บทที่ 1447 เพียงฝันก็ถึงบุปผาคราม
นรกเพลิงโลกันตร์
หลังจากที่การต่อสู้ของขั้วอำนาห้าดาวทั้งสองแห่งจบลง สภาพแวดล้อมที่นี่ก็เลวร้ายลง อันตรายเพิ่มขึ้นอีกระดับขั้นหนึ่ง
วันนี้
พรึ่บ! กลางอากาศเหนือนรกเพลิงโลกันตร์ จู่ๆ ก็ปรากฏผู้อาวุโสใบหน้าสุขุมน่าเกรงขามผู้หนึ่ง ผมหลากสีปลิวสะบัดตามสายลม
ในวินาทีที่ผู้อาวุโสปรากฏกาย ควันพิษของนรกเพลิงโลกันตร์ไหลบ่าออกมาอย่างบ้าคลั่ง เหมือนกำลังกราบไหว้เขาอย่างนั้น
“ไม่มีใครสักคน!”
ประสาทสัมผัสเทพของผู้อาวุโสปกคลุมทั้งนรกเพลิงโลกันตร์ แต่ไม่พบกับอะไร
วู้ม! ภายในร่างผู้อาวุโสพลันสาดพลังประสาทสัมผัสเทพที่แข็งแกร่งแผ่ปกคลุมรอบทิศทันที
วินาทีนี้ เมื่อในฟ้าดินทั้งหมดถูกประสาทสัมผัสเทพของผู้อาวุโสปกคลุม ก็เกิดปรากฏการณ์ประหลาดประเภทต่างๆ
“ประสาทสัมผัสเทพปกคลุมเขตดาราชาดมากกว่าครึ่ง แต่ก็ยังไม่เห็น…เนตรเทพเจ้าประเภทที่เก้า!”
ผู้อาวุโสทอดถอนใจ ร่างเขาค่อยๆ โปร่งแสง เสมือนกลายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
เวลาผ่านไปอีกสิบกว่าวัน
เงาสีดำสนิทกลุ่มหนึ่งพลันมาเยือนที่นี่
กลิ่นอายมรณะที่แผ่ออกจากดวงตาทั้งสองข้างของเขากดควันพิษในนรกเพลิงโลกันตร์เอาไว้
“มาสายไปแล้วหรือ?” แววตาจอมเทพเทียนจี้เคร่งเครียดเล็กน้อย
ตอนที่เขารู้มาว่าจ้าวเฟิงปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ก็รีบเร่งรุดมาทันที แต่ที่สุดแล้วก็ยังช้าไปอยู่ดี
“หึ ขาจะรอดูว่าเจ้าจะหนีไปที่ไหนได้!”
จอมเทพเทียนจี้แค่นเสียงเย็นชา ก่อนรีบเดินทางออกจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว ติดตามร่องรอยของจ้าวเฟิงต่อไป
ในขณะที่จอมเทพเทียนจี้หานรกเพลิงโลกันตร์เจอนั้นเอง
เรื่องการสู้รบระหว่างขั้วอำนาจห้าดาวทั้งสองกำลังแพร่กระจายไปทั่วเขตดาราชาด
ตำหนักวิญญาณบรรพกาลพ่ายแพ้ในศึกใหญ่ จอมเทพทั้งสี่เหลือเพียงแค่เจ้าตำหนักวิญญาณบรรพกาลที่หนีรอดไปได้ สมาชิกตำหนักวิญญาณบรรพกาลก็แตกพ่ายหนีไป
ส่วนตำหนักเทพยักษ์ก็ยึดครองพื้นที่ที่เคยเป็นของตำหนักวิญญาณบรรพกาลได้ชอบธรรม
ในที่สุด เผ่าเทพยักษ์ก็ผงาดขึ้นอีกครั้ง กลายเป็นขั้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่เหมือนกาลก่อน!
ขั้วอำนาจจำนวนมากไม่คัดค้านแม้แต่น้อย ต่างยอมศิโรราบให้
ในเวลาเดียวกัน ข่าวคราวของเนตรเทพเจ้าประเภทที่เก้าก็แพร่กระจายออกไป
แต่ทว่าในสายตาของคนทั่วไป นี่เป็นเรื่องเพ้อเจ้ออย่างที่สุด
เนตรเทพเจ้าประเภทที่เก้าเป็นเรื่องเลื่อนลอย ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ไม่ได้เห็นด้วยตาของตนเอง ใครกันจะเชื่อ?
แต่ยังมียอดฝีมือจำนวนมากที่เดินทางไปยังเขตดาราชาด เหมือนจะไปตามหาเนตรเทพเจ้าประเภทที่เก้าที่นานทีปีหนจะปรากฏขึ้น
……
จ้าวเฟิงที่หลับลึกกำลังตกอยู่ในห้วงฝัน
ในฝันเขากลับไปที่ดินแดนทวีป
เขาค่อยๆ ไปถึงทะเลแดนใต้ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฝูเมิ่ง ดินแดนพิณสวรรค์อย่างช้าๆ
“ร่างนั้นคือหลิวฉินซินจริงหรือ?”
จ้าวเฟิงมาถึงดินแดนพิณสวรรค์
ทั้งฟ้าและดินทั้งหมดประหนึ่งเป็นภาพฝัน ตำหนักเซียนพิณสวรรค์ที่อยู่ไม่ไกลก็วิจิตรงดงาม
วู้ม~
ทันใดนั้น จ้าวเฟิงกระตุ้นจิตใจ ทุกสิ่งเบื้องหน้าบิดเบี้ยววุ่นวายก่อนจะหายไป
“ตื่นแล้ว…ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่?” จ้าวเฟิงลืมตาขึ้น
หากจำไม่ผิดแล้วละก็ การตื่นขึ้นของดวงตาเทพเจ้าก่อนหน้านี้จะทำให้เขาหลับลึกไป
แต่ตอนนี้เขาได้สติแล้ว
จ้าวเฟิงมองไปรอบๆ ทันที
“หืม? มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล!” จ้าวเฟิงเผยสีหน้าตกใจ
ฟ้าดินอึมครึม หมอกควันปั่นป่วนขึ้นมา ไอสวรรค์เบาบางยิ่งนัก มิติเองก็อ่อนแอเป็นที่สุด
“นี่คือที่ไหน?” ดวงตาซ้ายจ้าวเฟิงมองรอบบริเวณ
ที่ไกลๆ มีดินแดนเกาะที่เต็มไปด้วยพลังชีวิต มองเพียงปราดแรกลักษณะของดินแดนเกาะเหมือนพิณโบราณ เห็นธรรมชาติภายในที่งดงามได้เลือนราง
เกาะแห่งนี้ทำให้จ้าวเฟิงรู้สึกสงบและคุ้นเคยมาก
“ที่นี่คือ…ดินแดนพิณสวรรค์!”
ดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงสั่นไหว สีหน้าอารมณ์เปลี่ยนไป
สถานที่ที่เขาหลับลึกน่าจะเป็นดินแดนมหาสมุทรแห่งหนึ่งในเขตดาราชาด
แต่หลังจากที่ตื่นขึ้นมาแล้ว ทำไมถึงโผล่มาที่ดินแดนพิณสวรรค์ตรงทะเลแดนใต้ของดินแดนทวีปได้!
“ความฝัน จะต้องเป็นความฝันแน่!” จ้าวเฟิงหลับตาสองข้าง นวดคลึงแรงๆ
หลังจากเนตรเทพเจ้าตื่นขึ้นมาแล้ว จ้าวเฟิงรู้สึกว่าตนเองสติพร่าเลือนอยู่ไม่น้อย และยังมักจะเห็นภาพที่เกินความคาดหมายเหมือนดั่งภาพฝัน
ตอนนี้เขากลับมาถึงแถวดินแดนพิณสวรรค์ นี่จะต้องเป็นความฝันแน่!
จ้าวเฟิงลืมตาขึ้นอีกครั้ง!
แต่ทั้งหมดเบื้องหน้าก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
เขายังคงอยู่ที่ดินแดนพิณสวรรค์!
“นี่มัน…เรื่องอะไรกันแน่?” จ้าวเฟิงสับสนงุนงงอยู่บ้าง
ทำไมทันทีที่ตนเองตื่นขึ้นกลับมาโผล่ที่ดินแดนทวีป หรือว่าตอนที่หลับอยู่นั้นถูกคนส่งมา?
ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจ และยังรู้สึกเหลือเชื่อ แต่จ้าวเฟิงก็ไม่ได้วุ่นหาคำตอบของคำถามนี้ต่อ หากว่าเขากลับมาจริงๆ ก็ดี อย่างไรเสียเขาก็คิดเอาไว้นานแล้วว่าถ้ามีเวลาจะกลับมาสักครั้ง ถึงนี่จะเป็นแค่ความฝันก็ช่าง คิดเสียว่านี่เป็นเรื่องจริง ลองสัมผัสดูเสียหน่อยแล้วกัน
เขาตรวจมิติเก็บของ มังกรทมิฬล้างโลกาและร่างแยกทั้งหลายก็อยู่กันครบ แต่เจ้าแมวขโมยน้อยกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย!
“ดินแดนพิณสวรรค์ ตำหนักเซียนพิณสวรรค์!”
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงมองเห็นแดนสุขาวดีแห่งหนึ่งในดินแดนพิณสวรรค์ภายในมีหอสูงเก่าแก่ตั้งตระหง่าน มีเสียงพิณโบราณสูงต่ำสลับกันดังแว่วออกมา
พรึ่บ! ร่างจ้าวเฟิงสว่างวาบ ก่อนจะมาปรากฏตัวด้านนอกตำหนักเซียนพิณสวรรค์
จากนั้นเขาจึงเข้าไปด้านในอย่างเงียบเชียบ จนไปถึงเขตต้องห้ามของตำหนักเซียนพิณสวรรค์
ที่นี่คือหุบเหวที่ถูกปกคลุมไปดวยหมอกควัน ว่างเปล่าไร้สิ่งใด เงียบเหงาจนเห็นได้ชัด
“ไม่อยู่หรือ?” แววตาจ้าวเฟิงเป็นประกายยามเอ่ยพึมพำ
ตามหลักเหตุผลแล้ว ในเขตต้องห้ามของตำหนักเซียนพิณสวรรค์ควรจะมีตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน และหลิวฉินซินก็อยู่ภายในนั้น
แต่ตอนนี้ที่นี่กลับไม่มีอะไรเลย
“ถ้านี่เป็นแค่ความฝัน แล้วหลิวฉินซินกับตำหนักฟั่นหลุนกู่อินอยู่ที่ไหนแล้ว?”
จ้าวเฟิงแหงนศีรษะมอง ความสงสัยผุดขึ้นในใจ
ในเวลาเดียวกัน ภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในหัวเขา นั่นก็คือสตรีชุดขาวที่เขาเห็นตอนอยู่ในนรกเพลิงโลกันตร์
“บางทีเรื่องทั้งหมดตอนนี้อาจเป็นเรื่องจริง ข้าคงกลับมาที่ดินแดนทวีปแล้วจริงๆ!”
แววตาจ้าวเฟิงเปล่งประกาย
ในตอนนั้น เขาเชื่อว่าสตรีชุดขาวที่เห็นในนรกเพลิงโลกันตร์ก็คือหลิวฉินซิน
เช่นนั้นหลิวฉินซินและตำหนักฟั่นหลุนกู่อินในแดนต้องห้ามของตำหนักเซียนพิณสวรรค์อันตรธานหายไป ก็ทำให้เรื่องทั้งหมดกระจ่างขึ้นมาแล้ว
“กลับทวีปบุปผาครามก่อนแล้วกัน!” จ้าวเฟิงพึมพำ เตรียมจะเดินทางจากไป
ความสงสัยในใจเขาถูกขจัดออกไปแล้ว
ในเวลานี้เอง
“ใครกัน? ถึงขั้นกล้าบุกเข้ามาในแดนต้องห้ามของตำหนักเซียนพิณสวรรค์!”
น้ำเสียงขุ่นเคืองดังแว่วมาจากทางด้านหลัง
“ไม่เจอกันเสียนาน หลีเสวี่ยอวี้!” จ้าวเฟิงกดเสียงเอ่ย จากนั้นจึงหมุนกายไป
สตรีนางหนึ่งยืนอยู่ในหมอกควันไม่ไกลออกไป นางใส่ชุดคลุมยาวสีขาว ผมดำขลับยาวระพื้น ท่วงท่าสูงส่งสง่างาม ราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดโบราณ
สตรีนางนี้ก็คือหลีเสวี่ยอวี้ ศิษย์ลำดับแรกของตำหนักเซียนพิณสวรรค์ที่จ้าวเฟิงเจอตอนที่เพิ่งมาถึงดินแดนพิณสวรรค์เป็นครั้งแรก
“เป็น…เจ้าเองหรือ?”
ใบหน้าโกรธกริ้วของหลีเสวี่ยอวี้ตื่นตระหนกจนถอดสี มือขาวปิดปากตนเองอย่างอดไม่ได้ ถูกต้องแล้ว คนที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้านางตอนนี้ก็คือร่างที่ติดอยู่ในหัวนางมาตลอด
พรึ่บ! พรึ่บ!
และเวลานี้เอง เงาร่างจำนวนมากก็เร่งรุดมาถึงที่นี่
“เป็นใครกัน?”
“ถึงกับกล้าบุกเข้ามาในแดนต้องห้ามของตำหนักเซียนพิณสวรรค์!”
เมื่อเห็นจ้าวเฟิง ผู้นำระดับสูงในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงและราชันจำนวนมากของตำหนักเซียนพิณสวรรค์พากันตะโกนออกมา
แต่ในเวลานี้เอง จู่ๆ เจ้าตำหนักของพวกเขาหลีเสวี่ยอวี้ก็โผไปด้านหน้าจ้าวเฟิงทันที และจ้องเขาเขม็ง
“เป็นเจ้าเองหรือ? เจ้ามาที่นี่อีกแล้ว!”
ใบหน้างดงามสูงส่งของหลีเสวี่ยอวี้ยื่นไปตรงหน้าจ้าวเฟิง ระลอกน้ำแวววับในดวงตาทั้งสองข้าง
“เจ้า…ตำหนัก!”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ผู้นำระดับสูงของตำหนักเซียนพิณสวรรค์ที่อยู่ที่นี่ตื่นตะลึงตาค้างกันไป
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเจ้าตำหนักเข้าใกล้ชายแปลกหน้าขนาดนี้ หนำซ้ำยังมีท่าทีเหมือนเหม่อลอย
หลีเสวี่ยอวี้เป็นหญิงงามลำดับหนึ่งของดินแดนพิณสวรรค์ และยังเป็นเจ้าตำหนักเซียนพิณสวรรค์ พลังฝึกตนอยู่ในขั้นจักรพรรดิ เป็นหญิงงามในฝันของชายไม่รู้เท่าไหร่
ถึงขั้นที่ว่าเคยมีผู้แข็งแกร่งและวีรบุรุษที่อยู่ไกลออกไปมาเผยความในใจต่อหลีเสวี่ยอวี้อยู่บ่อยครั้ง
“เป็นใครกัน กล้าบุกเข้ามาในแดนต้องห้าม!”
ชายผมม่วงผู้หนึ่งในกลุ่มนั้น นัยน์ตาฉายแววริษยา พลันตะโกนออกมาเสียงดัง
เมื่อเห็นสตรีในดวงใจมีทีท่าเช่นนั้นต่อชายแปลกหน้า ทำให้เขาขมขื่นใจนัก
ครืน!
กลิ่นอายราชันที่แข็งแกร่งสาดซัดออกจากร่างเขา ส่งผลให้หมอกควันหนาในหุบเหวอันตรธานหายไป
“หุบปาก!” หลีเสวี่ยอวี้ตะโกนขึ้นทันที
ทุกหนแห่งสั่นสะเทือน พลานุภาพของราชันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ตึง ตึง!
มุมปากชายผมม่วงมีโลหิตไหลเป็นทางยาว จากนั้นถอยหลังไปด้วยใบหน้าตื่นตกใจ พูดอะไรไม่ออก
แต่ในตอนนั้น หญิงชราท่าทางสูงศักดิ์นางหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า
“ผู้อาวุโสสูงสุด!” คนระดับสูงรอบบริเวณตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกัน
“เป็นเขานี่เอง จ้าวเฟิง!”
หญิงชรามีใบหน้านิ่งเฉยเป็นนิจ แต่ตอนที่นางเห็นจ้าวเฟิง ร่างกายนางสั่นเทิ้ม อุทานด้วยน้ำเสียงตกใจ
“ท่านเจ้าตำหนัก!”
จ้าวเฟิงผงกศีรษะเมื่อเห็นอดีตเจ้าตำหนักเซียนพิณสวรรค์
เจ้าตำหนักผู้นี้ยังเคยรับมือจักรพรรดิแห่งความตายร่วมกับเขาในกาลก่อน
“จ้าวเฟิง?”
ทุกคนอุทานออกมา คนจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูอยู่บ้าง
อย่างไรเสีย จ้าวเฟิงก็เคยมาที่ตำหนักเซียนพิณสวรรค์หลายครั้ง คนไม่น้อยต่างเคยเจอเขา แต่ต่อมาจ้าวเฟิงเข้าไปในดินแดนเทพรกร้าง ใบหน้าและท่าทางเปลี่ยนแปลงหมดแล้ว
ภายในห้องที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง
“ตำหนักฟั่นหลุนกู่อินหรือ? เมื่อห้าสิบกว่าปีก่อนจู่ๆ ก็หายไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย!”
หลีเสวี่ยอวี้หวนคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมา
ในตอนนั้น อยู่ๆ ตำหนักฟั่นหลุนกู่อินก็ลอยขึ้นมา ก่อนจะหายไปช้าๆ คนทั้งตำหนักเซียนพิณสวรรค์ล้วนตื่นตกใจ
“ข้าคงต้องขอตัวก่อน!”
หลังจากรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว จ้าวเฟิงเตรียมจะเดินทางจากไป
พรึ่บ! ร่างของเขาหายไปจากภายในห้องทันที
หลีเสวี่ยอวี้ชะงักค้างร่องรอยการหายตัวไปของจ้าวเฟิง กระทั่งนางผู้เป็น จักรพรรดิปราณเทวะยังมองไม่ออกด้วยซ้ำ
“เขาไปแล้ว!” หลีเสวี่ยอวี้ก้มศีรษะลง ใบหน้าฉายแววเศร้าโศก
“เฮ้อ เสวี่ยอวี้ เจ้าไม่ใช่คนโลกเดียวกับเขา!” เจ้าตำหนักถอนหายใจปลงอนิจจัง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
เปรี๊ยะ! เงาสายหนึ่งสว่างวาบขึ้นในทะเลหมอกอึมครึม
เมื่ออยู่ในดินแดนทวีป จ้าวเฟิงผนึกพลังฝึกตนเอาไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กลิ่นอายหลุดลอดออกมาตอนที่เขาไม่ได้ระวังตัว และนำมาซึ่งภัยพิบัติต่อมิติแห่งนี้
หลังจากเดินทางออกจากตำหนักเซียนพิณสวรรค์ ในระหว่างทาง จ้าวเฟิงจงใจแวะตามสถานที่ต่างๆ เพื่อพบคนคุ้นเคยในอดีต
เช่นจักรพรรดิจื่อมู่และเจ้าตำหนักหย่งเฟิง
เวลาที่เหลือ จ้าวเฟิงใช้ไปกับการศึกษาดวงตาซ้าย
การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ของดวงตาซ้ายทำให้จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจมาก
เขาถึงขั้นคาดเดาเอาเองว่า ตนเองมาโผล่ที่ดินแดนทวีปอย่างกะทันหันเช่นนี้ บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับดวงตาซ้าย
“เนตรเทพเจ้าประเภทที่เก้า?”
จ้าวเฟิงสัมผัสได้ว่าดวงตาเทพเจ้าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ตอนนั้นเขาเคยเห็นเงาข้ามระยะทางของท่านผู้ครอบครองเนตรมิติ จึงสามารถตัดสินได้ว่าดวงตาเทพเจ้าของตนเองอยู่ในขั้นเนตรเทพเจ้าแล้ว
ลูกทรงกลมสีเงินมายาภายในมิติเนตรเทพเจ้า โปร่งแสงส่องประกายประหนึ่งลูกแก้วผลึก
ส่วนด้านในของลูกแก้วผลึกเป็นภาพมายา เหมือนกับว่าภายในนั้นรวมสีสันทั้งหมดในโลกเอาไว้ แต่บนลูกแก้วผลึกนี้ ลวดลายเนตรเทพมายาเปล่งแสงพร่างพราย
หลายวันต่อมา ณ ทวีปบุปผาคราม ที่ดินแดนหมู่เกาะกู่ชิง
พรึ่บ! เงาร่างคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นที่ทวีปบุปผาคราม