสุดยอด?” ผู้อาวุโสจินและชายวัยกลางคนตัวเตี้ยตื่นตะลึง
“ไม่ถึงสิบปี จากเทพโบราณขั้นเจ็ดไปถึงขั้นแปดสุดยอด!”
สีหน้าของผู้อาวุโสจินเคร่งเครียดเป็นอย่างยิ่ง
เพียงพูดออกไปเช่นนี้ เปลวไฟสีเทาเข้มด้านขวาของผู้อาวุโสจินไหววูบเล็กน้อย แผ่กระจายไอเย็นที่เย็นเยียบเสียดกระดูก
“คอยจับตามองทุกการกระทำของจ้าวเฟิงอย่างใกล้ชิด มีข่าวใดรีบรายงานทันที!”
ผู้อาวุโสจินพลันตะโกนสั่ง
จากนั้นชายเกราะทองก็ไปจากโถงลับ
“จะปล่อยโอกาสนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด หลังจากรู้ว่าจ้าวเฟิงอยู่ที่ใด ให้รีบส่งผู้แข็งแกร่งไปสังหารมันทันที!” สายตาของผู้อาวุโสจินหนักอึ้ง เริ่มคิดไตร่ตรองเลือกหาคนที่เหมาะสม
ในตอนนี้เอง เปลวไฟสีเทาเข้มเย็นเยียบที่อยู่ด้านขวาของผู้อาวุโสจินพลันแผดเสียง
ข้างในมีเงาคนเดินออกมา ร่างนั้นสวมชุดกระโปรงสีทองอ่อนหรูหราสูงส่ง ใบหน้างดงามกลับแฝงด้วยความเย็นชา ร่างสูงโปร่งอรชรชวนให้คนหลงใหล กลิ่นอายล้ำลึกแปลกประหลาด ราวกับภูเขาน้ำแข็งที่สัมผัสไม่ได้แต่มีตัวตนอยู่
“จ้าวเฟิงคนนี้ มอบให้ข้าจัดการเองเถอะ!” สตรีผู้เย็นชาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย็นชา
สายตาของชายวัยกลางคนร่างเตี้ยที่จ้องเพ่งไปยังสตรีเย็นชาฉายประกายประหลาด
“ฮ่าๆ ก็ดี เรื่องของจ้าวเฟิงก็มอบให้เจ้ารับผิดชอบแล้วกัน!” ผู้อาวุโสจินเผยยิ้มเล็กน้อย ก่อนตอบตกลง จากนั้นเปลวไฟเย็นเยียบก็หุ้มล้อมร่างของสตรีเย็นชาไว้ กะพริบวูบวาบแล้วหายวับไป
“จุ๊ๆ เทพโบราณหานเยี่ยน (เปลวไฟเหมันต์) ช่างงามขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ แต่เย็นชาเกินไปนิด ไยนางจึงสนใจเรื่องของจ้าวเฟิงถึงเพียงนี้?”
ชายวัยกลางคนร่างเตี้ยถามขึ้นทันทีหลังจากที่เทพโบราณหานเยี่ยนจากไป
เทพโบราณหานเยี่ยนคือสาวงามอันดับหนึ่งของเผ่าเปลวทอง และยิ่งเป็นอัจฉริยะของเผ่าเปลวทองที่มีพรสวรรค์สูงที่สุดในช่วงเกือบร้อยล้านปี
เนิ่นนานก่อนหน้านี้ ในยามที่เทพโบราณหานเยี่ยนเลื่องชื่อ ก็ดึงดูดอัจฉริยะรูปงามเขตเทพสวรรค์มากมายมาเกี้ยวพา แต่เทพโบราณหานเยี่ยนกลับไม่พอใจเลยสักคนเดียว
หลังจากนั้นเทพโบราณหานเยี่ยนก็ออกเดินทางฝึกฝน ในยามที่กลับมาก็กลายเป็นครึ่งก้าวสู่จอมเทพแล้ว!
“นางก็แค่สนใจในอัจฉริยะเท่านั้น ไม่ใช่ชอบพอ แต่เป็นทรมานสังหาร!”
ผู้อาวุโสจินเผยรอยยิ้มที่มีความหมายแฝงลึกซึ้ง
สิบกว่าวันหลังจากนั้น จ้าวเฟิงมาถึงยังสำนักเทียนหลัวที่อยู่ในเขตพื้นที่ของเผ่าพันธุ์วิญญาณ
สำนักเทียนหลัวตั้งอยู่บนยอดเขาที่ทอดตัวเป็นแนวยาว ยามที่จ้าวเฟิงเข้าไปใกล้ก็ถูกคนในสำนักเทียนหลัวสังเกตพบ
“ผู้มาเยือนเป็นใคร?” เสียงก้องกังวานดังออกมา สั่นสะเทือนไปทั่วฟ้าดิน
“จ้าวเฟิงจากเผ่าพันธุ์วิญญาณ ได้รับคำสั่งของผู้อาวุโสสามให้มาช่วยสำนักเทียนหลัว!”
จ้าวเฟิงตอบไปทันที
แต่ในใจของเขานึกสงสัยเล็กน้อย ผู้กุมอำนาจในสำนักเทียนหลัวจะต้องรู้จักตนอย่างแน่นอน กลับยังถามออกมาเช่นนี้
เขาอดโคจรดวงตาซ้ายขึ้นไม่ได้ แล้วมองทะลุผ่านค่ายกลป้องกันสีเหลืองหม่นและสิ่งก่อสร้างเป็นชั้นๆ เข้าไปยังต้นกำเนิดของเสียงนั้น
อีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคนทรงอำนาจในชุดสีทอง กลิ่นอายแข็งแกร่ง พลังฝึกตนถึงขั้นแปดสุดยอด ข้างๆ ชายวัยกลางคนชุดทองมีชายหนุ่มใบหน้างามสง่า ท่าทางหยิ่งทะนงเย็นชายืนอยู่
“เทพโบราณปิงหยวน?”
สีหน้าของจ้าวเฟิงอึ้งตะลึง เข้าใจในทันที
เทพโบราณปิงหยวนคือเทพโบราณที่เป็นไพ่ตายออกต่อสู้ของเผ่าพันธุ์วิญญาณในศึกเดิมพันสองเผ่าเมื่อครั้งที่แล้ว แต่ในการต่อสู้เดิมพัน เทพโบราณปิงหยวนกลับพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถในทันที สุดท้ายจ้าวเฟิงเพียงคนเดียวพลิกสถานการณ์ต่อสู้ ได้รับชัยชนะมา
ในตอนนั้น จ้าวเฟิงก็สังเกตได้ถึงความอิจฉาริษยาที่เทพโบราณปิงหยวนมีต่อตนเช่นกัน
ในสำนักเทียนหลัว
“ท่านพ่อ คนคนนี้ก็คือจ้าวเฟิง!” เทพโบราณปิงหยวนพูดเสียงต่ำ
“ขั้นแปดสุดยอด?” ชายวัยกลางคนชุดทองคนนั้นสีหน้าตะลึงไปเล็กน้อย
“อะไรนะ ขั้นแปดสุดยอด?” สีหน้าเทพโบราณปิงหยวนสั่นสะท้านเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้นก็อึ้งตะลึงไป
ในการต่อสู้เดิมพันของสองเผ่า เขาได้รับความอัปยศอดสูเป็นที่สุด หลังจากกลับมาแล้วเทพโบราณปิงหยวนก็ตั้งใจบากบั่นฝึกฝน จนไปถึงขั้นเจ็ดสุดยอดอย่างยากลำบากภายใต้การช่วยเหลือของบิดา
แต่เดิมเขายังคิดว่าครั้งหน้ายามที่พบกับจ้าวเฟิงจะต้องสู้ด้วยสักยก
แต่คิดไม่ถึงว่ารอจนเขาพบจ้าวเฟิง บิดาของเขากลับบอกว่าจ้าวเฟิงเป็นขั้นแปดสุดยอด
“ถึงแม้พลังฝึกตนของเจ้าจะสู้มันไม่ได้ แต่ตอนนี้มันมาถึงสำนักเทียนหลัว ทั้งยังต้องฟังคำสั่งของข้า ศึกสองเผ่าครั้งนี้มันจะไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมืออะไร ข้าจะให้คะแนนรบของเจ้าล้ำหน้ากว่ามัน!”
ชายวัยกลางคนชุดทองมองเทพโบราณปิงหยวนด้วยใบหน้ารักใคร่เอ็นดู
“ขอรับ!” เทพโบราณปิงหยวนพยักหน้ารับ
ในตอนนี้เอง เขตพลังป้องกันของสำนักเทียนหลัวก็เกิดรูโหว่ขึ้น
ฟุ่บ! จ้าวเฟิงเข้ามาในเขตสำนักเทียนหลัวทันที
“ที่แท้ก็คือจ้าวเฟิง อัจฉริยะคนนั้นของเผ่าพันธุ์วิญญาณเรานี่เอง ข้าคือ ‘เทพโบราณหลันหย่วน’ (สมุทรสีคราม) แม่ทัพใหญ่ของที่นี่ เจ้าเพิ่งมาถึง ข้าจะให้คนเตรียมที่พักอาศัยให้เจ้า พักผ่อนก่อนสักหน่อยเถิด!”
เทพโบราณหลันหย่วนมองไปยังจ้าวเฟิง แสดงท่าทีกระตือรือร้นมาก
“ลำบากท่านแล้ว!” จ้าวเฟิงรับคำทันที จากนั้นก็เข้าไปในตำหนักที่สวยหรูกว้างขวางหลังหนึ่ง
เหตุที่เขายอมร่วมรบก็เพราะคิดจะเป็นอีกหนึ่งแรงให้กับเผ่าพันธุ์วิญญาณ และกอบกู้สถานการณ์เสียเปรียบของเผ่ากลับมา ทว่าดูท่าแล้วเทพโบราณหลันหย่วนไม่มีทางให้โอกาสนี้กับเขาแน่
แต่เช่นนี้ก็ดี จ้าวเฟิงสามารถอยู่ที่แนวหน้าของสนามรบได้อย่างสบายใจไปช่วงหนึ่ง ถึงตอนนั้นต่อให้แสดงพลังฝึกตนที่แท้จริงออกมาก็ไม่มีทางดึงความสงสัยของคนอื่นจนเกินไป
หลังจากเข้าพักในตำหนัก จ้าวเฟิงก็เริ่มฝึกฝน โดยเน้นที่การยกระดับพลังเสวียนอ้าว เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับทักษะความชำนาญด้านอื่นๆ เป็นหลัก
คืนนั้น สำนักเทียนหลัวที่เงียบสงัดเย็นยะเยือกพลันร้อนระอุขึ้น
วู้ม วู้ม!
เสี้ยวขณะต่อมา เขตพลังป้องกันของสำนักเทียนหลัวพลันสั่นไหว ทำให้สมาชิกทั้งหมดในสำนักแตกตื่น
“ข้าศึกโจมตี ข้าศึกโจมตี!” เสียงร้อนรนเสียงแล้วเสียงเล่าดังขึ้นในสำนักเทียนหลัว
เห็นเพียงกองกำลังทหารมากมายรวมตัวอยู่นอกสำนักเทียนหลัว ผู้นำทัพคือชายวัยกลางคนตัวใหญ่ที่สูงถึงสามจั้ง แสงเงินทองเปล่งประกายทั่วร่าง เปลวไฟลุกโหม
ฟุ่บ! ร่างชุดทองพลันกระโดดออกมา ยืนนิ่งอยู่กลางอากาศ พร้อมแผ่กระจายกลิ่นอายบรรพกาลที่แข็งแกร่ง
“หึ ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าไม่มีวันทิ้ง ‘สำนักเทียนหลัว’ ไปง่ายๆ!”
เทพโบราณหลันหย่วนแค่นเสียงเย็น
“อย่าพูดไร้สาระให้มันมาก เทพโบราณหลันหย่วน วันนี้ข้าจะชิงสำนักเทียนหลัวมาให้ได้!”
ชายวัยกลางคนตัวใหญ่คนนั้นคำรามลั่น เปลวไฟทองร้อนแผดเผาตลบอบอวลออกมา ย้อมจนท้องฟ้าส่องประกายสีทองระยับไปทั่ว
ครืน ครืน! หมัดทั้งสองของชายวัยกลางคนชกออกมาทันที เห็นเพียงดวงอาทิตย์สีทองร้อนแรงดวงหนึ่งบดขยี้เข้ามา
“อาศัยเจ้ายังอ่อนหัดไปนัก!” เทพโบราณหลันหย่วนเผยสีหน้าเหยียดหยาม
“โจมตี!” เทพโบราณหลันหย่วนตะโกนทันใด พลังเทพที่แข็งแกร่งราวผลึกหินกระจายทั่วกาย จากนั้นพุ่งทะยานออกไปโดยพลัน
ฟุ่บ~ ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนในสำนักเทียนหลัวพุ่งตามเทพโบราณหลันหย่วนไป
“ฮ่าๆ สำนักเทียนหลัวนี่ข้าจะชิงมาแน่นอน!”
ในตอนนี้ เบื้องหลังชายกลางคนตัวใหญ่มีผู้อาวุโสผิวค่อนข้างเหี่ยวแห้งคนหนึ่งปรากฏขึ้น
ร่างของผู้อาวุโสพลันแผ่กระจายพลังร้อนระอุที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ทำให้สมาชิกสำนักเทียนหลัวที่บินออกมาทั้งหมดร่างกายหยุดชะงัก แสบร้อนเป็นอย่างยิ่ง ราวกับถูกแผดเผาอย่างไรอย่างนั้น
ครืน! ผู้อาวุโสคนนั้นเพียงสะบัดฝ่ามือ เปลวไฟสีน้ำตาลเข้มกลุ่มหนึ่งก็ก่อตัวเป็นมังกรเหี้ยมโหดทะยานออกไป
“แย่แล้ว เทพโบราณขั้นเก้า!” สีหน้าของเทพโบราณหลันหย่วนเปลี่ยนไป
วู้ม ฟิ้ว ฟิ้ว! พลังเทพระยิบระยับรอบกายของเขาทะลักออกมา ก่อเป็นโล่ป้องกันวาววับขนาดมหึมาขึ้นเบื้องหน้า
ครืน บึ้ม! โล่ป้องกันระยิบระยับนั้นแหลกสลายลงในไม่กี่อึดใจ มังกรเพลิงดุร้ายสีน้ำตาลเข้มคำรามโจมตี จนเทพโบราณทั้งหลายที่เทพโบราณหลันหย่วนนำออกไปล่าถอยทันที
“อ๊าก…” เทพโบราณขั้นเจ็ดที่พลังค่อนข้างอ่อนแอคนหนึ่งยากที่จะต้านทานเปลวไฟทรงพลัง ทั่วร่างถูกแผดเผา ไม่นานก็ไหม้กลายเป็นเศษเถ้าธุลี
“ถอยไปตั้งรับ!” เทพโบราณหลันหย่วนพลันออกคำสั่ง
ตอนนี้มีเพียงแค่ถอยไปป้องกันสำนักเทียนหลัวแล้วรอความช่วยเหลือเท่านั้น ถึงจะมีความหวังอยู่บ้าง!