บทที่ 171 : อาละวาด
คลื่นเสียงคลื่นแล้วคลื่นเล่าของค้างคาวนิลโลหิตได้ดังก้องไปทั่วถ้ำ ส่งพลังจิตไร้ที่สิ้นสุดผ่านอากาศ พวกมันสั่นสะท้านกำแพงใกล้ๆ พัดฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว
กระทั่งศิษย์หลักในนภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณก็อาจตายตกได้
ใจกลางของเหล่าค้างคาวนั้น เด็กหนุ่มเรือนผมสีครามยืนนิ่งราวภูผาเช่นราชา พลังจิตที่โจมตีเข้าไปนั้นราวศิลาที่จมลึกในห้วงมหาสมุทร กลิ่นอายของเด็กหนุ่มพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนที่ประกายแสงแหลมคมจะพุ่งออกจากดวงตาซ้ายของเขา กระจายไปทั่วทุกทิศทาง
เสี้ยววินาที
ความหวาดกลัวปรากฏขึ้นในแววตาของค้างคาวใกล้ๆ ร่างขอตัวที่อยู่ใกล้กว่าแข็งค้างที่กลางอากาศ ราวกับถูกทำให้กลายเป็นหิน
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
ค้างคาวที่อ่อนแอกว่าบางส่วนได้ร่วงหล่นลงสู่พื้นดินพร้อมกับที่โลหิตได้ไหลออกจากดวงตาและจมูกของพวกมัน ค้างคาวนิลโลหิตส่วนมากสั่นสะท้านอยู่ใจกลางอากาศ ไม่กล้าที่จะขยับเข้าใกล้ร่างของจ้าวเฟิงมากกว่านั้น
ตัวที่สามารถทนทานได้อย่างกล้ำกลืนมีเพียงจ่าฝูงในนภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณทั้งสี่ เหล่าจ่าฝูงนั้นได้ส่งคลื่นเสียงพลังจิตโจมตีอีกครั้งตามสัญชาตญาณ
จ้าวเฟิงกระตุ้นดวงตาซ้ายของเขาพร้อมกับที่แสงในมิติในดวงตาของเขาได้ขยายไปที่ 2.9 ฟุต ซึ่งช่วยเติมเต็มพลังจิตของเด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มสกุลจ้าวรู้สึกได้ถึงแหล่งพลังจิตจำนวนมหาศาลที่อยู่ภายในร่าง ทว่ามีเพียงส่วนน้อยที่สามารถใช้ได้เมื่อเขาไม่รู้ถึงวิธีการที่จะใช้มัน
แต่แม้กระนั้น พลังจิตสังหารก็ทำให้ค้างคาวจำนวนมากนิ่งงันไปได้
“ค้างคาวเหล่านี้รู้วิธีการควบคุมพลังจิตของพวกมันตั้งแต่เกิด”
ดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มกลายเป็นคมกริบพร้อมกับที่ร่างของจ่าฝูงค้างคาวกลายเป็นโปร่งใส เผยให้เห็นอวัยวะภายใน เส้นเลือด รวมทั้งพลังงานเหยาในร่างของมัน…
ในร่างของจ่าฝูงค้างคาว จ้าวเฟิงพบกับแหล่งพลังจิตสีแดงอ่อนขนาดเท่าเมล็ดข้าวในศีรษะของมัน คนปกติย่อมไม่อาจรับรู้ถึงพลังจิตได้ ทว่าดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มนั้นสามารถเห็นแหล่งพลังงานรวมทั้งวิธีการใช้ได้อย่างชัดเจน
“พลังจิตจะต้องถูกใช้ในความถี่พิเศษ”
แผนภาพได้ปรากฏขึ้นในศีรษะของจ้าวเฟิง แม้ว่าร่างของค้างคาวนั้นจะแตกต่างจากร่างของมนุษย์ วิธีการที่พวกเขาใช้ในการใช้พลังจิตนั้นเหมือนกัน และวิธีนี้ก็ได้ถูกคัดลอกลงในมิติในดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่ม
กี๊
จ้าวเฟิงโคจรปราณแท้ของเขาพร้อมกับที่เสียงแปลกประหลาดได้ดังขึ้นจากปากของเขา มันได้มีพลังจิตปะปนอยู่
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
กลุ่มค้างคาวนิลโลหิตได้ร่วงหล่นลงจากอากาศพร้อมกับเลือดที่ไหลออกจากจมูก หู และดวงตาของพวกมัน…
เหล่าค้างคาวนิลโลหิตที่มีพลังต่ำกว่านภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณล้วนไม่อาจทานทนการโจมตีนี้ได้
“การโจมตีด้วยเสียงนี้ได้มีความเขย่าขวัญจากปราณแท้ของข้าอยู่ด้วย เมื่อรวมกับพลังจิตก็ทำให้มันเหนือกว่าการโจมตีของพวกค้างคาวนัก”
ความยินดีปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจ้าวเฟิง อวัยวะภายในร่างของเหล่าค้างคาวที่ร่วงลงบนพื้นนั้นล้วนแต่แหลกเละ และแม้ว่าบางตัวจะมีชีวิตรอด มันก็จะพิการอยู่ดี
เพียงแค่การโจมตีด้วยเสียงครั้งเดียวก็ทำให้ค้างคาว 10-20 ตัวร่วงหล่นลง
กี๊
เหล่าค้างคาวที่เหลือต่างแตกกระจายออกในทิศทางที่แตกต่างกันด้วยความหวาดกลัว เด็กหนุ่มผมครามเปิดปากของเขาออกเป็นครั้งที่สอง แต่กระนั้นค้างคาวนับสิบก็ยังคงนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น
กระทั่งค้าวคาวในนภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณทั้งสี่ยังหนีไปด้วยความหวาดกลัว
“พวกเจ้าจะหนีไปที่ใดกัน!?”
จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงเย็นขณะที่เขานำธนูโหลวฮัวของเขาออกมา ดวงตาซ้ายของเขาส่องประกายสีครามวาบพร้อมกับที่พลังของทักษะธนูของเด็กหนุ่มเพิ่มมากขึ้น
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ธนูสีครามเข้มพุ่งะลุผ่านร่างของค้างคาวนิลโลหิตในนภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณทั้งสี่ตัวด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ คันศรโหลวฮัวนั้นสามารถยิงได้ด้วยความเร็วเหนือเสียง จ้าวเฟิงนั้นได้ใช้พลังของมันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่แม้กระนั้นค้างคาวเหล่านี้ก็ไม่อาจหลบหลีกศรของมันได้
เมื่อเด็กหนุ่มละธนูของเขาลง ค้างคาวนิลโลหิตที่อยู่ใกล้ๆ ก็ได้หายไปจากสายตา
จ้าวเฟิงสั่นศีรษะและใส่ที่ปิดตากลับเข้าไป การโจมตีพลังจิตก่อนหน้านั้นมีจุดกำเนิดมาจากปากของเขา หมายความว่าการใส่ที่ปิดตาไม่ได้สร้างความแตกต่างมากนัก
ในการต่อสู้ครั้งนี้ เด็กหนุ่มได้ค้นพบวิธีการในการใช้พลังจิตของเขา สัญชาตญาณบอกเขาว่าความสามารถที่แท้จริงของดวงตานี้ยังไม่ได้รับการเปิดเผย
“เกิดเรื่องบัดซบอันใดขึ้นกัน? เหตุใดค้างคาวใกล้ๆ จึงได้หลบหนี? มันดูเหมือนว่าพวกมันไม่ได้มีสติด้วย…”
เด็กสาวงดงามผู้หนึ่งได้เดินเข้าไปใกล้ยังถ้ำของจ้าวเฟิงด้วยสีหน้านิ่งอึ้ง
นางคือหลิวเยว่เอ๋อร์ที่ได้แยกจากพวกเขาไปก่อนหน้า กลุ่มของนางนั้นได้เผชิญหน้ากับค้างคาวฝูงใหญ่ก่อนหน้าไม่นาน และหยางก่านได้ล่อค้างคาวที่แข็งแกร่งและจำนวนมากที่สุดไประหว่างที่คนอื่นๆ หลบหนี
เด็กสาวนั้นสามารถหลบหนีจากค้างคาวที่ไล่ล่านางมาได้ในที่สุด ทว่าโชคร้ายที่นางพบกับฝูงค้างคาวอีกฝูงที่มีจำนวนมากเสียจนสามารถคุกคามนางได้
ทว่าบางอย่าง ค้างคาวเหล่านี้ได้ตกอยู่ในความหวาดผวาและราวกับแมลงวันไร้ศีรษะที่บินไปในทิศทางที่แตกต่างกัน
หลังจากเดินไปอีก 10 หลา หลิวเยว่เอ๋อร์ก็จับจ้องไปยังซากของค้างคาวบนพื้นและพบว่าบางตัวได้ตายแล้ว ขณะที่บางส่วนยังคงดิ้นรนอยู่บนพื้นพร้อมด้วยโลหิตที่ไหลออกจากดวงตา จมูก และหูของพวกมัน
หัวใจของเด็กสาวสั่นสะท้านขณะที่นางคิดว่าผู้ใดกันที่จะน่าหวาดผวาเสียจนสามารถฆ่าค้างคาวจำนวนมากได้โดยไร้ซึ่งร่องรอยใดๆ
ร่างของค้างคาวบนพื้นนั้นไม่ได้มีอาการบาดเจ็บที่ชัดเจน ทว่าอวัยวะภายในรวมทั้งเส้นเลือดภายในร่างได้ถูกทำลาย ทั้งพวกมันยังไม่มีสติ
“ศิษย์พี่หลิว”
น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้นจากมุมหนึ่งเบื้องหน้า
หลิวเยว่เอ๋อร์สะดุ้งอย่างตกใจ ทว่าหลังจากที่เห็นว่าอีกฝ่ายคือผู้ใด นางจึงถอนลมหายใจอย่างโล่งอก
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นราวกับกำลังฟื้นตัว แต่จากท่าทางที่เขาโคจรปราณแท้แล้ว มันราวกับว่าเขากำลังฝึกตนไปพร้อมๆ กัน
ข้างกายของเด็กหนุ่มคือหลินฟ่านที่ตื่นขึ้นแล้ว และกำลังฟื้นตัวอยู่
“หรือค้างคาวทั้งหมดนี่จะ…?” หลิวเยว่เอ๋อร์เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
ข้างกายของจ้าวเฟิงนั้นปรากฏร่างโชกเลือดของค้างคาวจำนวนมาก รวมทั้งจ่าฝูงค้างคาวอีก 3-4 ตัวที่จุดตายถูกยิงด้วยลูกธนู
เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวไม่ได้เอ่ยตอบแต่เริ่มที่จะฝึกตนไปพร้อมๆ กับที่ผลักดันปราณแท้วายุสวรรค์ของเขาจนถึงขีดสุด
เขาได้เข้าสู่ขั้นสูงในวิชาเซียนวายุสวรรค์ และความบริสุทธิ์ของปราณแท้ของเขานั้นเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนในนภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ
ในด้านของร่างกายของเขานั้น วิชากำแพงเงินของเขาได้เข้าสู่ระดับที่สูงที่สุดเท่าที่จะไฃเป้นไปได้ การดื่มไวน์จิตวิยญาณและกินผลไม้จิตวิญญาณไปอีกบางส่วน รวมทั้งน้ำดีของอสรพิษก็ได้ทำให้เขาอยู่ในขั้นสุดยอดของนภาที่อง
ภายใต้สถานการณ์ร้ายแรงนี้ จ้าวเฟิงได้ผลักดันความสามารถของเขาไปถึงขีดสุด และเข้าสู่ขั้นครึ่งก้าวสู่นภาที่สาม
บัดนี้ ปริมาณรวมทั้งคุณภาพของปราณแท้ของเด็กหนุ่มนั้นได้เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงขณะที่เขาฝึกตน
เพื่อที่จะเพิ่มความเร็วในการฝึกของเขา จ้าวเฟิงได้จิบไวน์จิตวิญญาณไปเล็กๆ ในทุกๆ 2 ชั่วโมง ไวน์จิตวิยญาณระดับต่ำนั้นมีประสิทธิภาพอย่างมากกับผู้ที่อยู่ภายใต้นภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ
หลินฟ่านนั่งอยู่จ้างเด็กหนุ่มผมครามและคุ้มกันอีกฝ่ายด้วยสีหน้าซับซ้อน หลังจากที่เขาสลบไป ชายหนุ่มก็ไร้ซึ่งคำใบ้ใดๆ ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง เมื่อยามที่เขาตื่นขึ้น จ้าวเฟิงนั้นไม่ได้บาดเจ็บแม้แต่น้อย ทว่าศพของค้างคาวใกล้ๆ นั้นมีจำนวนมหาศาล
ภาพนี้ได้คล้ายคลึงกับยามที่อยู่ในถ้ำมารจันทราชาดมากเพียงใดกัน?
เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวไม่ได้จากไปในทันทีและได้ฝึกตนแทน
ครึ่งวันต่อมา
จ้าวเฟิงได้เข้าสู่นภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณและได้ปลดปล่อยกลิ่นอายกราดเกรี้ยวออกมา
ความแตกต่างในระหว่างแต่ล่ะนภาในขอบเขตก่อกำเนิดปราณนั้นมากมายนัก มันคือความเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อาหาร ผู้ที่มีพลังฝึกตนด้อยกว่าจะถูกกดขี่
ความแตกต่างในห่วงโซ่อาหาร!
ในตอนนี้ ทั้งหลินฟ่านและหลิวเยว่เอ๋อร์ต่างรู้สึกได้ถึงความกดดันไม่ทราบที่มา และรู้สึกอึดอัด
หลิวเยว่เอ๋อร์นั้นมีสีหน้าซับซ้อนอย่างมาก แม้ว่านางจะได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของนภาที่สองแล้ว นางก็ยังไม่สามารถเติมเต็มข้อกำหนดในการเข้าสู้นภาที่สามได้
“เอาล่ะ ตอนนี้ไปเถอะ”
จ้าวเฟิงยืนขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมด้วยดวงตาที่แหลมคมก่อนที่จะนำทางไป
หลินฟ่านติดตามไปเบื้องหลังอย่างใกล้ชิด
“ไปเร็วยิ่ง!”
หลิวเยว่เอ่อร์รู้สึกตกใจเล็กๆ
จ้าวเฟิงรู้สภาพพื้นที่ค่อนข้างดี และเขานั้นได้อยู่ในช่วงการอาละวาด กระทั่งหยางก่านยังต้องเดินไปอย่างระมัดระวัง
“ท่านสามารถติดตามข้าไป หรือว่าไปเองก็ได้”
เด็กหนุ่มนั้นไม่แม้แต่จะสนใจในสิ่งที่เด็กสาวคิด
หลิวเยว่เอ๋อร์กัดริมฝีปาก หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ นางก็ได้ตัดสินใจที่จะติดตามอีกฝ่ายไป
แผนที่ซับซ้อนได้ปรากฏขึ้นในสมองของจ้าวเฟิง พร้อมกับที่มันเริ่มที่จะสมบูรณ์ขึ้นทีล่ะน้อย
เหตุผลที่เด็กหนุ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วนั้นเป็นเพราะเขาต้องการที่จะทำแผนที่ให้สมบูรณ์และออกจากเขาวงกตนี้ หลังจกาเดินไปเป็นระยะเวลาสั้นๆ กลุ่มของค้างคาวราวๆ 10-20 ตัวก็ได้ปรากฏตัวขึ้น และจำนวนของมันสามารถที่จะคุกคามทั้งสามได้
ร่างของหลิวเยว่เอ๋อร์และหลินฟ่านแข็งเกร็งขึ้น
กี๊
จ้าวเฟิงเปิดปากของเขาออกพร้อมกับที่ฝูงค้างคาวเบื้องหน้าได้แตกซ่านไปด้วยความหวาดกลัว บางส่วนได้ร่วงลงบนพื้นพร้อมด้วยเสียง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ อีกส่วนนั้นได้บินหนีไป
“โอ้ สวรรค์!”
หลินฟ่านและหลิวเยว่เอ๋อร์สบตากันด้วยสีหน้านิ่งอึ้ง สิ่งที่อีกฝ่ายทำนั้นมีเพียงแค่เปิดปาก แต่ฝูงค้างคาวก็ได้แตกซ่านด้วยความหวาดกลัว
หลังจากเข้าสู่นภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ แสงในดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงก็ได้กว้าง 3 ฟุต ซึ่งหมายความว่าพลังจิตของเขาได้แข็งแกร่งขึ้น
หลังจากนั้น
จ้าวเฟิงได้เหนือกว่าทุกสิ่งในถ้ำค้างคาว ค้างคาวถูกตอบโต้ด้วยคลื่นเสียงพลังจิตของเขา ไม่ว่าจะเป็นฝูงใดที่เผชิญหน้าต่างก็ตายหรือไม่ก็กระจายออกไปด้วยความหวาดกลัว
ครั้งหนึ่ง ฝูงของค้างคาวนับร้อยได้พุ่งเข้ามา นำมาโดยราชาค้างคาวที่นภาที่สี่
ผลลัพธ์
จ้าวเฟิงกระตุ้นพลังจิตสังหารของเขาเพื่อฆ่าค้างคาวตัวอื่นๆ และจากนั้นจึงจัดการราชาค้างคาวด้วยคันศรโหลวฮัว
ในบรรดาผู้เข้าร่วมทั้งหมด จ้าวเฟิงเป็นคนแรกที่สามารถทะลวงผ่านการเอาจำนวนเข้าว่าของเหล่าค้างคาวได้
เมินเฉยต่อวิธีการใช้จำนวนที่มากกว่า!
พลังจิตของเด็กหนุ่มนั้นมหาศาล และเขามีไวน์จิตวิญญาณในการช่วยให้เขาฟื้นฟู
มีเพียงความมึนงงที่หลงเหนือในร่างของหลินฟ่านและหลิวเยว่เอ๋อร์นอกจากความตะลึง
ในยามนี้ จ้าวเฟิงนั้นราวกับจ้าวแห่งความชั่วร้าย และเมื่อเวลาผ่านไปภาพของแผนที่ในสมองของเด็กหนุ่มก็ได้สมบูรณ์มากขึ้น จากนั้นเขาจึงวิเคราะห์เส้นทางที่ควรจะใช้เพื่อออกจากเขาวงกต และนี่เป็นเส้นทางที่ตัดผ่าไปสู่ใจกลางของเขาวงกตด้วย
วันที่สามของการทดสอบที่สอง
ปากทางเข้ากว้างของถ้ำได้ปรากฏขึ้นในความดำมืดเบื้องหน้า ราวกับเป็นปากของสัตว์อสูรตัวยักษ์
หยางก่าน กวานเฉิน เป่ยโม่ย และหลันเสี่ยวหยวนต่างยืนอยู่หน้าทางเข้านั้นพร้อมด้วยร่างโชกเลือดของค้างคาวจำนวนมากใกล้ๆ
“พวกเจ้ามาได้เวลาพอดี ศูนย์บัญชาการหลักของถ้ำค้างคาวอยู่เบื้องหน้า และมันมีสมุนไพรจำนวนมากที่สูญพันธ์ไปแล้ว…”
หยางก่านรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ ยามที่เขาเห็นจ้าวเฟิงและอีกสองคน
เขาคิดว่ากลุ่มของจ้าวเฟิงคงผ่านถ้ำนี้ไปได้ด้วยความยากลำบาก โดยเฉพาะเมื่อพลังฝึกตนของหลิวเยว่เอ๋อร์และหลินฟ่านนั้นต่ำที่สุด ทว่าจากภาพในปัจจุบันนั้น ทั้งสามได้ดูผ่อนคลาย
หลิวฟ่านและหลิวเยว่เอ๋อร์นั้นราวกับผู้คุมครองสองคนที่ยืนอยู่ด้านซ้ายและขวาของจ้าวเฟิง