บทที่ 170 : พลังจิตสังหาร
อสรพิษสีเทานั้นยาวราวๆ 3 นิ้วและตัวหนากว่านิ้วโป้งเล็กน้อย พลังที่อยู่ในร่างของงูที่ดิ้นรนนี้สามารถฆ่าผู้ฝึกตนในนภาที่หนึ่งได้อย่างง่ายดาย ทว่านิ้วของจ้าวเฟิงนั้นราวกับเหล็กที่คีบร่างเรียวนั้นไว้
“ฆ่ามัน… ไม่ดีแล้ว! ข้าติดพิษ!”
ใบหน้าของกวานเฉินเขียวคล้ำขณะที่นั่งอยู่บนพื้น พยายามที่จะขับพิษออก
ทั้งหลินฟ่านและหลันเสี่ยวหยวนมองไปทางจ้าวเฟิงด้วยสายตาแปลกประหลาด อสรพิษนั้นเงียบ ทั้งยังกลมกลืนไปกับรอบด้าน กระทั่งกวานเฉินยังถูกกัด และแม้ว่าชายหนุ่มนั้นอาจจะประมาทด้วยความเหนื่อยล้า ความร้ายกาจของอสรพิษนั้นก็ยังคงเด่นชัด
ทว่าจ้าวเฟิงนั้นราวกับว่าระมัดระวังไว้เพื่อที่จะจับอสรพิษได้อย่างง่ายดายนัก หลินฟ่านนั้นกระทั่งเคลือบแคลงว่าเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวอาจจะรู้ว่าอยู่แล้วว่างูอยู่ตรงนั้น ทว่าไม่ได้เอ่ยเตือนกวานเฉินโดยตั้งใจ
“ฮี่ฮี่ มันคืออสรพิษเทาเงาทมิฬ หนึ่งในสัตว์อสูรเหยาที่มีพิษร้ายแรงในการทำให้ร่างกายของคู่ต่อสู้ชาหนึบ ภายในเวลาหนึ่งชั่วยาม พิษจะแพร่กระจายไปทั่วร่าง กระทั่งผู้ฝึกตนในขอบเขตก่อกำเนิดปราณยังสูญเสียการควบคุมร่างกายของตน.. กระทั่งพวกเขาตายด้วยความหิวโหย” จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของกวานเฉินก็ซีดเทาลงเพราะเขาเพิ่งจะกินยาแก้พิษชั้นจิตวิญญาณไป ทว่ากลับไร้ผลใดๆ
จ้าวเฟิงบี้ร่างของอสรพิษเทาเงาทมิฬอย่างรดวเร็วและนำถุงน้ำดีของมันออกมาก่อนจะกินมันลงไป รถของน้ำดีนั้นขมปร่าและเผ็ดร้อน ทว่าหลังจากที่มันเข้าไปในร่างแล้ว ความรู้สึกรุ่มร้อนก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างของเด็กหนุ่ม
“พลังในน้ำดีของอสรพิษนี้สามารถเสริมความแข็งแกร่งให้จิตวิญญาณของคนผู้หนึ่งรวมทั้งทำให้ปราณแท้บริสุทธิ์ขึ้น การทดสอบนี้เต็มไปด้วยสมบัติโดยแท้”
จ้าวเฟองเลียริมฝีปากพร้อมด้วยควมพึงพอใจที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ในฐานะของอัจฉริยะของสำนัก เขารู้เรื่องเกี่ยวกับยาและพิษจำนวนมาก
“ศิษย์น้องจ้าว เจ้าเป็นอัจฉริยะในการทำยา เจ้าคงรู้ว่าจะแก้พิษนี้ได้เช่นไร”
กวานเฉินฝืนยิ้มออกมา
“มันไม่มีทางรักษา”
เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวสั่นศีรษะและมองไปยังอีกฝ่ายราวกับกำลังมองคนตาย เขาเมินเสียงขอร้องและสบถสาปแช่งของชายหนุ่มก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ
ครู่ต่อมา
“เจ้าจะหนีไปไหน!?”
ร่างของจ้าวเฟิงพุ่งวูบพร้อมกับที่เด็กหนุ่มจับอสรพิษเทาเงาทมิฬได้อีกตัว เช่นก่อนหน้า เขาได้นำถุงน้ำดีของมันออกมาและกินมันเข้าไป
น้ำดีนั้นสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกายและทำให้ปราณแท้บริสุทธิ์ได้ สร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งให้แก่เขาในการเข้าสู่นภาที่สาม หลินฟ่านและหลันเสี่ยวหยวนต่างนิ่งอึ้ง
จุดแข็งของอสรพิษเทาเงาทมิฬนั้นคือการหลบซ่อนและกลมกลืนไปกับรอบด้าน ทว่าจ้าวเฟิงนั้นสามารถค้นหาและฆ่ามันได้อีกครั้ง
หลังจากนั้นเล็กน้อย พิษในร่างของกวานเฉินก็ค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ
“เจ้ากล้าหลอกข้าได้อย่างไร!?” กวานเฉินเอ่ยอย่างกราดเกรี้ยว
พิษนี้สามารถต่อต้านได้โดยพลังฝึกตนในนภาที่สี่ของเขา คำกล่าวของอีกฝ่ายก่อนหน้านั้นอาจเพียงแค่ต้องการทำให้เขาหวาดกลัว
“ข้าไม่ได้โกหกท่าน อสรพิษมิอาจคุกคามผู้ฝึกตนในนภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้ ดังนั้นแล้วจึงไม่มีความจำเป็นในการรักษา” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างหยอกล้อ
มันเป็นสิ่งที่ง่ายดายอย่างมากในการรักษาพิษนี้ สิ่งที่คนผู้นั้นจำต้องมีคือการอยู่ในนภาที่สองแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณและโคจรโลหิตกับปราณแท้ของพวกเขาไปทั่วร่าง
จ้าวเฟิงนั้นบอกเรื่องนี้กับหลินฟ่านและหลันเสี่ยวหยวนเพียงสองคนอย่างลับๆ เด็กหนุ่มนั้นเป็นเพียงผู้เดียวที่รู้เรื่องยาในบรรดาผู้ที่เข้ามาในถ้ำค้างคาวนี้
แน่นอนว่าอีกคนที่อาจรู้เกี่ยวกับเรื่องยานั้นคือหลิวเยว่เอ๋อร์ อาจารย์ของนางนั้นคือแม่เฒ่าหลิวเยว่ นักปรุงยาที่เก่งกาจที่สุดในสำนัก ในฐานะของศิษย์ของสตรีผู้นั้น เด็กสาวควรจะเรียนรู้ได้อย่างมาก
“ไปเถอะ!”
สีหน้าของกวานเฉินน่าเกลียดอย่างมาก ทว่าไม่มีสิ่งใดที่เขาสามารถทำได้
จ้าวเฟิงนั้นราวกับมัจฉาในน้ำในบัดนี้ เขานั้นเหมาะสมกับการเอาชีวิตรอดยิ่งนัก นอกจากนั้นทั้งหลินฟ่านและหลันเสี่ยวหยวนก็ดูจะเชื่อฟังเด็กหนุ่ม
หนึ่งวันและหนึ่งคืนต่อมา กลุ่มของทั้งสี่ได้สำรวจไปทั่วเขาวงกต ทุกๆ ชั่วขณะหนึ่งพวกเขาจะเผชิญหน้ากับการโจมตีของค้างคาวนิลโลหิต
นอกจากนั้น มันยังมีสัตว์อสูรเหยาอันตรายที่ซ่อนกายอยู่ในถ้ำอย่างอสรพิษเทาเงาทมิฬ ผีเสื้อ และกระทั่งงูเหลือม…
จ้าวเฟิงนั้นดูราวกับสามารถควบคุมทุกสิ่งได้และเด็กหนุ่มช่วยเหลือเพียงหลินฟ่านและหลันเสี่ยวหยวนครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น
กวานเฉินเป้นเพียงผู้เดียวที่ต้องเผชิญหน้ากับทุกอย่างและเหนื่อยล้าอย่างมาก ขณะที่จ้าวเฟิงและอีกสองคนนั้นราวกับปลาในน้ำ
ในระหว่างทาง เด็กหนุ่มผมครามได้ฆ่าอสรพิษไปจำนวนมากและกลืนกินน้ำดีของพวกมัน ทำให้เขาเข้าถึงข้อกำหนดที่เขาต้องการในการทะลวงเข้าสู่นภาที่สาม ดังนั้นแล้วเขาจึงได้ให้น้ำดีบางส่วนแก่หลินฟ่าน อีกฝ่ายบัดนี้ได้เข้าสู่ขั้นปลายของนภาที่สองด้วยผลจิตวิญญาณม่วงและน้ำดีของอสรพิษ
“จ้าวเฟิงผู้นี้แปลกประหลาดนัก…”
ขนทั่วร่างของกวานเฉินลุกชัน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่เพียงแค่เขาไม่อาจคาดคำนวณจ้าวเฟิงได้ เป้นเขาเสียเองที่เผชิญหน้ากับอันตรายทุกครั้ง
โชคดีที่เขาอยู่ในนภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ เขาจึงมีชีวิตรอดได้
ชายหนุ่มตัดสินใจที่จะแยกจากจ้าวเฟิงเพราะมันเป็นเขาที่ตกอยู่ในอันตรายทุกครั้ง มันเป็นเรื่องบังเอิญที่มากเกินไปแล้ว! เขารู้สึกราวกับว่าอีกฝ่ายได้คำนวณทุกสิ่งไว้แล้วทุกครั้ง
“เรามาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง” เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวพลันเอ่ยขึ้นขณะที่เขาชี้ไปยังทางแยกหนึ่ง
ในระหว่างทาง เด็กหนุ่มยังคงสร้างแผนที่ในศีรษะของเขาต่อไปเรื่อยๆ ทว่าแผนที่นั้นยังไม่สมบูรณ์ จ้าวเฟิงวิเคราะห์และประมารว่าพวกเขาควรจะเดินมาราวๆ หนึ่งในสามของระยะทาง และในวันต่อไปพวกเขาควรจะสามารถหาทางออกได้
“ศิษย์น้องจ้าว ความจำและปฏิกิริยาตอบโต้ของเจ้ายอดเยี่ยมนัก เหตุใดจึงไม่มานำทางเล่า?” กวานเฉินเอ่ยขึ้นอย่างจงใจ
“ได้สิ” จ้าวเฟิงเอ่ยตอบขึ้นในทันที
หากเป็นเช่นนี้ เขาจะสามารถไปสำรวจยังที่ที่พวกเขายังไม่ได้ไปและหาทางออกได้ ผลลัพธ์นั้นคือทางที่จ้าวเฟิงเลือกนั้นมีอัตราการเผชิญหน้ากับค้างคาวนิลโลหิตสูงมาก ยิ่งพวกเขาเข้าไปไกลเท่าใด ก็ยิ่งมีค้างคาวมากขึ้นเท่านั้น เด็กหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจ ราวกับมีรังค้างคาวอยู่เบื้องหน้า
ในตอนที่เขาคิดเช่นนั้นเอง เสียงร้องจำนวนมากก็ได้ดังขึ้นจากพื้นที่ด้านหน้า
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ
เสียงบินของสัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนดังก้องไปทั่วถ้ำ
ถอย!
สีหน้าของจ้าวเฟิงแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ร่างของเขาพุ่งวูบทันทีที่เสียงร้องที่เต็มไปด้วยพลังจิตดังขึ้นสั่นสะท้านหัวใจ ทุกคนรู้สึกเจ็บศีรษะ หูและจมูกของหลินฟ่านปรากฏรอยเลือดขึ้น
เสี้ยววินาทีต่อมา ค้างคาวนิลโลหิตจำนวนนับร้อยได้พุ่งทะยานตรงไปยังทั้งสี่ จ่าฝูงค้างคาวที่อยู่ด้านหน้านั้นมีปีกที่กว้าง 2-3 หลา ทุกๆ การกระพือปีกจะพัดฝุ่นให้ฟุ้งกระจายขึ้นในอากาศ มันคือราชาค้างคาว มันได้ส่งเสียงร้องบาดหูขึ้น ทำให้ปราณแท้ของทุกคนสูญเสียการควบคุมไป พลังฝึกตนของค้างคาวนี้อาจใกล้เคียงนภาที่ห้า
เมื่อมองไปยังฝูงค้างคาว ขนทั่วร่างของจ้าวเฟิงก็ลุกชัน ทว่าโชคดีที่เสียงร้องของราชาค้างคาวไม่ได้ส่งผลต่อเขา ทั้งสี่ถูกล้อมและเข้าสู่การต่อสู้อันหนักหน่วง เมื่อถึงจุดสำคัญ พวกเขาต่างก็ใช้ท่าไม้ตายของตนเองออก
ฝ่ามือวายุอัสนี!
จ้าวเฟิงผลักดันฝ่ามือของเขาออกครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกๆ ฝ่ามือจะจัดการค้างคาวไปได้จำนวนหนึ่ง
วิชาดาบคลื่นหวน!
หลินฟ่านกำดาบยาวของเขาไว้พร้อมกับวาดมันผ่านอากาศ สร้างคลื่นอากาศครอบคลุมไปยังค้างคาวที่อยู่ใกล้ๆ กวานเฉินมีพลังฝึกตนสูงที่สุดและร่วมมือกับหลันเสี่ยวหยวนในการต่อสู้กับราชาค้างคาว ราชาค้างคาวกรีดร้องออกมาหลายครั้ง ส่งผลต่อสมาธิของทั้งสอง ทำให้พวกเขาไม่อาจจัดการมันลงได้ในระยะเวลาสั้นๆ ในเวลาเดียวกัน ค้างคาวนิลโลหิตใกล้ๆ ก็ได้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยที่ไม่ว่าจะเป็นตัวใดก็อยู่ในนภาที่หนึ่งเป็นอย่างน้อย
“ตายซะ…!”
กวานเฉินพลันดึงดาบยาวสีบรอนซ์ของเขาออกและวาดมันไปเบื้องหน้า การวาดดาบเพียงครั้งเดียวนี้ได้ฆ่าค้างคาวนับสิบไปในเสี้ยววินาที และทิ้งรอยบาดลึกถึงกระดูกไว้บนร่างของราชาค้างคาว
ดาบเดียวนั้นได้บังคับให้ราชาค้างคาวต้องล่าถอย
“อาวุธชั้นมนุษย์ระดับกลาง”
จ้าวเฟิงประหลาดใจเล็กๆ
มันเป็นอาวุธมนุษย์ระดับกลาง เช่นเดียวกับของหลิวเยว่เอ๋อร์ ทว่ามันแข็งแกร่งกว่าสองถึงสามเท่าเมื่ออยู่ในมือของกวานเฉิน
“โอกาสดีที่จะจัดการราชาค้างคาว!”
“วิ่ง!”
ทว่ากวานเฉินกลับหมุนตัวและทะยานร่างไปยังหนึ่งในทางออกอย่างกะทันหัน
วิ่ง?
การกระทำของอีกฝ่ายได้สร้างความประหลาดใจให้กับจ้าวเฟิง เพราะหากกวานเฉินและหลันเสี่ยวหยวนสู้ต่ออีกเล็กน้อย พวกเขาก็สามารถจัดการราชาค้างคาวได้ ทว่าเด็กหนุ่มนั้นไม่รู้ว่าอีกฝ่ายค้องการแยกทางกับตนเอง
“วิ่งแยกกันไป”
เมื่อเผชิญหน้ากับค้างคาวจำนวนมหาศาลเช่นนี้ จ้าวเฟิงก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว มันมีทางแยกหลายทางที่นี่โดยบังเอิญ
กวานเฉินเลือกทางหนึ่ง ในขณะที่หลันเสี่ยวหยวนเลือกอีกทาง เพราะหลินฟ่านจดจำได้ถึงสิ่งที่จ้าวเฟิงเอ่ย ทั้งสองจึงเลือกไปทางเดียวกัน
“กวานเฉินและหลันเสี่ยวหยวนล้วนเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสและจ้าวสำนัก หมายความว่าพวกเขาย่อมมีไพ่ลับเป็นของตน” จ้าวเฟิงคิดและไม่ได้ออกปากเรียกหลันเสี่ยวหยวน
กลุ่มของค้างคาวได้แบ่งออกเป็นสามกลุ่มพร้อมกับที่ราชาค้างคาวได้พุ่งตามกวานเฉินไป
ค้างคาวในนภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณอีกสองตัวต่างนำฝูงค้างคาวไล่ล่าหลันเสี่ยวหยวน
จ้าวเฟิงและหลินฟ่านโชคร้าย มีค้างคาวในนภาที่สามนำกองทัพค้างคาวนิลโลหิตไล่ล่าพวกเขาไปเพราะว่าพวกเขามีคนมากกว่า
“บัดซบ! โชคร้ายเสียจริง!”
จ้าวเฟิงสบถออกมาเมื่อเขาตระหนักได้ว่าทางเบื้องหน้าเป็นทางตัน
ค้างคาวที่ไล่ล่าพวกเขามานั้นมีจำนวน 70-80 ตัวโดยมีผู้นำในนภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณสี่ตัว
“ศิษย์น้องจ้าว อย่าได้กังวลถึงข้า หาทางฝ่าออกไปเถอะ”
หลินฟ่านเข้าใจว่าอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งกว่าเขามาก และตราบเท่าที่เด็กหนุ่มไม่พบกับราชาค้างคาว เขาย่อมสามารถหลบหนีได้
“ไม่มีโอกาส”
จ้าวเฟิงยืนนิ่งพร้อมส่ายศีรษะ
ค้างคาวนิลโลหิตกรีดเสียงขึ้นทีล่ะตัว ส่งคลื่นเสียงออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า โจมตีทั้งสองด้วยพลังจิต การที่ทั้งหมดร้องขึ้นพร้อมกัน กระทั่งผู้ฝึกตนในนภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณก็ไม่อาจต้านทานได้
ตุบ!
เลือดไหลออกจากปาก ตา และหูของหลินฟ่านขณะที่เขาสลบไป
“แบบนี้ดีกว่า”
จ้าวเฟิงยืนอยู่ที่ใจกลางการโจมตีของพลังจิตโคจรปราณแท้ของเขาเพื่อป้องกันพลังจิต ภายในมิติในดวงตาซ้ายของเขา แสงสีครามได้กว้าง 2.2 ฟุตและยังคงดูดกลืนพลังจิตจากการโจมตีต่อไปเรื่อยๆ
เด็กหนุ่มผมครามดึงที่ปิดตาของเขาออกอย่างช้าๆ เรือนผมโบกพัดไปกับสายลม
“พลังจิตสังหาร…”
ดวงตาสีครามแหลมคมปลดปล่อยกลิ่นอายเก่าแก่โบราณออกมา ราวกับว่ามันเป็นจ้าวแห่งความชั่วร้าย