บทที่ 1512 คำเชื้อเชิญจากจอมเวท
ขณะที่ร่างเงาอวี่เทียนอูปรากฏขึ้นในอาณาจักรเทพเผ่าแสง
ตรงชายแดนของเขตดาราชาด
วู้ม ฟุ่บ ฟุ่บ~
จู่ๆ ก็มีระลอกน้ำวนมิติหมุนอยู่กลางอากาศ ภายในค่อยๆ ปรากฏคนผู้หนึ่ง
เรือนผมดำขลับของผู้อาวุโสชุดดำคนนี้พลิ้วไหวแม้จะไม่มีลม ประหนึ่งม่านน้ำตกสีดำสนิทสายหนึ่ง ในดวงตาสีนิลลึกล้ำเปล่งประกายเย็นชา
วินาทีที่เขาปรากฏกายขึ้น ทุกสิ่งในอากาศก็เหมือนจะแข็งค้างและหนักอึ้งอย่างยิ่ง
คนผู้นี้ก็คือราชาเทพโยวอวิ๋น ผู้แข็งแกร่งขั้นราชาเทพของเขตดาราชาดและแดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตา
“คิดไม่ถึงเลยว่าเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าจะอยู่ที่เขตดาราชาด!”
ราชาเทพโยวอวิ๋นพึมพำเสียงต่ำ
ตอนแรกเขาได้ข่าวมาว่าจ้าวเฟิงปรากฏตัวที่เขตปราการหยั่งรู้ และยังได้รับมรดกเผ่าทำนุฟ้าไปด้วย ทั้งหมดนี้ยังไม่ถึงสองสามเดือนดี จ้าวเฟิงกลับข้ามผ่านดินแดนไปหลายแห่งจนมาถึงเขตดาราชาด หากข่าวนี้ไม่ได้ส่งมาจากจอมเทพฮ่วนไฉ่ เขาคงไม่เชื่อแน่
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ถึงแม้จะรู้ตำแหน่งที่ชัดเจนของเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า แต่ราชาเทพโยวอวิ๋นมักจะกระวนกระวายใจอย่างประหลาด
“รอให้ข้าได้ครอบครองเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า ก็จะอาจเลื่อนเป็นนายเหนือหัวราชาเทพได้อีก!”
แต่เมื่อนึกถึงเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า ราชาเทพโยวอวิ๋นก็ยากจะข่มจิตใจไม่ให้ตื่นเต้นได้
ยามที่ราชาเทพโยวอวิ๋นเตรียมจะเคลื่อนไหว เขาได้รับข่าวเรื่องหนึ่งจากผู้อาวุโสระดับสูงของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตา
“อะไรนะ? ‘ราชันอสูรฝันมายา’ กำลังจะทลายผนึกแล้ว!”
ราชาเทพโยวอวิ๋นตัวสั่นสะท้านโดยพลัน
“ราชันอสูรฝันมายาถูกผนึกอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตา เป็นอสูรโบราณน่ากลัวตัวหนึ่งที่เกือบเทียบเท่าขั้นราชาเทพ
เพราะระดับขั้นสูงเกินไป ต่อให้เป็นราชาเทพโยวอวิ๋นก็ยังยากจะกำราบได้ นอกเสียจากว่าจะเชิญนักฝึกสัตว์ขั้นราชาเทพมา แต่เงื่อนไขนี้เกินเหตุไปหน่อย ดังนั้นแดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตาจึงผนึกมันเอาไว้ในแดนต้องห้าม
หนำซ้ำพลังไร้รูปร่างที่ราชันอสูรฝันมายาสาดออกมายังเอื้อต่อการฝึกฝนทำความเข้าใจในศาสตร์ลวงตาและศาสตร์ความฝันของศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์
ความรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่ของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตา ราชันอสูรฝันมายาก็มีส่วนช่วยในเรื่องนี้ไม่น้อย
“ตราผนึกที่สะกด ‘ราชันอสูรฝันมายา’ จะต้องเพิ่มอีกทุกร้อยปี ตอนนี้คงจะเป็นเวลาห้าพันปีแล้ว ทำไมผนึกถึงคลายลงก่อนเวลาได้?”
ราชาเทพโยวอวิ๋นกระวนกระวายใจเล็กน้อย
ราชันอสูรฝันมายาแข็งแกร่งเกินจะเปรียบ นอกจากขั้นราชาเทพแล้ว อย่างน้อยๆ ต้องใช้จอมเทพขั้นสามจำนวนมากถึงจะสามารถกำราบได้
แต่หากราชันอสูรฝันมายาทำลายตราผนึก ด้วยความแค้นที่มันมีต่อแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว มันจะต้องล้างแค้นแน่ พอถึงตอนนั้นแดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตาจะต้องได้รับผลกระทบอย่างมหาศาล ทั้งเขตดาราชาดจะต้องเผชิญหน้ากับความวินาศเช่นกัน
สามารถพูดได้ว่า ทันทีที่ราชันอสูรฝันมายาทำลายตราผนึกได้แล้วไม่ขวางมันเอาไว้ให้ทันกาล จะทำให้ทั้งเขตดาราชาดพังพินาศ
ราชาเทพโยวอวิ๋นจะตกที่นั่งลำบาก หากเขาไปจับเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า แดนศักดิ์สิทธิ์และเขตดาราชาดก็ยังต้องเผชิญกับภยันตรายที่ยากจะจินตนาการ เขารู้สึกว่าทั้งหมดนี้บังเอิญจนเกินไป
ตอนเขารีบกลับมาที่เขตดาราชาดเพื่อจะจับเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า ราชันอสูรฝันมายาก็กำลังจะทำลายผนึกพอดี
“แดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตาเป็นรากฐานนับร้อยล้านปีของบรรพชนเผ่าเทพมายา จะให้ล่มสลายไม่ได้ ส่วนเรื่องเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า ตัวข้าเองมีวิธีการรับมืออยู่!”
ในที่สุด ราชาเทพโยวอวิ๋นก็ตัดสินใจว่าจะเสียทั้งสองสิ่งนี้ไปไม่ได้
วูบ! หมอกควันสีดำลอยพลิ้ว คนวัยกลางคนชุดดำผู้หนึ่งปรากฏขึ้นด้านใน
ชายวัยกลางคนชุดดำผู้นี้ก็คือร่างแยกของเขา ใบหน้าละม้ายคล้ายกับราชาเทพโยวอวิ๋นมาก เหมือนกับเขาในตอนวัยหนุ่ม
“แยกกันลงมือ!” ราชาเทพโยวอวิ๋นพึมพำ จากกนั้นก็วูบไหวตัวหายไป
พรึ่บ! ส่วนชายวัยกลางคนชุดดำหายไปอีกทางหนึ่ง
ร่างแยกนี้ของราชาเทพโยวอวิ๋นมีพลังของเขาอยู่สี่ส่วน ต่อให้ไม่สามารถจับเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าได้ ก็ยื้ออีกฝ่ายเอาไว้ได้ รอให้ราชาเทพโยวอวิ๋นจัดการราชันอสูรฝันมายาได้เป็นผลสำเร็จ ค่อยรีบเดินทางมาก็ได้แล้ว
ในขณะเดียวกัน ที่อาณาจักรเทพของเผ่าแสง
กลางอากาศปรากฏร่างเงาสูงเทียมฟ้าลอยขึ้น ทุกคนในอาณาจักรเทพจ้องเขม็งไปด้วยความตึงเครียดสุดขีด
“จ้าวเฟิง ในที่สุดพวกเราก็ได้พบหน้ากัน!” อวี่เทียนอูมองจ้าวเฟิงด้วยใบหน้าประดับยิ้มละมุน
จ้าวเฟิงอึ้งไปทันที คนจากเผ่าความลับสวรรค์รู้ว่าเขาไม่ธรรมดา
แต่ฟังจากความหมายในคำพูดของฝ่ายตรงข้าม เหมือนจะเจอกับตนเองมาก่อน? แต่ทำไมจ้าวเฟิงถึงจำอะไรไม่ได้เลย!
กริ๊ง กริ๊ง! เจ้าแมวขโมยน้อยโยนเหรียญทองแดงโบราณออกมาหลายอัน แววตาสว่างเป็นประกาย
ไกลออกไป อวี่หลิวผิงตื่นตะลึงในใจ เขาไม่นึกเลยว่าเงาข้ามมิติของอวี่เทียนอูจะมาถึงที่นี่
‘ดูท่าทางพวกผู้ทรงภูมิจะเข้าขัดขวางแผนการของเจ้าสวรรค์เป็นแน่!’
อวี่หลิวผิงลอบคิดในใจ
วูบ~ อวี่เทียนอูควบคุมแท่นโลหะทรงกลมสีเทา แล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
“คิดจะหนีรึ?” สีหน้าจ้าวเฟิงตึงเครียด เตรียมตัวลงมือ
แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็นึกสงสัยอยู่บ้าง
เงาข้ามมิตินี้ก็เป็นคนจากเผ่าความลับสวรรค์มิใช่หรือ? เหตุใดอวี่หลิวผิงจึงมีท่าทีหวาดกลัวจนต้องหนีหัวซุกหัวซุน
ตอนนั้นเอง
“จ้าวเฟิง ราชาเทพโยวอวิ๋นกลับมาที่เขตดาราชาดแล้ว รีบฉวยโอกาสนี้หนีไปซะ!”
อวี่เทียนอูค่อยๆ ลงมือ เพียงแค่ปรายตามองอวี่หลิวผิงอย่างเฉยชา แต่ไม่ได้ไปสนใจมากนัก?
ราชาเทพโยวอวิ๋น!
เมื่อเอ่ยชื่อนี้ขึ้นมา ทุกคนที่นี่ใจสั่นระรัว
ราชาเทพโยวอวิ๋นเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นราชาเทพของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตา ถึงเป็นมู่กู่ก็ยังไม่มีหวังจะต้านราชาเทพโยวอวิ๋นได้หลายกระบวนท่า
“เจ้าเป็นใครกันแน่?” จ้าวเฟิงเอ่ยถามทันที เพราะเหตุใดคนเผ่าความลับสวรรค์ผู้นี้ ถึงต้องแจ้งเรื่องนี้ให้พวกเขารู้
ในตอนนั้น จ้าวเฟิงไม่มีกะจิตกะใจจะไปตามล่าอวี่หลิวผิงแล้ว
ถ้าหากราชาเทพโยวอวิ๋นกำลังมาที่นี่จริงๆ กว่าเขาจะสังหารอวี่หลิวผิงเสร็จ เกรงว่าราชาเทพโยวอวิ๋นคงจะมาถึงแล้ว
“ร่างแยกร่างหนึ่งของข้าเคยอาศัยอยู่ที่หอคอยลิ่วอูในทวีปบุปผาครามช่วงหนึ่ง!”
อวี่เทียนอูเอ่ยชี้แจงอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
“ลิ่วอู…” จ้าวเฟิงเข้าใจโดยพลัน
เขาคาดเดาเอาไว้นานแล้วว่าปราชญ์ลิ่วอูต้องไม่ธรรมดา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าปราชญ์ลิ่วอูจะเป็นเพียงแค่ร่างแยกเท่านั้น
ตอนนี้ร่างหลักของปราชญ์ลิ่วอูใช้วิชาเงาข้ามมิติมาปรากฏตัวที่นี่
ปราชญ์ลิ่วอูคงมองสถานะเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าของจ้าวเฟิงออกนานแล้ว แต่ไม่ได้เข้าแย่งชิงดวงตา ด้วยเหตุนี้จ้าวเฟิงจึงเดาเอาว่า ปราชญ์ลิ่วอูที่เป็นเผ่าความลับสวรรค์อาจไม่ใช่ศัตรู
ทางฝั่งซินอู๋เหินเองก็มีสีหน้าตะลึงเช่นกัน
“เจ้าคือพวกผู้ทรงภูมิใช่หรือไม่?” มู่กู่เอ่ยถามก่อน
ตอนที่พวกฝืนชะตาฟ้าบุกโจมตีเผ่าแสง พวกผู้ทรงภูมิเคยช่วยเหลือเผ่าแสงมาก่อน ถึงขนาดที่ว่ามู่กู่ยังจำใบหน้าอวี่เทียนอูได้บ้าง
“พวกผู้ทรงภูมิ!” จ้าวเฟิงพูดอะไรไม่อออก
ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากในดินแดนเทพรกร้างพอรู้เรื่องของเผ่าความลับสวรรค์กันบ้าง
เผ่าพันธุ์ที่เปี่ยมด้วยสติปัญญาเผ่านี้ไม่ได้สงบสุข ภายในแบ่งแยกกันเป็นสองฝ่าย ฝั่งหนึ่งคือพวกฝืนชะตาฟ้า ทำอะไรทีขัดต่อสวรรค์ ส่วนอีกหนึ่งคือพวกผู้ทรงภูมิ เป็นพวกโอนอ่อนต่อชะตาฟ้า ดูแลช่วยเหลือปวงประชา
โดยสรุปคือ
สมาชิกเผ่าความลับสวรรค์ที่เจ้าสวรรค์เป็นผู้นำน่าจะเป็นพวกฝืนชะตาฟ้า ส่วนอวี่เทียนอูเป็นพวกผู้ทรงภูมิ
ด้วยเหตุนี้จึงสามารถอธิบายได้ว่า ทำไมตอนนั้นปราชญ์ลิ่วอูจึงไม่ได้ช่วงชิงเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าของจ้าวเฟิง
“ถูกต้องแล้ว ถ้าหากพวกเจ้าไม่มีที่จะไป ก็มาหาข้าได้!”
เพิ่งจะพูดจบ จู่ๆ เงาของอวี่เทียนอูก็อ่อนแสงลงไปหลายส่วน จากจุดนี้จึงเห็นได้ว่าร่างหลักของอวี่เทียนอูอยู่ในสถานที่ห่างไกลจากเขตดาราชาดมาก
เผ่าแสงและเผ่าเทพยักษ์ตกอยู่ในห้วงความคิด
ตอนนี้อยู่ที่เขตดาราชาดต่อไม่ได้แล้ว ก่อนหน้านี้ซินอู๋เหินก็ไม่ได้วางแผนว่าจะย้ายไปอยู่ที่ไหน
ฝั่งของพวกผู้ทรงภูมิเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยจริงๆ ต่อให้แดนศักดิ์สิทธิ์เจอร่องรอยของเขา ก็ไม่กล้าทำอะไรอุกอาจในที่ตั้งของพวกผู้ทรงภูมิแน่ เหตุที่เขาสงสัยเป็นเพราะพวกเขารู้เรื่องพวกผู้ทรงภูมิไม่มากนัก จึงกังวลใจ เผ่าแสงเองก็เป็นกังวลในเรื่องเดียวกัน
“ท่านจอมเวท พวกฝืนชะตาฟ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
จู่ๆ จ้าวเฟิงก็ถามขึ้น
เพราะเคยอยู่ในอาณาจักรเทพของพวกฝืนชะตาฟ้ามาก่อน และเคยอยู่ร่วมกับเจ้าสวรรค์อยู่ช่วงหนึ่ง จ้าวเฟิงจึงเชื่อมั่นว่าเจ้าสวรรค์จะต้องมีแผนการร้ายอะไรแน่
สิ่งของที่ทำให้พวกฝืนชะตาฟ้าของเผ่าความลับสวรรค์แย่งชิงขนาดนี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน จ้าวเฟิงถึงขนาดรู้สึกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเขาในระดับหนึ่งแน่นอน มิฉะนั้นฝ่ายตรงข้ามคงจะไม่ทุ่มเทจ่ายราคาสูงมากขนาดนี้เพราะอยากครอบครองเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า
คำตอบนี้ นอกจากพวกฝืนชะตาฟ้ารู้แล้ว ก็เห็นจะเป็นพวกผู้ทรงภูมิที่มีความเป็นไปได้ที่สุด
“ฝ่ายผู้ทรงภูมิและฝ่ายฝืนชะตาฟ้าไม่ได้ไปมาหาสู่กันมานานมากแล้ว จุดนี้ข้าก็ไม่ชัดเจนมากนัก อีกอย่างก็ไม่มีเวลาจะคุยอะไรต่อแล้ว …”
อวี่เทียนอูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายศีรษะน้อยๆ
เงาข้ามมิตินี้อับแสงลงหลายส่วน เหมือนสลายหายไปได้ทุกเมื่อ
“ขอให้ผู้อาวุโสบอกตำแหน่งที่ชัดเจนให้ข้าที!”
ซินอู๋เหินครุ่นคิดอยู่นาน จนในที่สุดแล้วก็ตัดสินใจได้
มู่กู่กำลังลังเลใจ ถ้าหากอวี่เทียนอูไม่ได้หลอกพวกเขา แปลว่าราชาเทพโยวอวิ๋นกำลังเร่งรุดมาจริงๆ หากไม่รีบหนีออกจากที่นี่อาจเกิดผลเสียที่ไม่คาดฝันขึ้นได้
“นี่คือตำแหน่งที่แน่ชัดของพวกผู้ทรงภูมิ และยังมีเส้นทางด้วย แล้วแต่พวกเจ้าจะเลือกเลย!”
ร่างของอวี่เทียนอูยิ่งอับแสงลงไปทุกที
เขาเอาข้อมูลทั้งหมดส่งเข้าไปในหัวจ้าวเฟิง ซินอู๋เหิน และมู่กู่
หลังจากจัดการทั้งหมดนี้เรียบร้อยแล้ว เงาของอวี่เทียนอูก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“จ้าวเฟิง เจ้าจะเลือกอย่างไร?” มู่กู่ถามจ้าวเฟิง
“ข้าอยากจะไปที่ของพวกผู้ทรงภูมิสักหน่อย!” จ้าวเฟิงตอบยืนยัน
อวี่เทียนอูรู้สถานะเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าของเขานานแล้ว แต่กลับไม่ลงมือทำอะไร
หนำซ้ำที่จ้าวเฟิงประสบความสำเร็จดังเช่นในวันนี้ เป็นเพราะการผลักดันจากปราชญ์ลิ่วอูในตอนนั้น ซึ่งเน้นย้ำหลักการของพวกผู้ทรงภูมิคือ เชื่อฟังชะตาฟ้า ช่วยเหลือชาวประชา
ขณะที่เงาข้ามมิติของอวี่เทียนอูอันตรธานหายไปนั้นเอง ในหัวจ้าวเฟิงก็ปรากฏเงาสีขาวร่างหนึ่งขึ้นทันที และยังมีคำถามต่างๆ เต็มไปหมด
ที่เขตดาราชาดในตอนนั้น จ้าวเฟิงมองเห็นคนที่คล้ายคลึงกับหลิวฉินซินมาก หรือว่าจะเป็นภาพลวงตา? ทำไมตำหนักฟั่นหลุนกู่อินที่ตำหนักเซียนพิณสวรรค์ถึงหายไป คนที่นั่นหายไปไหน?
บางทีปราชญ์ลิ่วอูอาจรู้เรื่องหลิวฉินซินก็คือหลิวฉินอินด้วย
อีกอย่าง ถ้าหากพวกผู้ทรงภูมิไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเขาจริงๆ ก็จะเป็นที่พึ่งที่ดีเยี่ยมทีเดียว
เมื่อได้ยินคำตอบของจ้าวเฟิง มู่กู่ตะลึงไป
จ้าวเฟิงที่เป็นเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้ายังกล้าไปหาพวกผู้ทรงภูมิ แล้วเขายังจะต้องกลัวอะไรอีก ถ้าหากพวกผู้ทรงภูมิและพวกฝืนชะตาฟ้าไม่ถูกกัน บางทีอาจจะอาศัยพลังของพวกผู้ทรงภูมิล้างแค้นพวกฝืนชะตาฟ้าได้
ในเวลาเดียวกัน
พื้นที่บางส่วนทางทิศใต้ของดินแดนเทพรกร้าง ปรากฏเงาคนสองร่างยืนอยู่ด้านในปุยเมฆสีขาว
หนึ่งในนั้นก็คืออวี่เทียนอู ส่วนสตรีที่อยู่ข้างกายเขางดงามเลอค่า ลึกลับพร่าเลือน แบบบางอ้อนแอ้นอรชร ดุจดั่งดอกบัวขาวในบ่อซึ่งเต็มไปด้วยหมอกควัน
“ไปเถอะ สิ่งที่ควรทำก็ทำเรียบร้อยแล้ว จากนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่พวกเขาเลือก!”
ดวงตาสองข้างที่ปิดสนิทของอวี่เทียนอูพลันลืมขึ้น ใบหน้าฉายแววอ่อนล้าอิดโรย
“เจ้าค่ะ!” ใบหน้าหลิวฉินซินเรียบนิ่ง ตอบอย่างง่ายๆ
เจ้าแมวอ้วนขี้เกียจบนบ่านางก็หาวหวอด เหมือนยังไม่รู้ว่าเพราะอะไรจอมเวทและหลิวฉินซินถึงได้มาที่นี่
“ท่านว่าเขาจะมาหรือไม่?”
ใบหน้าอวี่เทียนอูระบายยิ้มละไม
“เจ้าไม่ได้รู้คำตอบอยู่แล้วหรือ?”
วงหน้างดงามหลิวฉินซินเผยยิ้มน้อยๆ