บทที่ 1435 ขอความช่วยเหลือ
ในชุดคลุมมิติ
เบื้องหน้าจ้าวเฟิงมีทรัพยากรเสวียนอ้าวมิติระดับสูงหลายชิ้นลอยอยู่ แก่นพลังภายในก็ค่อยๆ ถูกจ้าวเฟิงดูดซึมเอาไปใช้
วิ้ง~ รอบๆ ตัวเขาปกคลุมไปด้วยพลังมิติที่ชัดเจน ทำให้ดูไปแล้วเลือนราง บิดเบี้ยวพร่าเลือน
เสวียนอ้าวขั้นที่เก้าเป็นจุดสูงสุดของเสวียนอ้าว
คิดจะฝึกฝนเสวียนอ้าวประเภทหนึ่งไปจนถึงระดับสุดยอด ปกติจำเป็นต้องอาศัยการสะสมเป็นเวลานาน แต่จ้าวเฟิงมีทรัพยากรนับไม่ถ้วน แถมยังมีอาวุธเทพระดับสุดยอดประเภทมิติอย่างชุดคลุมมิติ บวกกับพรสวรรค์ในด้านมิติที่ตัวเขามีอยู่พอควร
ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ใช่ว่าจะทำไม่สำเร็จ
ไม่ไกลนัก มังกรทมิฬล้างโลกาเปิดดวงตาสองข้างมองดู
“เสวียนอ้าวมิติใกล้จะขั้นที่เก้าแล้ว!”
มังกรทมิฬล้างโลการู้สึกได้ถึงระลอกมิติแก่กล้าที่จ้าวเฟิงแผ่ออกมา ในใจสั่นระรัว
หลังจากที่ศึกระหว่างสองเผ่าจบลงแล้ว เขาก็ทะลวงเป็นเทพโบราณขั้นเก้าสุดยอดอย่างรวดเร็ว เดิมมังกรทมิฬล้างโลกาคิดว่าบางทีอาจจะไล่ตามจ้าวเฟิงทัน เพราะสัญลักษณ์ของการเป็นครึ่งก้าวสู่จอมเทพคือเสวียนอ้าวขั้นเก้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำความเข้าใจและพรสวรรค์
อีกทั้งเสวียนอ้าวธาตุไฟที่เขาฝึกง่ายดายกว่าเสวียนอ้าวอื่นๆ มังกรทมิฬล้างโลกาคิดว่าเสวียนอ้าวธาตุไฟที่ตนเองฝึกน่าจะไปถึงขั้นที่เก้าก่อน
ตอนนี้เมื่อดูไป บางทีก็อาจไม่แน่แล้ว
วู้ม วู้ม! มิติในชุดคลุมมิติบิดเบี้ยววุ่นวาย
ถ้าหากพลังฝึกตนต่ำแล้วยังไม่ชำนาญเสวียนอ้าวมิติ จะไม่สามารถอยู่ในมิติแห่งนี้ได้สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาเป็นปีแล้ว หนำซ้ำยังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ในวันนี้ จู่ๆ ก็การบิดเบี้ยวของมิติในชุดคลุมหยุดไป
“สำเร็จแล้วหรือ?” มังกรทมิฬล้างโลกาลืมตา ก่อนจะกลั้นหายใจ
ทันใดนั้นเอง เสวียนอ้าวมิติที่ลึกล้ำแปลกประหลาดสาดกระจายออกจากในร่างจ้าวเฟิง มิติที่บิดเบี้ยวถูกทำลายจนราบทันใด
ในเวลาเดียวกัน มังกรทมิฬล้างโลกาก็รู้สึกได้ว่ามิติแห่งนี้กว้างขึ้นและมั่นคงยิ่งขึ้น
“มิติขั้นที่เก้า ครึ่งก้าวสู่จอมเทพ!” จ้าวเฟิงพลันลืมตา ร่างมาปรากฏกลางอากาศด้านบน
เสวียนอ้าวมิติไปแตะขั้นที่เก้า เหมือนว่าเขาจะใช้พลังทั้งหมดของชุดคลุมมิติออกมาได้
“ยินดีด้วยนายท่าน ทะลวงครึ่งก้าวสู่จอมเทพได้สำเร็จแล้ว!”
มังกรทมิฬล้างโลการีบแสดงความยินดี
หลังจากทะลวงไปถึงขั้นครึ่งก้าวสู่จอมเทพได้สำเร็จ จ้าวเฟิงกลับไปยังสถานที่ฝึก ก่อนจะนั่งขัดสมาธิลง เสวียนอ้าวเพิ่งจะทะลวงขั้นมาได้ จำเป็นต้องทำความคุ้นเคยและประคองให้มั่นคง อีกทั้งเสวียนอ้าวอื่นๆ ก็ช่วยเพิ่มระดับขั้นให้มิติแห่งนี้ด้วย
และเสวียนอ้าวมิติไปถึงขั้นเก้า ก็แสดงให้เห็นว่าจ้าวเฟิงสามารถฝึกฝน ‘วิชาพลังฟ้าประสานหนึ่ง’ ขั้นที่ห้าได้แล้ว
ทันทีที่ฝึกจนสำเร็จ พลังของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย
เวลาสามปีในชุดคลุมมิติผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในช่วงนี้จ้าวเฟิงฝึกฝนเสวียนอ้าวอย่างลึกซึ้งและปรุโปร่ง ทั้งยังเพิ่มระดับเสวียนอ้าวอื่นๆ ไปด้วย อีกอย่าง เมื่อเริ่มฝึก ‘วิชาพลังฟ้าประสานหนึ่ง’ ขั้นที่ห้าแล้ว พลังเทพรวมศูนย์ก็เพิ่มขึ้นไปอีกขั้นด้วย
ในขณะที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาไปพร้อมกัน จ้าวเฟิงยังฝึกฝนเคล็ดวิชา ‘หลุมดำรวมศูนย์’ ในขั้นที่ห้าด้วย
เคล็ดวิชานี้เป็น ‘วงแสงรวมศูนย์’ ฉบับที่แก้ไขปรับปรุงแล้ว โดยพัฒนาพลังในการกลืนกินและป้องกันไปจนถึงขีดสุด ทั้งยังมีพลังการโจมตีที่แข็งแกร่งมาก
ถึงแม้ว่า ‘หลุมดำรวมศูนย์’ จะเป็นวิชาใน ‘วิชาพลังฟ้าประสานหนึ่ง’ ขั้นที่ห้า แต่เคล็ดวิชานี้ยากมากนัก จะต้องอยู่ในขั้นห้าสุดยอด ถึงจะสามารถปลดปล่อยออกมาได้
ในตอนนี้ จ้าวเฟิงเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น หากคิดจะเรียกวิชาออกมาทั้งหมดได้ต้องอาศัยเวลาอีกช่วงหนึ่ง
เวลาค่อยๆ เคลื่อนคล้อยไป จ้าวเฟิงปิดด่านฝึกตนในชุดคลุมมิติเป็นเวลาแปดปี
ในวันนี้ จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงระลอกพลังที่แก่กล้าจากมิติเก็บของ ถึงจบการปิดด่านฝึกตน
“เป็นอย่างไรบ้าง?” จ้าวเฟิงเอาเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนออกมา
ระลอกพลังที่แข็งแกร่งเมื่อครู่สาดซัดออกมาจากเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชน
“มู่กู่ ให้ข้าแจ้งท่าน ซินอู๋เหินขอความช่วยเหลือจากท่าน…”
เสียงแก่ชราดังลอดออกมาจากเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชน
เผ่าเทพยักษ์ครอบครองตราอาวุธเทพ สามารถติดต่อกับมู่กู่เผ่าแสงในอาณาจักรเทพได้ ส่วนมู่กู่ก็มีวิธีติดต่อกับเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนเช่นกัน
“อะไรนะ เผ่าเทพยักษ์เผชิญอันตรายแล้วหรือ?” สีหน้าจ้าวเฟิงชะงักไป
ตอนอยู่ที่ลานแลกเปลี่ยนซื้อขายอาณาจักรเทพ เขาสอบถามสถานการณ์ของซินอู๋เหิน อีกฝ่ายบอกว่ายังอยู่ดี แต่ตอนนี้ซินอู๋เหินกลับขอความช่วยเหลือจากเขา จากจุดนี้เห็นได้ว่าเผ่าเทพยักษ์ในตอนนี้สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก
คิดไปแล้วก็จริงอยู่ ต่อให้ซินอู๋เหินได้ทรัพยากรจำนวนมหาศาล ก็คงจะไม่สามารถทำให้เผ่าเทพยักษ์เติบโตจนต้านทานตำหนักวิญญาณบรรพกาลได้ในเวลาสั้นๆ
ทางฝั่งซินอู๋เหินครั้งนี้หวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากเผ่าพันธุ์วิญญาณ โดยอาศัยจ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟย แต่เผ่าพันธุ์วิญญาณอยู่ไกลจากเขตดาราชาดมากจนเกินไป หนำซ้ำระหว่างสองเผ่าก็ไม่เคยคบค้าสมาคมกันมาก่อน
เผ่าพันธุ์วิญญาณเพิ่งจะผ่านศึกใหญ่ไป เกิดความเสียหายมากมาย ต้องการเวลาในการฟื้นฟู
ในขณะนี้ หากทางเผ่ายังมีสมองอยู่บ้าง ล้วนแต่ไม่มีทางไปช่วยขั้วอำนาจแปลกหน้าใดๆ ทว่าจ้าวเฟิงยังต้องลองดู
หลังออกจากชุดคลุมมิติแล้ว เขาจึงแจ้งเรื่องนี้ต่อผู้อาวุโสที่สอง
“จ้าวเฟิง ตอนนี้ผู้อาวุโสของเผ่าออกเดินทางด้านนอก ผู้อาวุโสก็ปิดด่านฝึกตน ส่วนคำสาปมรณะบนร่างข้าก็ยังไม่หายไปทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือศึกระหว่างขั้วอำนาจห้าดาวของเขตอื่น เผ่าพันธุ์วิญญาณเองก็ยากจะยื่นมือเข้ายุ่ง…”
เป็นไปตามที่คาด เผ่าพันธุ์วิญญาณไม่อาจยื่นมือเข้ามาช่วยได้ ผู้อาวุโสที่สองบอกปัดเสียแล้ว
เผ่าพันธุ์วิญญาณเป็นขั้วอำนาจในเขตเทพสวรรค์ ถ้าหากยื่นมือเข้าไปยุ่งกับศึกของเขตแดนอื่นย่อมดูไม่ดีนัก อีกอย่าง พลังของเผ่าเทพยักษ์จะเอาชนะตำหนักวิญญาณบรรพกาลได้ ก็มีหวังเพียงน้อยนิดเท่านั้น หากเผ่าพันธุ์วิญญาณผลีผลามเข้ายุ่ง เกรงว่าจะมีแต่ไปไม่มีกลับเท่านั้น
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าไปคนเดียวก็ได้!” สีหน้าจ้าวเฟิงนิ่งเฉย
ที่เขาประสบความสำเร็จได้อย่างเช่นในวันนี้ และยังได้ครอบครองสมบัติอย่างเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชน ล้วนเป็นเพราะว่าซินอู๋เหินไม่ใส่ใจการคัดค้านของคนในเผ่า ดึงดันให้เขาเข้าไปใน ‘คลังสมบัติบรรพชน’ ยิ่งไปกว่านั้น หนานกงเซิ่งและคุนอวิ๋นเองก็อยู่ที่เผ่าเทพยักษ์ด้วย หนำซ้ำจ้าวเฟิงเพิ่งจะทะลวงขั้นครึ่งก้าวสู่จอมเทพได้ พลังเพิ่มขึ้นไม่น้อย
ในตอนนี้ ถึงจะต้องเผชิญหน้ากับจอมเทพ เขาเองก็รับมือได้ ยิ่งไปกว่านั้นการรบอาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายก็เป็นได้
สมบัติที่เขาปล้นชิงและยึดได้จากเผ่าเปลวทองในศึกระหว่างทั้งสองเผ่าก่อนนี้ เป็นผลึกเทพระดับสูงเกือบยี่สิบล้าน
ความร่ำรวยเช่นนี้ ยังทำอะไรในงานประมูลอาณาจักรเทพไม่ได้
การเดินทางไปเผ่าเทพยักษ์เพื่อรับมือตำหนักวิญญาณบรรพกาลครั้งนี้ บางทีอาจจะพอปล้นชิงเอาสมบัติมาได้มากขึ้น
“จ้าวเฟิง เจ้าอย่าใจร้อน!”
ผู้อาวุโสที่สองหน้าเปลี่ยนสีทันที
ในภายหน้าจ้าวเฟิงมีความเป็นไปได้มากว่าจะได้เป็นจอมเทพ อาจสามารถทะลวงไปแตะขั้นสองหรือสามได้ด้วยซ้ำ ศักยภาพขนาดนี้ เผ่าพันธุ์วิญญาณเห็นเขาเป็นคนของเผ่าไปแล้ว
“ผู้อาวุโส ท่านวางใจเถิด จอมเทพหั่วอวิ๋นยังทำอะไรข้าไม่ได้เลย!”
จ้าวเฟิงยืดอกพลางเอ่ย
“ตำหนักวิญญาณบรรพกาลสู้เผ่าเปลวทองไม่ได้ ขั้วอำนาจนี้สามารถพลิกชะตาเผ่าเทพยักษ์ เห็นได้ว่าไม่ธรรมดาแต่น้อย…”
ผู้อาวุโสที่สองโน้มน้าว
แต่ฉับพลันนั้น พลังมิติที่แก่กล้าสาดซัดออกจากร่างจ้าวเฟิง ตรงไปผนึกมิติในฟ้าดิน กระทั่งผู้อาวุโสที่สองยังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากมิติด้วยเช่นกัน
“เจ้าเป็นครึ่งก้าวสู่จอมเทพแล้วหรือ?”
สีหน้าผู้อาวุโสที่สองชะงักค้าง ตื่นตะลึงเกินจะเปรียบ
ยามนี้จ้าวเฟิงไปถึงขั้นครึ่งก้าวสู่จอมเทพ หนำซ้ำยังมีเสวียนอ้าวมิติเป็นหลักด้วยก่อนหน้านี้จอมเทพทั่วไปทำอะไรจ้าวเฟิงไม่ได้ ตอนนี้เกรงว่าจะรับมือเขาไม่ได้ด้วยซ้ำถึงจ้าวเฟิงจะไร้เทียมทาน ด้วยเสวียนอ้าวมิติขั้นที่เก้าของเขาบวกกับกฎเกณฑ์เวลา หากเขาจะหนีก็ง่ายดายอย่างยิ่ง
สุดท้ายแล้ว ผู้อาวุโสที่สองก็ยินยอมให้จ้าวเฟิงไปช่วยเผ่าเปลวทอง
“ผู้อาวุโส ต้องฝากหยูเฟยให้ท่านดูแลด้วย!”
ก่อนจะไป จ้าวเฟิงก็ยังเป็นห่วงจ้าวหยูเฟย
ช่องว่างที่จะพัฒนาของจ้าวหยูเฟยเพิ่มมากขึ้น ขอแค่ให้เวลานางเต็มที่ก็จะเติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ในขณะนี้จ้าวหยูเฟยกำลังปิดด่านฝึกตน จ้าวเฟิงจึงไม่ได้ติดต่อนาง
สำหรับการต่อสู้ของขั้วอำนาจห้าดาว ด้วยพลังฝึกตนของจ้าวหยูเฟยคงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เดินทางไปที่เผ่าเทพยักษ์ก็ไม่ได้ปลอดภัยเท่าไหร่ ส่วนเผ่าพันธุ์วิญญาณก็ยิ่งไม่อยากปล่อยให้จ้าวหยูเฟยจากไป เพื่อลดความยุ่งยากที่อาจจะเกิดขึ้น จ้าวเฟิงจึงเลือกเดินทางไปเพียงลำพัง
“จ้าวเฟิง เผ่าพันธุ์วิญญาณไม่ให้เอาผู้แข็งแกร่งออกไปจนเกินไป แต่หากให้เทพโบราณขั้นเก้าและขั้นแปดไปกับเจ้าก็พอจะได้อยู่!”
ผู้อาวุโสที่สองยังคงไม่วางใจนัก
“ไม่ต้องหรอก!” จ้าวเฟิงปฏิเสธความหวังดีของผู้อาวุโสที่สอง
หากมีจอมเทพนำทาง เผ่าพันธุ์วิญญาณจะเดินทางไปที่เขตดาราชาดได้เร็วขึ้น แต่เทพโบราณขั้นแปดขั้นเก้าเหล่านี้ช้าไปเล็กน้อย
ส่วนจ้าวเฟิงก็ไม่ได้เดินทางไปเพียงลำพัง เขามีผู้ช่วยที่แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อย
ถ้าจ้าวเฟิงเดินทางไปเพียงลำพัง จะสามารถเดินทางไปถึงเขตดาราชาดได้อย่างรวดเร็วโดยผ่านอาณาจักรเทพของเผ่าแสง เรื่องนี้จะให้คนนอกรู้ไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธน้ำใจของผู้อาวุโสที่สอง
เมื่อเดินทางออกจากเผ่าพันธุ์วิญญาณแล้ว จ้าวเฟิงก็มายังสถานที่ลับตาคน
หลังจากที่เขาอดทนรอเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว
โครม ฟิ้ว!
เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนลอยละล่องอยู่กลางอากาศ จู่ๆ ก็ปลดปล่อยพลังมิติที่แข็งแกร่งออกมา เชื่อมโยงกับพลังที่ปั่นป่วนมหาศาล ไม่นานเท่าไหร่นัก มันก็เกาะกลุ่มรวมตัวกันเป็นอุโมงค์ทางเดินสายหนึ่ง
อาณาจักรเทพของเผ่าแสงอยู่ในระดับสูงอย่างยิ่ง พลังที่แฝงอยู่ภายในก็มากมายมหาศาล
ตอนนี้มู่กู่ครอบครองอาณาจักรเทพ เขาย้ายมันไปแถวเขตเทพสวรรค์และสร้างทางเข้าไว้ด้วย ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงสามารถเข้าไปในอาณาจักรเทพได้ในทันที และหลังจากที่เข้าไป จ้าวเฟิงก็มาถึงเขตดาราชาดอย่างรวดเร็ว
พรึ่บ! จ้าวเฟิงก้าวเข้าไปด้านใน
หลังจากผ่านมิติที่วุ่นวายแล้วนั้น เขาก็ปรากฏตัวขึ้นข้างต้นไม้แห่งกาลเวลา ณ พื้นที่ต้องห้ามในอาณาจักรเทพของเผ่าแสง ด้านหน้าเขามีผู้อาวุโสคนหนึ่งลอยอยู่ ร่างของอีกฝ่ายเกิดจากระลอกแสงสีขาวรวมตัวกัน
“ผู้อาวุโสมู่กู่ ขอบพระคุณท่านมาก!” จ้าวเฟิงมองมู่กู่อย่างละเอียด
หากเดาไม่ผิดแล้วละก็ ตอนนี้มู่กู่ก็คงเป็นจอมเทพขั้นที่หนึ่ง แต่เมื่อมองแล้วกลับให้ความรู้สึกที่ลึกล้ำเกินจะคาดเดา
“ไม่เจอกันครู่เดียว เจ้าเป็นครึ่งก้าวสู่จอมเทพเสียแล้ว!”
มู่กู่ตื่นตะลึงไปเล็กน้อย
ตอนที่ออกจากสถานที่แห่งนี้ จ้าวเฟิงยังเป็นแค่เทพโบราณขั้นเก้าเท่านั้น
“โชคดีที่ได้ผลเก็บเกี่ยวจากอาณาจักรเทพ!”
จ้าวเฟิงระบายยิ้มออกมาน้อยๆ
หลายวันต่อมา จ้าวเฟิงอยู่ในอาณาจักรเทพของเผ่าแสง เดี๋ยวฝึกตนบ้าง เดี๋ยวก็ไปฝึกปรือฝีมือในสถานที่อันเต็มไปด้วยอันตราย
สามเดือนต่อมา มู่กู่จึงสร้างอุโมงค์ทางเดินขึ้นอีกครั้ง แล้วส่งจ้าวเฟิงไปที่เขตดาราชาด อันเป็นละแวกใกล้เคียงกับที่อยู่ของเผ่าเทพยักษ์
…………………..
เขตดาราชาดเป็นพื้นที่ต้องห้ามที่อันตราย เต็มไปด้วยเพลิงโลกันตร์ ในฟ้าดินปกคลุมไปด้วยควันเพลิงสีแดงร้อนระอุ เทพโบราณขั้นหกเข้าใกล้ที่นี่ต้องถูกควันพิษกัดกร่อนไป
เพลิงพิษที่นี่พิสดารมาก ไม่เพียงแต่สามารถกัดกร่อนกายได้ ยังสามารถส่งผลกระทบต่อจิตสำนึกของคนด้วย อีกทั้งยิ่งเข้าไปใกล้ใจกลางเท่าไหร่ พิษเพลิงก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ถึงจะเป็นเทพโบราณก็ยังต้องได้รับผลกระทบของมัน
ในถ่านร้อนระอุใต้ดิน พอจะมองเห็นเงายักษ์ที่เลือนราง สาดซัดกลิ่นอายอันตรายที่ร้อนระอุออกมา
พรึ่บ! พรึ่บ~ เงาจำนวนมากค่อยๆ เดินตรงไปด้านในกองเพลิงร้อนแรงดังกล่าว
ผู้นำเป็นชายหนุ่มใบหน้าเย็นชา ร่างกายผอมแห้ง อยู่ท่ามกลางหมอกปีศาจสีดำสนิท ไม่ได้รับผลกระทบจากควันพิษใดๆ
“อ๊าก…” มีเสียงร้องโหยหวนดังลอดออกมาจากกองทัพด้านหลัง
ทันใดนั้นเอง ผู้แข็งแกร่งและแพทย์ก็รีบเร่งเดินมา
“ซ่อนตัวเก่งจริง คิดไม่ถึงว่าพวกมันจะหลบอยู่ที่นี่!”
เทพโบราณขั้นเก้าผู้หนึ่งลอบด่า
เพื่อสืบหาข่าวคราวของเผ่าเทพยักษ์ ตำหนักวิญญาณบรรพกาลน่าจะใช้ขั้วอำนาจทั้งหมดเพื่อปูพรมสำรวจทั้งเขตดาราชาด
“การดิ้นรนเอาชีวิตรอดของพวกมันกำลังจะจบลงแล้ว!”
จอมเทพเสียหลิงที่เป็นผู้นำหัวเราะเสียงเหี้ยมเกรียม