บทที่ 1449 เปลี่ยนมายา
หลายสิบปีก่อน ในดินแดนเกาะแห่งหนึ่งของดินแดนหมู่เกาะกู่ชิง
ขั้วอำนาจแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าสำนักศักดิ์สิทธิ์วิญญาณร้าย จู่ๆ ก็รุ่งโรจน์ขึ้นมาในระยะเวลาอันสั้น รวบขั้วอำนาจทุกแห่งในดินแดนเกาะแห่งนั้นไป แล้วรวมทั้งเกาะให้เป็นหนึ่งเดียว
แต่ไม่นาน สำนักศักดิ์สิทธิ์วิญญาณร้ายก็ขยายเป้าหมายไปถึงดินแดนเกาะในละแวกใกล้เคียง อย่างเช่นทวีปบุปผาคราม หรือจะทวีปแสงประกายอันเป็นที่อยู่ของ ‘เจ้าสำนักหนานอู่’ ผู้นั้น
หลังจากตรวจพบแผนการรุกรานของสำนักศักดิ์สิทธิ์วิญญาณร้าย ดินแดนเกาะทั้งสองจึงมีความเห็นเป็นหนึ่งเดียวกัน คือผนึกกำลังรับมือกับศัตรู
แต่ผลลัพธ์กลับเกินความคาดหมายไปมาก ระหว่างดินแดนเกาะทั้งสองและสำนักศักดิ์สิทธิ์วิญญาณร้ายผลัดแพ้ผลัดชนะอยู่หลายครั้ง
ตอนนี้ขั้วอำนาจทั้งสามฝ่ายกำลังปะทะกันอย่างเป็นทางการ
“โลกทั้งใบ? เหอะ เจ้าไร้เดียงสาเกินไปแล้ว!”
เจ้าหอโครงกระดูกรู้ว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้อาวุโสร่างผอมแห้ง แต่ฝ่ายตรงข้ามผยองว่าจะยึดครองทั้งโลก ทำให้เขารู้สึกตลก
เขาเคยบุกตะลอนไปทั่วกับจ้าวเฟิง ย่อมรู้ว่ามหาสมุทรแห่งนี้กว้างใหญ่ขนาดไหน ภายในนั้นมีสรรพสัตว์มากมาย และยังมีทวีปเหนือ และยังมีดินแดนทวีป!
“ฮี่ๆ พวกเจ้าต่างหากไม่รู้อะไรเลย พวกโง่เง่า!”
ใบหน้าผู้อาวุโสผอมแห้งฉายแววเหยียดหยาม ก่อนจะหัวเราะอย่างชั่วร้าย
“เจ้าสำนัก ในเมื่อพวกมันไม่ยอมแพ้ ก็ใช้พลังบังคับให้พวกมันศิโรราบ!”
ข้างกายผู้อาวุโสร่างผอมแห้งมีผู้อาวุโสปากแหลมทะยานออกมา ดวงตาแดงก่ำฉายแสงโหดเหี้ยม
“สังหาร!” ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งถ่ายทอดคำสั่งลงไปทันที
พรึ่บ พรึ่บ~ โครม ตูม!
ทางฝั่งสำนักศักดิ์สิทธิ์วิญญาณร้ายพุ่งไปยังกลุ่มทหารของทวีปบุปผาครามและทวีปแสงประกาย พร้อมด้วยจิตสังหารที่ลุกโชน
เปรี้ยง ตูม! กองทหารของทั้งสองดินแดนต่างต่อต้านอย่างฮึกเหิม
ในนั้นมีจ้าวลัทธิหง เถี่ยหมัว และยังมีผู้แข็งแกร่งจำนวนมากจากอาณาจักรนภา รวมไปถึงผู้นำระดับสูงจากสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ก็อยู่ที่นั่นด้วย แต่ไม่นานเท่าไหร่นัก กลุ่มทหารของทั้งสองดินแดนก็ตกเป็นฝ่ายได้เปรียบ
สำนักศักดิ์สิทธิ์วิญญาณร้ายไม่เพียงแต่มีกำลังรบอยู่เหนือกองทัพสองดินแดน ความสามารถของคนในระดับกลางและสูงยังอยู่เหนือผู้แข็งแกร่งของทั้งสองดินแดนด้วย
จากการสืบค้นของทั้งสองดินแดน วิชาฝึกตนของสำนักศักดิ์สิทธิ์วิญญาณร้าย มีระดับความร้ายกาจอยู่เหนือวิชาทั้งหมดของผู้ฝึกในดินแดนเกาะ
“เฮ้อ ถ้าหากจ้าวเฟิงหรือหยูเทียนฮ่าวอยู่ที่นี่ บางทีทั้งหมดอาจจะเรียบร้อยไปแล้ว!”
จ้าวลัทธิหงทอดถอนใจ
ที่ผ่านมาจ้าวเฟิงและหยูเทียนฮ่าวเป็นราชาผู้ถูกเลือก
ในตอนที่จ้าวเฟิงเดินทางออกจากทวีปบุปผาครามไป เขามีพลังฝึกตนในขั้นจักรพรรดิ ส่วนหยูเทียนฮ่าวก็เป็นยอดผู้สูงศักดิ์ระดับสุดยอด
ด้วยศักยภาพของพวกเขา ไม่รู้ว่าตอนนี้จะมีพัฒนาไปถึงขั้นไหนแล้ว
“เวลาผ่านไปหลายปีแล้ว ไม่มีข่าวคราวของจ้าวเฟิงเลย…”
เถี่ยหมัวส่ายศีรษะอย่างหมดหวัง
“ตายซะ!” ผู้สูงศักดิ์คนสองคนจากสำนักศักดิ์สิทธิ์วิญญาณร้ายพุ่งมาสังหาร
จ้าวลัทธิหงและเถี่ยหมัวรีบตรงมารับมือฝ่ายตรงข้ามพร้อมกับผู้แข็งแกร่งในขอบเขตนายเหนือแท้อีกหลายคน แต่ฝ่ายตรงข้ามฝึกฝนวิชาอันลึกล้ำชั่วร้าย พลังแข็งแกร่งจนเกินไป เพียงครู่เดียวก็บีบจนพวกเขาต้องถอยไป
วูบ~
จ้าวลัทธิหงและเถี่ยหมัวพากันกระอักเลือด ส่วนผู้แข็งแกร่งหลายคนในขอบเขตนายเหนือแท้ก็เหลืออยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น
“พวกเจ้าถอยไปให้หมด!”
เจ้าหอโครงกระดูกแค่นเสียงเย็น ธงค่ายกลผืนหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเขา
พรึ่บ ฟู่~ หมอกเพลิงภูตผีที่หนาแน่นปรากฏขึ้นกลางอากาศ แผ่ความอาฆาตและปราณศพจำนวนมหาศาลที่สะเทือนฟ้าดินออกมา
ในหมอกเพลิงภูตผี สีดวงตาชั่วร้ายสีแดงก่ำร้อยคู่ปรากฏขึ้น
ปราณศพแรงอาฆาตที่หมอกเพลิงสาดซัดออกมา หนาแน่นกว่าตอนที่จ้าวเฟิงเดินทางจากไปตอนนั้นเล็กน้อย และหุ่นเชิดศพต้องสาปทุกตนในนั้น กลิ่นอายพลังฝึกตนล้วนเกือบถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง
ในวินาทีที่ค่ายกลหุ่นเชิดศพเผยออกมานั้น ก็สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ราชันสำนักศักดิ์สิทธิ์วิญญาณร้าย ด้วยความสามารถของตัวเจ้าหอโครงกระดูกเอง รวมกับค่ายกลหุ่นเชิดศพ จึงสามารถรับมือกับราชันปราณเทวะสามคนได้
“นี่คือค่ายกลหุ่นเชิดศพอันเลื่องลือของเจ้าหอโครงกระดูกหรือ?”
เจ้าสำนักหนานอู่มองดูค่ายกลปราดหนึ่ง ในใจแอบอุทานตกใจ
“อ้อ? ค่ายกลชุดนี้ถึงแม้จะไปถึงขีดจำกัดแล้ว แต่ก็นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว!”
ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งฝั่งสำนักศักดิ์สิทธิ์มองเจ้าหอโครงกระดูกที่กำลังต่อสู้อยู่
ในตอนนี้เขายังไม่ได้ลงมือ แต่ดินแดนทั้งสองทุ่มเทสุดแรงแล้วก็ยังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“ข้าถูกใจค่ายกลชุดนี้!” ความชั่วร้ายพาดผ่านในแววตาผู้อาวุโสร่างผอมแห้ง จู่ๆ ก็พุ่งเข้าไปประชิดตัวเจ้าหอโครงกระดูก
“ไม่ดีแล้ว!” เจ้าหอโครงกระดูกหน้าเปลี่ยนสี พลังทั้งร่างพลันลดลง พึ่งพาค่ายกลหุ่นเชิดศพเพื่อรับมือกับราชันทั้งสาม นับว่าเป็นขีดจำกัดของเขาแล้ว
ถ้าหากมีราชันผู้หนึ่งเข้าร่วมด้วย เขาคงพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งไปกว่านั้น ราชันผู้นี้ยังเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของฝ่ายตรงข้าม นั่นคือเจ้าสำนักศักดิ์สิทธิ์วิญญาณร้ายผู้เป็นราชันระดับสุดยอด
ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งคว้ามือไป สร้างเป็นกรงเล็บปีศาจขนาดมโหฬารที่น่าสะพรึงกลัวข้างหนึ่ง พุ่งโจมตีไปข้างหน้า
โครม ตูม! กรงเล็บปีศาจยักษ์โจมตีลงบนค่ายกลหุ่นเชิดศพ ปลดปล่อยพลังกระดูกที่น่ากลัวออกมา
ทันใดนั้น หุ่นเชิดศพทั้งหมดในค่ายกลร่างแหลกทลาย พลานุภาพค่ายกลลดลงทันที
ส่วนเจ้าหอโครงกระดูกก็ถอยจากด้านบนค่ายกลหุ่นเชิดศพไปด้านหลัง
“ไม่…” เจ้าหอโครงกระดูกมีสีหน้าสิ้นหวัง
ค่ายกลแห่งนี้เป็นไพ่ตายที่ทรงพลังที่สุดของเขา
พลังของตัวเขาเองเป็นราชันทั่วไป เมื่อใช้ค่ายกลหุ่นเชิดศพด้วย ถึงจะสามารถรับมือกับราชันสามคนได้ในเวลาสั้นๆ ทันทีที่สูญเสียค่ายกลแห่งนี้ไป พวกเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
หนำซ้ำค่ายกลนี้เขาฟูมฟักมาเองทีละขั้นจนถึงวันนี้ และมันยังเป็นสิ่งที่จ้าวเฟิงทิ้งเอาไว้ให้เขา
“ฮี่ๆ ค่ายกลนี้ อีกเดี๋ยวก็จะเป็นของข้าแล้ว!”
ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งมาอยู่เหนือค่ายกลหุ่นเชิดศพ ปล่อยพลังวิญญาณที่แก่กล้าออกมา แล้วลองทำลายกลิ่นอายดวงวิญญาณในค่ายกล
ฟู่ แซ่ด! ตราประทับดวงวิญญาณของเจ้าหอโครงกระดูกถูกผู้อาวุโสร่างผอมแห้งกำจัดออกไปทันที
“หืม ยังมีตราประทับวิญญาณของคนอื่นอีกหรือ หนำซ้ำยังอ่อนแรงขนาดนี้ด้วย!”
ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งส่งเสียงหัวเราะชั่วร้าย สัมผัสได้ถึงตราประทับดวงวิญญาณบนหุ่นเชิดศพหลายร่างภายในนั้น
“หืม? ใครกัน?” หลังจากสัมผัสเจอตราประทับที่แสน ‘อ่อนแอ’ บนหุ่นเชิดศพ จู่ๆ ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งรู้สึกถึงกลิ่นอายที่สูงส่งกลุ่มหนึ่ง ดวงตาทอดมองไปไกล
หมอกหนาสลายตัว ชายหนุ่มผมเงินผู้หนึ่งมาปรากฏขึ้นด้านหน้าเขา
ใบหน้าชายหนุ่มหล่อเหลาเรียบนิ่ง เรือนผมเป็นสีเงินสว่าง น้ำวนมายาดุจความฝันกระเพื่อมขึ้นมา สะกดสายตาผู้คน
“เจ้าจะทำลายตราประทับวิญญาณของข้า?”
จ้าวเฟิงถามเสียงต่ำ
ในค่ายกลหุ่นเชิดศพ มีหุ่นเชิดศพหลายตนที่เขาเลี้ยงดูบ่มเพาะด้วยตนเองตอนอยู่ที่ซากปรักหักพังสือเฉิง ตราประทับวิญญาณบนนั้นก็ยังไม่เคยถูกลบออก
ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งเองก็เพิ่งสัมผัสตราประทับวิญญาณของจ้าวเฟิง ถึงจับตัวตนของเขาได้
“ตราประทับดวงวิญญาณที่อ่อนแอนั้น เจ้าเป็นคนทิ้งเอาไว้หรือ?”
ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งยิ้มอย่างดูถูก
ถึงแม้ว่าคนตรงหน้าผู้นี้จะแปลกพิลึกอย่างยิ่ง จนทำให้เขามองพลังฝึกตนของอีกฝ่ายไม่ออก แต่ตราประทับวิญญาณอ่อนแอขนาดนี้ เจ้าของจะแข็งแกร่งได้สักแค่ไหนกันเชียว?
“จ้าวเฟิง?” เจ้าหอโครงกระดูกหันกลับมามองจ้าวเฟิงทันที หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่งก็ดีใจจนเนื้อเต้น
“จ้าวเฟิง…เขากลับมาแล้ว!”
คนระดับสูงในสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์จ้องจ้าวเฟิงด้วยแววตาขอความช่วยเหลือ
ตอนนั้นจ้าวเฟิงสำแดงพลังจักรพรรดิออกมา ทำให้ราชันทั้งสามของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่าง ตำหนักผาดำ และตำหนักมารจันทราย่อมศิโรราบในทันที
“รองจ้าวลัทธิจ้าว!”
สมาชิกลัทธิโลหะเลือดต่างทรุดตัวลงทำความเคารพ
ถึงแม้ว่าจ้าวเฟิงจะกลายเป็นรองจ้าวลัทธิแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยรั้งอยู่ที่ลัทธิโลหะเลือด และยังไม่เคยทำอะไรก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
แต่พูดได้ว่าทุกคนในลัทธิโลหะเลือดต่างรู้เรื่องของจ้าวเฟิงกันทั้งสิ้น
ถึงขั้นที่ว่ามีคนเคารพศรัทธาเขานับไม่ถ้วน ถึงแม้ว่าจะเขาจะไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
พวกฉินหวางเฟยและกลุ่มอาณาจักรนภาเหมือนมองเห็นความหวัง แต่เมื่อนึกถึงบุญคุณความแค้นระหว่างพวกเขาและจ้าวเฟิงก่อนหน้านี้ ก็อดก้มหน้าลงไม่ได้
“จ้าวเฟิง…ใครกัน?”
เจ้าสำนักหนานอู่จ้องชายหนุ่มผมเงินใบหน้าเย็นชาที่ลอยอยู่กลางอากาศ รู้สึกได้ว่าฝ่ายตรงข้ามลึกล้ำเกินหยั่งดุจมหาสมุทรและท้องฟ้าดวงดาว
หนานอู่เป็นเจ้าสำนักของสำนักลำดับหนึ่งในทวีปแสงประกาย เขาเพียงแต่เคยได้ยินมาว่าเจ้าหอโครงกระดูกเอาชนะลัทธิจันทราชาด และรวมทวีปบุปผาครามให้เป็นหนึ่ง แต่ไม่เคยได้ยินชื่อจ้าวเฟิง
ที่สนามรบ ความผิดปกติของสมาชิกทวีปบุปผาครามทั้งหมด ทำให้คนของสำนักศักดิ์สิทธิ์วิญญาณร้ายตื่นตระหนก
“เจ้าคือใคร?”
ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งจ้องจ้าวเฟิง
เดิมทีเขาคิดว่า ทวีปบุปผาครามแค่ส่งผู้นำระดับสูงและกลางมาส่งๆ เท่านั้น แต่ดูจากปฏิกิริยาของคนทวีปบุปผาคราม ชายหนุ่มผมเงินคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่!
“ข้าชื่อจ้าวเฟิง…เจ้าหูหนวกหรือ?”
ใบหน้าจ้าวเฟิงเคร่งขรึม
“เจ้า…”
สีหน้าผู้อาวุโสร่างผอมแห้งอึ้งไป ก่อนจะโกรธเกรี้ยวทันควัน
แต่วิชาต่างๆ ของเขาไม่สามารถอ่านระดับพลังฝึกตนของจ้าวเฟิงออก บวกกับการปรากฏตัวของจ้าวเฟิงทำให้ทั้งกองทัพทวีปบุปผาครามฮึกเหิมขึ้นมา พวกเขาจึงไม่กล้าลผลีผลามทำอะไร
ในเวลานี้เอง
“นายท่าน…ข้าน้อยไร้ความสามารถ ไม่สามารถปกปักทวีปบุปผาครามได้ดีพอ!”
เจ้าหอโครงกระดูกคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เอ่ยขอโทษและยอมรับความผิด
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ผู้แข็งแกร่งฝั่งทวีปบุปผาครามมากมายตื่นตะลึง ทั้งทวีปบุปผาคราม คนที่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกมีเพียงน้อยนิด
แต่ในสายตาคนจำนวนมากของทวีปบุปผาคราม เจ้าหอโครงกระดูกเป็นเจ้าตำหนักมารจันทราชาด ขั้วอำนาจลำดับแรกของทวีปบุปผาคราม อยู่ใต้คนคนเดียวแต่อยู่เหนือคนเรือนหมื่น
แต่ตอนนี้ ผู้แข็งแกร่งที่สุดในทวีปบุปผาครามของพวกเขา กลับคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าคนอีกผู้หนึ่ง ทั้งยังเรียกฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นนายท่านด้วย!
“คนผู้นี้…ที่สุดแล้ว…”
เจ้าสำนักหนานอู่ตกตะลึงอย่างยิ่ง
พลังของเจ้าหอโครงกระดูกอยู่เหนือกว่าเขามาก
แต่คนที่อยู่เบื้องหน้ากลับเป็นเจ้านายของเจ้าหอโครงกระดูก พลังของผู้นี้ย่อมต้องไม่ธรรมดาแน่ บางทีอาจสามารถจัดการอันตรายตรงหน้าได้
“ให้เวลาพวกเจ้าสามช่วงลมหายใจ รีบไสหัวออกไปจากที่นี่ ออกไปจากดินแดนหมู่เกาะกู่ชิงเสีย!”
จ้าวเฟิงจ้องผู้อาวุโสร่างผอมแห้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกสงบนิ่ง
“อะไรนะ?”
ประโยคนี้ของจ้าวเฟิงทำให้เกิดความฮือฮาในฝั่งสำนักศักดิ์สิทธิ์วิญญาณร้าย
“เจ้าสำนัก ร่วมมือกันสังหารคนผู้นี้กันเถอะ!”
“พวกเรามีราชันมากขนาดนี้ จะกลัวมันไปทำไม!”
ราชันจำนวนมากฟากสำนักศักดิ์สิทธิ์วิญญาณร้ายลอบส่งกระแสจิตกัน
“สาม…สอง…”
จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงเบา
ภาพนี้ทำให้ทุกคนในฝั่งทวีปบุปผาครามตื่นเต้นกันมาก
เห็นท่าทางจ้าวเฟิงแล้ว ทำให้รู้สึกว่ามีหวังที่จะเอาชนะสำนักศักดิ์สิทธิ์วิญญาณร้ายได้แน่ ทางฝั่งผู้แข็งแกร่งมากมายของทวีปแสงประกายจ้องจ้าวเฟิงอย่างตกตะลึง
“เจ้าหนุ่ม ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่ามาเป็นศัตรูของพวกเราจะดีกว่า!”
ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งเอ่ยเสียงต่ำ สีหน้าย่ำแย่เป็นที่สุด
“หนึ่ง!”
ตอนที่จ้าวเฟิงเอ่ยคำนี้ บรรยากาศในสนามรบเงียบลงอย่างผิดปกติ
“สังหารคนผู้นี้เสีย!”
ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งตะโกนออกมาทันที เขาทนเห็นความหยิ่งผยองไม่เห็นใครสายตาของจ้าวเฟิงไม่ไหวแล้ว
พรึ่บ พรึ่บ~
ราชันทั้งหมดของสำนักศักดิ์สิทธิ์วิญญาณร้ายพากันลงมือ ส่งพลังรุนแรงที่ยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตพุ่งไปโจมตีจ้าวเฟิง
คนทั้งหมดของดินแดนทั้งสองใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม พากันจ้องเขม็ง
“เปลี่ยนมายา!”
จ้าวเฟิงถอนหายใจ หมอกแสงมายาประหลาดหลายชั้นหมุนวนอยู่ภายในดวงตาซ้าย
ในฐานะที่เป็นครึ่งก้าวสู่จอมเทพ เขาไม่คิดจะรังแกจักรพรรดิและราชันของดินแดนทวีป แต่ในเมื่อให้โอกาสอีกฝ่ายแล้วแต่ไม่คว้าเอาไว้ จะโทษจ้าวเฟิงไม่ได้แล้ว
จ้าวเฟิงสามารถใช้ ‘เปลี่ยนมายา’ ที่คิดค้นออกมาใหม่ในช่วงก่อนนี้กับพวกเขาได้พอดี
พรึ่บ!
ในยามนั้น สิ่งของทั้งหมดในรัศมีหมื่นลี้ของจ้าวเฟิงถูกย้อมด้วยสีมายาดุจความฝันชั้นหนึ่ง
ทันใดนั้น ทุกคนที่ถูกย้อมด้วยสีสันมายา ไม่รู้ว่าทำไมจึงรู้สึกถึงอันตรายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่กล้าทำอะไรผลีผลามทั้งสิ้น
พรึ่บ! จ้าวเฟิงยื่นมือออกมา แล้วสะบัดเบาๆ!
เหมือนมีลมระลอกหนึ่งพัดมา ราชันทั้งห้าที่พุ่งมาหาเขาประหนึ่งดอกหญ้าถูกลมพัดจนกระจาย อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ราชันทั้งห้าหายตัวไปในทันที!
ต้องรู้ว่า ทั้งทวีปบุปผาครามมีราชันปราณเทวะเพียงผู้เดียวคือเจ้าหอโครงกระดูกเท่านั้น แต่จ้าวเฟิงแค่สะบัดมือ ราชันทั้งห้าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย!