Skip to content

King of Gods 1434

King Of Gods

บทที่ 1434 จอมเทพเทียนจี้ลงมือ

“สิ่งของที่จะประมูลในลำดับต่อไป เป็นเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนระดับสูงชิ้นหนึ่ง!”

เมื่อผู้อาวุโสชุดขาวเปล่งเสียงเอ่ย ที่แห่งนั้นตกอยู่ในความเงียบทันที

“ในที่สุดก็มาแล้ว!” จอมเทพเทียนจี้ที่คลุมชุดสีดำพึมพำเสียงต่ำ

“เป็นเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนอะไรกันแน่?” คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตใจหนักอึ้ง

อีกฝั่งหนึ่ง คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ฟ้าทลายลุกยืนขึ้น และมองที่เวทีประมูล

พวกเขาได้ข่าวมาว่างานประมูลอาณาจักรเทพจะมีเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนปรากฏขึ้น แต่ที่สุดแล้วจะเป็นเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนอะไรกันแน่ กลับไม่มีใครรู้แน่ชัด

ในยามนี้ สายตาของทุกคนจับจ้องไปทีเวทีประมูลตรงกลาง

โฉมงามเทพโบราณขั้นเก้าข้างกายผู้อาวุโสชุดขาวหยิบเอากล่องหยกสีทองออกมา ตอนนั้นกระทั่งมือสองข้างของนางยังสั่นไหว

ในวินาทีที่เปิดกล่องหยกนั้นออก เพลิงสีแดงเข้มก็พลันทะลักออกมา

ยามนี้อุณหภูมิในงานประมูลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเทพโบราณขั้นแปดจำนวนไม่น้อยรู้สึกร้อนขึ้นมาก จนเหมือนว่ากายเทพจะถูกหลอมละลาย

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนประเภทเวลาในมิติเก็บของของจ้าวเฟิงสั่นสะเทือนน้อยๆ

“นี่คือ?” ดวงตาของจ้าวเฟิงมองทะลุผ่านพลังเพลิงหลายชั้น มองเห็นสิ่งของที่ผนึกอยู่ในกล่องหยกได้อย่างชัดเจน

นั่นคือขนนกสีแดงอมทองอันหนึ่ง ริ้วเพลิงสีแดงสว่างแน่นขนัดด้านบนนั้น เพลิงแดงที่ส่วนปลายเผาไหม้อย่างช้าๆ สาดกฎเกณฑ์เพลิงที่น่ากลัวออกมา

ในขณะนี้ กระทั่งจ้าวเฟิงยังใจเต้นระรัว อยากจะครอบครองขนนกอันนี้ เพราะอย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงผู้ฝึกเสวียนอ้าวไฟ ถึงแม้ว่าเขาจะมีเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนชิ้นหนึ่งแล้ว แต่สิ่งของประเภทนี้ ใครบ้างจะไม่ชอบ

“เศษเสี้ยวของอาวุธบรรพชน ‘นรกเพลิง’!”

จอมเทพเทียนจี้ตื่นตะลึงเล็กน้อย นัยน์ตาสีดำสนิทเปล่งประกาย

“ขนนกอันนี้มาจาก ‘นรกเพลิง’ ใช่หรือไม่?”

“อาวุธบรรพชนชั้นสูงของเผ่าวิหคทองในช่วงบรรพกาลใช่หรือไม่?”

“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนที่แข็งแกร่งขนาดนี้!”

ในงานประมูลล้วนแต่เป็นคนอาวุโสที่มีอายุเป็นแสนปี หรือกระทั่งหลายร้อยล้านปี พวกเขามีความรู้กว้างขวาง จึงมองประวัติความเป็นมาของขนนกนี้ออกทันที

“เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนชิ้นนี้มาจากอาวุธบรรพชนชั้นสูงอย่าง ‘นรกเพลิง’ ของเผ่าวิหคทองภายในมีกฎเกณฑ์แห่งไฟบริสุทธิ์แฝงอยู่ พลังเพลิงของมันไม่ใช่เพลิงทั่วไป แต่เป็น ‘เพลิงวิหคทอง’!”

ผู้อาวุโสชุดขาวสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะเอ่ยช้าๆ

“รีบเริ่มต้นได้แล้ว!”

คนไม่น้อยในงานประมูลต่างอดใจรอไม่ไหวแล้ว

อย่างแรก เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนชิ้นนี้มีที่มาจากเพลิงนรก มีคุณภาพไม่ธรรมดา บวกกับกฎเกณฑ์แห่งไฟที่แพร่หลายทั่วไป จอมเทพส่วนมากในที่นั้นสามารถใช้เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนชิ้นนี้ได้ตามใจปรารถนา ต่อให้พลังฝึกตนไม่สอดคล้องกับพลังที่แฝงอยู่ในเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชน ก็ไม่มีใครอดทนต่อความเย้ายวนใจของมันได้

“เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชน ราคาประมูลเริ่มต้นที่สองล้าน ทุกครั้งที่บวกราคาต้องไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสน!”

ผู้อาวุโสชุดขาวประกาศเสียงดัง

ราคาเริ่มต้นของเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนไปแตะสองล้าน

จอมเทพที่ทุนทรัพย์น้อย กระทั่งจะเสนอราคาก็ยังทำไม่ได้

ถึงแม้ว่าราคาจะเขย่าขวัญขนาดนี้ แต่ตอนที่ผู้อาวุโสชุดขาวเพิ่งพูดจบ ในงานประมูลก็มีคนประกาศราคาประมูลแล้ว

“ยี่สิบเอ็ดล้าน!”

“ยี่สิบสามล้าน!”

“ยี่สิบสี่ล้านห้าแสน!”

เสียงบอกราคาดังขึ้นต่อเนื่อง

เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนมีมูลค่าแต่ไม่มีขาย ผู้แข็งแกร่งขั้นจอมเทพยอมจ่ายด้วยของทั้งหมดที่พวกเขามี

ในงานประมูล บริเวณแขกพิเศษที่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ก็มีเสียงประมูลดังออกมา

ยามนี้เอง จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของจอมเทพที่แกร่งกล้าถึงเกือบสิบกลุ่ม ส่วนมากสูสีกับจอมเทพลวี่หยวน มีกลุ่มถึงสองกลุ่มที่แข็งแกร่งกว่าจอมเทพลวี่หยวนหลายเท่าตัว

จอมเทพจำนวนมากจากแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าเข้าร่วมประมูลด้วยเช่นกัน ไม่นานเท่าไหร่นัก ราคาของเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนก็ทะลุสี่ล้าน และถึงจะเป็นราคาขนาดนี้ แต่เสียงประมูลราคาในงานก็ยังคงไม่ลดลงไปเท่าไหร่นัก

เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนชิ้นหนึ่งล้ำค่าจนเกินไป

ไม่ว่าจอมเทพคนใดได้มาครอบครอง ก็สามารถเอาชนะคนในระดับเดียวกันได้ หรืออาจรับมือคนที่อยู้ในขั้นสูงกว่าได้ด้วย

“ดูไปแล้วคนจำนวนมากจะมาเพื่อเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนชิ้นนี้โดยเฉพาะ!”

จ้าวเฟิงอดตื่นตะลึงไม่ได้

“ห้าสิบล้าน!” จอมเทพผู้หนึ่งประมูลอย่างกระตือรือร้น

ทว่าราคานี้บวกราคาจากจอมเทพคนอื่นๆ ไปในพริบตา

ในงานประมูล คนจำนวนมากกว่ามองการแข่งประมูลครั้งนี้เงียบๆ แต่ยังคงรู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่าน ตื่นเต้นเป็นที่สุด

“หกสิบล้าน!”

“หกสิบสามล้าน!”

ในตอนที่เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนไปถึงราคานี้ คนที่เริ่มประมูลราคาสู้ก็ค่อยๆ ลดน้อยลง

“บัดซบ ประมูลอาณาจักรเทพคราวก่อนสิ้นเปลืองสมบัติไปไม่น้อยแล้ว!”

ชายหนุ่มผิวขาวลายดำจากแดนศักดิ์สิทธิ์ฟ้าทลายเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

ยามที่ราคาของเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนไปถึงแปดสิบล้าน ก็เหลือเพียงแค่ขั้วอำนาจใหญ่หลายแห่งกำลังเข้าร่วมประมูล แต่การเพิ่มราคาก็ต้องเพิ่มอย่างระมัดระวัง อย่างไรเสีย ผลึกเทพระดับสูงแปดสิบล้านก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แล้ว

ขณะที่จอมเทพขั้นสองทั้งหลายจากแดนศักดิ์สิทธิ์กำลังเพิ่มราคาอย่างระมัดระวัง

“ร้อยล้าน!” จู่ๆ เสียงเหี้ยมโหดก็ดังขึ้นจากด้านล่าง

งานประมูลก็เงียบสงัดลงอย่างรวดเร็ว ทุกคนจับจ้องบุคคลลึกลับผู้คลุมชุดดำจนไม่เห็นใบหน้า

เมื่อครู่ยังบวกราคาผลึกเทพไปแตะแปดสิบสามล้าน แต่จู่ๆ ก็มีคนเพิ่มไปถึงร้อยล้านในคราวเดียว!

ในวินาทีนั้น ต่อให้เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าก็ยังต้องลังเลใจ

“หนึ่งร้อยล้านหนึ่งแสน!” จอมเทพจากแดนศักดิ์สิทธิ์มิติบวกราคา

“หนึ่งร้อยสิบล้าน!” บุคคลึกลับเสนอราคาเพิ่มขึ้นอีกขั้น

แดนศักดิ์สิทธิ์มิติบวกเพิ่มไปหนึ่งแสนต่อครั้ง แต่บุคคลลึกลับบวกเพิ่มสิบล้านในรอบเดียว!

ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้แดนศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ยอมแพ้ต้องล้มเลิกความตั้งใจไป

ถึงแม้ว่าจะถอยจากการประมูล แต่ทุกคนต่างก็อยากรู้ว่าบุคคลลึกลับในชุดคลุมสีดำเป็นใครกันแน่?

“เป็นใครกันแน่?”

“กระทั่งแดนศักดิ์สิทธิ์ยังแย่งจากเขาไปไม่ได้!”

คนมากมายในงานประมูลกวาดตามองคนลึกลับในชุดคลุมสีดำคนนั้น แต่ถึงจะเป็นประสาทสัมผัสเทพขั้นที่สองก็ยังถูกกั้นขวางเอาไว้ด้านนอก ไม่อาจมองเห็นบุคคลด้านในได้

“เสียงนี้…คุ้นหูไม่น้อย!” จ้าวเฟิงโคจรดวงตาซ้ายจ้องดู

ชุดคลุมดำถูกจ้าวเฟิงมองทะลุเข้าภายในช้าๆ

ทันใดนั้นเอง คนชุดคลุมสีดำมองไปที่จ้าวเฟิงก่อนจะแค่นเสียงเย็น ในตอนนั้น วิญญาณของจ้าวเฟิงตะลึงค้างไปเล็กน้อย

“จอมเทพเทียนจี้!” จ้าวเฟิงใจเต้นระรัว ก่อนจะรีบเบือนสายตาหนีอย่างรวดเร็ว

ที่เขาคาดคิดไม่ถึงก็คือ สุดท้ายแล้วจอมเทพเทียนจี้เป็นคนได้ครอบครองเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชน ดูไปแล้วขั้วอำนาจของฝ่ายตรงข้ามน่าจะไม่ธรรมดาแน่นอน

เมื่อการประมูลเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนในงานประมูลอาณาจักรเทพจบลง งานประมูลก็ค่อยๆ เข้าสู่ช่วงปลาย ถึงแม้สมบัติในช่วงท้ายจะไม่สามารถเปรียบกับเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนได้ แต่มูลค่าไม่ได้ถูกลงเท่าไหร่นัก

“โสมปราณเทพ สามารถเพิ่มสัดส่วนการทะลวงขั้นจอมเทพหรือครึ่งก้าวสู่จอมเทพได้ประมาณสองส่วน เมื่อเทพโบราณใช้ก็สามารถเพิ่มพลังฝึกตนได้มาก…”

ตอนที่ผู้อาวุโสชุดขาวประกาศชื่อทรัพยากรออกมา ครึ่งก้าวสู่จอมเทพจำนวนมากในงานประมูลใจสั่น ถึงแม้ช่วยได้แค่สองส่วน แต่ต่อให้เพิ่มได้แค่หนึ่งส่วน ก็มากพอที่จะทำให้ครึ่งก้าวสู่จอมเทพต้องแย่งชิงกันแล้ว

หนำซ้ำโสมปราณเทพที่ออกประมูลในตอนนี้มีทั้งหมดสามต้น

“มีจริงๆ ด้วย!” ใบหน้าจ้าวเฟิงฉายแววยินดี

ราคาประมูลเริ่มต้นของ ‘โสมปราณเทพ’ คือหนึ่งล้านห้าแสน ไม่นานนักราคาประมูลก็ไปถึงสามล้าน

“สามล้านสามแสน!” จ้าวเฟิงเข้าร่วมประมูลทันที

“สามล้านห้าแสนสองหมื่น!”

“สามล้านหกแสนห้าหมื่น!”

จ้าวเฟิงต้องการทรัพยากรชิ้นนี้ยิ่งนัก ก่อนนี้เขาได้ผลึกเทพจำนวนมหาศาลมา จึงมีความเชื่อมั่นสูงมาก!

ในที่สุด โสมปราณเทพต้นแรกก็ถูกจ้าวเฟิงประมูลไปได้ด้วยราคา ‘สี่ล้านสามแสน’

นับว่าราบรื่นกว่าที่เขาจินตนาการไว้ไม่น้อย

ถึงอย่างไรโสมปราณเทพก็ส่งผลช่วยเพิ่มสัดส่วนในการทะลวงขั้นจอมเทพถึงสองส่วน ราคาเกินสามล้านก็ไม่น่าแปลกใจอะไร

ตอนนี้การประมูลดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว ในการประมูลก่อนนี้ ทรัพย์สมบัติของขั้วอำนาจแต่ละแห่งหมดไปจำนวนมาก ถึงขั้นที่ว่าหมดตัวไปแล้ว พูดได้ว่า ตอนนี้จ้าวเฟิงกำลังอาศัยช่องว่างดังกล่าว

“บัดซบ ข้าจะต้องชิงต้นที่สองมาให้ได้!”

ถึงแม้จ้าวเฟิงจะประมูลต้นแรกไปได้ แต่ยังเหลืออีกตั้งสองต้น ผู้แข็งแกร่งทั้งหลายต่างเตรียมประมูลครั้งที่สอง

“โสมปราณเทพต้นที่สอง ราคาประมูลเริ่มต้นที่หนึ่งล้านห้าแสน เพิ่มราคาประมูลครั้งละไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่น!”

ผู้อาวุโสชุดขาวเพิ่งเอ่ยจบ

ยังไม่ทันมีใครได้บวกราคา

“สี่ล้านสามแสน!” จ้าวเฟิงเอ่ยขึ้นมาในทันที

เหตุที่เขาทำแบบนี้ก็เพื่อประหยัดเวลา

“บ้าเอ๊ย เป็นคนผู้นั้นอีกแล้ว!”

“เขาได้ไปหนึ่งต้นแล้ว กระทั่งท่อนที่สองก็จะไม่ยอมปล่อยไปหรือ?”

คนจำนวนไม่น้อยในงานประมูลโมโหนัก

“สี่ล้านสามแสนห้าหมื่น!”

มีคนไม่ยอมแพ้ เพิ่มราคาประมูลขึ้นทันที

“พี่เฟิง ท่านได้โสมปราณเทพต้นแรกไปแล้ว ทำไมถึงยังเข้าร่วมประมูลอีกเล่า?”จ้าวหยูเฟยไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก

“เอามาให้เจ้า!” จ้าวเฟิงระบายยิ้มน้อยๆ

โสมปราณเทพเป็นสมบัติที่ใช้เพิ่มอัตราส่วนในการทะลวงขั้นจอมเทพ ระดับอยู่เหนือหน่อไม้แสงจันทร์ มาก ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงไม่สามารถคัดลอกได้ บวกกับว่าเขาก็ได้สมบัติมาไม่น้อย ดังนั้นจึงอาศัยโอกาสนี้ประมูลเสีย

จนสุดท้าย โสมปราณเทพต้นที่สองก็ถูกจ้าวเฟิงประมูลมาได้ด้วยราคาสี่ล้านเก้าแสน

ในตอนที่ผู้แข็งแกร่งมากมายในงานประมูลคิดว่าจ้าวเฟิงคงจะหยุด

โสมปราณเทพต้นที่สาม จ้าวเฟิงก็ประมูลอีกครั้ง จนสุดท้ายได้โสมปราณเทพต้นสุดท้ายมาในราคาหกล้าน

หลังจากการประมูลจบลง จ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟยเดินออกมา ก็ยังตกเป็นเป้าสายตาของหลายคนอยู่ดี แต่มีคนจำนวนไม่มากที่รู้ว่าจ้าวเฟิงคือคนประมูลโสมปราณเทพได้ทั้งสามต้น

“ซินอู๋เหิน!” จ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟยเดินไปได้ระยะหนึ่งก็เจอกับซินอู๋เหิน

“จ้าวเฟิง! จ้าวหยูเฟย?” ซินอู๋เหินค่อนข้างตกใจ

จากนั้นทั้งสามคนก็ไปที่หอชาระดับสูงในลานแลกเปลี่ยนซื้อขายอาณาจักรเทพ

“สถานการณ์ของเผ่าเทพยักษ์เป็นอย่างไรบ้าง?” จ้าวเฟิงเอ่ยถาม

ถึงซินอู๋เหินจะอยู่ในคลังสมบัติบรรพชน ครอบครองทรัพยากรจำนวนมาก แต่ส่วนมากก็ยังเป็นประเภทเสวียนอ้าวเวลา อีกทั้งเรื่องที่เผ่าเทพยักษ์อยากจะต่อต้านตำหนักวิญญาณบรรพกาล ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ในระยะเวลาสั้นๆ

“ยังดีที่เผ่าเทพยักษ์ในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนมากนัก กำลังกะเกณฑ์คนเพิ่มขึ้น!” ซินอู๋เหินลังเลไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดปากเอ่ย

ก่อนนี้ตำหนักวิญญาณบรรพกาลถูกเผ่าเทพยักษ์ปกครอง เผ่าเทพยักษ์ในตอนนั้นยังมีขั้วอำนาจในสังกัดที่ภักดีด้วยจำนวนไม่น้อย เพียงแต่ว่าเผ่าเทพยักษ์ก่อนนี้ยังไม่มีความสามารถมากพอที่จะรับมือตำหนักวิญญาณบรรพกาลได้ และพวกเขาก็ไม่กล้าไปขอความช่วยเหลือ

แต่ตอนนี้ ซินอู๋เหินทะลวงผ่านขั้นจอมเทพแล้ว เผ่าเทพยักษ์ก็กำลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ขั้วอำนาจของเขาก็ทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ

“การรบระหว่างเผ่าพันธุ์วิญญาณและเผ่าเปลวทองในช่วงก่อน ข้าได้สินสงครามมาไม่น้อย เดิมอยากจะขายในงานประมูลให้หมด สุดท้ายกลายเป็นว่างานประมูลอาณาจักรเทพหรูหราเกินไป จึงไม่เห็นสิ่งของของข้าอยู่ในสายตา หากเจ้าได้ใช้ จะเอาไปก็ได้…”

จ้าวเฟิงวางมิติเก็บของลงบนโต๊ะหิน

ด้านในบรรจุอาวุธเทพชั้นยอดและชั้นกลางจำนวนมาก รวมทั้งทรัพยากรขั้นต่ำจำนวนไม่น้อยอยู่ด้วย

สำหรับจ้าวเฟิงแล้ว สิ่งของพวกนี้ไร้ประโยชน์ งานประมูลอาณาจักรเทพก็ไม่รับเข้าร่วมประมูลด้วยเช่นกัน แต่สำหรับเผ่าเทพยักษ์ของซินอู๋เหิน มันกลับมีประโยชน์อย่างมาก

“เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว!” ซินอู๋เหินเองก็ไม่อิดออด รับมิติเก็บของมาทันที

ทั้งสามคนพูดคุยเล่นกันอยู่ครู่หนึ่งถึงแยกย้าย

ในวันที่สาม จ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟยติดตามผู้อาวุโสสองเผ่าพันธุ์วิญญาณเดินทางออกจากลานแลกเปลี่ยนค้าขายไป

คนที่เข้าไปด้านในครั้งนี้เก็บเกี่ยวกันมาได้ไม่น้อย หลังจากกลับเผ่าพันธุ์วิญญาณแล้ว คนจำนวนมากจึงเริ่มปิดด่านฝึกตน

ภายในชุดคลุมมิติ

“ลองทะลวงเสวียนอ้าวมิติขั้นที่เก้าอีกครั้งแล้วกัน!”

แววตาจ้าวเฟิงเคร่งขรึม เสวียนอ้าวไปถึงขั้นที่เก้าแล้ว ถึงจะนับได้ว่าเป็นครึ่งก้าวสู่จอมเทพ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version