บทที่ 1513 ในที่สุดก็พบหลิวฉินซิน
ไม่ถึงครึ่งวัน ชายวัยกลางคนชุดดำก็เดินทางมาถึงจุดหมาย
แต่ที่นี่ไม่มีสัญญาณการดำรงอยู่ของอาณาจักรเทพ กลิ่นอายพลังเทพที่ผสมปนเปหลงเหลืออยู่ในอากาศ โครงสร้างมิติไม่ได้มั่นคงมากนัก เห็นได้ชัดว่าน่าจะเคยเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ขึ้น
“มาช้าไปแล้ว!” ชายวัยกลางคนในชุดดำส่งข่าวไปให้ราชาเทพโยวอวิ๋น
อันที่จริง ตอนที่ราชาเทพโยวอวิ๋นกลับไปถึงแดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตาก็เดาผลได้แล้ว
ในแดนศักดิ์สิทธิ์ สมาชิกระดับสูงจะใช้แหล่งกำเนิดดวงวิญญาณเสี้ยวหนึ่งมาสร้างเป็น ‘หยกวิญญาณ’ ทันทีที่หยกวิญญาณแหลกสลายก็แปลว่าตายแล้ว
และสมาชิกแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เดินทางมาอาณาจักรเทพเผ่าแสงเพื่อจับเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า หยกวิญญาณทั้งหมดแหลกละเอียดทั้งหมด
ในสถานการณ์เช่นนี้ ฝ่ายศัตรูจะต้องหนีไปแล้วแน่
วันนั้น ราชาเทพโยวอวิ๋นโมโหโกรธา ลงมือจัดการราชันอสูรฝันมายาเพื่อผนึกมันไว้อีกครั้ง
หลังจากนั้น ราชาเทพโยวอวิ๋นส่งสมาชิกทั้งหมดออกไป และตนเองก็เคลื่อนไหวด้วย พวกเขาค้นหาเบาะแสของพวกจ้าวเฟิงและตำหนักเทพยักษ์ในเขตดาราชาดทั่วทุกมุม แต่เวลาผ่านไปหลายเดือนก็ยังคงไม่เจอเบาะแสใดๆ
ในเวลาเดียวกัน ณ อาณาจักรเทพของพวกฝืนชะตาฟ้า
สีหน้าอวี่หลิวผิงเคร่งขรึม เข้าไปในดินแดนเกาะเมืองความลับสวรรค์แห่งหนึ่งตรงกลาง
ในตำหนักทมิฬด้านบนสุด ทูตสวรรค์หลายคน ผู้คุมกฎ รวมไปถึงเจ้าสวรรค์อยู่ที่นี่กันหมด
“เจ้าสวรรค์ ด้วยพลังของข้าจะต้องจับจ้าวเฟิงได้แน่ แต่ว่า…” อวี่หลิวผิงคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น ละล่ำละลั่กอธิบาย
“ไม่ว่าเจ้าจะอธิบายอะไร ที่สุดแล้วก็เป็นการขัดคำสั่งของข้าอยู่ดี!”
ดวงตาของเจ้าสวรรค์หรี่ลงเล็กน้อย น้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับทำให้อวี่หลิวผิงหวาดกลัวเหลือเกิน
“ขอรับ!” อวี่หลิวผิงไม่กล้าคัดค้านอะไรต่อ แต่มีเรื่องหนึ่งที่เขาจำเป็นต้องพูด “ความล้มเหลวในครั้งนี้ของข้าเกี่ยวข้องกับอวี่เทียนอูที่สุด มิฉะนั้นคงจะได้ครอบครองเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าไปแล้ว!”
เมื่อพูดถึง ‘อวี่เทียนอู’ บรรยากาศในตำหนักเกิดการเปลี่ยนแปลงทันที
เจ้าสวรรค์ลืมตาที่ลึกล้ำไร่้ก้นบึ้ง “เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวกับคนผู้นี้ให้ข้าฟังอย่างละเอียด!”
ทูตสวรรค์หลายคนที่นี่ ถึงแม้จะไม่ใช่คนเผ่าความลับสวรรค์ แต่หากรู้จักแซ่ ‘อวี่’ ก็จะรู้จักชื่อนี้ด้วย
อวี่เทียนอูเป็นผู้นำของฝ่ายผู้ทรงภูมิเผ่าความลับสวรรค์
ผู้ทรงภูมิไม่ได้ปรากฏตัวให้พวกเขาเห็นมานานมากแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน พวกผู้ทรงภูมิก็ปรากฏตัวออกมา
“ในตอนนั้น สิ่งที่มาถึงอาณาจักรเทพเผ่าแสงเป็นเพียงแค่เงาข้ามมิติของอวี่เทียนอูเท่านั้น…”
อวี่หลิวผิงรีบเล่าเรื่องทั้งหมดของอวี่เทียนอูออกมา
ความจริงแล้วความล้มเหลวของเขาไม่เกี่ยวอะไรกับอวี่เทียนอูทั้งนั้น แต่หากเขาโยนความผิดเรื่องนี้ไป ก็จะลดโทษทัณฑ์จากเจ้าสวรรค์ได้
“ดูจากแผนที่พวกผู้ทรงภูมิรับมือพวกเรา พวกนั้นเข้าใจพวกเราไม่มากก็น้อย ตอนนี้ถึงช่วงเวลาสำคัญ ข้าจะไม่ลงโทษเจ้าก็แล้วกัน…” ในแววตาสงบนิ่งของเจ้าสวรรค์มีประกายคมวาบผ่าน
แผนการของพวกฝืนชะตาฟ้าถูกเก็บงำไว้เป็นความลับสูงสุดโดยตลอด ต่อให้เป็นทูตสวรรค์ก็ยังไม่รู้สถานการณ์โดยละเอียด แต่ตอนนี้จู่ๆ พวกผู้ทรงภูมิก็ปรากฏตัวขึ้น เขาจึงต้องระมัดระวัง
“ผู้คุมกฎจั่ว เรื่องที่ให้เจ้าไปสืบหา ได้เรื่องอย่างไรบ้างแล้ว?”
เจ้าสวรรค์มองผู้คุมกฎด้านข้างๆ
พวกผู้ทรงภูมิรู้ว่าความเป็นไปได้ของแผนการนี้ต่ำ ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำคือทำให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด
ถึงตอนนั้นเมื่อทั้งหมดเรียบร้อยหมดแล้ว ถึงจะเป็นพวกผู้ทรงภูมิก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
“ในดินแดนเทพรกร้าง พวกที่เกี่ยวข้องกับจ้าวเฟิงค่อนข้างมากต้องนับเผ่าพันธุ์วิญญาณและตำหนักเทพยักษ์ วันนี้ตำหนักเทพยักษ์โยกย้ายหนีไปแล้ว เหลือเพียงเผ่าพันธุ์วิญญาณเท่านั้น นอกจากนี้สถานที่ที่จ้าวเฟิงปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกก็คือเขตผาเก่า…”
ผู้คุมกฎเอ่ยเนิบๆ
เจ้าสวรรค์ให้เขาสำรวจเรื่องราวทั้งหมดของจ้าวเฟิงตอนอยู่ในดินแดนเทพรกร้าง
เมื่อเข้าใจเรื่องทั้งหมดของจ้าวเฟิงแล้ว ถึงจะหาจุดอ่อนของเขาเจอ
“เขตเทพสววรรค์อันเป็นที่ตั้งของเผ่าพันธุ์วิญญาณมีนายเหนือหัวผู้ครองเนตรชีวิตดูแลอยู่ ตอนนี้ยังไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้!”
เจ้าสวรรค์ส่ายศีรษะน้อยๆ
“ข้าน้อยยังสืบเจอว่าจ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟยสตรีผู้ถูกเลือกของเผ่าพันธุ์วิญญาณมีความสัมพันธ์แนบแน่นต่อกัน พูดได้ว่าที่จ้าวเฟิงเข้าร่วมเผ่าพันธุ์วิญญาณก็เป็นเพราะหญิงนางนี้ และตอนนี้นางก็ออกจากเผ่าพันธุ์วิญญาณแล้ว…”
มุมปากผู้คุมกฎยกรอยยิ้มบางๆ
“ได้ เรื่องนี้ให้เจ้าจัดการด้วยตนเองแล้วกัน!”
เจ้าสวรรค์พยักหน้า ได้ผู้คุมกฎทำงานให้ เขาก็ค่อนข้างวางใจ
ด้านล่าง อวี่หลิวผิงตื่นตระหนก ผู้คุมกฎจั่วเองก็เป็นคนของเผ่าความลับสวรรค์ มีสถานะสูงส่งทรงอำนาจ คิดไม่ถึงเลยว่าคราวนี้เจ้าสวรรค์จะให้ผู้คุมกฎทำภารกิจด้วยตนเอง
ทว่านี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเจ้าสวรรค์จะช่วงชิงเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้ามาให้ได้ จ้าวเฟิงต้องจบเห่แน่นอน
อีกฟากหนึ่ง
จ้าวเฟิงกับตำหนักเทพยักษ์อยู่ในอาณาจักรเทพเผ่าแสง และเริ่มการเดินทางที่ยาวนาน ตรงไปยังที่อยู่ของพวกผู้ทรงภูมิ
สถานที่ที่อวี่เทียนอูให้มามีระยะทางที่ห่างไกลจากเขตดาราชาดมาก แต่แบบนี้ก็ดี จะได้หลีกเลี่ยงความยุ่งยากอย่างแดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตา
ในระหว่างทางทุกคนต่างปิดด่านฝึกตนอยู่ภายใน
เผ่าแสงแบกรับภาระในการล้างแค้นจึงต้องแข็งแกร่งขึ้น ตำหนักเทพยักษ์เองก็ต้องรับมือกับศัตรูคู่แค้นอย่างแดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตา เมื่อถูกบีบคั้นและเหยียดหยาม ศักยภาพของคนเรามักจะถูกกระตุ้นให้แสดงออกมาได้ง่ายดายกว่าเดิม
ในตอนนี้จ้าวเฟิงก็อยู่ในอาณาจักรเทพมายาและเริ่มปิดด่านฝึกตนที่ยาวนาน
เพิ่งจะทะลวงจอมเทพขั้นที่สอง เขาจำต้องใช้เวลายาวนานเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับขอบเขตพลังฝึกตน ทุกช่วงระยะเวลาที่ฝึกฝน เขามักจะจำกัดขีดความสามารถในแต่ละด้านของตน และหาคู่ต่อสู้ในอาณาจักรเทพเพื่อขัดเกลาตนเอง
จ้าวเฟิงหมดเวลาไปสิบกว่าปีโดยไม่รู้ตัวเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับขอบเขตพลัง และแน่นอนว่านี่เป็นเวลาในอาณาจักรเทพ
ระหว่างนี้ พลังบริสุทธิ์ของจ้าวเฟิงมีพัฒนาการไม่น้อย ส่วนเสวียนอ้าวอื่นๆ เสวียนอ้าวอัสนีก็พัฒนาเป็นกฎเกณฑ์ได้สำเร็จ
เหตุผลในนี้ อาจเป็นเพราะจ้าวเฟิงมี ‘กายวิญญาณอัสนี’ และอาจเพราะพัฒนาการด้านความเข้าใจในเนตรเทพมายาเพิ่มขึ้น ทำให้ความเข้าใจใน ‘ศาสตร์อัสนี’ ของเขาทะลวงไปถึงระดับกฎเกณฑ์ได้โดยคาดไม่ถึง
นอกเหนือไปจากการทำให้พลังฝึกตนมั่นคงและเพิ่มระดับขั้นพลังแล้ว เวลาส่วนมากของจ้าวเฟิงจะหมดไปกับเนตรเทพมายา
เนตรเทพมายาไปถึงระดับเนตรเทพเจ้าแล้ว แต่จ้าวเฟิงยังคงไม่อาจสำแดงพลังของมันออกมาได้ทั้งหมด ด้านนี้จึงยังมีข้อจำกัดในการฝึก
นอกเหนือจากวิจัยวิชาดวงตามายาแล้ว จ้าวเฟิงก็ยังไม่ลืมแนวทางก่อนหน้านี้ของตนเอง
เนิ่นนานก่อนนี้ เขาก็มีความคิดที่จะหลอมรวมพลังบริสุทธิ์เข้าไปในเพลิงดวงตาอัสนีเทวะ หรือบางทีอาจผสานอัสนีเทวะเขาไปในกระบี่เทพพลังบริสุทธิ์ฉบับวิชาดวงตา
ตอนนี้จ้าวเฟิงใช้กระบี่อัสนีเทวะพลังบริสุทธิ์ได้อย่างสบายๆ บวกกับบรรลุศาสตร์อัสนีจนกลายเป็นกฎเกณฑ์ พอลองใช้วิชาดวงตาในด้านนี้ดูจึงง่ายดายกว่าเดิมมาก
ฟิ้ว แซ่ด!
ในดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงค่อยๆ ปรากฏตราประทับลายสายฟ้าเป็นชั้นๆ
เวลาเดียวกัน กระบี่เทพพลังบริสุทธิ์ขนาดเล็กเล่มหนึ่งเผยขึ้นด้านใน ทั้งสองอย่างรวมตัวเข้าหากันอย่างช้าๆ
เปรี๊ยะ! ทันใดนั้น กระบี่สายฟ้าสายหนึ่งพุ่งออกมา ในทุกที่ที่มันผ่านไป จะทิ้งรอยไหม้บิดโค้งสายหนึ่งไว้ในอากาศ
กระบี่เทพพลังบริสุทธิ์ที่หลอมรวมพลังอัสนีเทวะเข้าไปมีพลานุภาพการพุ่งทะลุผ่านเพิ่มขึ้นไม่น้อย แต่จ้าวเฟิงไม่ได้พอใจมากนัก ความคิดแรกของเขาก็คือเอาเพลิงดวงตาอัสนีเทวะหลอมรวมกับกระบี่เทพพลังบริสุทธิ์ ทำให้พลานุภาพของมันเหนือกว่าธรรมดา และมีความสามารถใช้การได้ในพริบตา
กระบี่อัสนีพลังบริสุทธิ์ในฉบับวิชาดวงตาที่จ้าวเฟิงสร้างขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะรวดเร็ว แต่ก็ยังคงไม่อาจสำแดงได้ในทันที ศัตรูยังหลบหนีได้
สามปีให้หลัง อาณาจักรเทพเผ่าแสงมาถึงเขตพันหุบเขาทางตะวันตกของดินแดนเทพรกร้าง
ในบรรดาเขตที่มีชายแดนติดกับเขตพันหุบเขา จะมีเขตธารดาราและเขตปราการหยั่งรู้
จ้าวเฟิงเองก็ตกใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงเลยว่าฝั่งพวกผู้ทรงภูมิจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่
ตอนแรกจ้าวเฟิงถูกพวกฝืนชะตาฟ้าจับตัวตอนอยู่ที่เขตธารดารา จากนั้นก็ยั่วโทสะแดนศักดิ์สิทธิ์มังกรทองที่เขตปราการหยั่งรู้ ตอนนี้เขตปราการหยั่งรู้น่าจะกำลังไล่ตามจับเขาไปทั่วอยู่กระมัง
แต่เขาเชื่อว่าหากหลบอยู่ในที่ตั้งของพวกผู้ทรงภูมิ แดนศักดิ์สิทธิ์มังกรทองมาตามหาเขาไม่ได้แน่
ในส่วนลึกของหุบเขาที่มีหมอกลอยระเรื่อย ซินอู๋เหิน มู่กู่ และจ้าวเฟิงมาถึงช่องแคบระหว่างหุบเขาที่หนาวเหน็บแห่งหนึ่ง
“เป็นที่นี่แหละ!” มู่กู่เอ่ยเสียงต่ำ
ในยามนั้น
ฟิ้ว ฟิ้ว~ ไอหมอกทะลักมาจากที่ไกลๆ จากนั้นรวมตัวกันกลายเป็นอุโมงค์แห่งหนึ่ง
หลังจากทะลุผ่านอุโมงค์ไปแล้ว สถานที่อันวิจิตรลี้ลับราวสรวงสวรรค์ก็ปรากฏในสายตาของทุกคน ที่อยู่ของพวกผู้ทรงภูมิเป็นสถานที่สวยงามโอบล้อมด้วยภูเขาแม่น้ำ โอบล้อมด้วยหมอกควัน เงียบสงบลี้ลับ สรรพเสียงใดๆ ไม่อาจมากล้ำกราย
ตอนทุกคนมาถึงที่นี่ ใจก็สงบลงอย่างน่าประหลาด
“ยินดีต้อนรับทุกท่าน ท่านจอมเวทเชิญเข้าพบ!” นักปราชญ์ชุดยาวสีดำผู้หนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนักเอ่ยด้วยน้ำเสียงละมุน
ในเวลาเดียวกัน แววตาของเขามองประเมินจ้าวเฟิงเล็กน้อย
จากนั้นทุกคนก็เดินไปในพื้นที่ของพวกผู้ทรงภูมิจากการนำทางของนักปราชญ์ผู้นี้
ฟ้าดินขาวโพลนไปหมด แต่ในความขาวบริสุทธิ์ขมุกขมัวนี้ ยังพอเห็นยอดหอคอยสีดำจำนวนมาก
หอคอยตรงใจกลางของโลกแห่งนี้มีสีดำสนิทที่เก่าแก่ราวภาพฝัน สูงใหญ่โอฬารกว่าปกติ!
“เผ่าความลับสวรรค์ ฝ่ายผู้ทรงภูมิ!” ซินอู๋เหินตื่นเต้นจนยากจะสงบใจ
เผ่าความลับสวรรค์เป็นถึงเผ่าพันธุ์ในตำนานลำดับที่สามในรายชื่อ และตอนนี้เขากำลังจะได้พบผู้นำของพวกผู้ทรงภูมิแห่งเผ่าความลับสวรรค์
ในใจทุกคนมีข้อฉงนสงสัยและคำถาม
เผ่าความลับสวรรค์เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญา บางทีตำหนักเทพยักษ์อาจจะได้คำชี้แนะของชะตาจากที่นี่
หลังจากขึ้นไปถึงชั้นบนสุด ทุกคนก็พบว่าพื้นที่กว้างใหญ่และเงียบสงบแห่งนี้มีคนเพียงห้าคนเท่านั้น ดูอ้างว้างเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด
สายตาของทุกคนจับจ้องคนทั้งสองด้านหน้า
ใบหน้าของคนหนึ่งในนั้นละม้ายคล้ายกับเงาข้ามมิติซึ่งปรากฏตัวในอาณาจักรเทพเผ่าแสง ส่วนสตรีที่อยู่ด้านข้างเขาสงบสุขุม งดงามลี้ลับ
“นักปราชญ์ นาง…” จ้าวเฟิงอึ้งงันไปทันที
เดิมทีเขาก็จะไปตามหาอวี่เทียนอูเพื่อคลายข้อสงสัย ตำหนักฟั่นหลุนกู่อินและหลิวฉินซินหายไปไหน? เหตุใดเขาถึงเห็นสตรีผู้ที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับนาง…
แต่ตอนนี้ เมื่อเดินทางมาถึงที่นี่
สตรีลึกลับที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับหลิวฉินซินกลับมาอยู่ข้างกายอวี่เทียนอู
แน่นอนว่าซินอู๋เหินและมู่กู่มองเห็นสตรีชุดขาวนางนี้ก็ตกตะลึงอยู่บ้างเช่นกัน
ยามอยู่ในอาณาจักรเทพเผ่าแสงตอนนั้น หลังจากที่ทุกคนประมือกับอวี่เหิงจากเผ่าความลับสวรรค์ พวกเขาก็เห็นเงาร่างคนผู้หนึ่งที่คล้ายคลึงกับสตรีตรงหน้า เจ้าแมวตัวนั้นก็อยู่ที่นี่ด้วย
“เป็นเช่นนี้นี่เอง คราวก่อนพวกผู้ทรงภูมิเป็นคนช่วยเหลือเผ่าแสงหรอกหรือ?”
มู่กู่ซาบซึ้งใจ ดูๆ ไปแล้วพวกผู้ทรงภูมิและพวกฝืนชะตาฟ้าคงจะแตกต่างกันจริงๆ คราวนี้เขาเลือกถูกแล้ว
แต่ซินอู๋เหินกลับรู้สึกว่าสตรีคนตรงหน้านี้คุ้นตามาก
“เจ้า…เป็นใครกันแน่?” จ้าวเฟิงจ้องสตรีชุดขาวคนตรงหน้าอย่างละเอียด
“เฟิง พวกเราพบกันอีกแล้ว!” อีกฝ่ายเอ่ยด้วยอาการหลากอารมณ์
“เจ้าเป็นหลิวฉินซินหรือหลิ่วฉินอินกันแน่…”
คำพูดของนางทำให้หัวสมองจ้าวเฟิงมึนงงไปบ้าง
“ชื่อเป็นเพียงแค่คำเรียกเท่านั้น เจ้ารู้ว่าข้าคือคนผู้นั้นก็พอแล้ว จะเรียกอะไรก็ตามแต่!”
ถึงแม้สตรีชุดขาวจะมีท่าทีนิ่งสงบ แต่ทุกคนรู้สึกได้ถึงความสุขใจของนาง
“เป็นเจ้าจริงหรือ? ฉินซิน!” จ้าวเฟิงรู้สึกเหลือเชื่อ
สตรีคนตรงหน้านี้เป็นคนจากดินแดนทวีปผู้นั้นจริงหรือ
ตั้งแต่อีกฝ่ายบอกว่าหลิ่วฉินซินหรือหลิวฉินอินก็คือนางทั้งสิ้น จ้าวเฟิงยังเลือกชื่อหลิวฉินซิน อย่างไรเสียชื่อนี้ก็มีความเกี่ยวข้องกับความทรงจำของเขามากส่วนหนึ่ง
เมี้ยว เมี้ยว~ ในเวลานี้ เจ้าแมวขโมยน้อยกระโจนออกมาจากมิติเก็บของ เบิกตาโตมองสำรวจรอบบริเวณ และขณะเดียวกัน เจ้าแมวอ้วนขี้เกียจบนบ่าหลิวฉินซินก็ลืมตาอย่างเกียจคร้าน ตอนที่มันเห็นเจ้าแมวขโมย ใบหน้าก็ฉายแววเหยียดหยามทันที
เมี้ยว เมี้ยว~ เจ้าแมวขโมยน้อยแค่นเสียงต่ำ เชิดหน้า ยืดอก เหล่ตามองแมวอ้วนขี้เกียจแวบหนึ่งด้วยท่าทีท้าทาย