บทที่ 1495 โซ่ตรวนพลังบริสุทธิ์
“เล่าเรื่องของจ้าวเฟิงที่รู้จนถึงตอนนี้มาให้หมด ถ้าหากมีอะไรพลาดไป เจ้าต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาด้วยตนเอง!”
ข้างกายราชาเทพเทียนหลงมีเสียงดังขึ้น เขาคือจอมเทพจินหวงที่ถูกจ้าวเฟิงไล่ล่าสังหารจนต้องหนีไปนั่นเอง แต่ภายใต้พลังของราชาเทพ ตัวเขาเล็กจ้อยด้อยค่า ไม่สะดุดตา เจ้าตำหนักอาทิตย์พิสุทธิ์จึงไม่ได้สังเกตเห็นในตอนแรก
“ขอรับ ตอนนั้นจ้าวเฟิงเรียกตนเองว่าจ้าวหวาง ช่วยเหลือตำหนักอาทิตย์พิสุทธิ์ไปสองครั้ง และรั้งอยู่ที่ตำหนักอาทิตย์พิสุทธิ์เป็นการชั่วคราว…”
เจ้าตำหนักอาทิตย์พิสุทธิ์ไม่กล้าปิดบัง จึงเล่าเรื่องทั้งหมดของจ้าวเฟิงออกมา
แน่นอน ยามนี้เขารู้แล้วว่าที่จ้าวเฟิงกำราบจ้าแมวขโมยน้อยตอนนั้นเป็นเพียงละครฉากหนึ่งของพวกเขาเท่านั้น อีกอย่าง ตอนที่เขาพูดถึงมรดกเผ่าทำนุฟ้า แววตาราชาเทพเทียนหลงเปล่งประกายน้อยๆ เห็นได้ชัดว่าต่อให้เป็นราชาเทพก็ยังสนใจมรดกเผ่าทำนุฟ้ามาก
“ที่ตั้งของมรดกอยู่ที่ไหน?”
ในที่สุดราชาเทพเทียนหลงก็เปิดปากเอ่ย คลื่นเสียงไร้รูปร่างกลายเป็นกระแสคลื่นสีทองชั้นหนึ่ง ค่อยๆ กระจายตัวดำดิ่งเข้าไปในจิตใจ จากนั้นราชาเทพเทียนหลงเข้าไปสำรวจในมิติลับมังกรทอง และยังเข้าไปในมิติของมรดกที่จ้าวเฟิงได้รับมาในตอนนั้น
“พลังบริสุทธิ์ของที่นี่มีระดับขั้นสูงส่งอย่างยิ่ง!”
ราชาเทพเทียนหลงเอ่ยพึมพำ
ตามการคาดเดาของเขา สิ่งที่อยู่ที่นี่ต้องเป็นมรดกของราชาเทพผู้หนึ่งจากเผ่าทำนุฟ้าแน่
“ท่านเทียนหลง ในตอนที่ข้าต่อสู้กับจ้าวเฟิง เจ้านั่นก็ใช้พลังบริสุทธิ์!”
จอมเทพจินหวงเอ่ยเสียงเบาที่ด้านข้าง
เขาลอบด่าในใจไปพร้อมกัน จ้าวเฟิงจะต้องได้มรดกจากเผ่าทำนุฟ้าจากที่นี่ไปแน่ ถึงได้แข็งแกร่งขึ้น มิฉะนั้นเขาคงไม่พ่ายแพ้อีกฝ่ายแน่
“สั่งให้ทั้งเขตปราการหยั่งรู้สืบหาร่องรอยของจ้าวเฟิง ทันทีที่ได้ข่าวจงรีบมารายงานข้า!” ราชาเทพเทียนหลงถ่ายทอดคำสั่งลงมา
เห็นได้ชัดเจนอย่างยิ่งว่าคราวนี้ราชาเทพเทียนหลงเตรียมจะลงมือด้วยตนเองแล้ว
“ขอรับ!” จอมเทพจินหวงรับคำเสียงต่ำ
“พลังเจ้าเด็กนี่ไม่ธรรมดาเลย กระทั่งจินหวงยังพ่ายแพ้!”
สีหน้าราชาเทพเทียนหลงเคร่งขรึมเล็กน้อย หากจะยกภารกิจพวกนี้ให้บริวาร เขาก็ยังคงไม่เชื่อมั่นนัก ความเย็นชาพาดผ่านในดวงตาเขา จู่ๆ ร่างกายก็อันตรธานหายไป ทั้งฟ้าดินค่อยๆ กลับคืนสู่สภาวะปกติ คนทั้งตำหนักอาทิตย์พิสุทธิ์ต่างถอนหายใจโล่งอกทันใด
พวกเขาหวาดกลัวว่าราชาเทพเทียนหลงจะพานโกรธตำหนักอาทิตย์พิสุทธิ์เพราะเรื่องของจ้าวเฟิง แต่ราชาเทพเองก็ฉลาดล้ำเลิศ เมื่อเขารู้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตำหนักอาทิตย์พิสุทธิ์ จึงไม่ได้สืบสาวเอาเรื่อง แต่เขาคลื่นเงาแย่กว่ามาก เขาคลื่นเงารู้เรื่องมรดกเผ่าทำนุฟ้าแล้วลอบวางแผนลับๆ หมายจะทำลายตำหนักอาทิตย์พิสุทธิ์
นับได้ว่าเป็นการวางแผนเปิดศึกใหญ่กับขั้วอำนาจห้าดาวและตัดทอนพลังโดยรวมของเขตปราการหยั่งรู้
อีกอย่าง ราชาเทพเทียนหลงสนใจมรดกเผ่าทำนุฟ้าเช่นกัน ถ้าหากตอนนั้นเขาคลื่นเงารายงานเรื่องทั้งหมด ไม่แน่ว่ามรดกเผ่าทำนุฟ้าและเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าก็อาจเป็นของเขาแล้ว แต่เห็นแก่ที่เขาคลื่นเงาเหลือจอมเทพอีกคนเดียวเท่านั้น แดนศักดิ์สิทธิ์มังกรทองจึงไม่ได้เข้มงวดมากนัก
นอกจากแดนศักดิ์สิทธิ์มังกรทองจะทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่อค้นหาจ้าวเฟิง หลายเขตพื้นที่ในดินแดนเทพรกร้างก็กำลังค้นหาร่องรอยการเดินทางของจ้าวเฟิงเหมือนกันนั่นเป็นถึงเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า ทันทีที่ได้มาครอบครอง ชะตาชีวิตจะเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง ถึงขนาดที่ว่าทุกวันจะมีข่าวปลอมเกี่ยวกับเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าแพร่กระจายออกไปนับไม่ถ้วน
ทางฝั่งขั้วอำนาจของเจ้าสวรรค์เผ่าความลับสวรรค์เจ้าสวรรค์ ก็หนีรอดจากหูตาของผู้แข็งแกร่งส่วนหนึ่งในดินแดนเทพรกร้างไปได้ และหลบซ่อนตัวได้อีกครั้ง
ภายในโถงตำหนักที่มืดสลัว เจ้าสวรรค์นั่งอยู่ตรงที่นั่งประธานด้านบน
“ทูตสวรรค์ทั้งเจ็ด เจ้าตำหนักทั้งเก้า ทุกคนไปช่วยกันจับตัวจ้าวเฟิง!”
เจ้าสวรรค์ประกาศด้วยเสียงเรียบ
“รับทราบ!” ทูตสวรรค์และเจ้าตำหนักจำนวนมากในโถงตำหนักเอ่ยโดยพร้อมเพรียงกัน
พวกเรารู้นานแล้วว่าจ้าวเฟิงที่ถูกกักเอาไว้ในห้องลับอาณาจักรเทพหนีไปแล้วยากจะจินตนาการได้ เจ้าสวรรค์ของพวกเขาก็มีช่วงเวลาที่พลาดท่าด้วยเหมือนกัน
“หากจับได้ ทำลายพลังฝึกตนของมันเสีย!”
เจ้าสวรรค์ขมวดคิ้ว เอ่ยสำทับอีกครั้ง
การหายไปอย่างกะทันหันของจ้าวเฟิงในตอนนั้น พวกเขายังตั้งใจสืบเสาะค้นหา อยากรู้ว่าจ้าวเฟิงหนีไปได้อย่างไร แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้อะไรกลับมา
พวกเขาคาดเอาเอาว่าอาจมีนายเหนือหัวราชาเทพลอบยื่นมือเข้ามายุ่ง แต่กไม่เจอเบาะแสที่เกี่ยวข้อง
สรุปคือการหายตัวไปของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยข้อสงสัย
เจ้าสวรรค์ถึงขั้นเดาว่าเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าของจ้าวเฟิงเขาถึงได้ถ่ายทอดคำสั่งดังกล่าวลงไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก
ทุกคนที่นั่นหายใจติดขัด
เจ้าสวรรค์พลาดท่าเสียที เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง ทุกคนล้วนแต่รู้ดีว่าเจ้าสวรรค์ต้องการตัวจ้าวเฟิงมาก ดังนั้นหากใครสามารถจับจ้าวเฟิงได้อีกครั้งหนึ่ง จะต้องได้รับรางวัลอย่างงาม!
“อีกอย่าง เอาข้อมูลรายละเอียดทั้งหมดของจ้าวเฟิงมาให้ข้าด้วย!” หลังจากพูดจบ เจ้าสวรรค์ก็สำทับอีก
คิดจะหาใครสักคนในดินแดนเทพที่กว้างใหญ่ไพศาล จะบอกว่าง่ายก็ง่าย อย่างไรเสียขั้วอำนาจที่เขาอยู่ก็ยิ่งใหญ่ ข้อมูลข่าวสารฉับไว แต่จะบอกว่ายากก็ยากเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นจอมเทพ หากตั้งใจจะหลบซ่อนอยู่ในสถานที่ปลอดผู้คน ไม่ปรากฏตัวออกมาหลายหมื่นปีหรือถึงขั้นล้านปี ต่อให้เป็นพวกเขาก็ยากจะหาเจอ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็จำต้องเตรียมแผนที่สองไว้ ทำความเข้าใจทุกเรื่องของจ้าวเฟิง และค้นหาจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้าม
“หากมีเวลา เจ้าก็ลงมือเถอะ!”
เจ้าสวรรค์มองไปที่ผู้คุมกฎด้านข้างแล้วเอ่ยพึมพำ
ผู้คุมกฎผงกศีรษะอย่างสงบนิ่ง
ทุกคนในโถงตำหนักมืดสลัวแห่งนั้นตกตะลึง กระทั่งผู้คุมกฎยังต้องลงมือด้วยหรือ?
……
ณ คุ้งน้ำแห่งหนึ่งในเขตปราการหยั่งรู้
พรึ่บ~ เกิดน้ำวนมิติแห่งหนึ่งขึ้น ภายในนั้นมีเงาร่างผมสีเงินชุดเงินปรากฏขึ้นช้าๆ
“ตอนนี้น่าจะปลอดภัยแล้ว!” จ้าวเฟิงพึมพำ ดวงตาซ้ายสำรวจรอบบริเวณ ไม่ได้เจอเหตุการณ์แปลกประหลาดอะไร จากนั้นเขาจึงเข้าไปในอาณาจักรเทพมายา
ในหุบเขาเงียบสงัด มีหมอกเย็นเยียบปกคลุม
ตรงใจกลางมีต้นไม้แสงหลากสีสันที่พร่าเลือน สาดแสงหลากสีที่อ่อนจางออกมา ส่องหมอกหนาในละแวกใกล้เคียงจนสว่างเป็นหลากสีสัน
ต้นไม้หลากสีต้นนี้คือใจกลางของอาณาจักรเทพมายา
หลังจากมาถึงที่นี่แล้ว จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิลง ควบคุมพลังในอาณาจักรเทพ สร้างมิติฝึกตนพิเศษแห่งหนึ่งขึ้น ภายในมิติมีไอสวรรค์ในฟ้าดินหนาแน่นมาก ยังมีมิติที่ส่งผลเหมือนกับมิติภายในชุดคลุมมิติด้วย หลังจากใช้ทรัพยากรล้ำค่าส่วนหนึ่งและพักผ่อนไปหลายวัน ความเหนื่อยล้าของสภาพจิตใจจ้าวเฟิงก็หายไป
ต่อจากนั้นจ้าวเฟิงจึงเริ่มปิดด่านฝึกตน
“จอมเทพขั้นสาม กฎเกณฑ์ขั้นสูง!”
จ้าวเฟิงหวนระลึกถึงการต่อสู้กับจอมเทพจินหวงในตอนนั้น
กฎเกณฑ์ก็มีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ สูงส่งลึกล้ำ จอมเทพขั้นสามจะครอบครองกฎเกณฑ์ขั้นสูง และเพราะเหตุนี้ จ้าวเฟิงที่ครอบครองเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนสองชิ้น และยังมีกฎเกณฑ์มิติ เมื่อเผชิญหน้ากับจอมเทพจินหวงจึงไม่ได้เปรียบเท่าไหร่นัก
แต่เกือบจะสังหารจอมเทพขั้นหนึ่งได้ตามอำเภอใจ และสังหารจอมเทพขั้นที่สองได้ในเวลาอันสั้น
“ถ้าหากข้าทะลวงผ่านไปเป็นจอมเทพขั้นสอง ก็มีหวังที่จะรับมือกับจอมเทพขั้นสามได้มากขึ้น!” จ้าวเฟิงเพ่งสายตา
แต่การเพิ่มระดับของกฎเกณฑ์เกี่ยวข้องกับความสามารถในตระหนักรู้มากกว่าบวกกับการที่จ้าวเฟิงเพิ่งทะลวงผ่านขั้นได้ไม่นานนัก คิดจะทะลวงจอมเทพขั้นสองในระยะเวลาสั้นๆ เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้
จ้าวเฟิงปิดด่านฝึกตนไปช่วงหนึ่ง ผลลัพธ์การเพิ่มพลังไม่มากมายนัก เขาจึงหยุดการฝึกตนไป ถึงแม้ว่าพลังฝึกตนจะไม่อาจเพิ่มขึ้น แต่หากคิดจะยกระดับพลังก็สามารถทำได้โดยอาศัยด้านอื่นๆ
เนื้อหาของ ‘ตำราเทพบริสุทธิ์’ ปรากฏขึ้นในหัว
“ระดับการเปลี่ยนแปลงของพลังบริสุทธิ์ไปแตะแปดส่วนแล้ว ต้องรีบเปลี่ยนแปลงทั้งหมดให้ได้เร็วที่สุด!”
จิตสำนึกของจ้าวเฟิงดำดิ่งเข้าไปในแท่นเทวะ ขับเคลื่อนเนื้อหาในตำราเทพสูงสุด จากนั้นเริ่มเปลี่ยนพลังบริสุทธิ์
ในเวลาเดียวกัน เขาแบ่งห้วงความคิดส่วนหนึ่งมาทำความเข้าใจเคล็ดวิชาสายเลือดและกลยุทธ์ของเผ่าทำนุฟ้าในตำราเทพบริสุทธิ์ แต่จ้าวเฟิงค้นพบว่าเคล็ดวิชาที่จดบันทึกในนี้ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมผืนฟ้า โลกจักรวาล รวมไปถึงมิติพิเศษ
ตามที่เขารู้มา เผ่าทำนุฟ้าในยุคดึกดำบรรพ์เป็นผู้รักษาความสงบสุข
เผ่าพันธุ์นี้น้อยครั้งนักที่จะเข้าร่วมแก่งแย่งผลประโยชน์กับโลกภายนอก แต่ท่องไปในจักรวาล เพื่อซ่อมแซมรอยโหว่ของมิติ และประคับประคองให้ทั้งจักรวาลสามารถโคจรได้เป็นปกติ ถึงแม้ว่าจ้าวเฟิงจะได้รับสืบทอดมรดกเผ่าทำนุฟ้ามา แต่ไม่สามารถสืบทอดเจตนารมณ์ของพวกเขาแล้วไปเป็นผู้รักษาความสงบได้แน่
เขาเปิดผ่านเนื้อหาเหล่านี้ไปจนเจอกลยุทธ์การต่อสู้กับเคล็ดวิชาส่วนหนึ่ง
เคล็ดวิชาพิเศษของพลังบริสุทธิ์ฝึกยากอย่างยิ่ง โดยทั่วไปแล้วจำเป็นต้องใช้พร้อมกับสายเลือด จ้าวเฟิงไม่ใช่คนละโมบมาก เขาจึงเลือกเพียงอย่างเดียวในนั้นมาใช้ฝึกตนแล้วค่อยว่ากัน
“โซ่ตรวนพลังบริสุทธิ์!” สุดท้าย จ้าวเฟิงก็เลือกเคล็ดวิชานี้มา
ที่ผ่านมา ในตอนที่เป่ยหมิงฮุยจับเขาก็เคยใช้เคล็ดวิชาประมาณนี้ ทันทีที่ถูกเล็งเป้าหมาย พลังส่วนมากที่จ้าวเฟิงใช้ก็จะถูกโซ่ตรวนรวมศูนย์ดูดไป จนแรงต้านทานต่ำลงอย่างมาก อีกทั้งโซ่ตรวนพลังบริสุทธิ์สามารถใช้กับปราการมิติของเขา ทำให้ผลลัพธ์ดีเยี่ยมขึ้น เมื่อนึกได้แบบนี้ จ้าวเฟิงก็เริ่มฝึกฝนทำความเข้าใจเคล็ดวิชาดังกล่าว
ห้วงความคิดกวาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่โลกภายนอกเพิ่งผ่านไปสามสี่วันเท่านั้น ยามนี้พลังเทพรวมศูนย์ของจ้าวเฟิงกลายเป็นพลังบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง
สำหรับกลยุทธ์ ‘โซ่ตรวนพลังบริสุทธิ์’ จ้าวเฟิงเข้าใจมากกว่าครึ่งแล้ว
หากฝ่ายตรงข้ามที่ถูกโซ่ตรวนเล็งเป้าหมายเป็นมังกรทมิฬล้างโลกา พลังจะลดลงไปหกส่วนโดยประมาณ
“ได้เวลาไปแล้ว!” จ้าวเฟิงลุกขึ้นและจบการปิดด่าน
เขาเตรียมตัวท่องยุทภพต่อเพื่อขัดเกลาฝีมือตนเอง และทะลวงขั้นสองให้ได้เร็วที่สุด
แน่นอนว่าเขามีความคิดหนึ่งก็คือ ค้นหาขั้วอำนาจและเครือข่ายข่าวสารที่เผ่าความลับสวรรค์จัดตั้งขึ้นในแต่ละเขตพื้นที่ เขาไม่เพียงแต่อาศัยขั้วอำนาจเหล่านี้ทำความเข้าใจสถานการณ์ของเผ่าความลับสวรรค์ได้ แต่ยังทำลายล้างขั้วอำนาจเหล่านี้ ตัดกำลังเผ่าความลับสวรรค์ เพื่อรับรองความปลอดภัยของตนเอง
โลกภายนอก
เงาแสงทองสายหนึ่งกวาดผ่านไปในฟากฟ้า แต่จู่ๆ กลับหยุดชะงักลง
“อาณาจักรเทพ!” เงาร่างนี้มีดวงตาฉายแสงทองสว่าง หยุดชะงักอยู่กลางอากาศ
ใบหน้าของคนผู้นี้คล้ายคลึงกับราชาเทพเทียนหลงที่เคยปรากฏตัวขึ้นในตำหนักอาทิตย์พิสุทธิ์อย่างยิ่ง
“ต่อให้คาดการณ์ผิด ก็ปล่อยไปไม่ได้!” ดวงตาผู้อาวุโสแสงทองเพ่งมอง
ขวับ! จู่ๆ เขาก็ยื่นมือตบออกไป มองเห็นเพียงคลื่นแสงสีทองอ่อนพุ่งผ่านฟ้าดินไปด้วยความเร็วสูงยิ่ง
ในเวลานี้เอง จ้าวเฟิงพลันปรากฏตัวขึ้นในที่ไม่ไกลนัก
“อะไรกัน?” จ้าวเฟิงเปลี่ยนสีหน้า เขาเพิ่งปรากฏตัวขึ้น รอบบริเวณก็มีคลื่นพลังเทพที่น่ากลัวกระเพื่อมมาทันที
โครม! ระลอกแสงทองระเบิดออกกลางอากาศ ทำให้ทั้งมิติบิดเบี้ยวไป เกิดเป็นรอยร้าวเส้นเล็ก
แววตาจ้าวเฟิงอึ้งไป ถ้าหากเมื่อครู่เขายังซ่อนตัวอยู่แถวนี้ อาณาจักรเทพคงได้รับผลกระทบจากการโจมตีของคนผู้นี้ไปแล้ว
“แดนศักดิ์สิทธิ์มังกรทอง!”
จ้าวเฟิงปรายตามอง เขาพอจะคาดเดาได้โดยประมาณจากกลิ่นอายและลักษณะพิเศษของสายเลือด แต่ว่าฝ่ายตรงข้ามเก็บงำกลิ่นอายเอาไว้ เขาเลยอ่านพลังที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้ามได้ไม่ขาด แต่เนตรเทพเจ้ากลับเต้น ‘ตุบ ตุบ’ ขึ้นมา และในวินาทีนี้เอง แววตาของผู้อาวุโสแสงทองเผยความตกใจ จับจ้องไปที่จ้าวเฟิง
“เนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า จ้าวเฟิง!” เขาเผยสีหน้ายินดี
ในเวลาเดียวกัน กลิ่นอายของเขาไม่ถูกสะกดไว้อีกต่อไป กำลังค่อยๆ ขยายออกมา ฟ้าดินกลายเป็นสีทองอย่างช้าๆ ทั้งที่แห่งนั้นถูกกฎเกณฑ์แห่งทองอันทรงพลังควบคุมเอาไว้