Skip to content

King of Gods 1410

King Of Gods

บทที่ 1410 ลอบสังหารยามราตรี

ทั้งที่สถานการณ์เมื่อคืนต้องพ่ายแพ้แน่นอนแล้ว เขาที่เป็นแม่ทัพใหญ่หนีไป สำนักเทียนหลัวยิ่งไม่มีเศษเสี้ยวความหวังเลยแม้แต่น้อย แต่ผลลัพธ์กลับผิดคาดไปมาก สำนักเทียนหลัวไม่เพียงดำรงอยู่ต่อไปได้เท่านั้น แต่ยังเอาชนะเผ่าเปลวทองด้วย อีกทั้งได้ยินว่าการสูญเสียของเผ่าเปลวทองหนักหนาสาหัสเป็นอย่างมาก

สำนักเทียนหลัวเห็นเหตุการณ์นี้ ก็แอบหัวเราะอย่างอดไม่ได้

พ่อลูกเทพโบราณหลันหย่วนหนีไป คนที่พลิกสถานการณ์กอบกู้สำนักเทียนหลัว แน่นอนว่าเป็นจ้าวเฟิง

ตอนนี้พ่อลูกเทพโบราณหลันหย่วนกลับมา ก็ทำให้พวกเขานับถือเป็นอย่างยิ่งแล้ว ยังจะมีหน้ากล้ามาถามจ้าวเฟิงอีก

“เมื่อคืนวานเทพโบราณหลันหย่วนไป ‘ขอความช่วยเหลือ’ เผ่าเปลวทองเห็นท่านจากไปก็ชะล่าใจ เทพโบราณขั้นแปดสุดยอดคนนั้นประมาทเลินเล่อ จึงถูกข้าลอบสังหารจนถึงแก่ความตาย!”

จ้าวเฟิงเอ่ยตามตรง

สมาชิกสำนักเทียนหลัวเผยสีหน้าแปลกประหลาด เรื่องที่จ้าวเฟิงพูดไม่มีปัญหาอะไร แต่ฟังแล้วเหมือนชมเชยเทพโบราณหลันหย่วนอย่างไรอย่างนั้น แต่ว่าการชมเชยเช่นนี้ สำหรับเทพโบราณหลันหย่วนฟังแล้วยิ่งเหมือนดูหมิ่นเสียมากกว่า

“เจ้าฆ่าเทพโบราณขั้นแปดสุดยอดนั่น?”

ทว่าเทพโบราณหลันหย่วนยิ่งให้ความสำคัญกับประโยคสุดท้าย เขาเผยสีหน้าตกตะลึง จ้องจ้าวเฟิงเขม็ง

ถึงแม้เมื่อคืนเขาเห็นการลงมือครั้งหนึ่งของจ้าวเฟิงกับตา รู้สึกว่าพลังของจ้าวเฟิงไม่เลวจริงๆ แต่สังหารเทพโบราณขั้นแปดสุดยอดได้เลย นี่กลับเกินกว่าที่เขาคิดไว้

สีหน้าเทพโบราณปิงหยวนยิ่งตกตะลึง จ้าวเฟิงสังหารขั้นแปดสุดยอดได้?

“ใช่ หลังจากเทพโบราณหลันหย่วนจากไปแล้ว ชายวัยกลางคนคนนั้นไม่มองข้าอยู่ในสายตา ถึงได้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้ ส่วนทุกท่านแห่งสำนักเทียนหลัวก็ต่อต้านอย่างสุดกำลังเพื่อรับมือกับเผ่าเปลวทอง สุดท้ายอาศัยค่ายกลป้องกันและข้อได้เปรียบด้านพื้นที่ จึงสังหารเทพโบราณอั้นยาได้ภายใต้การร่วมแรงร่วมใจกัน!”

จ้าวเฟิงพูดต่อ

สี่ห้าประโยคก่อนหน้านั้น เทพโบราณหลันหย่วนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เมื่อได้ยินว่าเทพโบราณอั้นยาถูกสังหาร เขาตะลึงไปทันที

“ที่ไหนกัน ล้วนเป็นจ้าวเฟิงเจ้าที่กล้าหาญองอาจ พลิกสถานการณ์กลับมา!”

เจ้าสำนักเทียนหลัวยิ้มพูดขึ้น

ในตอนที่จ้าวเฟิงอธิบายทุกอย่าง ก็พยายามลดคุณูปการของตัวเอง แล้วชมเชยพวกเขา ผู้นำระดับสูงของสำนักคนที่เหลือก็ถูกจ้าวเฟิงพูดเสียจนละอาย

คนสำนักเทียนหลัวทั้งบนและล่างต่างรู้สึกดีกับจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นทบทวี

จ้าวเฟิงมีพลังแข็งแกร่ง จริงจังรับผิดชอบ อ่อนน้อมถ่อมตน เทียบกับพ่อลูกเทพโบราณหลันหย่วนแล้ว แทบเหมือนว่าคนหนึ่งอยู่บนฟ้า คนหนึ่งอยู่บนดินเสียจริงๆ

“เทพโบราณอั้นยาตายแล้ว?”

พ่อลูกเทพโบราณหลันหย่วนอึ้งอยู่กับที่ สมองขาวโพลนไปหมด

“เรื่องนี้จะต้องมีเงื่อนงำแน่นอน!”

เทพโบราณหลันหย่วนสีหน้าคร่ำเคร่ง

เป็นถึงเทพโบราณขั้นเก้า จะตายอย่างนี้ได้อย่างไร

ตามที่เขาคาดเดาไว้ เทพโบราณอั้นยาอาจจะไม่ตายแต่บาดเจ็บหนักหนีไป หรือไม่ก็กองกำลังเสริมของเผ่าพันธุ์วิญญาณมาถึงแล้วกอบกู้สำนักเทียนหลัว

ส่วนสำนักเทียนหลัวไม่พอใจเพราะตนเองหนีไปยามคับขัน ดังนั้นจึงปั้นเรื่องโกหก ตั้งใจทำให้เขาโกรธเกรี้ยว

ตอนนี้ เทพโบราณหลันหย่วนสูญเสียบารมีและความเชื่อถือไปจากสำนักเทียนหลัวแล้ว เขารู้ว่าตนถามอะไรต่อไปก็ไม่ได้อะไรทั้งนั้น

แต่ที่น่าคับแค้นใจก็คือ ความสัมพันธ์ของสำนักเทียนหลัวกับจ้าวเฟิงดูจะสนิทสนมกลมเกลียวกันยิ่งนัก

“เจ้าเด็กนี่…ไม่ธรรมดา!” เทพโบราณหลันหย่วนจ้องจ้าวเฟิง ในใจกำลังขบคิด

สามารถสังหารขั้นแปดสุดยอดได้ พลังเช่นนี้แทบจะถึงระดับเทพโบราณขั้นเก้าทั่วไปแล้ว!

อีกทั้งเขารู้สึกว่าที่สำนักเทียนหลัวสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาชนะได้เมื่อวาน จ้าวเฟิงคือปัจจัยสำคัญในนั้น แต่เทพโบราณหลันหย่วนยังเป็นแม่ทัพใหญ่ของที่นี่ จ้าวเฟิงยังต้องฟังคำสั่งของเขา

“ทุกคนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ข้าจะนำทัพพวกเจ้าต่อไป ปกป้องสำนักเทียนหลัว สังหารเผ่าเปลวทอง ทำชื่อเสียงให้ลือเลื่องไปทั่วเขตเทพสวรรค์!”

เทพโบราณหลันหย่วนพูดเสียงกังวาน

จากนั้นเขาก็พาเทพโบราณปิงหยวนกลับสำนักเทียนหลัวไป

ภายในห้อง

“ท่านพ่อ ไยพวกเราจึงต้องกลับมาอีก?” เทพโบราณปิงหยวนรู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่ง

เขาคืออัจฉริยะของเผ่าพันธุ์วิญญาณ เคยทำเรื่องน่าอายเช่นนี้เมื่อไหร่กัน หลังจากหนีไปตอนคับขันแล้วยังหน้าด้านวกกลับมา

“หากสำนักเทียนหลัวถูกฆ่าล้าง พวกเราก็นับว่าหนีรอดจากอันตราย นั่นยังไม่เป็นไร แต่สำนักเทียนหลัวอยู่รอดปลอดภัย หากเรื่องที่พวกเราหนีไปตอนคับขันแพร่ไปทั่วเผ่าพันธุ์วิญญาณ ในวันนั้นจะไปเจอหน้าผู้คนอย่างไร ข้ากลับมาก็เพื่อที่จะปิดเรื่องนี้เอาไว้!” เทพโบราณหลันหย่วนพูดขึ้นทันที

เทพโบราณปิงหยวนพยักหน้าให้ ท่านพ่อพูดได้ถูก ตอนนี้แค่เพียงขายหน้าต่อหน้าสำนักเทียนหลัวเท่านั้น แต่หากขายหน้าไปทั่วทั้งเผ่าพันธุ์วิญญาณ ความองอาจของเขาก็จะพังพินาศ

“นอกจากนั้น เผ่าเปลวทองครั้งนี้ลอบโจมตีล้มเหลว พวกเขาไม่มีทางโจมตีที่นี่ในระยะเวลาสั้นๆ ช่วงนี้แน่ เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต้องกังวลใจ ทั้งยังได้คะแนนคุณูปการมากมายด้วย!”

เทพโบราณหลันหย่วนยิ้มเจ้าเล่ห์เพทุบาย

“ท่านพ่อพูดถูก!” เทพโบราณปิงหยวนก็เผยยิ้มเช่นกัน

พวกเขาเป็นคนเผ่าพันธุ์วิญญาณ ขอเพียงรักษาขั้วอำนาจหรือฐานที่มั่นบางแห่งเอาไว้ได้ ก็จะได้คะแนนคุณูปการมา หากมีเวลาไปช่วยเหลือขั้วอำนาจใกล้ๆ สังหารข้าศึก ก็ยังสามารถได้คะแนนคุณูปการอีกเช่นกัน

ด้านนอกสำนักเทียนหลัว

“สหายจ้าว ไยเจ้าจึงไม่พูดความจริงออกไป ข้ารู้สึกว่าเจ้าเหมาะกับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ยิ่งกว่า!”

เจ้าสำนักเทียนหลัวเอ่ยเสียงต่ำ

แต่เดิม อันตรายที่เกิดขึ้นไม่หยุดเมื่อคืนวานทำให้เจ้าสำนักเทียนหลัวลืมเรื่องไม่พอใจก่อนหน้านี้ไป แต่คิดไม่ถึงว่าพ่อลูกเทพโบราณหลันหย่วนยังกลับมาอย่างหน้าด้านไร้ยางอาย ถึงแม้จ้าวเฟิงจะอายุน้อย แต่พลังแข็งแกร่ง มีความรับผิดชอบต่อสำนักเทียนหลัว และอ่อนน้อมถ่อมตน หากนั่งอยู่ในตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ เชื่อว่าไม่มีใครเห็นต่างแน่นอน

“ข้าไม่ชอบเป็นแม่ทัพใหญ่ มันยุ่งยากเกินไป!” จ้าวเฟิงหัวเราะ ก่อนเดินเข้าไปในตำหนักของตน

ผลงานการต่อสู้และผลประโยชน์ในวันนี้ จ้าวเฟิงไม่ใส่ใจเลย ดังนั้นเขาจึงขี้เกียจที่จะไปสนใจ เขาแค่อยากอยู่ที่สนามรบ ฝึกฝนตัวเอง ค่อยๆ สำแดงพลังฝึกตนที่แท้จริงเท่านั้น

“เด็กคนนี้ช่างใจกว้างยิ่งนัก เห็นแก่ส่วนรวม รู้ว่าตอนนี้สองเผ่าทำศึกกัน หากภายในเผ่าพันธุ์วิญญาณยังสู้กันจนตายกันไปข้าง…”

เจ้าสำนักเทียนหลัวมองไปยังแผ่นหลังของจ้าวเฟิง รู้สึกละอายใจอยู่บ้าง

ครั้นกลับมาถึงที่อาศัยของตนแล้ว จ้าวเฟิงก็เข้าไปในชุดคลุมมิติ

ตอนนี้จ้าวหวาง จ้าวคง และมังกรวารีล้างโลกากำลังอยู่ในการฝึกฝน

จ้าวคงสำเร็จถึงเทพโบราณขั้นเก้า ทั้งยังควบคุมเนตรมิติที่แข็งแกร่งคู่นั้นได้อย่างราบรื่น

จ้าวเฟิงก็นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ปิดด่านฝึกฝนไป ก่อนอื่น เขาแบ่งความคิดบางส่วนออกไปฝึกฝนพลังเสวียนอ้าวมิติและห้าธาตุเป็นต้น ทุกครั้งที่พลังเสวียนอ้าวเหล่านี้แข็งแกร่งขึ้นส่วนหนึ่ง อานุภาพพลังเทพรวมศูนย์ของจ้าวเฟิงก็จะแข็งแกร่งขึ้นส่วนหนึ่ง

อีกทั้งเพราะดื่มกินของล้ำค่าประเภทเวลาที่สูงส่งยิ่งมากมาย พลังในการบรรลุเสวียนอ้าวเวลาของจ้าวเฟิงจึงได้รับการยกระดับขึ้นมาก ยิ่งรวมกับการช่วยเหลือจากเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชน ความเร็วในการยกระดับเสวียนอ้าวเวลาของจ้าวเฟิงเลยรวดเร็วที่สุด ถึงขั้นเจ็ดสุดยอดแล้ว ส่วนเสวียนอ้าวมิติก็ใกล้จะก้าวสู่ขั้นแปดสุดยอด ขาดอีกเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น

สำหรับเรื่องนี้ จ้าวเฟิงไม่ได้ยกระดับอย่างเร่งร้อน แต่เพิ่มไปทีละก้าวๆ อย่างมั่นคง ใจของจ้าวเฟิงนอกจากวางไว้ที่ด้านพลังแล้ว ยังอยู่ที่ชั้นวิญญาณอีกด้วย

ข้อได้เปรียบของดวงตาเทพเจ้าทำให้การฝึกฝนด้านวิญญาณของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งล้ำหน้าคนทั่วไป ชั้นวิญญาณถึงจะเป็นข้อได้เปรียบที่สุดของจ้าวเฟิง

“ตอนนี้พลังวิญญาณของข้าถึงขั้นเก้าสุดยอดแล้ว หากก้าวไปอีกระดับ การรับมือกับครึ่งก้าวสู่จอมเทพก็จะยิ่งง่ายดายขึ้น!” ใจของจ้าวเฟิงเฝ้าปรารถนา

หลังจากดื่มกินผลึกวิญญาณอัสนีลงไปหลายก้อน เขาก็เริ่มฝึกฝนวิญญาณ ทั้งยังเพิ่มพลังอัสนีในกายวิญญาณอัสนีด้วย

ในชุดคลุมมิติ หลังจากนั้นสามสิบวัน จ้าวเฟิงก็ดูดซับสรรพคุณของผลึกวิญญาณอัสนีและของล้ำค่าประเภทวิญญาณบางส่วนเสร็จสิ้น และจากนั้น จ้าวเฟิงก็มองไปยัง ‘วงแสงรวมศูนย์’ เคล็ดวิชาอีกชนิดหนึ่งในขั้นที่สี่ของ ‘พลังฟ้าประสานหนึ่ง’

ตรงข้ามกับกระบี่เทพรวมศูนย์ วงแสงรวมศูนย์เป็นเคล็ดวิชาประเภทป้องกัน

วงแสงรวมศูนย์ไม่เพียงแต่มีการป้องกันโดดเด่น มันยังมีคุณสมบัติพิเศษอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการกลืนกินแข็งแกร่งยิ่งกว่า สามารถดูดซับพลังโจมตีที่ปรากฏรอบด้านแล้วเปลี่ยนเป็นพลังของตัวเอง

“ ‘วงแสงรวมศูนย์’ เหมาะกับข้ามากกว่า สามารถผันเปลี่ยนพลังโจมตีรอบด้านมาเป็นพลังของตัวเอง ทำให้กระบี่เทพแข็งแกร่งขึ้น ปลิดชีวิตศัตรูในกระบวนท่าเดียว!”

อีกทั้งสถานการณ์การรบในตอนนี้ การต่อสู้ค่อนข้างวุ่นวาย ข้อได้เปรียบด้านการฝึกฝนของจ้าวเฟิงก็ไม่มีอีกต่อไปแล้ว ดังนั้น ‘วงแสงรวมศูนย์’ จึงเหมาะกับการฝึกฝนในตอนนี้

หลังจากตัดสินใจ จ้าวเฟิงก็เริ่มลงมือฝึกฝน

ภายในชุดคลุมมิติ หลายวันหลังจากนั้น

รอบกายจ้าวเฟิงในระยะหนึ่ง เกราะแสงสีเงินเข้มขุ่นข้นที่ผสมปนเปกันปรากฏขึ้น บนนั้นตลบอบอวลไปด้วยสนามพลังกลืนกินชั้นหนึ่ง คอยดูดซับพลังไร้รูปร่างในฟ้าดิน

วู้ม วู้ม! วงแสงเลือนรางสีเงินเข้มยิ่งเพิ่มความแข็งแรงขึ้นอีกหลายส่วน

“ไม่เลว สามารถดูดซับพลังอื่นๆ มาเพิ่มความแข็งแกร่งในการป้องกันให้ตัวเอง!”

อีกทั้งวงแสงรวมศูนย์ยังสามารถเปลี่ยนเป็นกระบี่เทพรวมศูนย์ พลังยิ่งแข็งแกร่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิม

เวลาที่เคลื่อนไปในชุดคลุมมิติคือห้าสิบต่อหนึ่ง โลกภายนอกผ่านไปสองวัน ส่วนจ้าวเฟิงฝึกฝนอยู่ในชุดคลุมมิติหนึ่งร้อยวัน

ในกลางคืนวันที่สองนี้เอง

ฟุ่บ! ฟุ่บ! กลิ่นอายเลือนรางสามสี่สายเข้ามาในพื้นที่สำนักเทียนหลัว

“ตามรายงานข่าว หลังจากที่จ้าวเฟิงเข้ามาในเขตสงครามแล้วก็มายังสำนักเทียนหลัว!”

“พวกเราจำต้องหลบๆ ซ่อนๆ เช่นนี้ด้วย? โจมตีที่นี่ จับจ้าวเฟิงไปเลยก็ได้แล้วมิใช่รึ?”

เงาสี่เงาในท้องฟ้าเดี๋ยวเลือนรางเดี๋ยวปรากฏ

กลิ่นอายของพวกเขาทั้งสี่เลือนราง ผสานไปกับม่านราตรีเป็นหนึ่งเดียว จนแทบจะสังเกตไม่เห็น ประสามสัมผัสเทพที่แข็งแกร่งกวาดไปในสำนักเทียนหลัวเป็นครั้งคราว แต่ไม่มีใครสังเกตเจอ

“ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่าเผ่าเปลวทองแอบส่งเทพโบราณขั้นเก้าคนหนึ่งมาโจมตีที่นี่ แต่สำนักเทียนหลัวยังคงอยู่ นี่ก็พิสูจน์ว่าเทพโบราณขั้นเก้าคนนั้นล้มเหลว สำนักเทียนหลัวนี่จัดการได้ค่อนข้างยากแน่!”

ผู้อาวุโสคนที่พูดผอมจนกระดูกปูดโปน ดำทะมึนไปทั่งตัวราวกับเงา

“ใช่แล้ว คำสั่งที่เทพโบราณหานเยี่ยนบัญชาพวกเราก็แค่จับจ้าวเฟิงไปเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องหาเหาใส่หัว!”

ชายรูปร่างสูงใหญ่อีกคนหนึ่งมีสายตาเหี้ยมโหดเย็นชา ถึงแม้จะควบคุมได้ แต่เปลวไฟเลือนรางก็ยังคงพวยพุ่งออกมาหลายสาย

เรื่องที่เทพโบราณอั้นยาโจมตีสำนักเทียนหลัวเกิดขึ้นแค่ไม่กี่วันก่อน ยังไม่ได้แพร่สะพัดไปโดยสมบูรณ์ มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่รู้ถึงรายละเอียดข้อมูลของสถานการณ์การต่อสู้

ส่วนคนกลุ่มนี้รับคำสั่งของเทพโบราณหานเยี่ยน ในตอนที่รู้ตำแหน่งของจ้าวเฟิงก็ออกเดินทางมาแล้ว

“หาเจ้านั่นเจอแล้ว อีกประเดี๋ยวข้าจะลอบสังหาร จากนั้นพวกเจ้าค่อยลงมือ ควบคุมพวกมันเอาไว้ทันที จากนั้นก็หนีไป!”

ศักยภาพและพลังฝึกตนของผู้อาวุโสที่ผอมแห้งจนเห็นกระดูกอยู่อันดับบนสุด

สำหรับกลวิชาของ ‘เทพโบราณอั้นเมี่ย (ลอบสังหาร)’ พวกเขาต่างเชื่อถือกันเป็นอย่างยิ่ง

เทพโบราณอั้นเมี่ยคือเทพโบราณขั้นเก้าที่เทพโบราณหานเยี่ยนรู้จักคบค้าด้วยตอนออกไปฝึกฝน เชี่ยวชาญด้านสะกดรอยและลอบสังหาร ว่ากันว่าในกายเทพของเทพโบราณอั้นเมี่ยไหลเวียนด้วยสายเลือดของ ‘เผ่าเงาราตรี’ ที่อยู่ในอันดับสิบแปดของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์ ถึงแม้สายเลือดจะบางเบา แต่ก็มากพอที่จะทำให้เขาเดินไปในความมืดอย่างกำเริบเสิบสาน สังหารคนได้อย่างไร้ร่องรอย

ฟิ้ว! คนกลุ่มหนึ่งเข้าใกล้ไปยังที่อยู่ของจ้าวเฟิงอย่างเงียบเชียบ

“เตรียมตัว!” เทพโบราณอั้นเมี่ยคำรามเสียงต่ำ แปลงเป็นเงาสีดำทมิฬกลุ่มหนึ่ง เตรียมโจมตีไปในท้องฟ้า ตรงไปยังจ้าวเฟิง

ฟุ่บ! เทพโบราณอั้นเมี่ยยังไม่ทันได้โจมตี ชายหนุ่มผมสีเงินตัวตรงเหยียดก็พลันปรากฏขึ้นในตำหนัก ใบหน้าอีกฝ่ายเรียบเฉย “พวกเจ้าร่ำรี้ร่ำไรนานเพียงนี้ หรือกำลังหาข้าแซ่จ้าวอยู่?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version