Skip to content

King of Gods 1514

King Of Gods

บทที่ 1514 ความลับของเจ้าแมวขโมยน้อย

การสื่อสารของเจ้าแมวสองตัวทำลายบรรยากาศก่อนนี้ลงไปทันที

ภายในหอคอยสูง นักปราชญ์ผู้มากประสบการณ์หลายคนมองเจ้าแมวขโมยตัวน้อยคล้ายขบคิดบางอย่าง

จ้าวเฟิงกระแอมเล็กน้อย มองไปยังอวี่เทียนอู

ถึงแม้อวี่เทียนอูจะบอกชัดว่าปราชญ์ลิ่วอูแห่งดินแดนทวีปเป็นร่างแยกร่างหนึ่งของเขา แต่เมื่อจ้าวเฟิงมาเผชิญหน้าอวี่เทียนอู่จริงๆ กลับไม่สามารถคุ้นเคยและสนิทสนมเหมือนกับนักปราชญ์

“นักปราชญ์ เจ้าแมวตัวนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่?”

จ้าวเฟิงชี้เจ้าแมวขโมยและถามขึ้น

แมวความลับสวรรค์เป็นความลับสูงสุดของเผ่าความลับสวรรค์ อวี่เทียนอูต้องรู้แน่ แต่ประเด็นคือเขาจะยอมพูดออกมาหรือไม่

“คิดไม่ถึงเลยว่าแมวความลับสวรรค์ข้างกายเจ้าตัวนี้จะเติบโตถึงขนาดนี้แล้ว!”

อวี่เทียนอูมองสำรวจเจ้าแมวขโมยน้อยอย่างละเอียด และเอ่ยอย่างตกใจ

จ้าวเฟิงมองแมวอ้วนขี้เกียจบนร่างหลิวฉินซิน การเติบโตในช่วงนี้ของแมวขโมยน้อยเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงขนาดตัวและลวดลายเท่านั้น ดูไปแล้วแมวอ้วนขี้เกียจไม่ด้อยไปกว่าเจ้าแมวขโมยเลย เดิมทีขนาดตัวของแมวอ้วนขี้เกียจก็ใหญ่มาก บนตัวของมันมีลวดลายสีเงินมากมายมาตลอด

“แมวความลับสวรรค์เดิมเป็นผลจากการหลอมรวมสายเลือดเผ่าความลับสวรรค์เข้าไป และในเวลาเดียวกันยังมีความสามารถอย่างอื่นด้วย มันเป็นคู่หูที่ดีที่สุดของเผ่าความลับสวรรค์ แต่ต่อมาพวกฝืนชะตาฟ้าใช้แมวความลับสวรรค์กับแผนการฟื้นคืนชีพเผ่าบรรพกาล!”

จู่ๆ อวี่เทียนอูก็เอ่ยขึ้น ทำให้ใบหน้าจ้าวเฟิงฉายแววตกใจ

“แมวความลับสวรรค์ แผนการฟื้นคืนชีพเผ่าบรรพกาล?” จ้าวเฟิงโพล่งออกมา

คำพูดอวี่เทียนอูชวนให้ตื่นตกใจ ซินอู๋เหินและมู่กู่ก็ตะลึงเช่นกัน คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าแมวตัวนี้จะเกี่ยวข้องกับเผ่าบรรพกาลที่เป็นลำดับหนึ่งในรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์ ส่วนเรื่องที่เผ่าความลับสวรรค์อยากจะครอบครองสายเลือดเผ่าบรรพกาล พวกเขาก็เคยได้ยินมาก่อน แต่ไม่รู้เรื่องราวโดยละเอียด

“สายเลือดเผ่าบรรพกาลแข็งแกร่งเกินไป คนที่สามารถเข้ากันได้ดีและยังปลอดภัย ในหลายสิบล้านคนยังไม่เจอสักคนหนึ่ง แต่เผ่าความลับสวรรค์สร้างสิ่งมีชีวิตด้วยตนเอง สามารถปรับเปลี่ยนปรับปรุง หนำซ้ำในทันทีที่แมวความลับสวรรค์สามารถผสานสายเลือดเผ่าบรรพกาลได้เป็นผลสำเร็จ ก็แสดงให้เห็นว่าเผ่าความลับสวรรค์ผสานกับสายเลือดเผ่าบรรพกาลได้เหมือนกัน”

อวี่เทียนอูเอ่ยเรื่องที่ทำให้ทุกคนตื่นตะลึง

มู่กู่และซินอู๋เหินตระหนกตกใจอย่างยิ่ง ที่แท้เผ่าความลับสวรรค์อยากจะครอบครองพลังของเผ่าบรรพกาลจริงๆ

“เช่นนั้นเจ้าแมวขโมยตัวนี้…”

จ้าวเฟิงคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าแมวขโมยจะซุกซ่อนความลับเช่นนี้เอาไว้

มิน่าเผ่าความลับสวรรค์จึงคาดหวังกับแมวความลับสวรรค์ขนาดนั้น ถึงขั้นที่ว่ายังบ่มเพาะมันด้วย ที่แท้ก็ทำไปเพื่อสายเลือดในร่างของมันนี่เอง

ในเวลาเดียวกัน จ้าวเฟิงยังรู้สึกตื่นเต้นยินดีเล็กน้อย เจ้าแมวขโมยน้อยเก่งกาจขนาดนี้ หากดูแลเลี้ยงดูดีๆ จะต้องเป็นกำลังเสริมที่ดีได้แน่

“แต่แมวความลับสวรรค์ตัวนี้ของเจ้า เป็นของผิดพลาด!” อวี่เทียนอูเอ่ยสำทับอีก

จ้าวเฟิงอึ้งไปทันที ใจถูกกระทบกระเทือนไม่น้อย ไม่นึกเลยว่าเจ้าแมวขโมยน้อยจะเป็นของผิดพลาด

เมี้ยว เมี้ยว~ เจ้าแมวขโมยน้อยพลันมีท่าทีไม่พอใจอย่างที่สุด มันโบกมือพัลวันเพื่อจะบอกว่าตนเองพิเศษไม่เหมือนใคร และไม่ใช่ของผิดพลาด

“ฮ่าๆ ถึงแม้จะเป็นของผิดพลาด แต่กลับเกิดการแปรสภาพ เปลี่ยนแปลงไปหลายต่อหลายครั้งจนหลุดพ้นจากกรอบของแมวความลับสวรรค์ต้นฉบับที่เผ่าความลับสวรรค์สร้างขึ้น ถึงจะไม่มีสายเลือดเผ่าบรรพกาล แต่เหมือนครอบครองพลังสายเลือดที่คล้ายคลึงกับหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ!” อวี่เทียนอูหัวเราะน้อยๆ และเอ่ยต่อ

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจ้าแมวขโมยน้อยจึงไม่ซักไซ้อะไรต่อ

“คล้ายคลึงกับหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ?” จ้าวเฟิงหวนคิดอย่างละเอียด และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ

เจ้าแมวขโมยสามารถใช้เคล็ดวิชาเผ่าพันธุ์สายเลือดจำนวนมากได้ แต่อย่างมากก็ออกมาคล้ายคลึงสิบกว่าเผ่าพันธุ์ สายเลือดในสิบลำดับแรกของรายชื่อจะมีได้ค่อนข้างยาก

แน่นอน จากที่อวี่เทียนอูพูดเอาไว้ เจ้าแมวขโมยยังสามารถเติบโตได้อีก

นับตั้งแต่นั้น คำถามเกี่ยวกับเจ้าแมวขโมยน้อยในใจจ้าวเฟิงก็คลี่คลายลงไปแล้ว

“ท่านนักปราชญ์ ร่างแยกของท่านมาถึงดินแดนทวีป ท่านมีจุดประสงค์อะไรกันแน่?”

เมื่อพูดคุยกัน จ้าวเฟิงพบว่านักปราชญ์ค่อนข้างเป็นกันเอง กระทั่งความลับสูงสุดของเผ่าความลับสวรรค์ยังเล่าออกมา ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงเปิดใจมากขึ้น

มิตินอกดินแดนเทพรกร้างจะถูกเรียกว่ามิตินอกดินแดน มิตินอกดินแดนจะมีมิติเหมือนดินแดนทวีปมากมายนับไม่ถ้วน เหตุใดผู้นำของพวกผู้ทรงภูมิอย่างอวี่เทียนอูจึงทิ้งร่างแยกร่างหนึ่งเอาไว้ที่ดินแดนทวีป จุดประสงค์ของเขาคืออะไร เจ้าแมวขโมยน้อย? หรือว่าจะเป็นเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า…

“เผ่าความลับสวรรค์เป็นถึงเผ่าพันธุ์นอกฟ้าไกล เรื่องนี้เจ้าคงรู้กระมัง!”

อวี่เทียนอูออกจะตกตะลึง เห็นได้ชัดเจน เขาไม่คาดคิดว่าจ้าวเฟิงจะถามเรื่องนี้ แต่เขาก็ยังคงตอบอย่างไม่อ้อมค้อม

“นอกฟ้า!” คนอื่นๆ ตื่นตกใจ

เผ่าความลับสวรรค์มาถึงมิติจักรวาลแห่งนี้ตั้งแต่ช่วงบรรพกาลจริง ส่วนโลกด้านนอกฟ้าไกล ก็เป็นความสงสัยที่ค้างคาในใจพวกเขามาเนิ่นนาน

“โลกอารยธรรมเดิมของเผ่าความลับสวรรค์ล่มสลาย จึงแบ่งออกเป็นหลายส่วนไปสำรวจโลกที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายด้านนอก ส่วนกลุ่มของพวกเราก็ตกลงมาในโลกประหลาดแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ และไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ ข้ากำลังค้นหาโอกาสหนีออกไปจากที่นี่ ตอนนั้นข้าอนุมานโอกาสไว้หลายจุด ในมิติพวกนี้เลยแทบจะมีร่างแยกของข้าอยู่ทั้งนั้น ดินแดนทวีปที่เจ้าอยู่ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน!”

อวี่เทียนอูอธิบายที่มาที่ไป

ที่แท้ในมิตินอกดินแดนยังมีมิติเล็กน้อยอีกมากมายที่มีร่างแยกของอวี่เทียนอู ปราชญ์ลิ่วอูก็เป็นแค่หนึ่งในนั้น

“ออกจากที่นี่?” จ้าวเฟิงไม่สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ และคนอื่นๆ ก็เช่นกัน

จนถึงตอนนี้ คงไม่มีใครเคยออกไปจากมิติแห่งนี้ ถึงขนาดที่ว่าผู้แข็งแกร่งจำนวนมากในช่วงบรรพกาลยังคิดว่ามีแค่โลกใบนี้เท่านั้น จนกระทั่งต่อมาการมาถึงของเผ่าความลับสวรรค์ได้ทำลายความคิดนี้ลง

“บางทีโอกาสนี้อาจอยู่ที่เจ้า!” อวี่เทียนอูพูดอย่างตรงไปตรงมา

แน่นอนว่าอวี่เทียนอูก็ไม่อาจยืนยันเรื่องนี้ได้ เนื่องด้วยเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้ามีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้งและความเป็นไปได้มากมาย

จ้าวเฟิงเงียบขรึมไม่พูดจา เขาไม่รู้เรื่องเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้ามากมายนัก

อวี่เทียนอูบอกว่าโอกาสที่เผ่าความลับสวรรค์จะออกไปจากจักรวาลอยู่ที่ตนเอง จ้าวเฟิงเองก็ช่วยอะไรไม่ได้ อีกอย่าง จ้าวเฟิงยังคงสงสัยเรื่องนี้อยู่ตลอด

หลายปีมานี้ไม่มีใครออกจากที่นี่ได้ ในระหว่างนั้นมีแปดเนตรเทพเจ้าที่เกิดขึ้น ก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน เช่นนั้นทำไมถึงมีความเป็นไปได้นี้เพราะเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าได้

“เป้าหมายของพวกฝืนชะตาฟ้าคืออะไร?” จ้าวเฟิงถามขึ้นอีกครั้ง

พวกฝืนชะตาฟ้าก็เป็นเผ่าความลับสวรรค์ จุดประสงค์ของพวกเขาจะเหมือนกับพวกผู้ทรงภูมิคือเดินทางออกจากจักรวาลแห่งนี้ไปหรือไม่?

“บางทีเป้าหมายของพวกเขาอาจเหมือนกับพวกเรา แต่พวกเขาพยายามจะทำอะไรกันแน่ ข้าก็ไม่แน่ชัดนัก แต่ข้าเดาว่าหากแผนของพวกฝืนชะตาฟ้าสำเร็จลุล่วง ทั้งดินแดนเทพรกร้างจะต้องเผชิญหน้ากับมหันตภัยแน่…”

อวี่เทียนอูพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นทอดถอนใจ

“ข้ารู้สึกว่าเป้าหมายของพวกนั้นคงจะต่างจากพวกผู้ทรงภูมิ!”

มู่กู่แค่นเสียงเย็น

เขาเห็นพวกฝืนชะตาฟ้าเป็นศัตรู ไม่เชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามจะทำเรื่องที่ทำให้คนหวาดกลัวต่างๆ นานาเพื่อเป้าหมายนี้

“จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจรู้คำตอบเรื่องนี้ แต่แผนของพวกฝืนชะตาฟ้าต้องเกี่ยวข้องกับเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าแน่ ดังนั้นจ้าวเฟิง ตอนนี้เจ้าอยู่ที่นี่เถอะ รอให้ใช้พลังทั้งหมดของเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าได้ก็ไม่ต้องหวาดกลัวอะไรอีก…” อวี่เทียนอูพูดความคิดของเขาออกมา

นี่ก็เป็นความคิดของจ้าวเฟิงในตอนนี้ เขาค่อนข้างเชื่อการคาดการณ์ของอวี่เทียนอู แน่นอนว่าก็มีสาเหตุเพราะหลิวฉินซินด้วย

ถ้าหากเป้าหมายของพวกฝืนชะตาฟ้าสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี จะสามารถก่อให้เกิดมหันตรายร้ายแรงต่อทั้งดินแดนเทพรกร้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากเห็นเช่นกัน

การต่อสู้สมัยบรรพกาลเมื่อคราวก่อนทำให้ทั้งทวีปรกร้างล่มสลายเป็นเสี่ยงๆ เผ่าพันธุ์นับหมื่นบาดเจ็บสาหัส และมีบางเผ่าพันธุ์ที่อาจถึงขั้นสาบสูญ หากเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง ไม่รู้ว่าทั้งมิติจักรวาลจะกลายเป็นแบบไหน

“พวกเราต้องรบกวนแล้ว!” ซินอู๋เหินพูดอย่างเคารพ

วันแรกที่มาถึงฐานที่มั่นพวกผู้ทรงภูมิ เขาได้รู้ความลับที่เขย่าขวัญขนาดนี้ ดูท่าทางเลือกนี้น่าจะถูกต้อง ต่อมาจ้าวเฟิง ตำหนักเทพยักษ์ และเผ่าแสงจึงอยู่ในดินแดนของพวกผู้ทรงภูมิต่อเป็นการชั่วคราว

“หลิวฉินซิน เนตรทำนายของเจ้ามาจากที่ไหน?”

จ้าวเฟิงมองหลิวฉินซินอย่างสงสัย

ตอนอยู่ดินแดนทวีป หลิวฉินซินไม่มีสายเลือดดวงตา

“จากมรดกตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน!” หลิวฉินซินเอ่ยเสียงเรียบ

“ที่แท้ตำหนักฟั่นหลุนกู่อินก็พิเศษขนาดนี้!” จ้าวเฟิงทอดถอนใจน้อยๆ

ตำหนักฟั่นหลุนกู่อินไม่เพียงแต่ให้สายเลือดดวงตาแก่หลิวฉินซิน ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้พลังฝึกตนของนางเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และได้เข้าไปในดินแดนเทพรกร้าง

“ทำไมเจ้ามาหานักปราชญ์ที่นี่ได้?” จ้าวเฟิงพูดต่อ

ถึงแม้ยามนี้หลิวฉินซินจะสูงค่าลึกลับ บริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่จ้าวเฟิงกลับรู้สึกสนิทสนมชิดเชื้อมาก

หลังจากพาจ้าวเฟิงมาถึงที่พักส่วนตัวแล้ว หลิวฉินซินค่อยแยกตัวไป

เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกจ้าวเฟิงจึงพักอยู่ที่ฝั่งพวกผู้ทรงภูมิเป็นการชั่วคราว

ในหมู่ผู้ทรงภูมิมีผลึกปัญญาของเผ่าความลับสวรรค์จำนวนไม่น้อย ช่วยเอื้อต่อการฝึกฝนและทำความเข้าใจ

เจ้าแมวขโมยน้อยก็หายไปไม่เห็นเงา ดูเหมือนกำลังไปสำรวจตามสถานที่ต่างๆ

ส่วนจ้าวเฟิง นอกเหนือจากการฝึกแล้วก็สามารถพบเจอหลิวฉินซินได้ ถึงแม้ไม่มีคำพูดมากมายนักระหว่างกัน แต่ทันทีที่พูดคุยก็หลงลืมเวลาไป คล้ายมีเรื่องคุยกันไม่มีวันจบสิ้น

อยู่กับพวกผู้ทรงภูมิที่นี่ จ้าวเฟิงใช้เวลาหลายปีเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับระดับพลังฝึกตน

จากนั้นเขาจึงเริ่มฝึกฝน ‘ตำราเทพบริสุทธิ์’ เพื่อก้าวขึ้นไปสู่ระดับขั้นที่สูงมากยิ่งขึ้น

เดิมคิดว่าชีวิตจากนี้คงจะสงบราบรื่นแบบนี้ต่อไป แต่ในวันนี้ อวี่เทียนอูเชื้อเชิญจ้าวเฟิงมาอีกครั้ง

บรรยากาศในหอคอยตึงเครียด

“มีข่าวร้ายอะไร?” จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล

สามารถทำให้พวกผู้ทรงภูมิตึงเครียดได้ถึงขนาดนี้ ย่อมต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่

“พวกฝืนชะตาฟ้าต้องการเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้ามาก เจ้าหลบหายไปไม่ปรากฏตัวหลายปี พวกเขาก็จะสรรหาวิธีต่างๆ นานาบีบบังคับให้เจ้าปรากฏตัว!”

อวี่เทียนอูเปิดปากเอ่ย

“เกี่ยวข้องกับพวกฝืนชะตาฟ้าจริงๆ ด้วย!” จ้าวเฟิงจ้องเขม็ง

“เฟิง ข้าและอาจารย์เดาว่าพวกฝืนชะตาฟ้าอาจมุ่งร้ายจ้าวหยูเฟย!”

หลิวฉินซินลุกยืนขึ้น ท่าทางค่อนข้างสับสนวุ่นวาย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version