บทที่ 1448 เนตรเทพมายา
ณ อาณาจักรนภา ดินแดนเหนือ ทวีปบุปผาคราม
บุรุษหนุ่มผมเงินผู้หนึ่งบินโฉบผ่านไปในอากาศ ดวงตาฉายแววคะนึงหา ก่อนจะมองทุกสิ่งรอบบริเวณ
“ไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่นัก!” จ้าวเฟิงพึมพำเบาๆ
ขณะนี้ อาณาจักรนภายังมีลัทธิโลหะเลือดคอยดูแลเช่นเคย
เดิมทีเขามีแผนจะไปรำลึกความหลังกับเถี่ยหมัว แต่เถี่ยหมัวไม่อยู่ที่ลัทธิ ส่วนจ้าวลัทธิหงเองก็ไม่เห็นร่องรอย
ตอนที่เดินทางผ่านหอคอยลิ่วอู จ้าวเฟิงหยุดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
หอคอยลิ่วอูมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมากในทวีปบุปผาคราม แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะในนั้นเคยมีนักปราชญ์ผู้หนึ่งอาศัยอยู่ ถึงแม้ว่านักปราชญ์ผู้นั้นจะไม่อยู่แล้ว แต่หอคอยแห่งนั้นยังคงเป็นสิ่งปลูกสร้างเก่าในตำนานของอาณาจักรนภา
“นักปราชญ์ หรือว่าจะเป็นเผ่าความลับสวรรค์เช่นกัน?”
จ้าวเฟิงอดนึกถึงแมวอ้วนขี้เกียจข้างกายปราชญ์ลิ่วอูขึ้นมาไม่ได้ นั่นก็เป็นแมวความลับสวรรค์เช่นกัน
ตอนอยู่ที่อาณาจักรเทพของเผ่าแสง เขาเคยเจอแมวอ้วนขี้เกียจมาก่อน หากเป็นแบบนี้ แปลว่าปราชญ์ลิ่วอูจะต้องอยู่ในดินแดนเทพรกร้างเช่นกัน
จ้าวเฟิงใจสั่นอย่างอดไม่อยู่
เขาสังหารอวี่เหิงที่มีสายเลือดเผ่าบรรพกาลในดินแดนเทพรกร้าง ตัวอวี่เหิงเองก็เป็นคนจากเผ่าความลับสวรรค์ด้วยเช่นกัน
อีกอย่าง เขายังล่วงเกินจอมเทพซิงเซี่ยงจากเผ่าความลับสวรรค์ พูดได้ว่าเขายั่วโทสะเผ่าความลับสวรรค์อย่างสิ้นเชิงแล้ว
ถ้าหากปราชญ์ลิ่วอูเองก็เป็นคนของเผ่าความลับสวรรค์ ภายหน้าเจอกันต้องต่อสู้กันหรือไหม?
“เขาเป็นเผ่าความลับสวรรค์ เหตุใดจึงออกจากดินแดนเทพรกร้างมาที่นี่?”
เผ่าความลับสวรรค์เป็นเผ่าพันธุ์ในตำนานลำดับที่สามของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ แถมปราชญ์ลิ่วอูผู้ครอบครองแมวความลับสวรรค์ย่อมไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง แต่ผู้แข็งแกร่งแบบนี้ กลับลดตัวลงมาเหยียบย่ำฝุ่นดินที่นอกดินแดน
หรือเป็นเพราะเนตรเทพเจ้าประเภทที่เก้าของจ้าวเฟิง?
“ตอนนั้นนักปราญ์คงไม่รู้เรื่องเนตรเทพเจ้าประเภทที่เก้าของข้ากระมัง!”
จ้าวเฟิงส่ายศีรษะ
ในตอนนั้น นักปราชญ์ไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้ออกมา เพียงแต่บอกว่าดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงมีโอกาสจะพัฒนาเทียบเท่ากับแปดเนตรเทพเจ้าได้ แต่ถึงจะเป็นเพราะเรื่องนี้ ปราชญ์ลิ่วอูก็ควรสนใจในดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงอย่างมากถึงจะถูก ตามหลักเหตุผลแล้ว เขาผู้เป็นคนจากเผ่าความลับสวรรค์ควรชิงดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงไปศึกษาต่างหาก
แต่ปราชญ์ลิ่วอูไม่ได้ทำแบบนั้น ทำให้จ้าวเฟิงนึกสงสัยอยู่บ้าง ความกังวลในใจก็ลดลงไปเช่นกัน เขารู้สึกว่าตอนนั้นปราชญ์ลิ่วอูไม่ได้ชิงเอาดวงตาของเขาไป เมื่อพบกันในภายหลังก็จะไม่เป็นศัตรูกับเขา
“จะคิดอะไรมากไม่ได้แล้ว!”
จ้าวเฟิงส่ายศีรษะ ก่อนจะรีบเดินทางไป
ความคิดที่จะไปทำความเข้าใจเผ่าความลับสวรรค์ เป็นการทรมานสมองของตนเองดีๆ นี่เอง
ไม่นานเท่าไหร่นัก จ้าวเฟิงก็มาถึงเมืองหงหู
วู้ม! บนร่างเขาเปล่งหมอกแสงมายาออกมาชั้นหนึ่ง
แล้วใบหน้าของเขาจึงเปลี่ยนไปช้าๆ กลายเป็นรูปลักษณ์ของ ‘จ้าวเฟิง’ จากทวีปบุปผาคราม
ในห้องหนังสือของจวนท่านเจ้าเมือง หลิวจิ่วเทียนหยิบภาพวาดหมึกขึ้นมา พลางมองสตรีที่งดงามเยือกเย็นในภาพ ใบหน้าแก่ชราเผยความรักใคร่เอ็นดู
ตุบ ตุบ! มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นด้านนอกห้องหนังสือ
“ใครกัน?”
เจ้าเมืองหลิวเก็บภาพวาด ใบหน้าฉายความเคร่งขรึมและไว้ตัว
“ท่านลุงหลิว เป็นข้าเอง!” จ้าวเฟิงผลักประตูเข้ามา
เขาสามารถเข้ามาในจวนเจ้าเมืองได้โดยไม่มีใครล่วงรู้ แต่ห้องหนังสือเป็นพื้นที่ส่วนตัวของหลิวจิ่วเทียน ดังนั้นเขาจึงเคาะประตูก่อนเข้ามา
“…เฟิงเอ๋อร์หรือ?”
สีหน้าเจ้าเมืองหลิวอึ้งตะลึง ก่อนจะเบิกตากว้างจ้องจ้าวเฟิง
ตั้งแต่ตอนที่จ้าวเฟิงและหลิวฉินซินหายตัวไป ทั้งอาณาจักรนภา ทั้งทวีปบุปผาคราม ก็ไม่มีใครได้ข่าวของคนทั้งสองอีก
“เฟิงเอ๋อร์ รีบนั่งเร็ว!”
เจ้าเมืองหลิวคลายคิ้วที่ขมวด แล้วจึงระบายยิ้มเป็นมิตรออกมา
ในความคิดของเขา บุตรสาวของตนเองคบหากับจ้าวเฟิงแล้ว ถึงแม้ว่าหลิวฉินซินจะไม่ได้ติดตามจ้าวเฟิงมา แต่เขาก็ถามข่าวของหลิวฉินซินจากจ้าวเฟิงได้
“ตอนนี้ฉินซินสบายดีมาก ท่านอย่าได้ห่วงเลย!”
จ้าวเฟิงบอกได้เพียงเท่านี้
คนทวีปบุปผาครามที่รู้จักดินแดนทวีปหรือราชวงศ์มีไม่มากนัก หากจ้าวเฟิงพูดดินแดนเทพรกร้างขึ้นมา พวกเขาคงงุนงงกว่านี้แน่
“เช่นนั้นหรือ?” เจ้าเมืองหลิวหัวเราะน้อยๆ ใบหน้ายังคงมีแววเศร้าสร้อย
“นี่คือสิ่งที่ฉินซินวานข้ามามอบให้ท่าน เป็นทรัพยากรที่ช่วยเพิ่มอายุขัยและยืดชีวิต คราวนี้นางมีกิจบางอย่าง จึงไม่ได้ติดตามข้ามา แต่นางบอกว่าจะต้องกลับมาเยี่ยมท่านให้ได้!”
จ้าวเฟิงหยิบเอาทรัพยากรส่วนหนึ่งออกมาจากมิติเก็บของ
ทรัพยากรเหล่านี้เขาซื้อมาจากตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่าในระหว่างทาง
อย่างไรเสีย ทรัพยากรของตัวเขาเองก็มีระดับขั้นสูงส่งเกินไป ต่ำที่สุดก็เป็นทรัพยากรที่เทพแท้จริงขั้นหกใช้กัน จะเอาให้คนในขอบเขตจิตวิญญาณแท้จริงใช้ได้อย่างไร
เจ้าเมืองหลิวรับทรัพยากรจากจ้าวเฟิงไปอย่างระมัดระวัง
ทรัพยากรเหล่านี้ล้ำค่าอย่างยิ่งสำหรับหลิวจิ่วเทียนผู้เป็นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด ถ้าหากใช้ไปจนหมด อย่างน้อยๆ ก็สามารถเพิ่มอายุขัยได้ถึงหนึ่งหมื่นปี
ในวันที่สองหลังจากจ้าวเฟิงจากไป เจ้าเมืองหลิวก็ทะลวงถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้อย่างราบรื่น กลายเป็นผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด
ถึงแม้ประโยชน์หลักของทรัพยากรเหล่านี้จะมีเพื่อเพิ่มอายุขัย แต่ในด้านอื่นของผู้ฝึกก็ส่งผลเอื้อประโยชน์ไม่มากก็น้อย
ณ สำนักจันทร์สลาย แคว้นเมฆาคล้อย แดนเมฆา
สำนักจันทร์สลายในตอนนี้พลังอำนาจเพิ่มขึ้นพุ่งพรวด เป็นสำนักลำดับหนึ่งในสิบสามแคว้น
พลังฝึกตนของเจ้าสำนักหยางกานไปถึงขอบเขตผู้วิเศษระดับต่ำ
อย่างไรเสีย ในตอนนั้นหยางกานก็เป็นลูกศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักจันทร์สลาย ตนเองมีพรสวรรค์ดีเยี่ยม บวกกับได้ทรัพยากรที่จ้าวเฟิงเคยมอบให้ก่อนจากไป สามารถไปถึงระดับพลังนี้ก็ไม่ได้มีอะไรน่าแปลกใจ
ที่สำนักจันทร์สลายแคว้นเมฆาคล้อย จ้าวเฟิงเป็นดั่งเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ปาน
จ้าวเฟิงบอกข่าวเรื่องตนเองกลับมากับสมาชิกบางส่วนเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากที่ไม่จำเป็น
เขตต้องห้ามในสำนักจันทร์สลาย ยอดผู้อาวุโส หยางกาน หลินฝาน ตาเฒ่ากวน ตาเฒ่าจาง และหลันเสี่ยวหยวนต่างรวมตัวกันพร้อมหน้า
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกเขาคือกลุ่มคนที่จ้าวเฟิงสนิทสนมด้วยในสำนักจันทร์สลาย
“จ้าวเฟิง คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเราจะได้เจอเจ้าอีก!”
ตาเฒ่ากวนตาเฒ่าจางผมสีขาวโพลน เห็นได้ชัดว่าอายุขัยกำลังจะหมดลงแล้ว
“ศิษย์น้องจ้าว เจ้าเดินทางรอนแรมอยู่ภายนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”
หยางกานและหลินฝานสนใจใคร่รู้ในโลกด้านนอกทวีปบุปผาครามเป็นที่สุด
“โลกภายนอก…รอพวกเจ้าออกไปบ้าง เดี๋ยวก็รู้เอง!”
จ้าวเฟิงหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะพูดอย่างมีเลศนัย
ในเขตต้องห้าม ผู้นำระดับสูงของสำนักจันทร์สลายและจ้าวเฟิงพูดคุยกันอย่างสนิทสนม ก่อนจะจากไป จ้าวเฟิงยกทรัพยากรที่ช่วยเพิ่มอายุขัยบางส่วนให้พวกเขา
อันที่จริง เขาสามารถเพิ่มระดับพลังฝึกตนให้กับสหายเก่าร่วมสำนักได้ทันที เมื่อระดับพลังฝึกตนเพิ่มขึ้น อายุขัยก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่หาทางในการฝึกตน ต้องเดินไปทีละก้าวจะเป็นการดีที่สุด
หลังจากบอกลาคนที่นี่แล้ว จ้าวเฟิงเดินทางไปพบบิดาและมารดา รวมไปถึงถิ่นที่อยู่อาศัยของสมาชิกตระกูลจ้าวในตอนนั้น
การกลับมาของเขาย่อมทำให้ทุกคนแตกตื่นดีใจเป็นธรรมดา
ถัดมาอีกหลายวัน จ้าวเฟิงก็ยังคงอยู่ที่นี่ อยู่เป็นเพื่อนบิดามารดา กว่าจะได้กลับมาสักครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย จ้าวเฟิงจึงตัดสินใจอยู่ที่นี่สักช่วงหนึ่ง
ไม่ว่าเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งคนใด ก็ต้องมีช่วงเวลาที่อ่อนล้า และต้องการจะพักผ่อนกันทั้งสิ้น
ตอนนี้จ้าวเฟิงก็อยู่ในสภาวะเช่นนี้ เขาทำตัวเป็นคนธรรมดา อยู่เป็นเพื่อนบิดามารดา ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ลืมเรื่องการฝึกฝน ลืมทุกเรื่องของดินแดนเทพรกร้าง
เขาใช้ชีวิตอยู่แบบนี้เป็นเวลาห้าปี
สำหรับจ้าวเฟิงแล้ว เวลาห้าปีไม่มีความหมายอะไร บางทีการปิดด่านฝึกตนในดินแดนเทพรกร้างครั้งหนึ่งก็ห้าปีแล้ว บางทีเดินทางไกลคราวหนึ่งก็ใช้เวลาห้าปีเช่นกัน
ในตอนที่จะจากไป จ้าวเฟิงใช้วิชาที่ฝืนลิขิตสวรรค์ ใช้ทรัพยากรระดับสูงของดินแดนเทพรกร้างปรับแก้ชะตาของบิดามารดา ทำให้พวกเขาไม่มีวันตาย
ขั้นตอนทั้งหมดนี้ค่อนข้างยาวนาน ถึงอย่างไรผู้ฝึกตนธรรมดาก็ยากจะรับสมบัติในระดับเทพแท้จริงได้
ในระหว่างนั้น จ้าวเฟิงก็เริ่มศึกษาเนตรเทพเจ้าประเภทที่เก้าของตนเองอย่างจริงจัง
“เนตรเทพเจ้าประเภทที่เก้า? เรียกเจ้าว่า…เนตรเทพมายาก็แล้วกัน!”
จ้าวเฟิงตั้งชื่อให้กับเนตรเทพเจ้าประเภทที่เก้า
เขาหลับฝันไปแล้วมาโผล่ที่ทวีปบุปผาคราม เรื่องนี้น่าเหลือเชื่อจนเกินไป จึงใช้คำว่า ‘ความฝันมายา’ มาบรรยายลักษณะเนตรเทพเจ้า
ลำดับต่อมา จ้าวเฟิงเริ่มศึกษาความสามารถของเนตรเทพเจ้าประเภทที่เก้า เพราะเขาพบว่าการใช้พลังเนตรเทพเจ้าที่นี่ ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อมิติแห่งนี้ พลังดั้งเดิมกลุ่มหนึ่งถูกเหนี่ยวนำออกมา ก่อนผสานรวมเข้าไปในเนตรเทพมายา วินาทีต่อมา สรรพสิ่งเบื้องหน้าจ้าวเฟิงก็ค่อยๆ ถูกย้อมจนกลายเป็นสีสันวิจิตรตระการตา
“ตอนนั้นเหมือนกับเมื่ออยู่ในสภาวะแบบนี้ เพียงแค่ข้าสะบัดมือ ก็กำจัดจอมเทพอิ๋นอวี้กับจอมเทพกุ่ยอู๋ได้ทันที!”
จู่ๆ จ้าวเฟิงก็คิดอะไรขึ้นมาได้
ถ้าหากทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงก็นับว่าน่ากลัวเกินไปแล้ว แค่สะบัดมือก็กำจัดคนคนหนึ่งได้เลย
เพื่อการนี้ จ้าวเฟิงจึงเริ่มศึกษาและทดลอง
ในวันหนึ่ง!
วู้ม วู้ม!
พลังดั้งเดิมที่ยิ่งใหญ่ทะลักออกจากดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิง
ทุกอย่างเบื้องหน้าเขาก็ค่อยๆ กลายเป็นเหมือนภาพความฝันมายา ทุกสิ่งถูกปกคลุมไปด้วยสีสันที่สวยงามที่สุดในโลก
จ้าวเฟิงยื่นมือไปสัมผัสโต๊ะข้างกาย!
ผัวะ~ โต๊ะตัวนั้นอันตรธานหายไปราวกับฟองอากาศที่แตกออก
‘ความสามารถเช่นนี้เป็นเรื่องจริง!’ จ้าวเฟิงตื่นเต้นในใจไม่หยุด
เพียงแค่เขาสัมผัสโต๊ะเบาๆ ก็ทำให้มันหายไปได้ และเมื่อเขาสัมผัสเก้าอี้ข้างๆ เก้าอี้ตัวนั้นก็หายไปราวฟองอากาศแตกตัวอีกเช่นกัน
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงส่งความเจ็บปวดมาช้าๆ เขาจึงถอยออกจากสภาวะเช่นนี้
“ความสามารถนี้สิ้นเปลืองพลังมากจริงๆ!”
จ้าวเฟิงอุทานอย่างตกใจ
ถึงแม้ว่าเขาจะแค่กำจัดโต๊ะและเก้าอี้ แต่การประคองสภาวะเช่นนั้นไว้ เดิมทีก็ใช้พลังไปมาก
ตอนนั้นอาจจะเป็นเพราะเนตรเทพเจ้าเพิ่งตื่นขึ้น พลังดั้งเดิมมีมากเกินไป ถึงสามารถประคองสภาวะเช่นนั้นไว้ได้เป็นระยะเวลานาน จนกำจัดจอมเทพขั้นหนึ่งที่เก่งกาจทั้งสองคนได้!
นอกจากการสิ้นเปลืองพลังแล้ว จ้าวเฟิงยังรู้สึกว่าจิตใจของตนอ่อนล้ายิ่งนัก ถึงกับอยากจะนอนหลับไป
“ดูแล้วความสามารถเปลี่ยนมายาประเภทนี้ น่าจะใช้กำลังจิตสิ้นเปลืองมากทีเดียว!”
ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ความสามารถแบบนี้กลับไม่ใช้พลังเทพ พลังวิญญาณ และพลังดวงตา
‘เปลี่ยนมายา’ เป็นชื่อที่จ้าวเฟิงเรียกความสามารถนี้
อีกอย่าง จ้าวเฟิงนึกถึงพลังของ ‘แปรฝันให้เป็นจริง’ ที่เหมือนว่าจะสิ้นเปลืองใช้กำลังจิตหมดไปมาก ทำให้อ่อนล้าได้ง่ายดาย
“คงเกี่ยวกับความคิดจิตใจกระมัง!”
จ้าวเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงสรุปออกมา
โดยในนี้การสิ้นเปลือง ‘ความคิดจิตใจ’ จะหนักไปทางการแปรฝันให้เป็นจริงและ ‘เปลี่ยนมายา’
ในตอนที่จ้าวเฟิงปรับแก้ชะตาบิดามารดาจนสำเร็จ ทำให้พวกเขาอายุยืนยาวไม่มีวันตายแล้ว จึงค่อยเดินทางจากไป
“เจ้าหอโครงกระดูกล่ะ?” แววตาจ้าวเฟิงเป็นประกาย
เจ้าหอโครงกระดูกเฝ้าดูแลอยู่ที่ทวีปบุปผาคราม คอยรักษาความสงบของที่นี่ จ้าวเฟิงก็ควรจะมอบรางวัลที่เหมาะสมให้อีกฝ่ายสักหน่อย
พรึ่บ! ประสาทสัมผัสเทพของจ้าวเฟิงกระจายตัวออกไป ค่อยๆ ปกคลุมทั้งทวีปบุปผาคราม
แต่เขากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าหอโครงกระดูก
รวมไปถึงเถี่ยหมัวและจ้าวลัทธิหงก็ไม่เจอเช่นกัน
เรื่องนี้แปลกประหลาดอยู่ทีเดียว!
จ้าวเฟิงเดินทางมาถึงลัทธิโลหะเลือด และได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดจากสมาชิกระดับสูง
พรึ่บ! เงาร่างของเขาหายไปทันที
……
ณ มิติรอบนอกทวีปบุปผาคราม
ท่ามกลางทะเลหมอกที่ว่างเปล่า คนทั้งสองฝ่ายลอยอยู่กลางอากาศ
ผู้นำของฝั่งหนึ่งคือมนุษย์โครงกระดูกซึ่งมีลวดลายสีเงินทองตัดสลับกัน รวมไปถึงชายฉกรรจ์ที่สูงสองจั้งราวเจดีย์เหล็ก
“เจ้าหอโครงกระดูก เจ้าสำนักหนานอู่ พวกเจ้าไม่มีโอกาสชนะหรอก ยอมตามกลับไปที่สำนักศักดิ์สิทธิ์วิญญาณร้ายแต่โดยดีเสียเถอะ!”
ฝั่งตรงข้าม ผู้อาวุโสชุดดำรูปร่างผอมแห้งราวท่อนไม้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
กลิ่นอายของเขาเทียบเท่าได้กับราชันระดับสุดยอด เหนือกว่าเจ้าหอโครงกระดูกและชายร่างใหญ่ผู้นั้น
ข้างกายผู้อาวุโสผอมแห้งยังมีผู้แข็งแกร่งที่กลิ่นอายเทียบเท่าราชันอีกสี่ห้าคน
“จิ๊ๆ พวกเจ้าดื้อด้านไปก็ไร้ประโยชน์ อีกเดี๋ยวโลกทั้งใบนี้ก็จะตกเป็นของ ‘พวกเรา’ อยู่ดี!”
ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งเอ่ยต่อ
เจ้าหอโครงกระดูก เจ้าสำนักหนานอู่ และผู้แข็งแกร่งชั้นยอดในเขตภายในคนอื่นๆ ใบหน้าล้วนฉายแววทุกข์ระทม